ความเชื่อในยามอับปาง
ในเดือนมิถุนายนค.ศ. 1965 วัยรุ่นชาวตองก้าหกคนแล่นเรือออกจากเกาะที่พวกเขาพักอาศัยเพื่อไปผจญภัย แต่เมื่อพายุพัดเสากระโดงเรือและหางเสือจนพังในคืนแรก พวกเขาจึงลอยอยู่ในทะเลหลายวันโดยไม่มีอาหารหรือน้ำดื่ม ก่อนที่เรือจะไปเกยตื้นที่เกาะอาตาซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ และต้องติดอยู่ที่นั่นถึงสิบห้าเดือนกว่าจะมีคนมาเจอพวกเขา
เด็กหนุ่มเหล่านั้นช่วยกันทำงานเพื่อความอยู่รอดบนเกาะอาตา พวกเขาทำแปลงผักขนาดเล็ก ทำโพรงในต้นไม้เพื่อกักเก็บน้ำฝน หรือแม้แต่สร้างโรงยิมชั่วคราว เมื่อเด็กคนหนึ่งขาหักจากการตกหน้าผา คนอื่นๆก็เข้าเฝือกให้โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้ เมื่อมีการโต้เถียงกัน พวกเขาจะบังคับให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกัน และทุกวันพวกเขาจะเริ่มต้นและจบลงด้วยการร้องเพลงและอธิษฐาน เมื่อเด็กๆกลับมาในสภาพที่แข็งแรงหลังจากผ่านบททดสอบที่ทรหด ครอบครัวของพวกเขาต่างพากันประหลาดใจเพราะได้จัดงานศพให้พวกเขาไปแล้ว
การเป็นผู้เชื่อในพระเยซูในศตวรรษแรกอาจเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว การถูกข่มเหงเพราะความเชื่อและถูกตัดขาดจากครอบครัว อาจทำให้คนๆนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว เปโตรหนุนใจคนที่อยู่ในภาวะเหมือนเรืออัปปางเช่นนี้ให้ยังคงมีวินัยและอธิษฐาน (1ปต.4:7) ให้ดูแลกันและกัน (ข้อ 8) และให้ใช้ความสามารถที่มีเพื่อทำงานให้สำเร็จ (ข้อ 10-11) ในเวลาที่เหมาะสมพระเจ้าจะนำพวกเขาผ่านการทดสอบด้วย “เข้มแข็ง มั่นคง และแน่วแน่” (5:10 TNCV)
ในช่วงเวลาของการทดลอง เราจำเป็นต้องมี “ความเชื่อในยามอับปาง” จงอธิษฐานและทำงานด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วพระเจ้าจะทรงนำเราผ่านพ้นไป
ซ่อมรถโกคาร์ท
โรงรถของบ้านผมในวัยเด็กนั้นมีความทรงจำมากมาย ในตอนเช้าวันเสาร์พ่อจะย้ายรถออกเพื่อให้เรามีพื้นที่ทำงาน สิ่งที่ผมชอบทำคือการซ่อมรถโกคาร์ทที่เสียแล้วซึ่งเราเจอมา เราเปลี่ยนล้อและติดกระจกบังลมพลาสติกทรงสปอร์ตที่บนพื้นในโรงรถ เสร็จแล้วผมจะขับโกคาร์ทลงไปที่ถนนอย่างเร็วด้วยความตื่นเต้นโดยมีพ่อคอยดูรถบนถนนให้ เมื่อมองย้อนกลับไปผมเห็นว่าภายในโรงรถนั้นมีสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าการซ่อมรถโกคาร์ท แต่เป็นการที่เด็กชายคนหนึ่งได้รับการขัดเกลาจากพ่อของเขา และได้เห็นภาพของพระเจ้าในขั้นตอนนั้นด้วย
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระลักษณะของพระเจ้า (ปฐก.1:27-28) การเป็นพ่อแม่มีต้นกำเนิดขึ้นในพระเจ้าเช่นกัน เพราะพระองค์ทรงเป็น “พระบิดา(คำว่าบิดาของทุกตระกูล ทุกชาติ ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่าพระบิดา)” (อฟ.3:14-15) พ่อแม่เลียนแบบความสามารถของพระเจ้าในการให้ชีวิตด้วยการให้กำเนิดเด็กๆขึ้นมาในโลก ในทำนองเดียวกัน เวลาที่พ่อแม่เลี้ยงดูปกป้องลูกของตน พวกเขาก็ได้สำแดงคุณลักษณะที่ไม่ได้มาจากตัวของเขาเองแต่มาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของการเป็นพ่อแม่ในทุกๆด้าน
พ่อของผมไม่ได้สมบูรณ์แบบ ท่านก็เหมือนกับพ่อแม่ทั่วไปที่บางครั้งก็ล้มเหลวในการเลี้ยงลูกตามแบบของพระเจ้า แต่ในหลายๆครั้งเมื่อท่านทำตามแบบอย่างของพระเจ้า มันทำให้ผมเห็นภาพของการเลี้ยงดูและการปกป้องของพระองค์ ณ ช่วงเวลานั้นที่เราซ่อมรถโกคาร์ทอยู่บนพื้นโรงรถด้วยกัน
ฤดูกาล
ไม่นานนี้ผมอ่านเจอคำที่นำมาใช้ได้อย่างดี คือ การพักในฤดูหนาว ฤดูหนาวเป็นช่วงที่โลกธรรมชาติส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า นักเขียนแคทเธอรีน เมย์ ใช้คำนี้บรรยายถึงความจำเป็นที่เราต้องพักผ่อนและพักฟื้นในช่วงฤดู “หนาว” ของชีวิต ผมพบว่าคำเปรียบเปรยนี้ช่วยได้มากหลังจากสูญเสียคุณพ่อไปด้วยโรคมะเร็งซึ่งบั่นทอนกำลังผมไปหลายเดือน การอยู่ในภาวะที่ถูกบีบให้ชะลอตัวทำให้ขุ่นเคืองใจ ผมต่อสู้กับฤดูหนาวของตัวเอง อธิษฐานให้ฤดูร้อนของชีวิตหวนกลับมา แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้
ถ้อยคำซึ่งเป็นที่รู้จักในปัญญาจารย์บอกว่ามี “วาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์” มีวาระปลูกและวาระถอน วาระร้องไห้และวาระหัวเราะวาระไว้ทุกข์และวาระเต้นรำ (3:1-4) ผมอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้มาหลายปีแต่เพิ่งเริ่มเข้าใจเมื่อพบกับฤดูหนาวของตัวเอง แม้เราจะควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ทุกฤดูมีจุดสิ้นสุดและจะผ่านพ้นไปเมื่อมันทำหน้าที่เสร็จสิ้น และขณะที่เราไม่อาจเข้าใจมันได้ทุกครั้ง แต่พระเจ้าทรงกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญในเราผ่านฤดูเหล่านั้น (ข้อ 11) วาระไว้ทุกข์ของผมยังไม่จบ แต่เมื่อจบแล้ว วาระเต้นรำก็จะกลับมา เช่นที่พืชและสัตว์ไม่ต่อสู้กับฤดูหนาว ผมจำเป็นต้องพักและปล่อยให้มันฟื้นฟูชีวิตของผม
“องค์พระผู้เป็นเจ้า” เพื่อนคนหนึ่งอธิษฐาน “ขอพระองค์ทรงกระทำกิจอันดีในชีวิตของเชอริแดน(ผู้เขียน)ในฤดูแห่งความทุกข์โศกนี้” นี่เป็นคำอธิษฐานที่ดีกว่าของผม เพราะในพระหัตถ์พระเจ้า ฤดูกาลก็มีวัตถุประสงค์ของมัน ขอให้เรายอมจำนนต่อการฟื้นฟูของพระองค์ในทุกฤดูกาล
ผู้เสาะหาความจริง
หญิงคนหนึ่งเคยบอกผมถึงเรื่องความเห็นต่างที่ทำให้คริสตจักรของเธอแตกแยก “เห็นต่างกันเรื่องอะไรหรือ” ผมถาม “เรื่องว่าโลกแบนหรือเปล่า” เธอตอบ ไม่กี่เดือนต่อมามีข่าวเรื่องชายคริสเตียนบุกเข้าไปในร้านอาหาร พร้อมด้วยอาวุธ เพื่อจะช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุนอยู่ในห้องหลังร้าน แต่ห้องหลังร้านไม่มีอยู่จริงและชายคนนั้นถูกจับ จากทั้งสองกรณี คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำเช่นนั้นลงไปโดยใช้ทฤษฎีสมคบคิดที่พวกเขาอ่านจากอินเทอร์เน็ต
ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้เป็นพลเมืองดี (รม.13:1-7) และพลเมืองดีไม่ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ในสมัยของลูกามีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพระเยซู (ลก.1:1) ข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อน แต่แทนที่ลูกาจะบอกต่อทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน ท่านกลายมาเป็นนักข่าวเชิงสืบสวน ท่านพูดคุยกับพยานผู้เห็นเหตุการณ์ (ข้อ 2)สืบเสาะ “ทุกอย่างตั้งแต่ต้น” (ข้อ 3) และเขียนสิ่งที่ท่านค้นพบลงเป็นหนังสือพระกิตติคุณที่มีทั้งชื่อ การอ้างอิง และความจริงทางประวัติศาสตร์ที่มาจากคนที่มีความรู้จริงๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการยืนยัน
เราเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพราะข้อมูลที่ไม่จริงทำให้คริสตจักรแตกแยกและทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง การตรวจสอบความจริงจึงเป็นการรักเพื่อนบ้าน (10:27) เมื่อมีเรื่องที่ละเอียดอ่อนเข้ามาหาเรา ให้เราตรวจสอบการกล่าวอ้างนั้นด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถและไว้ใจได้ จงเป็นผู้เสาะหาความจริง ไม่ใช่ผู้ส่งต่อข้อมูลผิดๆ การกระทำเช่นนี้ทำให้ข่าวประเสริฐมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งไปกว่านั้น เรานมัสการพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง (ยน.1:14)
เพื่อนให้เช่า
สำหรับคนมากมายทั่วโลกนั้น ชีวิตช่างโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที จำนวนชาวอเมริกันที่ไร้เพื่อนเพิ่มมากขึ้นถึงสี่เท่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 บางประเทศในยุโรปมีประชากรมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่รู้สึกเหงา ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคนสูงอายุบางส่วนหันไปก่ออาชญากรรมเพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ถูกคุมขังคนอื่นๆในคุก
มีผู้ประกอบการคิด “วิธีแก้ปัญหา” โรคเหงาที่แพร่กระจายไปทั่วนี้โดยการให้เช่าเพื่อน คนเหล่านี้คิดค่าจ้างเป็นชั่วโมง โดยพวกเขาจะไปพบคุณตามร้านกาแฟเพื่อพูดคุยหรือไปเป็นเพื่อนคุณในงานเลี้ยง “เพื่อน” ให้เช่าคนหนึ่งถูกถามว่าลูกค้าของเธอเป็นใครบ้าง เธอตอบว่า “คนทำงานอายุ 30-40 ปีที่รู้สึกเหงา คนที่ทำงานหนักและไม่มีเวลาไปทำความรู้จักเพื่อเป็นเพื่อนกับใคร”
ปัญญาจารย์บทที่ 4 พูดถึงคนที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มี “บุตรหรือพี่น้อง” เขาทำงานตรากตรำอย่าง “ไม่หยุดหย่อน” แต่ความสำเร็จของเขาไม่อาจทำให้อิ่มใจ (ข้อ 8) “ข้าตรากตรำทำงาน...เพื่อผู้ใด” เขาถามเมื่อได้สติในสภาพของตนเอง การลงทุนในความสัมพันธ์นั้นดีกว่ามากนัก เพราะจะทำให้การงานของเขาเบาลงและได้รับความช่วยเหลือยามที่มีปัญหา (ข้อ 9-12) เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จโดยปราศจากมิตรภาพนั้นก็ “ไร้ความหมาย” (ข้อ 8)
ปัญญาจารย์บอกเราว่าเชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้ (ข้อ 12) แต่มิตรภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเช่นกัน เพราะเพื่อนแท้ไม่สามารถหาเช่าได้ดังนั้นให้เราลงทุนเวลาเพื่อสร้างมิตรภาพ โดยมีพระเจ้าเป็นเกลียวที่สามที่จะทรงถักทอเราเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น
ได้รับความพึงใจ
ในคอลัมน์คำแนะนำจากจิตแพทย์ เขาตอบผู้อ่านที่ชื่อเบรนด้าซึ่งคร่ำครวญว่าความทะเยอทะยานของเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่พึงใจ เขาตอบแบบขวานผ่าซากว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีความสุข “แต่เพื่ออยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น” เราถูกสาปให้ไล่ติดตาม “ผีเสื้อที่หายากและเย้ายวน” แห่งความพึงพอใจ เขาเสริมว่า “ไม่ใช่ว่าจะจับมันได้เสมอไป”
ผมสงสัยว่าเบรนด้ารู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านคำพูดของจิตแพทย์ที่เชื่อว่าไม่มีคุณความดีใดๆอยู่เลย และเธอจะรู้สึกต่างออกไปอย่างไรเมื่อได้อ่านสดุดี 131 ในคำกล่าวของกษัตริย์ดาวิดได้ให้แนวทางในการใคร่ครวญกับเราว่าจะค้นหาความพึงพอใจได้อย่างไร พระองค์เริ่มด้วยท่าทีซึ่งถ่อมใจ วางความทะเยอทะยานอย่างกษัตริย์ลง และในขณะที่กำลังปล้ำสู้กับคำถามสำคัญของชีวิตนั้น พระองค์ก็วางเรื่องเหล่านั้นลงด้วยเช่นกัน (ข้อ 1) จากนั้นพระองค์สงบใจของตนจำเพาะพระเจ้า (ข้อ 2) มอบอนาคตไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ (ข้อ 3) ผลลัพธ์ที่ได้นั้นช่างงดงาม “อย่างเด็กที่หย่านมแล้วสงบอยู่ที่อกมารดาของตน” พระองค์กล่าวว่า “จิตใจของข้าพระองค์สงบอยู่ภายใน” (ข้อ 2)
ในโลกที่แตกสลายเหมือนโลกของเรานั้น บางครั้งความพึงใจก็ยากที่จะหาพบได้ ในฟีลิปปี 4:11-13 อัครทูตเปาโลกล่าวว่าความพึงใจเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราถูกออกแบบมาเพื่อ “อยู่รอดและขยายพันธุ์” เท่านั้นความพึงใจจะเป็นเหมือนกับผีเสื้อที่ไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน แต่ดาวิดสำแดงให้เราเห็นอีกหนทางหนึ่งในการรับความพึงพอใจ โดยผ่านการพักสงบในการทรงสถิตของพระเจ้า
วันแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน
ผมมักจะขบขันกับวันหยุดอย่างไม่เป็นทางการที่ผู้คนคิดขึ้น เดือนกุมภาพันธ์แค่เดือนเดียวมีวันขนมปังสติ๊กกี้บัน วันนักกลืนดาบ และแม้กระทั่งวันยกย่องขนมสุนัข! วันนี้ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นวันแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งนับเป็นคุณธรรมที่ยอมรับกันทั่วไปและสมควรแก่การเฉลิมฉลองอย่างยิ่งแต่ที่น่าสนใจคือมันไม่เคยเป็นเช่นนี้
ในโลกยุคโบราณซึ่งให้คุณค่ากับเกียรติยศ ความอ่อนน้อมถ่อมตนถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอไม่ใช่คุณธรรม ผู้คนคาดหวังถึงการโอ้อวดความสำเร็จ และคุณจะต้องพยายามยกสถานะของตนและห้ามลดมันลง ความอ่อนน้อมถ่อมตนหมายถึงสถานะอันต่ำต้อยเหมือนทาสที่ต่ำกว่านาย แต่นักประวัติศาสตร์กล่าวว่ามันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อพระเยซูถูกตรึงที่กางเขน ที่นั่นองค์ผู้ทรง “สภาพของพระเจ้า” ทรงสละสถานะพระเจ้าเพื่อรับสภาพ “ทาส” และถ่อมพระองค์ลงสิ้นพระชนม์เพื่อผู้อื่น (ฟป.2:6-8) การกระทำอันน่ายกย่องเช่นนี้นิยามความถ่อมตนขึ้นใหม่ เมื่อถึงปลายศตวรรษแรก แม้แต่นักเขียนเรื่องทางโลกก็ยังนับความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งเพราะสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำ
ทุกครั้งที่มีใครสักคนได้รับการยกย่องเรื่องความถ่อมตนในวันนี้ พระกิตติคุณก็ได้ถูกประกาศออกไปแล้วอย่างแยบยล เพราะหากปราศจากพระเยซูความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะไม่ใช่ “ความดี” หรือคงจะไม่มีใครคิดถึงวันแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน พระคริสต์ทรงสละสถานะของพระองค์เพื่อเรา ทรงเผยให้เห็นพระลักษณะแห่งความถ่อมพระทัยของพระเจ้ามาในตลอดประวัติศาสตร์
การฟื้นฟูมาถึง
อารุคุนเป็นเมืองเล็กๆทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ประชากรเป็นชาวอะบอริจินจากเจ็ดเผ่า แม้ข่าวประเสริฐจะมาถึงอารุคุนตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว แต่บางครั้งการแก้แค้นแบบตาต่อตาก็ยังมีอยู่ ในปี 2015 ความขัดแย้งระหว่างเผ่ารุนแรงขึ้น และเมื่อเกิดการฆาตกรรมก็จะต้องชดใช้ด้วยการตายของใครสักคนจากครอบครัวผู้ก่อเหตุ
แต่สิ่งที่น่าทึ่งเกิดขึ้นตอนต้นปี 2016 ชาวอารุคุนเริ่มแสวงหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ตามด้วยการกลับใจ และการรับบัพติศมาครั้งใหญ่ ในขณะที่การฟื้นฟูเริ่มกระจายไปทั่วเมืองแห่งนี้ ผู้คนต่างชื่นชมยินดี พวกเขาเต้นรำบนถนน ครอบครัวของชายที่ถูกฆ่าให้อภัยเผ่าที่ก่อเหตุแทนการชดใช้ด้วยความตาย ไม่นานก็มี 1,000 คนมาคริสตจักรทุกอาทิตย์ในเมืองที่มีประชากรเพียง 1,300 คน!
เราเห็นการฟื้นฟูเช่นเดียวกันนี้ในพระคัมภีร์ ในสมัยของเฮเซคียาห์เมื่อประชากรกลับมาหาพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี (2 พศด.30) และในวันเพ็นเทคอสต์ที่มีหลายพันคนกลับใจ (กจ.2:38-47) ขณะที่การฟื้นฟูคืองานของพระเจ้า ซึ่งสำเร็จในเวลาของพระองค์ แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่ามันเริ่มจากการอธิษฐาน “ถ้าประชากรของเรา...จะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา” พระเจ้าตรัสแก่ซาโลมอน “เรา...จะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” (2 พศด.7:14)
เช่นที่ชาวอารุคุนพบว่าการฟื้นฟูได้นำความสุขและการคืนดีมาสู่เมืองเมืองของเราก็ต้องการการพลิกฟื้นนี้เช่นกัน! พระบิดา โปรดนำการฟื้นฟูมายังเราด้วยเถิด
ถูกสร้างเพื่อการผจญภัย
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ ขณะเดินไปตามทางดินผ่านหมู่ต้นไม้ใกล้ๆบ้าน ผมเจอสนามเด็กเล่นที่มีคนสร้างขึ้น มีบันไดที่ทำจากกิ่งไม้พาดขึ้นไปยังจุดชมวิว มีชิงช้าทำจากแกนพันสายเคเบิลแขวนกับกิ่งไม้ มีกระทั่งสะพานแขวนโยงระหว่างต้นไม้ ใครบางคนเปลี่ยนไม้และเชือกเก่าๆ ให้กลายเป็นการผจญภัยอย่างสร้างสรรค์!
แพทย์ชาวสวิสพอล ทัวร์นิเยร์เชื่อว่าเราถูกสร้างมาเพื่อการผจญภัย เพราะเราถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐก.1:26-27) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าเสด็จออกไปผจญภัยเพื่อสร้างจักรวาล (ข้อ 1-25) เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเลือกที่จะเสี่ยงในการสร้างมนุษย์ผู้สามารถเลือกระหว่างความดีและความชั่ว (3:5-6) และเช่นเดียวกับที่ทรงเรียกเราให้ “มีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน” (1:28) เราเองก็มีแรงขับที่จะประดิษฐ์คิดค้น ลองสิ่งต่างๆที่มีความเสี่ยง และก่อให้เกิดสิ่งใหม่ในขณะที่เราครอบครองแผ่นดินโลกอย่างเกิดผล การผจญภัยเหล่านี้อาจเป็นสิ่งใหญ่หรือเล็ก แต่จะดีที่สุดคือควรเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ผมแน่ใจว่าคนที่สร้างสนามเด็กเล่นนั้นจะต้องมีความสุขที่มีคนค้นพบและได้เพลิดเพลินกับมัน
ไม่ว่าจะเป็นการรังสรรค์ดนตรีใหม่ การค้นหาวิธีประกาศข่าวประเสริฐรูปแบบใหม่ หรือการทำให้ชีวิตแต่งงานที่ห่างเหินมีชีวิตชีวาอีกครั้ง การผจญภัยทุกรูปแบบทำให้หัวใจเราเต้นแรงอยู่เสมอ มีงานหรือโครงการใหม่อะไรที่กำลังรบกวนใจคุณอยู่ในขณะนี้ บางทีพระเจ้าอาจกำลังนำคุณไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่