ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Marvin Williams

เสียงร้องที่เฉพาะเจาะจง

เมื่อเด็กทารกร้อง แสดงว่าเด็กเหนื่อยหรือหิวใช่ไหม นั่นก็จริงอยู่ แต่แพทย์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ระบุว่า ความแตกต่างเล็กน้อยในเสียงร้องไห้ของทารกแรกเกิดยังให้เบาะแสที่สำคัญถึงปัญหาอื่นๆด้วย แพทย์ได้คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้วัดปัจจัยการร้องไห้ เช่น ระดับเสียงสูงต่ำ ระดับความดังและความชัดเจนของเสียงร้อง เพื่อตรวจสอบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับระบบประสาทส่วนกลางของทารกหรือไม่

อิสยาห์เผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะทรงฟังเสียงร้องที่เฉพาะเจาะจงของประชากรของพระองค์ ทรงทราบถึงสภาพจิตใจของพวกเขาและทรงตอบสนองด้วยพระคุณ แต่แทนที่ประชาชนยูดาห์จะปรึกษาพระเจ้า พวกเขากลับไม่ใส่ใจผู้เผยพระวจนะของพระองค์และแสวงหาความช่วยเหลือโดยไปเป็นพันธมิตรกับอียิปต์ (อสย. 30:1-7) พระเจ้าตรัสว่า หากพวกเขาเลือกที่จะกบฏต่อไป พระองค์จะทรงนำความพ่ายแพ้และความอัปยศอดสูมาสู่พวกเขา อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงคอยที่จะ “ทรงพระกรุณาเจ้าทั้งหลาย...เพื่อเมตตาเจ้า” (ข้อ 18) การช่วยกู้จะมาถึง แต่โดยผ่านเสียงร้องไห้แห่งการกลับใจใหม่และความเชื่อเท่านั้น หากประชากรของพระเจ้าร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์จะทรงยกโทษบาปของเขาและฟื้นฟูความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและกำลังวังชาให้กับพวกเขา (ข้อ 8-26)

สิ่งนี้เป็นความจริงเช่นเดียวกันสำหรับผู้เชื่อพระเยซูในปัจจุบัน เมื่อเสียงร้องที่เฉพาะเจาะจงแห่งการกลับใจและความไว้วางใจของเราไปถึงพระกรรณของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์จะทรงสดับฟังเสียงร้องนั้น ทรงยกโทษให้เราและให้เราปีติยินดีและมีความหวังอีกครั้งในพระองค์

ความเดือดร้อนที่ดีเพื่อพระเจ้า

วันหนึ่งนักเรียนชั้นป.6 คนหนึ่งสังเกตเห็นเพื่อนกำลังใช้มีดโกนเล็กๆกรีดแขนตัวเอง เธอพยายามจะทำในสิ่งที่ถูกต้องจึงได้แย่งเอามีดโกนมาแล้วโยนทิ้งไป น่าประหลาดที่เธอไม่ได้รับคำชมแต่กลับถูกพักการเรียนเป็นเวลา 10 วัน เหตุผลก็คือเธอมีมีดโกนไว้ในครอบครองแม้ในเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นข้อห้ามของโรงเรียน เมื่อมีคนถามว่าเธอจะทำแบบนั้นอีกไหม เธอตอบว่า “แม้ว่าหนูจะถูกลงโทษ... แต่หนูก็จะทำแบบนั้นอีก” เช่นเดียวกันกับการกระทำของเด็กหญิงคนนี้ที่พยายามทำดีจนเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง (ต่อมามีการยกเลิกคำสั่งพักการเรียน) การกระทำของพระเยซูที่ทรงนำแผ่นดินของพระเจ้าเข้ามาแทรกแซง ทำให้พระองค์เกิดความเดือดร้อนในทางที่ดีกับพวกผู้นำศาสนา

ฟาริสีตีความว่าการที่พระเยซูรักษาชายคนหนึ่งที่มือลีบเป็นการฝ่าฝืนกฎของพวกเขา พระคริสต์บอกพวกเขาว่าถ้าคนของพระเจ้าได้รับอนุญาตให้ช่วยสัตว์ที่ตกอยู่ในอันตรายในวันสะบาโต “มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากทีเดียว” (มธ.12:12) เพราะว่าพระเยซูคือพระผู้เป็นเจ้าแห่งวันสะบาโต พระองค์จึงสามารถกำหนดได้ว่าสิ่งใดทรงอนุญาตและสิ่งใดไม่ทรงอนุญาต (ข้อ 6-8) แม้ทรงรู้ว่าจะทำให้ผู้นำศาสนาไม่พอใจ พระองค์ก็ยังรักษามือของชายผู้นั้นให้หายเป็นปกติ (ข้อ 13-14)

บางครั้งผู้เชื่อในพระคริสต์อาจต้องพบกับ “ความเดือดร้อนที่ดี” คือการทำสิ่งที่ถวายเกียรติพระองค์โดยการช่วยผู้ที่อยู่ในความเดือนร้อน แต่อาจทำให้ บางคนไม่พอใจ เมื่อเราทำโดยที่พระเจ้าทรงนำเรา นั่นคือเรากำลังเลียนแบบพระเยซูและแสดงให้เห็นว่าผู้คนนั้นสำคัญกว่ากฎเกณฑ์และพิธีกรรม

อยู่ในทางของพระเจ้า

เมื่อหลายปีก่อนรถไฟบรรทุกผู้โดยสาร 218 คนตกรางทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 79 คนและเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกกว่า 66 คน คนขับไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ แต่คลิปวิดีโอสามารถอธิบายได้ว่ารถไฟขบวนดังกล่าวแล่นเร็วเกินไปก่อนที่จะพุ่งเข้าสู่โค้งมรณะ มีการจำกัดความเร็วสูงสุดที่รถไฟสามารถวิ่งได้เพื่อปกป้องผู้โดยสารรถไฟทุกคน แม้คนขับจะเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศสเปนที่มีประสบการณ์มานานถึงสามสิบปี แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นที่จะเพิกเฉยต่อการจำกัดความเร็วซึ่งทำให้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิต

ในเฉลยธรรมบัญญัติ 5 โมเสสได้ทบทวนขอบเขตของพันธสัญญาเดิมให้ประชากรของพระเจ้าฟัง โมเสสหนุนใจคนรุ่นใหม่ให้ถือว่าคำสอนของพระเจ้าเป็นพันธสัญญาระหว่างพวกเขากับพระเจ้า (ข้อ 3) จากนั้นท่านก็ทบทวนพระบัญญัติสิบประการ (ข้อ 7-21) โดยการย้ำถึงพระบัญญัติและบทเรียนจากการไม่เชื่อฟังของคนรุ่นก่อน โมเสสได้เชื้อเชิญให้คนอิสราเอลมีความยำเกรง ความถ่อมใจ และระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระเจ้าทรงเตรียมทางไว้ให้กับประชากรของพระองค์เพื่อพวกเขาจะไม่ทำลายชีวิตของตนเองหรือของผู้อื่น หากพวกเขาเพิกเฉยต่อพระปัญญาของพระเจ้า พวกเขาจะต้องพบกับอันตราย

วันนี้ในขณะที่พระเจ้าทรงนำเรา ขอให้พระคัมภีร์ทั้งหมดเป็นความยินดี เป็นที่ปรึกษา และเป็นรั้วป้องกันให้กับชีวิตของเรา และในขณะที่พระวิญญาณทรงชี้นำเรา เราสามารถอยู่ในทางที่มีการปกป้องอันชาญฉลาดของพระองค์ และมอบถวายชีวิตทั้งหมดของเราให้กับพระองค์ด้วยสุดใจ

ร้องขอความช่วยเหลือ

เดวิด วิลลิสอยู่ที่ชั้นบนของร้านหนังสือวอเตอร์สโตนส์ เมื่อเขาลงมาชั้นล่างจึงพบว่าไฟปิดแล้วและประตูก็ล็อค เขาถูกขังอยู่ในร้าน! เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงเปิดทวิตเตอร์และส่งข้อความว่า “สวัสดี @วอเตอร์สโตนส์ ผมติดอยู่ในร้านหนังสือของคุณที่จัตุรัสทราฟัลการ์มา 2 ชั่วโมงแล้ว ได้โปรดช่วยผมออกไปด้วย” ไม่นานหลังจากส่งข้อความ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือ

เป็นเรื่องดีที่มีวิธีขอความช่วยเหลือเมื่อเรามีปัญหา อิสยาห์กล่าวว่ามีท่านผู้หนึ่งที่จะตอบเสียงร้องทูลของเราในยามที่เราติดกับดักอยู่ในปัญหาที่เราเองสร้างขึ้น ผู้เผยพระวจนะบันทึกว่าพระเจ้ากล่าวโทษประชากรของพระองค์เรื่องการปฏิบัติศาสนกิจอย่างขาดความรับผิดชอบ พวกเขากำลังดำเนินตามวิถีแห่งศาสนา โดยปกปิดการซึ่งพวกเขากดขี่คนยากจนด้วยพิธีกรรมที่ว่างเปล่าและรับใช้ตนเอง (อสย.58:1-7) สิ่งนี้ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าพระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์จากเขาและไม่ทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา (1:15) พระองค์บอกพวกเขาให้กลับใจและแสดงออกด้วยการประพฤติด้วยการปรนนิบัติดูแลผู้อื่น (58:6-7) หากพวกเขาทำดังนั้น พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะทูล และพระเจ้าจะทรงตอบ เจ้าจะร้องทูล และพระองค์จะตรัสว่า เราอยู่นี่ ถ้าเจ้าจะเอาออกไปจากท่ามกลางเจ้าเสีย ซึ่งแอก ซึ่งการชี้หน้า และซึ่งการพูดอธรรม” (ข้อ 9)

ให้เราเข้าไปใกล้คนยากจนแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ฉันอยู่นี่” เพราะพระเจ้าทรงสดับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเราและตรัสว่า “เราอยู่นี่”

เตือนด้วยความรัก

ในปี 2010 คลื่นสึนามิถล่มเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าสี่ร้อยคน แต่การสูญเสียนี้สามารถป้องกันหรือลดจำนวนลงได้หากระบบเตือนภัยสึนามิทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ระบบเฝ้าระวังสึนามิ (ทุ่นลอยน้ำ) หลุดออกจากตำแหน่งและถูกพัดหายไป

พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่าพวกเขามีหน้าที่เตือนเพื่อนสาวกถึงสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ รวมถึงบาปที่ยังไม่กลับใจ พระองค์อธิบายขั้นตอนว่าหากมีคนทำผิดบาปต่อผู้เชื่อ เขาสามารถ “แจ้ง” ความผิดต่อผู้ที่ทำผิดนั้นด้วยท่าทีถ่อมใจ เป็นการส่วนตัว และด้วยใจอธิษฐาน (มธ.18:15) หากคนผู้นั้นกลับใจ ความขัดแย้งก็จะคลี่คลายและความสัมพันธ์ก็ได้รับการรื้อฟื้น หากผู้เชื่อคนนั้นไม่ยอมกลับใจ “คนหนึ่งหรือสองคน” อาจช่วยแก้ไขความขัดแย้งได้ (ข้อ 16) ถ้าผู้ทำความผิดคนนั้นยังไม่กลับใจ ก็ให้นำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อ “คริสตจักร” (ข้อ 17) ถ้าเขายังคงไม่ยอมกลับใจ ก็ให้ถอดเขาออกจากกลุ่มผู้เชื่อ แต่ก็ยังสามารถอธิษฐานเผื่อและสำแดงความรักของพระคริสต์แก่เขาได้อยู่

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ให้เราอธิษฐานขอสติปัญญาและความกล้าที่เราจะห่วงใยมากพอที่จะเตือนซึ่งกันและกันด้วยความรักถึงอันตรายของความบาปที่ไม่ยอมกลับใจ และถึงความชื่นชมยินดีของการคืนดีกับพระบิดาในสวรรค์และผู้เชื่อคนอื่นๆ แล้วพระเยซูจะทรงอยู่ “ท่ามกลาง[เรา]ที่นั่น” (ข้อ 20)

เพื่อเห็นแก่ความรัก

การวิ่งมาราธอนคือการผลักดันตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่สำหรับนักวิ่งมัธยมปลายคนหนึ่ง การแข่งวิ่งข้ามประเทศกลับเป็นการผลักดันคนอื่น ทุกการพบปะและฝึกซ้อม ซูซาน เบิร์จแมนวัยสิบสี่ปีต้องผลักดันเจฟฟรีย์พี่ชายของเธอในรถวีลแชร์ ตอนเจฟฟรีย์อายุยี่สิบสองเดือนเขามีภาวะหัวใจหยุดเต้น ทำให้สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและมีภาวะสมองพิการวันนี้ซูซานเสียสละเป้าหมายในการวิ่งของเธอเพื่อเจฟฟรีย์จะได้ร่วมแข่งขันกับเธอด้วย ช่างเป็นความรักและการเสียสละที่น่าประทับใจ!

อัครสาวกเปาโลนึกถึงความรักและการเสียสละเมื่อท่านหนุนใจให้ผู้อ่าน “รักกันฉันพี่น้อง” (รม.12:10) ท่านรู้ว่าผู้เชื่อในกรุงโรมกำลังต่อสู้กับความอิจฉา ความโกรธ และความไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรง (ข้อ 18) ท่านจึงหนุนใจพวกเขาที่จะให้ความรักของพระเจ้าครอบครองจิตใจ ความรักเช่นนี้ซึ่งหยั่งรากอยู่ในความรักของพระคริสต์จะต่อสู้เพื่อความดีงามในผู้อื่น เป็นความรักที่จริงใจและนำไปสู่การแบ่งปัน (ข้อ 13) คนเหล่านั้นที่มีความรักเช่นนี้จะเห็นว่าผู้อื่นสมควรได้รับเกียรติมากกว่าตนเอง (ข้อ 16)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรากำลังวิ่งแข่งในความรักไปพร้อมกับการช่วยให้ผู้อื่นเข้าเส้นชัย แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องยาก แต่การทำเช่นนี้จะนำพระเกียรติมาสู่พระเยซู ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ความรัก ขอให้เราพึ่งพาพระองค์ที่จะหนุนกำลังเรา ให้รักและปรนนิบัติผู้อื่น

มากกว่าชิ้นส่วนเล็กๆ

เราทุกคนต่างทิ้งเสี้ยวหนึ่งของตัวเราไว้เบื้องหลังเมื่อเราต้องย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ แต่การจะเป็นผู้อาศัยถาวรที่วิลล่า ลาส เอสเทรลลัส ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นดินแดนที่หนาวเย็นและเปล่าเปลี่ยว การทิ้งชิ้นส่วนเล็กๆของตัวคุณไว้เบื้องหลังเป็นสิ่งที่คุณต้องทำจริงๆ เพราะโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปถึง 1,000 กิโลเมตร หากใครไส้ติ่งแตกเขาจะตกอยู่ในภาวะวิกฤต ดังนั้นผู้ที่ต้องการอาศัยอยู่ที่นั่นจะต้องผ่าตัดไส้ติ่งออกก่อนจะย้ายเข้าไป

ฟังดูเข้มงวดมากใช่ไหม แต่นั่นไม่เข้มงวดเท่ากับการจะเป็นผู้อาศัยในแผ่นดินของพระเจ้า เพราะผู้คนต้องการจะติดตามพระเยซูตามเงื่อนไขของตัวเองไม่ใช่ของพระองค์ (มธ.16:25-27) พระองค์จึงทรงให้คำจำกัดความใหม่ในการเป็นสาวก พระองค์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (ข้อ 24) ซึ่งรวมถึงการเตรียมพร้อมที่จะสละทุกสิ่งที่มาแข่งขันกับพระองค์และแผ่นดินของพระองค์ และเมื่อเราแบกกางเขนของเรา เรากำลังประกาศว่าเรายอมรับการกดขี่ทางสังคม ทางการเมือง และแม้กระทั่งยอมตายเพื่อสำแดงความสัตย์ซื่อต่อองค์พระคริสต์และพร้อมไปกับการยอมสละและยอมแบกกางเขนนั้น เรายินดีที่จะร่วมติดตามพระองค์อย่างแท้จริง นี่คือท่าทีในการติดตามการทรงนำของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงนำเราในการรับใช้และเสียสละทุกชั่วขณะในชีวิตของเรา

การติดตามพระเยซูมีความหมายมากยิ่งกว่าการทิ้งชิ้นส่วนเล็กๆในชีวิตเราไว้เบื้องหลัง ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ การติดตามพระเยซูนั้นคือการยอมรับและยอมมอบหมดทั้งชีวิตของเรา รวมถึงร่างกายของเรา แด่พระองค์เพียงผู้เดียว

ห้องเล่าเรื่อง

ทางตอนเหนือของสเปนมีวิถีแห่งมิตรภาพและการใช้เวลาร่วมกันอันงดงาม ด้วยความที่ในชนบทนั้นเต็มไปด้วยถ้ำที่สร้างขึ้นเอง หลังการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง ชาวไร่บางคนจะนั่งอยู่ในห้องที่สร้างขึ้นเหนือถ้ำและทำบันทึกรายการอาหารนานาชนิดของเขา เมื่อเวลาผ่านไป ห้องนี้จึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “ห้องเล่าเรื่อง” ซึ่งเป็นสถานที่พบปะที่เพื่อนและครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันเรื่องราว ความลับ และความฝัน หากคุณต้องการเพื่อนพ้องใกล้ชิดที่ไว้ใจได้คุณจะตรงไปที่ห้องเล่าเรื่อง

หากดาวิดและโยนาธานอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของสเปน มิตรภาพอันลึกซึ้งของพวกเขาอาจนำไปสู่การสร้างห้องเล่าเรื่อง เมื่อกษัตริย์ซาอูลริษยาจนอยากจะฆ่าดาวิด โยนาธานโอรสองค์โตของซาอูลได้ปกป้องและเป็นเพื่อนกับดาวิดทั้งสองรู้สึก “ผูกพันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (1ซมอ.18:1 TNCV) และโยนาธาน “รัก[ดาวิด]อย่างกับรักชีวิตของท่านเอง” (ข้อ 1, 3) และแม้ท่านคือทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ แต่ท่านก็ตระหนักดีถึงการทรงเลือกของพระเจ้าให้ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านมอบเสื้อคลุม ดาบ คันธนู และเข็มขัดให้ดาวิด (ข้อ 4) ในเวลาต่อมาดาวิดประกาศว่าความรักที่โยนาธานมีต่อตนเองในฐานะเพื่อนนั้นล้ำเลิศ (2ซมอ.1:26)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ขอพระองค์ทรงช่วยเราสร้างความสัมพันธ์แบบ “ห้องเล่าเรื่อง” ของเราเอง ซึ่งเป็นมิตรภาพที่จะสะท้อนถึงความรักและความห่วงใยเหมือนอย่างพระคริสต์ ให้เราใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เปิดใจ และดำเนินชีวิตในการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงในพระองค์

พบการพักสงบในพระเยซู

จิตวิญญาณที่ไม่สงบจะไม่เคยพอใจในความมั่งคั่งและความสำเร็จ นักร้องเพลงคันทรี่ชื่อดังที่เสียชีวิตไปแล้วสามารถเป็นพยานให้กับความจริงนี้ เขามีเพลงเกือบสี่สิบอัลบั้มที่ติดหนึ่งในสิบอันดับยอดนิยม และมีหลายเพลงที่เป็นเพลงยอดนิยมในหมวดเพลงคันทรี่ เขาผ่านการแต่งงานหลายครั้งและเคยติดคุก แม้ในความสำเร็จมากมาย เขายังเคยคร่ำครวญว่า “มีความไม่สงบคอยรบกวนจิตใจของผมที่ผมไม่สามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าจะด้วยการทำสิ่งใด โดยการแต่งงาน หรือสิ่งที่มีคุณค่าใดๆ...มันยังวนเวียนอยู่ที่นั่น และคงจะอยู่จนถึงวันที่ผมตาย” น่าเศร้าใจที่เขาควรจะได้พบการพักสงบในจิตใจก่อนชีวิตจะสิ้นสุดลง

พระเยซูทรงเชื้อเชิญทุกคนที่เป็นเหมือนกับนักดนตรีคนนั้น ที่เหน็ดเหนื่อยและต้องทนทุกข์จากผลของความบาป ให้มาหาพระองค์เป็นการส่วนตัว พระองค์ตรัสว่า “จงมาหาเรา” เมื่อเราได้รับความรอดในพระเยซู พระองค์จะทรงยกภาระของเราออกและทำให้เรา “หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) เพียงแค่เราเชื่อในพระองค์ และเรียนรู้การมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่พระองค์ประทานให้ (ยน.10:10) การยอมรับแอกแห่งการเป็นสาวกของพระเยซูนั้นทำให้ “จิตใจ [ของเรา]จะได้พัก” (มธ.11:29)

เมื่อเรามาหาพระเยซู พระองค์ไม่ได้ทรงลดทอนความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้าลง พระองค์ประทานสันติสุขแก่จิตวิญญาณที่กระวนกระวายของเรา โดยประทานวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ในพระองค์ที่มีภาระยุ่งยากน้อยลง พระองค์ประทานการพักสงบที่แท้จริงแก่เรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา