ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

ทรงสร้างเราใหม่

ในฐานะนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ฌอน ไซเพลอไม่สบายใจกับคำถามประหลาดที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสบู่ที่ถูกทิ้งไว้ตามโรงแรม ในความคิดของเขา สบู่นับล้านก้อนที่ถูกทิ้งเป็นขยะน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น เขาจึงเปิดตัวธุรกิจชื่อ ทำความสะอาดโลก ซึ่งเป็นธุรกิจรีไซเคิลที่ได้ช่วยโรงแรม เรือสำราญ และรีสอร์ทมากกว่าแปดพันแห่ง ในการเปลี่ยนสบู่ที่ถูกทิ้งหลายล้านปอนด์ให้เป็นสบู่ปลอดเชื้อและนำมาหล่อขึ้นใหม่ สบู่เหล่านี้ถูกส่งไปยังประชาชนผู้ยากไร้ในร้อยกว่าประเทศ และได้ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากปัญหาด้านสุขอนามัยได้เป็นจำนวนมาก

ไซเพลอกล่าวว่า “ผมรู้ว่ามันฟังดูตลก แต่สบู่ก้อนเล็กๆบนชั้นในห้องพักโรงแรมของคุณช่วยรักษาชีวิตได้จริงๆ” พระลักษณะแห่งความรักอย่างหนึ่งของพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราคือ การรวบรวมสิ่งที่ใช้แล้วหรือสกปรกมามอบชีวิตใหม่ให้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว พระองค์ยังได้ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” (ยน.6:12)

ในชีวิตของเราเมื่อเรารู้สึก “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” พระเจ้าไม่ได้ทรงมองว่าเราเป็นชีวิตที่ไร้ประโยชน์แต่เป็นสิ่งอัศจรรย์ของพระองค์ ไม่มีวันถูกทิ้งขว้างในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะเรามีศักยภาพจากพระเจ้าสำหรับพันธกิจในอาณาจักรใหม่ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2คร.5:17) สิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตภายในเรา

สิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่

ฉันจะได้ไปแข่งในโอลิมปิกไหม นักว่ายน้ำของวิทยาลัยกังวลว่าความเร็วของเธอจะช้าเกินไป แต่เมื่อศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ เคน โอโนะศึกษาเทคนิคการว่ายน้ำของเธอ เขาเห็นวิธีที่เธอจะทำเวลาดีขึ้นได้ถึงหกวินาทีเต็มซึ่งสร้างความแตกต่างมากในการแข่งขันระดับนั้น เขาติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หลังของนักว่ายน้ำแต่ไม่ได้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ช่วยให้เธอทำเวลาได้ดีขึ้นในทางกลับกันโอโนะระบุมาตรการแก้ไขเล็กๆน้อยๆที่หากนำไปใช้ อาจทำให้นักว่ายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้นในน้ำ ทำให้เกิดความแตกต่างที่จะชนะได้

การแก้ไขเล็กๆน้อยๆฝ่ายวิญญาณสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน ผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์สอนหลักการคล้ายกันนี้ให้กับชาวยิวผู้อ่อนล้าที่หลงเหลืออยู่ และกำลังสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นใหม่พร้อมกับเศรุบบาเบล ภายหลังจากที่พวกเขาถูกเนรเทศ แต่พระเจ้าจอมโยธาตรัสกับเศรุบบาเบลว่า “มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยพระวิญญาณของเรา” (ศคย.4:6)

ดังที่เศคาริยาห์ประกาศว่า “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้” (ข้อ 10 TNCV) ผู้ที่ถูกเนรเทศกังวลว่าพระนิเวศน์นี้จะไม่เท่าเทียมกับหลังที่สร้างในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน แต่เหมือนที่นักว่ายน้ำของโอโนะทำได้ในการแข่งโอลิมปิก โดยพิชิตเหรียญมาได้เมื่อยอมต่อการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ ผู้ที่ร่วมสร้างพระนิเวศน์กับเศรุบบาเบลได้เรียนรู้ว่า ความพยายามที่ถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็นำมาซึ่งความปีติยินดีแห่งชัยชนะได้ หากการกระทำเล็กๆน้อยๆของเราถวายเกียรติแด่พระองค์ ในพระเจ้าสิ่งเล็กน้อยได้กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่

รู้จักโดยพระเจ้า

หลังจากพี่น้องสองคนต้องแยกจากกันด้วยการถูกรับไปอุปการะ การตรวจดีเอ็นเอช่วยให้พวกเขากลับมาเจอกันในเกือบยี่สิบปีให้หลัง เมื่อคีรอนส่งข้อความหาวินเซนต์ที่เขาเชื่อว่าเป็นน้องชายนั้น วินเซนต์นึกในใจว่า คนแปลกหน้าคนนี้คือใคร เมื่อคีรอนถามเขาถึงชื่อในตอนแรกเกิด เขาตอบทันทีว่า “ไทเลอร์” พวกเขาจึงรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน เขาเป็นที่จดจำจากชื่อของเขา!

เมื่อพิจารณาดูความสำคัญของชื่อจากเรื่องราวในวันอีสเตอร์นั้น มารีย์ชาวมักดาลามายังหลุมศพของพระคริสต์ และเธอร้องไห้เมื่อเห็นว่าพระศพของพระองค์หายไป พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” (ยน.20:15) แต่เธอจำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ “มารีย์” (ข้อ 16)

เมื่อได้ยินพระองค์เรียกชื่อ เธอ “หันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า ‘รับโบนี’ (ซึ่งแปลว่าอาจารย์)” (ข้อ 16) การตอบสนองของเธอแสดงถึงความชื่นชมยินดีที่ผู้เชื่อในพระเยซูรู้สึกในตอนเช้าวันอีสเตอร์ เมื่อระลึกได้ว่าพระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ของเราได้ชนะความตายเพื่อคนทั้งปวง และทรงรู้จักเราแต่ละคนว่าเป็นลูกของพระเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสกับมารีย์ “เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” (ข้อ 17)

ในจอร์เจีย พี่น้องที่ได้กลับมาเจอกันและผูกพันกันด้วยชื่อนี้สัญญาว่าจะ “พัฒนาความสัมพันธ์นี้ไปอีกขั้น” ในวันอีสเตอร์ เราสรรเสริญพระเยซูที่ได้เริ่มก้าวที่สำคัญที่สุด ในการฟื้นพระชนม์ขึ้นในความรักที่เสียสละ เพื่อคนที่พระองค์ทรงรู้ว่าเป็นของพระองค์ เพื่อคุณและฉัน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่!

แข็งแรงและดี

ผู้รับใช้หนุ่มในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งรู้สึกทุกข์ใจ แต่เขาดูสับสนเมื่อผมกล้าถามว่าเขาอธิษฐาน...ขอการทรงนำจากพระเจ้า...ขอความช่วยเหลือจากพระองค์หรือไม่ อธิษฐานอย่างสม่ำเสมออย่างที่เปาโลแนะนำ ชายหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสารภาพว่า “ผมไม่แน่ใจว่าผมยังเชื่อในคำอธิษฐาน หรือเชื่อว่าพระเจ้าทรงฟังอยู่หรือเปล่า ดูโลกนี้สิ” ผู้รับใช้หนุ่มคนนั้นกำลัง “สร้าง” พันธกิจด้วยกำลังของเขาเอง และน่าเศร้าที่เขากำลังล้มเหลว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเขากำลังปฏิเสธพระเจ้า

พระเยซูผู้ทรงเป็นศิลามุมเอกของคริสตจักรก็ทรงถูกปฏิเสธมาตลอด แม้แต่จากชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์เอง (ยน.1:11) ทุกวันนี้คนมากมายยังคงปฏิเสธพระองค์ พวกเขาดิ้นรนที่จะสร้างชีวิต การงาน หรือแม้แต่คริสตจักรบนรากฐานที่ไม่มั่นคง คือบนแผนการหรือความฝันของพวกเขาหรือสิ่งอื่น แต่องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ประเสริฐของเราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นกำลังและความรอดของเรา (สดด.118:14) แท้จริงแล้ว “ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว” (ข้อ 22)

พระองค์ทรงกำหนดพระองค์เองไว้ที่หัวมุมซึ่งมีความสำคัญในชีวิตของเรา ทรงจัดเตรียมแนวทางเดียวที่ถูกต้องสำหรับทุกสิ่งที่ผู้ติดตามพระองค์ปรารถนาจะทำให้ลุล่วงเพื่อพระองค์ ดังนั้นเราจึงอธิษฐานต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดเถิด ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด” (ข้อ 25) ผลที่เกิดตามมาคืออะไร “ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระเจ้าจงได้รับพระพร” (ข้อ 26) ให้เราขอบพระคุณพระองค์เพราะว่าพระองค์เข้มแข็งและทรงประเสริฐ

เกมแห่งการเปลี่ยนแปลง

การจับมือกันได้ป่าวประกาศถึงความหมายในตัวเอง คืนหนึ่งของเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1963 นักบาสเก็ตบอลระดับวิทยาลัยสองคน คนหนึ่งผิวดำ คนหนึ่งผิวขาว ได้ท้าทายความเกลียดชังของกลุ่มคนที่เหยียดสีผิวด้วยการจับมือกัน นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐมิสซิสซิปปี้ที่ทีมคนผิวขาวแข่งกับทีมที่มีคนผิวดำร่วมด้วย เป็นการแข่งขันใน “เกมแห่งการเปลี่ยนแปลง” กับทีมจากมหาวิทยาลัยโลโยล่าชิคาโกในการแข่งขันระดับประเทศ ทีมของรัฐมิสซิสซิบปี้หลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของศาลที่ต้องการจะหยุดพวกเขา โดยการใช้ผู้เล่นที่เป็นตัวหลอกเพื่อจะสามารถเดินทางออกนอกรัฐได้ ในขณะเดียวกันผู้เล่นผิวดำของทีมโลโยล่าต้องทนกับการเหยียดสีผิวในตลอดฤดูการแข่งขัน ทั้งถูกขว้างปาด้วยข้าวโพดคั่วและน้ำแข็ง และการปิดกั้นตลอดการเดินทาง

แต่คนหนุ่มเหล่านั้นยังคงลงแข่ง ทีมโลโยล่าแรมเลอร์เอาชนะทีมมิสซิสซิบปี้สเตทบูลด๊อก 61 ต่อ 51 และทีมโลโยล่ายังได้เป็นแชมป์ของสมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ แต่ชัยชนะที่แท้ในคืนนั้นคืออะไร คือการเปลี่ยนจากความเกลียดชังมาสู่ความรัก เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงสอน “จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน” (ลก.6:27)

คำสอนของพระเจ้าเป็นแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงชีวิต ในการรักศัตรูเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงสอนนั้น เราต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2คร.5:17) แต่วิถีใหม่ของพระองค์ในตัวเราจะเอาชนะตัวเก่าได้อย่างไร ก็ด้วยความรัก และเมื่อนั้นเราจะสามารถเห็นพระองค์ในตัวเราแต่ละคนได้ในที่สุด

สะท้อนความสว่างของพระองค์

เพื่อจะถ่ายทอดความงดงามของแสงสะท้อนในภาพวาดทิวทัศน์สีน้ำมัน จิตรกรอาร์มันด์ คาเบรร่านำหลักการสำคัญของศิลปะมาใช้คือ “แสงสะท้อนจะต้องไม่สว่างกว่าแหล่งกำเนิดแสง” เขาสังเกตว่าจิตรกรมือใหม่มักจะวาดแสงสะท้อนเกินจริง เขาบอกว่า “แสงสะท้อนอยู่ในส่วนของเงา ดังนั้นมันจะต้องส่งเสริมไม่ใช่เด่นกว่าพื้นที่ที่มีแสงสว่างในภาพวาดของคุณ”

เราได้ยินถึงสติปัญญาที่คล้ายกันนี้ในพระคัมภีร์ ที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็น “ความสว่างของมนุษย์” (ยน.1:4) ยอห์นผู้ให้บัพติศมา “มาเพื่อเป็นสักขีพยาน เพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน” (ข้อ 7) ผู้เขียนพระกิตติคุณบอกเราว่า “ท่าน [ยอห์น] ไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น” (ข้อ 8)

เช่นเดียวกับยอห์น พระเจ้าทรงเลือกเราให้สะท้อนถึงความสว่างของพระคริสต์แก่ผู้ที่ดำเนินชีวิตในเงามืดของโลกที่ไม่เชื่อนี้ นี่คือบทบาทของเรา ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “อาจเป็นเพราะผู้ที่ไม่เชื่อไม่สามารถทนต่อรัศมีอันเจิดจ้าในความสว่างของพระองค์ได้โดยตรง”

คาเบรร่าสอนนักเรียนศิลปะของเขาว่า “สิ่งใดก็ตามที่โดนแสงตกกระทบโดยตรงในภาพจะกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงด้วยตัวของมันเอง” เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงเป็น “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริง” (ข้อ 9) เราก็สามารถส่องสว่างในฐานะพยาน เมื่อเราสะท้อนพระองค์ ขอให้โลกนี้อัศจรรย์ใจที่ได้เห็นพระสิริของพระองค์ส่องผ่านทางเรา

ไม่เคยล่าช้า

ในฐานะผู้มาเยือนเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก ศิษยาภิบาลชาวอเมริกันของฉันพยายามมาถึงตรงเวลานมัสการในวันอาทิตย์ 10.00 น. แต่ เขาพบว่าภายในห้องนมัสการที่เรียบง่ายนั้นว่างเปล่า เขาจึงรอ หนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง ในที่สุดราว 12:30 น. ศิษยาภิบาลท้องถิ่นก็มาถึงจากการเดินทางไกล ตามด้วยสมาชิกบางคนของคณะนักร้องและการรวมตัวกันของผู้คนในเมืองที่เป็นมิตร และ “เมื่อครบกำหนดแล้ว” การนมัสการจึงเริ่มขึ้น ตามที่ศบ. ฉันกล่าวในภายหลังว่า “พระวิญญาณทรงต้อนรับเราและพระเจ้าไม่เคยล่าช้า” เขาเข้าใจดีว่าวัฒนธรรมที่นี่ต่างออกไปด้วยเหตุผลอันเหมาะสมของตนเอง

เวลานั้นไม่ตายตัว แต่พระลักษณะที่สมบูรณ์แบบและตรงต่อเวลาของพระเจ้านั้นได้รับการยืนยันมาตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ดังนั้นหลังจากลาซารัสป่วยและเสียชีวิต สี่วันต่อมาพระเยซูเสด็จมาถึงพร้อมกับคำถามจากพี่สาวของลาซารัส มารธาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” (ยน.11:21) เราอาจคิดเหมือนกัน โดยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่รีบแก้ไขปัญหาของเรา แต่เป็นการดีกว่าที่จะรอคอยคำตอบและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ด้วยความเชื่อ

ตามที่โฮเวิร์ด เธอร์แมนนักศาสนศาสตร์กล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์จะรอ จนกว่าในที่สุดกำลังของพระองค์จะกลายเป็นกำลังของข้าพระองค์ บางสิ่งในหัวใจของพระองค์กลายเป็นหัวใจของข้าพระองค์ การอภัยของพระองค์กลายเป็นการอภัยของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอ โอข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รอ” และเช่นเดียวกับลาซารัส เมื่อพระเจ้าทรงตอบ เราก็ได้รับพระพรอย่างอัศจรรย์ในที่สุดจากอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความล่าช้า

อย่างที่ฉันเป็น

หญิงสาวนอนไม่หลับ เธอต้องทนทุกข์กับความพิการทางร่างกายมาหลายปี และในวันพรุ่งนี้เธอจะเป็นจุดสนใจที่งานออกร้านของคริสตจักรเพื่อรับเงินบริจาคเป็นค่าเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาของเธอ แต่ชาร์ลอต อิเลียตให้เหตุผลว่า ฉันไม่มีค่าคู่ควร เธอนอนพลิกไปมาด้วยความสงสัยในคุณสมบัติของตัวเอง และตั้งคำถามกับทุกแง่มุมในชีวิตฝ่ายวิญญาณของตน วันรุ่งขึ้นเธอยังคงกระสับกระส่าย และในที่สุดเธอพาตัวเองไปที่โต๊ะและหยิบปากกากับกระดาษขึ้นมาเพื่อเขียนเนื้อร้องของบทเพลง “ใจชั่วเท่าใดข้าก็เชื่อว่า” ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่เป็นอมตะ

“ใจชั่วเท่าใด ข้าก็เชื่อว่า โลหิตพระองค์ ได้ไหลไถ่ข้า พระองค์ตรัสว่า เชิญมาอย่าช้า พระเยซูเจ้า ข้าเชื่อเดี๋ยวนี้”

ถ้อยคำที่เธอเขียนในปี 1835 แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเรียกสาวกให้มาและรับใช้พระองค์อย่างไร ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความพร้อม แต่เพราะพระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้กับพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น สมาชิก 12 คนในกลุ่มที่ไร้ระเบียบของพระองค์ประกอบด้วย คนเก็บภาษี คนเลือดร้อน สองพี่น้องที่แสนทะเยอทะยาน (ดูมก.10:35-37) และยูดาส อิสคาริโอท “ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้น” (มธ.10:4) กระนั้นพระองค์ยังประทานสิทธิอำนาจให้กับพวกเขาในการ “รักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก” (ข้อ 8) โดยไม่ต้องมีเงินทอง ย่าม เสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้แต่ไม้เท้า (ข้อ 9-10) ติดตัวไปด้วย

พระองค์ตรัสว่า “เราใช้พวกท่านไป” (ข้อ 16) และพระองค์ผู้เดียวก็เพียงพอ สำหรับพวกเราที่ตอบรับพระองค์ พระองค์จะยังทรงเป็นเหมือนเดิม

ความหวังอันเปี่ยมล้น

ในวันที่วุ่นวายก่อนถึงคริสต์มาส หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ในที่ทำการไปรษณีย์ใกล้บ้านซึ่งมีผู้มาใช้บริการหนาแน่น เจ้าหน้าที่ผู้อดทนมองเธอเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และทักทายว่า “สวัสดีครับ สาวน้อย!” คำทักทายนี้ดูเป็นมิตรดี แต่พวกเขาบางคนอาจคิดว่าถ้า “อายุน้อยกว่านี้” ก็คงจะดีกว่า

พระคัมภีร์หนุนใจให้เรามองว่าอายุที่มากขึ้นทำให้เรากระตือรือร้นในความหวัง เมื่อโยเซฟและมารีย์นำพระกุมารเยซูเข้ามาในพระวิหารเพื่อถวายแด่พระเจ้า (ลก.2:23, ดู อพย.13:2,12) ผู้เชื่อสูงวัยทั้งสองกลายเป็นบุคคลสำคัญทันที

คนแรกคือสิเมโอน ผู้รอคอยที่จะได้เห็นพระเมสสิยาห์มาหลายปี ท่าน “อุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย’” (ลก.2:28-31)

ถัดมาคือนางอันนา ผู้เผยพระวจนะหญิงที่ “ชรามากแล้ว” (ข้อ 36) ก็เข้ามาขณะที่สิเมโอนกำลังคุยกับมารีย์และโยเซฟ นางเป็นม่ายหลังจากแต่งงานได้เพียง 7 ปี นางอยู่ในพระวิหารมาจนอายุ 84 ปี และไม่เคยจากบริเวณพระวิหารเลย โดย “นมัสการถืออดอาหารและอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน” เมื่อนางเห็นพระเยซูก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้า และบรรยายถึง “พระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง” (ข้อ 37-38)

ผู้รับใช้ที่เปี่ยมด้วยความหวังทั้งสองเตือนเราว่า อย่าหยุดที่จะรอคอยพระเจ้าด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใดก็ตาม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา