ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Monica La Rose

รักที่ปราศจากความกลัว

ภาพบางภาพนั้นทรงพลังมากจนเราไม่สามารถลืมได้ นั่นเป็นประสบการณ์ของฉันเมื่อได้ชมภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ผู้ล่วงลับ ในแวบแรกภาพดูธรรมดา เจ้าหญิงจับมือกับชายที่ไม่ทราบชื่อ พร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่น แต่เรื่องราวของภาพนั้นทำให้มันโดดเด่น

ในวันที่ 19 เมษายน 1987 เจ้าหญิงไดอาน่าเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลลอนดอนมิดเดิ้ลเซ็กส์ เป็นช่วงที่อังกฤษถูกปกคลุมด้วยความกลัวจากการระบาดของโรคเอดส์ การไม่รู้ว่าโรคซึ่งคร่าชีวิตคนในเวลาอันรวดเร็วนี้แพร่ระบาดอย่างไร ทำให้ผู้คนในขณะนั้นปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์เหมือนเป็นพวกน่ารังเกียจในสังคม

จึงเป็นเรื่องน่าตกตะลึงเมื่อวันนั้นไดอาน่าจับมือกับผู้ป่วยโรคเอดส์โดยไม่สวมถุงมือพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ภาพแห่งความอาทรและเมตตานี้ ได้เปลี่ยนให้โลกปฏิบัติต่อเหยื่อของโรคนี้ด้วยความเมตตาและเห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกัน

ภาพนี้เตือนถึงบางสิ่งที่ฉันมักจะหลงลืม นั่นคือการเต็มใจแบ่งปันความรักของพระเยซูกับผู้อื่นด้วยใจกว้างขวางนั้นเป็นสิ่งคุ้มค่า ยอห์นเตือนผู้เชื่อในยุคแรกว่า การปล่อยให้ความรักเหี่ยวเฉาหรือเก็บซ่อนไว้ ภายใต้ความกลัวนั้นคือการมีชีวิตอยู่ “ในความตาย” (1 ยน.3:14) และการรักด้วยความเต็มใจและปราศ-จากความกลัว โดยรับการเติมเต็มและเสริมกำลังจากพระวิญญาณผู้ประทานความรัก นั่นก็คือการได้มีชีวิตที่เป็นขึ้นใหม่อย่างครบบริบูรณ์ (ข้อ 14, 16)

หนทางแห่งการฟื้นฟูของพระเจ้า

“จากนี้ไป” คือหนึ่งในเพลงประทับใจที่สุดจากละครเพลง โชว์แมนบันลือโลก ตัวเอกร้องเพลงนี้เมื่อตระหนักอย่างเจ็บปวดว่าได้ทำร้ายครอบครัวและเพื่อนๆ เพลงนี้เป็นการเฉลิมฉลองความยินดีที่ได้กลับบ้านและพบว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นมากเกินพอแล้ว

พระธรรมโฮเชยาสรุปคล้ายๆกัน ถึงความยินดีและสำนึกในพระคุณต่อการที่พระเจ้าทรงให้ผู้ที่กลับมาหาพระองค์กลับสู่สภาพดี แต่ส่วนใหญ่ของพระธรรมจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและประชากรของพระองค์กับความสัมพันธ์ของคู่สมรสที่ไม่สัตย์ซื่อ และคร่ำครวญถึงความล้มเหลวของอิสราเอลในการรักและดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์

แต่ในบทที่ 14 โฮเชยากล่าวถึงพระสัญญาแห่งความรัก พระคุณ และการฟื้นฟูที่ไม่สิ้นสุดของพระเจ้า ต่อผู้ที่กลับมาหาพระองค์ด้วยใจแตกสลายเพราะพวกเขาละทิ้งพระองค์ (ข้อ 1-3) พระเจ้าทรงสัญญาว่า “เราจะช่วยรักษาเขาให้หายจากการกลับสัตย์ของเขา เราจะรักเขาทั้งหลายด้วยเต็มใจ” (ข้อ 4) สิ่งที่เสียหายเกินเยียวยา จะกลับสู่สภาพดีและสมบูรณ์อีกครั้ง พระคุณพระเจ้าซึ่งเป็นเหมือนน้ำค้างจะทำให้ประชากรของพระองค์ “เบิกบานอย่างดอกพลับพลึง” และ “เจริญขึ้นเหมือนอุทยาน” (ข้อ 5-7)

เมื่อเราทำร้ายผู้อื่นหรือรับเอาสิ่งดีในชีวิตจากพระเจ้าโดยไม่สำนึก เรามักคิดว่าได้ทำลายสิ่งดีที่พระเจ้าประทานให้ไปตลอดกาล แต่ถ้าเราถ่อมใจกลับมาหาพระองค์ เราจะพบว่าความรักของพระองค์ยังคงเอื้อมมาโอบกอดและฟื้นฟูเราอยู่เสมอ

การปกป้องของพระเจ้า

เข็ม นม เห็ด ลิฟท์ ภาพการเกิด ผึ้ง และผึ้งในเครื่องปั่น นี่เป็นเพียงบางส่วนของโรคหวาดวิตกของเอเดรียน มั้งค์ ผู้เป็นนักสืบและตัวละครหลักของรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า มั้งค์ แต่เมื่อเขาและคู่ปรับตลอดกาลของเขาฮาร์โรลด์ เครนชอว์ ถูกขังอยู่ในกระโปรงหลังรถด้วยกัน มั้งค์สามารถเอาชนะความกลัวของเขาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง นั่นคือความกลัวที่แคบ

ขณะที่มั้งค์และฮาร์โรลด์กำลังหวาดกลัว ในทันใดมีการสำแดงบางอย่างขัดจังหวะความกลัวของมั้งค์ “ผมคิดว่าเรากำลังมองสิ่งนี้ผิดไป” มั้งค์บอกฮาร์โรลด์ “กระโปรงรถ ผนังรอบตัวเรา...มันไม่ได้กำลังปิดทับเรา...แต่จริงๆแล้วมันกำลังปกป้องเราอยู่ พวกมันกำลังกันเราจากสิ่งเลวร้าย...เชื้อโรค งู และหีบเพลงปาก” ฮาร์โรลด์ตาเบิกกว้างด้วยความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด และกระซิบกลับด้วยความอัศจรรย์ใจว่า “กระโปรงรถเป็นเพื่อนของเรา”

ในสดุดีบทที่ 63 ดูเหมือนว่าดาวิดได้รับการสำแดงที่คล้ายคลึงกัน แม้จะอยู่ใน “ดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ” เมื่อดาวิดระลึกถึงฤทธานุภาพ พระสิริ และความรักของพระเจ้า (ข้อ 1-3) ทะเลทรายก็ได้กลายเป็นสถานที่แห่งการดูแลและปกป้องของพระเจ้า ดังเช่นลูกนกที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ปีกของแม่ ดาวิดพบว่าเมื่อท่านยึดมั่นในพระเจ้า แม้ในที่กันดารท่านสามารถเฉลิมฉลองอย่าง “อิ่มหนำดังกินเนื้ออย่างดีและไขมัน” (ข้อ 5) และพบการเลี้ยงดูและเสริมกำลังในความรักที่ “ดีกว่าชีวิต” (ข้อ 3)

คำพูดที่เหมาะสม

ในปีที่ผ่านมา นักเขียนจำนวนหนึ่งได้ขอให้ผู้เชื่อช่วยกันพิจารณา “คำศัพท์” เกี่ยวกับความเชื่อของเราใหม่ ตัวอย่างเช่น นักเขียนคนหนึ่งเน้นว่าแม้แต่คำแห่งความเชื่อที่มีความหมายลึกซึ้งในทางศาสนศาสตร์ก็อาจไม่สร้างผลกระทบอีกต่อไป เมื่อเราใช้คำนั้นบ่อยจนเคยชินและหลงลืมแก่นแท้ของพระกิตติคุณและการที่เราต้องการพระเจ้าไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาแนะนำว่า เราอาจจะต้อง “เริ่มต้น” เรียนภาษาแห่งความเชื่อกันใหม่ และวางสมมติฐานต่างๆลงจนกว่าเราจะเข้าใจถึงข่าวประเสริฐจริงๆเป็นครั้งแรก

คำเชิญชวนให้เรียนรู้ที่จะ “พูดเรื่องพระเจ้าจากจุดเริ่มต้น” ทำให้ฉันนึกถึงเปาโล ผู้อุทิศชีวิตโดยการ “ยอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง... เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ” (1 คร.9:22-23) ท่านไม่เคยคิดว่าตนเองรู้ดีที่สุดว่าจะสื่อสารสิ่งที่พระเยซูทำอย่างไร แต่พึ่งพาการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและวิงวอนให้เพื่อนร่วมความเชื่ออธิษฐานเผื่อ เพื่อให้ท่านมี “คำพูด” (อฟ.6:19) สำหรับแบ่งปันข่าวประเสริฐ

เปาโลยังรู้ถึงความจำเป็นที่ผู้เชื่อในพระคริสต์แต่ละคนจะต้องถ่อมตัวลงและเปิดใจรับว่าพวกเขาจำเป็นต้องหยั่งรากลึกในความรักของพระองค์ในแต่ละวัน (3:16-17) เมื่อเราหยั่งรากลึกลงไปในความรักของพระเจ้าแล้ว เราจึงจะยิ่งตระหนักถึงการพึ่งพาพระคุณของพระองค์มากขึ้นในแต่ละวัน จนเราสามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐอันน่ามหัศจรรย์ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราได้

เลวร้ายที่สุด

“หน้าตาเธอใช้ได้ แต่ไม่สวยพอจะมัดใจฉัน” ประโยคนี้เป็นคำพูดของนายดาร์ซี่ในนวนิยายเรื่องสาวทรงเสน่ห์ของเจน ออสติน ซึ่งทำให้ฉันไม่เคยลืมนิยายเรื่องนี้และผลกระทบที่เกิดกับฉันเลย เพราะหลังจากอ่านประโยคนั้นแล้ว ฉันตัดสินใจว่าจะไม่มีวันชอบนายดาร์ซี่

แต่ฉันคิดผิด ฉันก็เหมือนกับตัวละครของออสตินที่ชื่อ อลิซาเบธ เบนเนท ที่ค่อยๆเปลี่ยนความคิดอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันเหมือนกับเธอที่ไม่ยอมทำความรู้จักกับอุปนิสัยโดยรวมของดาร์ซี่ ฉันฝังใจกับความรู้สึกที่มีต่อการกระทำแย่ๆ ของเขาเพียงครั้งเดียว หลังจากอ่านเรื่องนี้จบ ฉันสงสัยว่าตัวเองเคยเข้าใจใครผิดแบบนั้นบ้างในชีวิตจริง มิตรภาพใดบ้างที่ฉันเสียไปเพียงเพราะไม่ยอมทิ้งอคติเพียงชั่ววูบ

หัวใจของความเชื่อในพระเยซูคือการได้มีประสบการณ์ว่าองค์พระผู้ช่วยให้รอดทรงมองเห็น รัก และโอบกอดเราแม้เมื่อเราทำสิ่งเลวร้ายที่สุด (รม.5:8; 1 ยน.4:19) เป็นความอัศจรรย์ที่ได้รู้ว่าเราสามารถยอมจำนนตัวเก่าของเราที่ผิดบาปเพื่อเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ (อฟ.4:23-24) เป็นความชื่นชมยินดีที่ได้เข้าใจว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแต่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวซึ่งก็คือ “ร่างกาย” ของผู้ที่เรียนรู้การดำเนินชีวิตใน “เส้นทางแห่งความรัก” ที่แท้จริงและไร้เงื่อนไข (5:2)

เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงทำเพื่อเรา (ข้อ 2) เป็นไปได้หรือที่เราจะไม่อยากมองผู้อื่นแบบเดียวกับที่พระองค์ทรงมองเรา

เล็กแต่ทรงพลัง

ในยามค่ำคืนที่ทะเลทรายโซนอรันอันโหดร้ายของอเมริกาเหนือ มีบางครั้งที่จะได้ยินเสียงหอนอันแหลมสูงและแผ่วเบา แต่คุณอาจจะไม่สงสัยถึงที่มาของเสียงนั้น เจ้าหนูตั๊กแตนตัวเล็กๆแต่ทรงพลังนี้หอนอยู่ภายใต้ดวงจันทร์เพื่อบ่งบอกอาณาเขตของมัน

สัตว์ฟันแทะที่มีเอกลักษณ์ตัวนี้ (ถูกขนานนามว่าเป็น “หนูมนุษย์หมาป่า”) เป็นสัตว์กินเนื้อ ที่จริงเหยื่อของมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยมีสัตว์ตัวไหนกล้ายุ่งด้วยเช่น แมงป่อง แต่หนูมนุษย์หมาป่านี้มีทักษะพิเศษเพื่อการต่อสู้ มันไม่เพียงทนทานต่อพิษแมงป่อง แต่ยังเปลี่ยนพิษให้เป็นยาแก้ปวดได้อีกด้วย!

การที่หนูตัวเล็กๆผู้ทรหดถูกสร้างอย่างเฉพาะเจาะจงให้สามารถรอดชีวิตและเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนี้ให้แรงบันดาลใจบางอย่าง เช่นเดียวกับที่เปาโลได้อธิบายในเอเฟซัส 2:10 ว่า หัตถกิจอันมหัศจรรย์นั้นแสดงถึงลักษณะที่พระเจ้าทรงออกแบบประชากรของพระองค์เช่นกัน เราแต่ละคนเป็น “ฝีพระหัตถ์ของพระองค์” ในพระเยซูที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่ออาณาจักรของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าให้ของประทานอะไรแก่คุณ คุณมีมากมายที่จะถวายให้พระองค์ได้ เมื่อคุณยอมรับอย่างมั่นใจในตัวตนที่พระเจ้าทรงสร้างให้คุณเป็น คุณจะเป็นพยานถึงชีวิตที่มีความหวังและความชื่นชมยินดีในพระองค์

ดังนั้นเมื่อคุณต้องเผชิญกับสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตคุณ จงกล้าหาญ คุณอาจรู้สึกว่าตัวเล็ก แต่โดยของประทานและการเสริมกำลังของพระวิญญาณ พระเจ้าสามารถใช้คุณให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังได้

คำสัญญาที่เกินจะจินตนาการ

ในเวลาที่เราล้มเหลวที่สุด เป็นการง่ายที่จะเชื่อว่าทุกอย่างสายเกินไปสำหรับเรา และเราได้สูญเสียโอกาสในการมีชีวิตที่มีเป้าหมายและมีคุณค่า นั่นคือสิ่งที่เอลเลียสอดีตผู้ต้องขังในเรือนจำที่มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดในนิวยอร์กอธิบายถึงความรู้สึกในฐานะนักโทษ “ผมได้ทำผิด...สัญญามากมาย คำสัญญาเกี่ยวกับอนาคตของตัวผมเอง คำสัญญาถึงสิ่งที่ผมสามารถเป็นได้”

นี่คือโครงการ “ก้าวสู่เรือนจำ” เป็นโครงการระดับปริญญาตรีของวิทยาลัยบาร์ดซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเอลเลียส ขณะร่วมโครงการเขาเข้าร่วมกลุ่มโต้วาทีซึ่งเอาชนะกลุ่มจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดในปี 2015 สำหรับเอลเลียส “การได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม...เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าคำสัญญาต่างๆไม่ได้หายไปจนหมดสิ้น”

การเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันเกิดขึ้นในใจเราเมื่อเราเริ่มเข้าใจว่า ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าในพระเยซูนั้นเป็นข่าวดีสำหรับเราเช่นกัน เราเริ่มตระหนักด้วยความอัศจรรย์ใจว่ายังไม่สายเกินไป พระเจ้ายังคงมีอนาคตสำหรับฉัน

นี่เป็นอนาคตที่เราไม่สามารถสร้างหรือทำให้สูญเสียไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณและฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (2 ปต.1:2-3) เป็นอนาคตที่ปลดปล่อยเราจากความสิ้นหวังในโลกและเติมหัวใจเราให้เต็มด้วย “พระสิริ และความล้ำเลิศของพระองค์” (ข้อ 3) เป็นอนาคตที่มั่นคงในพระสัญญาที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ของพระคริสต์ (ข้อ 4) และอนาคตที่เปลี่ยนแปลงสู่ “เสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า” (รม. 8:21)

อนาคตแห่งการอภัย

เมื่อประเทศแอฟริกาใต้เปลี่ยนการปกครองจากรัฐบาลแบ่งแยกสีผิวเป็นประชาธิปไตยในปี 1994 ก็ได้พบปัญหาการจัดการอาชญากรรมที่เกิดจากนโยบายแบ่งแยกสีผิว ผู้นำประเทศไม่อาจเมินเฉยต่ออดีต แต่การลงโทษรุนแรงต่อผู้ทำผิดก็เสี่ยงต่อการทำให้บาดแผลของประเทศเลวร้ายยิ่งขึ้น เดสมอนด์ ตูตู อาร์คบิชอปแองกลิกันผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้อธิบายไว้ในหนังสือ ไม่มีอนาคตหากไม่มีการอภัย ว่า “เราทำให้เกิดความยุติธรรมได้อย่างแน่นอน เป็นความยุติธรรมที่เกิดจากการแก้แค้น และทำให้แอฟริกาใต้กลายเป็นเถ้าถ่าน”

โดยการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งความจริงและการสมานฉันท์ ระบอบประชาธิปไตยใหม่เลือกหนทางที่ยากในการที่จะแสวงหาความจริง ความยุติธรรม และความเมตตา ผู้กระทำผิดได้รับการเสนอโอกาสให้กลับตัว หากเต็มใจสารภาพความผิดและจ่ายค่าเสียหาย โดยการเผชิญความจริงอย่างกล้าหาญเท่านั้นที่ทำให้ประเทศเริ่มได้รับการเยียวยา

สภาวะที่น่าลำบากใจของแอฟริกาใต้นี้สะท้อนการต่อสู้ที่เราทุกคนต้องเผชิญ เราเรียกว่าการร้องหาทั้งความยุติธรรมและความกรุณา (มคา.6:8) แต่ความกรุณามักถูกเข้าใจผิดว่าคือการขาดความรับผิดชอบ ในขณะที่การเรียกร้องความยุติธรรมอาจถูกบิดเบือนให้กลายเป็นการแก้แค้น

ทางเดียวที่เราจะมุ่งไปข้างหน้าคือความรักที่ไม่เพียง “เกลียดชังสิ่งที่ชั่ว”(รม.12:9) แต่ยังปรารถนาจะนำการเปลี่ยนแปลงและสิ่งดีไปสู่ “เพื่อนบ้าน” (13:10) ด้วยกำลังจากพระวิญญาณ เราเรียนรู้ที่จะมีอนาคตที่เอาชนะความชั่วด้วยความดีได้ (12:21)

การทดลองที่มีประโยชน์

โธมัส อา เคมปิส นักบวชสมัยศตวรรษที่ 15 ได้บอกเล่ามุมมองเรื่องการทดลองไว้อย่างน่าแปลกใจในหนังสือยอดนิยม เลียนแบบพระคริสต์ แทนที่จะเน้นเรื่องความเจ็บปวดและความยากลำบากที่อาจต้องเจอ ท่านเขียนว่า “[การทดลอง]มีประโยชน์เพราะทำให้เราถ่อมใจ ชำระและสอนเรา” เคมปิสอธิบายว่า “กุญแจสู่ชัยชนะคือการถ่อมใจและอดทนอย่างแท้จริง เช่นนี้เราจึงเอาชนะศัตรูได้”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา