รอยแต้มสีแดง
ขณะเดินชมงานศิลปะที่หอศิลป์แห่งชาติสก็อตแลนด์ ฉันถูกดึงดูดด้วยภาพวาดสีสันสดใสของต้นมะกอกเทศภาพหนึ่งในหลายๆภาพของศิลปินชาวดัทช์ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าผลงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของพระเยซูในสวนเกทเสมนีบนภูเขามะกอกเทศ สิ่งที่จับสายตาของฉันเป็นพิเศษจากภาพวาดบนผืนผ้าใบก็คือรอยแต้มเล็กๆสีแดงท่ามกลางต้นมะกอกเทศโบราณ
ที่ได้ชื่อว่าภูเขามะกอกเทศนั้นก็เพราะมีต้นมะกอกเทศมากมายบนภูเขาพระเยซูเสด็จไปที่นั่นเพื่ออธิษฐานในคืนที่พระองค์ทรงทำนายว่า ยูดาสหนึ่งในพวกสาวกจะทรยศพระองค์ พระเยซูทรงท่วมท้นด้วยความทุกข์ เพราะทรงรู้ว่าการทรยศนั้นจะนำไปสู่การถูกตรึงที่กางเขน ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน “พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” (ลก.22:44) ความทุกข์ใจของพระเยซูปรากฏให้เห็นชัดเจนในสวน ขณะที่ทรงเตรียมรับความเจ็บปวดและความอับอายของการถูกประหารในที่สาธารณะ ซึ่งพระองค์จะต้องทรงหลั่งพระโลหิตในวันศุกร์ประเสริฐเมื่อนานมาแล้ว
รอยแต้มสีแดงบนภาพวาดของแวนโก๊ะห์เตือนเราว่า พระเยซูทรงต้อง “ทนทุกข์ทรมานหลายประการ...และไม่ได้รับการยอมรับ” (มก.8:31) แม้ว่าการทนทุกข์ทรมานนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวของพระองค์ แต่มันก็ไม่ได้มีอิทธิพลเหนือภาพนั้นอีกต่อไป ชัยชนะเหนือความตายของพระเยซูได้เปลี่ยนความทุกข์ของเรา และให้มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของภาพอันงดงามของชีวิตเราที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้น
การสถิตที่ทรงพลานุภาพของพระเจ้า
ในปี 2020 การเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่สิบเก้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้สิทธิแก่สตรีในการออกเสียงลงคะแนนภาพถ่ายเก่าๆแสดงให้เห็นผู้เดินขบวนพร้อมป้ายที่ประดับด้วยถ้อยคำจากพระธรรมสดุดี 68:11 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวจนะ พวกผู้หญิงที่นำข่าวดีก็เป็นพวกใหญ่โต”
ในพระธรรมสดุดี 68 กษัตริย์ดาวิดพรรณนาถึงการที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่นำผู้ถูกกดขี่ออกจากการเป็นเชลย (ข้อ 6) ทรงช่วยผู้คนของพระองค์ที่อ่อนล้าให้สดชื่นและได้รับการฟื้นฟูจากความมั่งคั่งอันอุดมของพระองค์ (ข้อ 9-10) ในพระธรรมสามสิบห้าข้อของสดุดีบทนี้ กษัตริย์ดาวิดทรงกล่าวถึงพระเจ้าสี่สิบสองครั้ง โดยเปิดเผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขาตลอดเวลาอย่างไร ทรงกระทำการเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากความอยุติธรรมและความทุกข์ยากลำบาก และสตรีจำนวนมากประกาศความจริงนี้ (ข้อ 11)
ไม่ว่าผู้หญิงที่เดินขบวนเพื่อสิทธิในการออกเสียงจะเข้าใจทุกสิ่งที่สดุดีบทที่ 68 ป่าวประกาศหรือไม่ ป้ายของพวกเธอก็ได้ประกาศความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาว่า พระเจ้า “ทรงเป็นพระบิดาของลูกกำพร้า” และ “ทรงเป็นผู้ป้องกันหญิงม่าย” (ข้อ 5) เสด็จนำหน้าประชากรของพระองค์ไปยังแผ่นดินแห่งพระพร ความสดชื่น และความปีติยินดี
ขอให้เราได้รับการหนุนใจ โดยระลึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์เสมอ และทรงสถิตกับคนอ่อนแอและคนที่ทุกข์ยากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับในอดีต พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับเราอย่างทรงพลานุภาพในวันนี้ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์
ความรักอันเปรมปรีดิ์
เบร็นแดนและเคธี่ยิ้มกว้างให้แก่กัน เมื่อมองดูความปลื้มปีติบนใบหน้าของพวกเขาแล้ว คุณจะคาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาต้องปรับเปลี่ยนแผนการแต่งงานมากมายด้วยความยากลำบากเพราะข้อบังคับของโรคโควิด 19 แม้จะมีสมาชิกครอบครัวเข้าร่วมเพียง 25 คน แต่สันติสุขและความชื่นชมยินดีกลับเปล่งประกายจากทั้งคู่ขณะที่พวกเขากล่าวคำปฏิญาณเพราะความรักที่พวกเขามีให้กัน และแสดงออกถึงความชื่นชมยินดีต่อความรักของพระเจ้าที่ค้ำจุนพวกเขา
ภาพของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่ปีติยินดีในกันและกันเป็นภาพที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ใช้ เพื่ออธิบายความยินดีและความรักของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ ในบทกวีอันไพเราะที่อธิบายการช่วยกู้ที่พระเจ้าทรงสัญญานั้นอิสยาห์ย้ำเตือนผู้อ่านว่า การช่วยกู้ที่พระเจ้ามอบให้พวกเขานั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของการอาศัยอยู่ในโลกที่แตกสลายนี้ เพื่อเล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ นำความชื่นชมยินดีมาสู่ผู้ไว้ทุกข์ และการจัดเตรียมสำหรับผู้ขาดแคลน (อสย.61:1-3) เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยินดีในความรักซึ่งกันและกันฉันใด พระเจ้าทรงเสนอความช่วยเหลือแก่คนของพระองค์เพราะ “พระเจ้าของเจ้าจะเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น” (62:5)
ความจริงอันอัศจรรย์คือพระเจ้าทรงชื่นชมยินดีในพวกเราและต้องการมีความสัมพันธ์กับเรา แม้ในยามที่เราลำบากเพราะผลจากการอาศัยอยู่ในโลกที่แตกสลาย เรายังคงมีพระเจ้าที่รักเรา ไม่ใช่ด้วยความขมขื่นใจ แต่ด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความรักมั่นคงที่ “ดำรงเป็นนิตย์” (สดด.136:1)
รักที่ให้อภัย
แปดสิบปีของการแต่งงาน! ปู่ทวดพีทและย่าทวดรูธของสามีฉันฉลองวาระพิเศษนี้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 หลังจากได้มีโอกาสพบกันในปี 1941 ขณะที่รูธยังเรียนมัธยมปลาย หนุ่มสาวคู่นี้กระตือรือร้นที่จะแต่งงานกันมากจนหนีตามกันไปหลังจากที่รูธจบการศึกษา พีทและรูธเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขามาอยู่ร่วมกันและทรงนำพาในตลอดปีเดือนที่ผ่านมานี้
เมื่อใคร่ครวญถึงเวลาแปดทศวรรษของชีวิตแต่งงาน พีทและรูธต่างเห็นพ้องต้องกันว่ากุญแจดอกเดียวในการรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาคือ การตัดสินใจเลือกที่จะอภัย ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งจะเข้าใจดีว่าเราทุกคนต้องการการอภัยอยู่เสมอ จากการที่เราทำร้ายกันและกันในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดที่ไร้ความปราณี การผิดสัญญา หรืองานที่ลืมทำ
มีพระธรรมตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้เชื่อในพระเยซูอยู่ร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เปาโลกล่าวถึงบทบาทสำคัญของการให้อภัย เมื่อหนุนใจให้ผู้อ่านเลือก “ใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) เปาโลหนุนใจเพิ่มเติมอีกว่า “ถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน จงยกโทษให้กันและกัน” (ข้อ 13) ที่สำคัญที่สุด ปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างพวกเขาต้องมีความรักเป็นเครื่องนำทาง (ข้อ 14)
ความสัมพันธ์ทั้งหลายที่หล่อหลอมให้เรามีคุณลักษณะตามที่เปาโลระบุไว้นั้นคือพระพร ขอพระเจ้าทรงช่วยเราทุกคนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรักและการให้อภัย
มรดกแห่งความเชื่อ
ในปี 2019 งานวิจัยเรื่องมรดกฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อในสหรัฐอเมริกาบ่งชี้ว่า มารดาและย่าหรือยายมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ เกือบสองในสามของคนที่อ้างว่าตนเองเป็นมรดกแห่งความเชื่อล้วนยกความดีความชอบให้กับมารดาของตน และหนึ่งในสามยอมรับว่าปู่ย่าตายาย (มักจะเป็นย่าหรือยาย) ก็มีบทบาทสำคัญด้วยเช่นกัน
บรรณาธิการของงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า “ผลการศึกษานี้ย้ำถึงผลกระทบที่ยั่งยืนของมารดาใน...การพัฒนาฝ่ายจิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นอิทธิพลที่พบได้ในพระคัมภีร์เช่นกัน
ในจดหมายที่เขียนถึงทิโมธีผู้ที่อยู่ในความดูแลของท่าน เปาโลยอมรับว่า แบบอย่างแห่งความเชื่อของทิโมธีนั้นมาจากโลอิสยายของเขา และยูนีสมารดาของเขา (2 ทธ.1:5) เป็นการเน้นย้ำถึงรายละเอียดส่วนตัวที่น่ายินดีเกี่ยวกับอิทธิพลของสตรีสองคนต่อผู้นำคนหนึ่งของคริสตจักรในยุคแรก เราสามารถมองเห็นอิทธิพลของพวกเธอได้จากคำหนุนใจที่เปาโลมีต่อทิโมธีว่า “จงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้... [เพราะ] ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์” (3:14-15)
มรดกฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งนั้นเป็นของขวัญอันล้ำค่า แม้ว่าเราจะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยอิทธิพลในเชิงบวกที่ช่วยหล่อหลอมความเชื่อเช่นเดียวกับทิโมธี แต่ก็อาจจะมีคนอื่นๆในชีวิตที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของเราอย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือเราทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อที่จริงใจต่อผู้คนรอบข้างและทิ้งมรดกอันถาวรไว้ให้กับคนรุ่นต่อไป
แสงสว่างแห่งคริสต์มาส
ในสายตาฉัน ต้นคริสต์มาสนั้นดูเหมือนกำลังมีไฟลุกอยู่! ซึ่งไม่ใช่เพราะสายไฟประดับแต่เป็นไฟจริงๆ ครอบครัวของเราได้รับเชิญจากเพื่อนให้ไปร่วมในงาน “วิถีในอดีตของชาวเยอรมัน” ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองที่มีขนมหวานโบราณแสนอร่อย รวมถึงต้นไม้ที่มีเทียนไขจุดไฟของจริงอยู่ (เพื่อความปลอดภัย จึงใช้ต้นไม้ที่ตัดมาใหม่จุดไฟเพียงคืนเดียวเท่านั้น)
ขณะที่มองไปยังต้นไม้ที่ดูเหมือนกำลังไหม้ไฟอยู่นั้น ฉันคิดถึงโมเสสที่พบกับพระเจ้าที่พุ่มไม้ไฟ ในขณะที่ดูแลฝูงแกะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้น โมเสสประหลาดใจกับพุ่มไม้ที่มีไฟลุกอยู่แต่กลับไม่ถูกไฟเผาไหม้ เมื่อท่านเข้าไปใกล้ๆพุ่มไม้นั้นเพื่อสำรวจดู พระเจ้าได้ทรงเรียกท่าน ข้อความจากพุ่มไม้ไฟนั้นไม่ใช่การพิพากษาแต่เป็นการช่วยกู้ชีวิตชาวอิสราเอล พระเจ้าทรงเห็นสภาพและความทุกข์ลำบากของประชากรของพระองค์ในอียิปต์ และทรง “ลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด” (อพย.3:8)
ในขณะที่พระเจ้าทรงช่วยชนอิสราเอลให้รอดพ้นจากชาวอียิปต์นั้น มนุษย์ทั้งปวงก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่จากความทุกข์ทรมานทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลที่เกิดจากการที่ความชั่วร้ายและความตายนำเข้ามาสู่โลกของเรา เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา ที่พระเจ้าทรงตอบสนองโดยการส่งความสว่าง คือพระเยซูพระบุตรของพระองค์ลงมา (ยน.1:9-10) โดยมิใช่เพื่อ “พิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” (3:17)
ผู้เข้าทดสอบ
ผู้เข้าทดสอบ เป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวชีวิตที่ตราตรึงใจของเบน มัลคอล์มสัน นักศึกษาผู้ไม่มีประสบการณ์ด้านฟุตบอลเลย ซึ่งได้กลายเป็น “ผู้เข้ารับการทดสอบ” (ผู้เล่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก) ในทีมชนะเลิศการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลปี 2007 ของมหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์นแคลิฟอร์เนีย ในฐานะนักข่าวของมหาวิทยาลัย มัลคอล์มสันตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องราวของกระบวนการทดสอบอันแสนทรหดจากประสบการณ์ตรง เขาแทบไม่เชื่อที่ตัวเองได้รับตำแหน่งอันเป็นที่ปรารถนาในทีม
เมื่อได้เข้าร่วมทีม ความเชื่อของมัลคอล์มสันผลักดันให้เขาค้นหาพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับโอกาสที่คาดไม่ถึงนี้ แต่การที่เพื่อนร่วมทีมไม่สนใจจะพูดคุยเรื่องความเชื่อทำให้เขาหมดกำลังใจ ขณะอธิษฐานขอการทรงนำ เขาได้อ่านคำเตือนสติที่มีฤทธิ์เดชในอิสยาห์ซึ่งพระเจ้าตรัสว่า “คำของเรา...จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้น” (อสย.55:11) ด้วยแรงบันดาลใจจากพระธรรมอิสยาห์ เขาจึงมอบพระคัมภีร์ให้ผู้เล่นทุกคนในทีมโดยไม่เปิดเผยตัว เขาถูกปฏิเสธอีกครั้ง แต่หลายปีต่อมาเขาพบว่าผู้เล่นคนหนึ่งได้อ่านพระคัมภีร์ที่ได้รับ และไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ เขาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าและหิวกระหายพระองค์ผู้ซึ่งเขาค้นพบในพระคัมภีร์นั้น
เป็นไปได้ที่พวกเราหลายคนแบ่งปันเรื่องพระเยซูกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว เพียงเพื่อจะพบกับความไม่แยแสหรือถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้เราจะไม่เห็นผลในทันที ความจริงของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจและจะทำให้พระประสงค์นั้นสำเร็จในเวลาของพระองค์
ฮาเลลูยา!
น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ฮันเดลใช้เวลาเพียงยี่สิบสี่วันในการประพันธ์ผลงานออราโทริโอชื่อ เมสไซยาห์ ซึ่งน่าจะเป็นบทเพลงประสานเสียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนี้ซึ่งได้ถูกแสดงเป็นพันๆครั้งทุกปีทั่วโลก หลังจากการแสดงผ่านไปราวสองชั่วโมง ผลงานวิจิตรบรรจงชิ้นนี้ก็มาถึงตอนที่ดีที่สุดในท่อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของออราโทริโอที่ชื่อว่า “ฮาเลลูยา คอรัส”
ขณะที่เสียงแตรและกลองทิมปานีดังขึ้น เสียงขับขานของคณะนักร้องที่ดังสอดประสานกันเป็นบทเพลงจากวิวรณ์ 11:15 ว่า “พระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” เป็นการประกาศชัยชนะแห่งความหวังนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเยซู
เนื้อร้องในบทเพลงเมสไซยาห์ส่วนมากมาจากพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นนิมิตที่อัครทูตยอห์นได้เห็นเมื่อใกล้จะสิ้นชีวิต โดยบรรยายถึงเหตุการณ์ต่างๆที่นำไปสู่การเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ในวิวรณ์ ยอห์นพูดซ้ำๆเรื่องการเสด็จกลับมาสู่โลกของพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเวลานั้นจะมีความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่เป็นเสียงร้องประสานดังกึกก้อง (19:1-8) โลกจะเปรมปรีดิ์เพราะพระเยซูจะทรงมีชัยเหนืออำนาจแห่งความมืดและความตาย และสถาปนาอาณาจักรแห่งสันติสุขขึ้น
วันหนึ่ง บรรดาประชากรแห่งสวรรค์ทั้งหมดจะร่วมกันร้องเพลงประสานเสียงอันแสนไพเราะ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเยซูและพระพรแห่งการทรงครอบครองเป็นนิตย์ของพระองค์ (7:9) แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราจะใช้ชีวิต ทำงาน อธิษฐาน และรอคอยอยู่ด้วยความหวัง
ค้นพบอีกครั้ง
ในปี 1970 ผู้บริหารด้านรถยนต์ที่มาเยือนเดนมาร์กรู้ว่ารถบิวอิคก์รุ่นฝาครอบคู่ปี 1939 คันหนึ่งมีคนท้องถิ่นเป็นเจ้าของ เนื่องจากรถยนต์คันนี้ไม่เคยเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงๆ จึงจัดเป็นรถหายากคือเป็นรถที่ไม่ซ้ำแบบใคร ด้วยความดีใจในการค้นพบนี้ ผู้บริหารคนนี้จึงซื้อรถไว้และสละเวลาและเงินในการซ่อมแซม ปัจจุบันรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคันนี้อยู่ในคอลเล็กชั่นของสะสมรถคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ทรัพย์สมบัติที่ซ่อนอยู่นั้นมีได้ในหลายรูปแบบ และในพระธรรม 2 พงศาวดารเราอ่านถึงการค้นพบทรัพย์สมบัติที่สูญหายไป ในปีที่ 18 แห่งการครองราชย์เป็นกษัตริย์ในยูดาห์ โยสิยาห์ทรงเริ่มซ่อมแซมพระนิเวศในกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างดำเนินการนั้น ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบ “หนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศ” (2 พศด.34:15) หนังสือธรรมบัญญัติคือพระธรรมห้าเล่มแรกในพันธสัญญาเดิม ดูเหมือนว่าถูกซ่อนไว้เมื่อหลายทศวรรษก่อน เพื่อเก็บรักษาให้ปลอดภัยจากกองทัพที่รุกราน พอเวลาผ่านไปจึงถูกลืม
เมื่อกษัตริย์โยสิยาห์ทราบเรื่องการค้นพบนี้ พระองค์ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งที่พบ จึงรับสั่งให้รวบรวมประชาชนทั้งหมด และทรงอ่านถ้อยคำทั้งสิ้นในหนังสือธรรมบัญญัติ เพื่อพวกเขาจะอุทิศตนที่จะรักษาทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนั้น (ข้อ 30-31)
ในปัจจุบันเรื่องนี้ยังคงสำคัญต่อชีวิตเรา เรามีพระพรอัศจรรย์ในการเข้าถึงพระธรรมทั้ง 66 เล่มในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างที่สุด