ต้อนรับคนต่างด้าว
ในตอนที่พวกผู้หญิงและเด็กๆชาวยูเครนหลายพันคนมาถึงสถานีรถไฟกรุงเบอร์ลินเพื่อหนีภัยสงคราม พวกเขาก็ได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจ นั่นคือครอบครัวชาวเยอรมันถือป้ายที่ทำขึ้นเองเสนอให้ที่หลบภัยในบ้านของพวกเขา ป้ายหนึ่งเขียนว่า “พักได้สองคน!” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “ห้องใหญ่[ว่าง]” เมื่อถามว่าทำไมจึงเสนอการเอื้อเฟื้อเช่นนี้กับคนแปลกหน้า สตรีคนหนึ่งบอกว่าแม่ของเธอเคยต้องการที่หลบภัยขณะหลบหนีพวกนาซี เธอจึงอยากช่วยผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน
ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงเรียกคนอิสราเอลให้ดูแลผู้คนที่อยู่ห่างไกลบ้านเกิดของตน เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ปกป้องลูกกำพร้า แม่ม่ายและคนต่างด้าว (10:18) และเพราะคนอิสราเอลรู้ว่าความรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้เป็นอย่างไร “เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์” (ข้อ 19) ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งเร้าให้พวกเขาห่วงใย
แต่เรื่องนี้ยังมีอีกด้านหนึ่งคือ เมื่อหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทต้อนรับเอลียาห์คนต่างด้าวเข้ามาในบ้านของเธอนั้น เธอคือผู้ที่ได้รับพร (1 พกษ.17:9-24) เช่นเดียวกับอับราฮัมที่ได้รับพรจากแขกต่างแดนสามคน(ปฐก.18:1-15) พระเจ้ามักจะใช้การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่ออวยพรไม่เพียงแค่แขกเท่านั้นแต่เจ้าของบ้านด้วย
การต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านของคุณเป็นเรื่องยาก แต่ครอบครัวชาวเยอรมันเหล่านั้นอาจเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง เช่นกันเมื่อเราตอบสนองคนอ่อนแอด้วยความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า เราอาจประหลาดใจกับของประทานที่พระองค์ประทานแก่เราผ่านคนเหล่านั้น
สติปัญญาแบบใด
ก่อนวันอีสเตอร์ในปี 2018 ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งเข้าไปในตลาดแล้วสังหารคนไปสองคนและจับผู้หญิงคนที่สามเป็นตัวประกัน เมื่อความพยายามขอปล่อยตัวผู้หญิงล้มเหลว ตำรวจนายหนึ่งจึงยื่นข้อเสนอกับผู้ก่อการร้าย ให้ปล่อยตัวผู้หญิงแล้วจับเขาไปแทน
ข้อเสนอนี้น่าตกใจเพราะขัดแย้งกับสติปัญญาโดยทั่วไป คุณสามารถบอกถึง “สติปัญญา” ของวัฒนธรรมหนึ่งได้เสมอจากคำกล่าวที่มักถูกพูดถึง เหมือนคำพูดของคนดังที่ถูกโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย “การผจญภัยยิ่งใหญ่ที่สุดคือการใช้ชีวิตตามฝันของคุณ” อีกประโยคกล่าวว่า “รักตัวเองก่อน แล้วทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง” และประโยคที่สาม “ทำในสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อตัวคุณเอง” หากเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น เขาคงคิดถึงตัวเองก่อนแล้ววิ่งหนีไป
อัครทูตยากอบกล่าวว่ามีปัญญาสองแบบในโลก คือปัญญา “อย่างโลก” และปัญญา “จากเบื้องบน” แบบแรกถูกกำหนดโดยความมักใหญ่ใฝ่สูงและการวุ่นวายอันเห็นแก่ตนเอง (ยก.3:14-16) ส่วนแบบที่สองนั้นมาจากใจอ่อนสุภาพ การยอมจำนนและการสร้างสันติ (ข้อ 13,17-18) ปัญญาอย่างโลกให้ความสำคัญกับตนเองเป็นอันดับแรก ส่วนปัญญาจากเบื้องบนนั้นชื่นชมผู้อื่น ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่ประพฤติดีด้วยใจอ่อนสุภาพ (ข้อ 13)
ผู้ก่อการร้ายยอมรับข้อเสนอของตำรวจ ตัวประกันถูกปล่อยตัว ตำรวจนายนั้นถูกยิงและอีสเตอร์ครั้งนั้นโลกได้เห็นชายบริสุทธิ์คนหนึ่งตายแทนผู้อื่น
ปัญญาจากเบื้องบนนำไปสู่การประพฤติดีด้วยใจอ่อนสุภาพเพราะปัญญานั้นวางพระเจ้าไว้เหนือตนเอง (สภษ.9:10) แล้วสติปัญญาแบบใดที่คุณใช้ในวันนี้
แตกต่างกันได้ในพระเยซู
นักวิเคราะห์ธุรกิจชื่อฟรานซิส อีแวนส์เคยทำการศึกษาพนักงานขายประกัน 125 คนเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ น่าประหลาดใจที่ความสามารถไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่อีแวนส์พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากพนักงานขายที่มีความคิดเห็นทางการเมือง มีการศึกษา และแม้แต่ความสูงที่เหมือนกัน นักวิชาการเรียกสิ่งนี้ว่า โฮโมฟิลี (homophily) คือแนวโน้มของการชอบคนที่มีความคล้ายคลึงกับเรา
แนวโน้มที่ชอบคนที่คล้ายกับเรานี้เกิดขึ้นในด้านอื่นๆของชีวิตด้วย คือการที่เรามักจะแต่งงานและคบเพื่อนที่คล้ายกับเรา โดยธรรมชาตินั้นแนวโน้มเช่นนี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่มีการควบคุม เพราะเมื่อเราเลือกเฉพาะคนที่ “เป็นเหมือนเรา” สังคมอาจเกิดการแตกแยกในความคิดเห็นด้านเชื้อชาติ การเมือง และเศรษฐกิจ
ในช่วงศตวรรษแรก ชาวยิวอยู่เฉพาะกับชาวยิว ชาวกรีกอยู่เฉพาะกับชาวกรีก คนรวยและคนจนจะไม่ปะปนกัน แต่ในพระธรรมโรม 16:1-16 เปาโลพูดถึงคริสตจักรในกรุงโรมโดยรวมเอาปริสคาและอาควิลลา (ชาวยิว) เอเปเนทัส (กรีก) เฟบี (ผู้ “สงเคราะห์คนหลายคน” จึงน่าจะเป็นผู้มีฐานะ) และฟีโลโลกัส (ชื่อที่ใช้ทั่วไปสำหรับทาส) ผู้คนที่แตกต่างกันเหล่านี้มารวมตัวกันเพราะใคร เพราะพระเยซู ซึ่งในพระองค์นั้น “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท” (กท.3:28)
เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องการใช้ชีวิต ทำงาน และไปคริสตจักรกับคนที่เหมือนเรา แต่พระเยซูทรงผลักดันให้เราทำมากกว่านั้น ในโลกที่ผู้คนแตกแยกกันไปตามเส้นแบ่งหลายๆอย่าง พระองค์ทรงทำให้เราเป็นคนที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยก โดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะครอบครัวของพระองค์
คนชั้นล่าง
เพื่อนของฉันทำงานอยู่บนเรือพยาบาลที่มีชื่อว่าแอฟริกาเมอร์ซี่ ซึ่งให้บริการด้านการรักษาพยาบาลฟรีแก่ประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเจ้าหน้าที่จะให้บริการผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาพยาบาลวันละหลายร้อยคน
ทีมงานโทรทัศน์ที่ขึ้นไปบนเรือเป็นระยะๆได้ถ่ายทำเรื่องราวที่น่าทึ่งของบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังทำการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่และโรคเท้าปุก บางครั้งพวกเขาจะลงไปที่ชั้นล่างเพื่อสัมภาษณ์ลูกเรือคนอื่นๆ แต่งานที่มิคทำมักจะไม่มีใครสังเกตเห็น
มิคซึ่งเป็นวิศวกรยอมรับว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานในสถานที่เช่นนั้น คือที่ห้องบำบัดน้ำเสียของเรือ ปริมาณขยะบนเรือในแต่ละวันนั้นมีมากกว่าสามหมื่นกิโลกรัม การจัดการกับขยะพิษนี้เป็นงานที่ยาก ถ้าไม่มีมิคคอยดูแลท่อและปั๊มน้ำ ปฏิบัติการช่วยชีวิตของแอฟริกาเมอร์ซี่จะยุติลง
เป็นเรื่องง่ายที่จะยกย่องคนเหล่านั้นที่อยู่บน “ดาดฟ้าเรือชั้นบนสุด” ของพันธกิจคริสเตียน ในขณะที่มองข้ามผู้ที่อยู่ในครัวด้านล่าง เมื่อชาวโครินธ์ ยกย่องผู้ที่มีของประทานพิเศษเหนือผู้อื่น เปาโลเตือนพวกเขาว่าผู้เชื่อทุกคนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ในงานของพระคริสต์ (1 คร.12:7-20) และของประทานทุกอย่างล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคหรือการช่วยเหลือผู้อื่น (ข้อ 27-31) อันที่จริงยิ่งบทบาทนั้นโดดเด่นน้อยเท่าไหร่ ยิ่งสมควรจะได้รับเกียรติมากขึ้นเท่านั้น (ข้อ 22-24)
คุณเป็นคน “ชั้นล่าง” หรือเปล่า จงเงยหน้าขึ้น งานของคุณจะได้รับเกียรติจากพระเจ้าและสำคัญสำหรับเราทุกคน
ความเชื่อในยามอับปาง
ในเดือนมิถุนายนค.ศ. 1965 วัยรุ่นชาวตองก้าหกคนแล่นเรือออกจากเกาะที่พวกเขาพักอาศัยเพื่อไปผจญภัย แต่เมื่อพายุพัดเสากระโดงเรือและหางเสือจนพังในคืนแรก พวกเขาจึงลอยอยู่ในทะเลหลายวันโดยไม่มีอาหารหรือน้ำดื่ม ก่อนที่เรือจะไปเกยตื้นที่เกาะอาตาซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ และต้องติดอยู่ที่นั่นถึงสิบห้าเดือนกว่าจะมีคนมาเจอพวกเขา
เด็กหนุ่มเหล่านั้นช่วยกันทำงานเพื่อความอยู่รอดบนเกาะอาตา พวกเขาทำแปลงผักขนาดเล็ก ทำโพรงในต้นไม้เพื่อกักเก็บน้ำฝน หรือแม้แต่สร้างโรงยิมชั่วคราว เมื่อเด็กคนหนึ่งขาหักจากการตกหน้าผา คนอื่นๆก็เข้าเฝือกให้โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้ เมื่อมีการโต้เถียงกัน พวกเขาจะบังคับให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกัน และทุกวันพวกเขาจะเริ่มต้นและจบลงด้วยการร้องเพลงและอธิษฐาน เมื่อเด็กๆกลับมาในสภาพที่แข็งแรงหลังจากผ่านบททดสอบที่ทรหด ครอบครัวของพวกเขาต่างพากันประหลาดใจเพราะได้จัดงานศพให้พวกเขาไปแล้ว
การเป็นผู้เชื่อในพระเยซูในศตวรรษแรกอาจเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว การถูกข่มเหงเพราะความเชื่อและถูกตัดขาดจากครอบครัว อาจทำให้คนๆนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว เปโตรหนุนใจคนที่อยู่ในภาวะเหมือนเรืออัปปางเช่นนี้ให้ยังคงมีวินัยและอธิษฐาน (1ปต.4:7) ให้ดูแลกันและกัน (ข้อ 8) และให้ใช้ความสามารถที่มีเพื่อทำงานให้สำเร็จ (ข้อ 10-11) ในเวลาที่เหมาะสมพระเจ้าจะนำพวกเขาผ่านการทดสอบด้วย “เข้มแข็ง มั่นคง และแน่วแน่” (5:10 TNCV)
ในช่วงเวลาของการทดลอง เราจำเป็นต้องมี “ความเชื่อในยามอับปาง” จงอธิษฐานและทำงานด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วพระเจ้าจะทรงนำเราผ่านพ้นไป
ซ่อมรถโกคาร์ท
โรงรถของบ้านผมในวัยเด็กนั้นมีความทรงจำมากมาย ในตอนเช้าวันเสาร์พ่อจะย้ายรถออกเพื่อให้เรามีพื้นที่ทำงาน สิ่งที่ผมชอบทำคือการซ่อมรถโกคาร์ทที่เสียแล้วซึ่งเราเจอมา เราเปลี่ยนล้อและติดกระจกบังลมพลาสติกทรงสปอร์ตที่บนพื้นในโรงรถ เสร็จแล้วผมจะขับโกคาร์ทลงไปที่ถนนอย่างเร็วด้วยความตื่นเต้นโดยมีพ่อคอยดูรถบนถนนให้ เมื่อมองย้อนกลับไปผมเห็นว่าภายในโรงรถนั้นมีสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าการซ่อมรถโกคาร์ท แต่เป็นการที่เด็กชายคนหนึ่งได้รับการขัดเกลาจากพ่อของเขา และได้เห็นภาพของพระเจ้าในขั้นตอนนั้นด้วย
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระลักษณะของพระเจ้า (ปฐก.1:27-28) การเป็นพ่อแม่มีต้นกำเนิดขึ้นในพระเจ้าเช่นกัน เพราะพระองค์ทรงเป็น “พระบิดา(คำว่าบิดาของทุกตระกูล ทุกชาติ ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่าพระบิดา)” (อฟ.3:14-15) พ่อแม่เลียนแบบความสามารถของพระเจ้าในการให้ชีวิตด้วยการให้กำเนิดเด็กๆขึ้นมาในโลก ในทำนองเดียวกัน เวลาที่พ่อแม่เลี้ยงดูปกป้องลูกของตน พวกเขาก็ได้สำแดงคุณลักษณะที่ไม่ได้มาจากตัวของเขาเองแต่มาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของการเป็นพ่อแม่ในทุกๆด้าน
พ่อของผมไม่ได้สมบูรณ์แบบ ท่านก็เหมือนกับพ่อแม่ทั่วไปที่บางครั้งก็ล้มเหลวในการเลี้ยงลูกตามแบบของพระเจ้า แต่ในหลายๆครั้งเมื่อท่านทำตามแบบอย่างของพระเจ้า มันทำให้ผมเห็นภาพของการเลี้ยงดูและการปกป้องของพระองค์ ณ ช่วงเวลานั้นที่เราซ่อมรถโกคาร์ทอยู่บนพื้นโรงรถด้วยกัน
ฤดูกาล
ไม่นานนี้ผมอ่านเจอคำที่นำมาใช้ได้อย่างดี คือ การพักในฤดูหนาว ฤดูหนาวเป็นช่วงที่โลกธรรมชาติส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า นักเขียนแคทเธอรีน เมย์ ใช้คำนี้บรรยายถึงความจำเป็นที่เราต้องพักผ่อนและพักฟื้นในช่วงฤดู “หนาว” ของชีวิต ผมพบว่าคำเปรียบเปรยนี้ช่วยได้มากหลังจากสูญเสียคุณพ่อไปด้วยโรคมะเร็งซึ่งบั่นทอนกำลังผมไปหลายเดือน การอยู่ในภาวะที่ถูกบีบให้ชะลอตัวทำให้ขุ่นเคืองใจ ผมต่อสู้กับฤดูหนาวของตัวเอง อธิษฐานให้ฤดูร้อนของชีวิตหวนกลับมา แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้
ถ้อยคำซึ่งเป็นที่รู้จักในปัญญาจารย์บอกว่ามี “วาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์” มีวาระปลูกและวาระถอน วาระร้องไห้และวาระหัวเราะวาระไว้ทุกข์และวาระเต้นรำ (3:1-4) ผมอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้มาหลายปีแต่เพิ่งเริ่มเข้าใจเมื่อพบกับฤดูหนาวของตัวเอง แม้เราจะควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ทุกฤดูมีจุดสิ้นสุดและจะผ่านพ้นไปเมื่อมันทำหน้าที่เสร็จสิ้น และขณะที่เราไม่อาจเข้าใจมันได้ทุกครั้ง แต่พระเจ้าทรงกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญในเราผ่านฤดูเหล่านั้น (ข้อ 11) วาระไว้ทุกข์ของผมยังไม่จบ แต่เมื่อจบแล้ว วาระเต้นรำก็จะกลับมา เช่นที่พืชและสัตว์ไม่ต่อสู้กับฤดูหนาว ผมจำเป็นต้องพักและปล่อยให้มันฟื้นฟูชีวิตของผม
“องค์พระผู้เป็นเจ้า” เพื่อนคนหนึ่งอธิษฐาน “ขอพระองค์ทรงกระทำกิจอันดีในชีวิตของเชอริแดน(ผู้เขียน)ในฤดูแห่งความทุกข์โศกนี้” นี่เป็นคำอธิษฐานที่ดีกว่าของผม เพราะในพระหัตถ์พระเจ้า ฤดูกาลก็มีวัตถุประสงค์ของมัน ขอให้เรายอมจำนนต่อการฟื้นฟูของพระองค์ในทุกฤดูกาล
ผู้เสาะหาความจริง
หญิงคนหนึ่งเคยบอกผมถึงเรื่องความเห็นต่างที่ทำให้คริสตจักรของเธอแตกแยก “เห็นต่างกันเรื่องอะไรหรือ” ผมถาม “เรื่องว่าโลกแบนหรือเปล่า” เธอตอบ ไม่กี่เดือนต่อมามีข่าวเรื่องชายคริสเตียนบุกเข้าไปในร้านอาหาร พร้อมด้วยอาวุธ เพื่อจะช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุนอยู่ในห้องหลังร้าน แต่ห้องหลังร้านไม่มีอยู่จริงและชายคนนั้นถูกจับ จากทั้งสองกรณี คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำเช่นนั้นลงไปโดยใช้ทฤษฎีสมคบคิดที่พวกเขาอ่านจากอินเทอร์เน็ต
ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้เป็นพลเมืองดี (รม.13:1-7) และพลเมืองดีไม่ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ในสมัยของลูกามีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพระเยซู (ลก.1:1) ข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อน แต่แทนที่ลูกาจะบอกต่อทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน ท่านกลายมาเป็นนักข่าวเชิงสืบสวน ท่านพูดคุยกับพยานผู้เห็นเหตุการณ์ (ข้อ 2)สืบเสาะ “ทุกอย่างตั้งแต่ต้น” (ข้อ 3) และเขียนสิ่งที่ท่านค้นพบลงเป็นหนังสือพระกิตติคุณที่มีทั้งชื่อ การอ้างอิง และความจริงทางประวัติศาสตร์ที่มาจากคนที่มีความรู้จริงๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการยืนยัน
เราเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพราะข้อมูลที่ไม่จริงทำให้คริสตจักรแตกแยกและทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง การตรวจสอบความจริงจึงเป็นการรักเพื่อนบ้าน (10:27) เมื่อมีเรื่องที่ละเอียดอ่อนเข้ามาหาเรา ให้เราตรวจสอบการกล่าวอ้างนั้นด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถและไว้ใจได้ จงเป็นผู้เสาะหาความจริง ไม่ใช่ผู้ส่งต่อข้อมูลผิดๆ การกระทำเช่นนี้ทำให้ข่าวประเสริฐมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งไปกว่านั้น เรานมัสการพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง (ยน.1:14)
เพื่อนให้เช่า
สำหรับคนมากมายทั่วโลกนั้น ชีวิตช่างโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที จำนวนชาวอเมริกันที่ไร้เพื่อนเพิ่มมากขึ้นถึงสี่เท่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 บางประเทศในยุโรปมีประชากรมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่รู้สึกเหงา ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคนสูงอายุบางส่วนหันไปก่ออาชญากรรมเพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ถูกคุมขังคนอื่นๆในคุก
มีผู้ประกอบการคิด “วิธีแก้ปัญหา” โรคเหงาที่แพร่กระจายไปทั่วนี้โดยการให้เช่าเพื่อน คนเหล่านี้คิดค่าจ้างเป็นชั่วโมง โดยพวกเขาจะไปพบคุณตามร้านกาแฟเพื่อพูดคุยหรือไปเป็นเพื่อนคุณในงานเลี้ยง “เพื่อน” ให้เช่าคนหนึ่งถูกถามว่าลูกค้าของเธอเป็นใครบ้าง เธอตอบว่า “คนทำงานอายุ 30-40 ปีที่รู้สึกเหงา คนที่ทำงานหนักและไม่มีเวลาไปทำความรู้จักเพื่อเป็นเพื่อนกับใคร”
ปัญญาจารย์บทที่ 4 พูดถึงคนที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มี “บุตรหรือพี่น้อง” เขาทำงานตรากตรำอย่าง “ไม่หยุดหย่อน” แต่ความสำเร็จของเขาไม่อาจทำให้อิ่มใจ (ข้อ 8) “ข้าตรากตรำทำงาน...เพื่อผู้ใด” เขาถามเมื่อได้สติในสภาพของตนเอง การลงทุนในความสัมพันธ์นั้นดีกว่ามากนัก เพราะจะทำให้การงานของเขาเบาลงและได้รับความช่วยเหลือยามที่มีปัญหา (ข้อ 9-12) เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จโดยปราศจากมิตรภาพนั้นก็ “ไร้ความหมาย” (ข้อ 8)
ปัญญาจารย์บอกเราว่าเชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้ (ข้อ 12) แต่มิตรภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเช่นกัน เพราะเพื่อนแท้ไม่สามารถหาเช่าได้ดังนั้นให้เราลงทุนเวลาเพื่อสร้างมิตรภาพ โดยมีพระเจ้าเป็นเกลียวที่สามที่จะทรงถักทอเราเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น