ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Lisa M. Samra

Lisa Samra

Lisa desires to see Christ glorified in her life and in the ministries where she serves. Born and raised in Texas, Lisa is always on the lookout for sweet tea and brisket. She graduated with a Bachelor of Journalism from the University of Texas and earned a Master of Biblical Studies degree from Dallas Theological Seminary. Lisa now lives in Grand Rapids, Michigan, with her husband, Jim, and their four children. In addition to writing, she is passionate about facilitating mentoring relationships for women, and developing groups focused on spiritual formation and leadership development. Lisa has been blessed to travel extensively and often finds inspiration from experiencing the beauty of diverse cultures, places, and people. Lisa enjoys good coffee, running, and reading—just not all at the same time.

บทความ โดย Lisa Samra

เชื่อมต่อกับแหล่งแห่งฤทธิ์เดช

แม้รู้ว่าหลังเกิดพายุรุนแรง ไฟฟ้าจะใช้ไม่ได้ในบ้านของเรา (เหตุการณ์ปกติที่ไม่สะดวกในละแวกบ้านเรา) แต่เมื่อเข้าไปในห้อง ฉันก็กดสวิตช์เปิดไฟตามสัญชาตญาณ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นความมืดมิดยังคงปกคลุมรอบตัวฉัน

ประสบการณ์ดังกล่าว คือการคาดหวังว่าจะมีแสงสว่างแม้ในขณะที่รู้ว่าการเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานเสียหายแล้ว ทำให้ฉันระลึกถึงความจริงฝ่ายวิญญาณอย่างชัดแจ้ง บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราคาดหวังว่าจะได้รับกำลังหรือฤทธิ์เดชแม้ในยามที่เราไม่ได้พึ่งพาองค์พระวิญญาณ

ใน 1 เธสะโลนิกา เปาโลกล่าวถึงวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้ข่าวประเสริฐปรากฏ “มิใช่มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความไว้ใจอันเต็มเปี่ยม” (1:5) และเมื่อเราน้อมรับการอภัยจากพระเจ้า ผู้เชื่อก็สามารถเข้าถึงฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตเราได้ทันที ฤทธิ์เดชนั้นบ่มเพาะคุณลักษณะต่างๆในตัวเรา เช่น ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ (กท.5:22-23) และให้กำลังแก่เราด้วยของประทานนานาประการเพื่อรับใช้คริสตจักร รวมทั้งการสอน การให้ความช่วยเหลือ และการให้คำแนะนำ (1คร.12:28)

เปาโลเตือนผู้อ่านว่าเป็นไปได้ที่จะ “ดับพระวิญญาณ” (1ธส.5:19) เราอาจจำกัดฤทธิ์เดชของพระวิญญาณได้ โดยการไม่ใส่ใจในการสถิตอยู่ของพระเจ้าหรือปฏิเสธการทรงทำให้รู้แจ้งในเรื่องความผิด (ยน.16:8) แต่เราไม่ต้องดำเนินชีวิตที่ขาดการเชื่อมต่อกับพระองค์ เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นมีให้กับลูกๆของพระองค์ทุกเวลา

ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อแรงของลมพายุเฮอร์ริเคนเปลี่ยนการไหลของกระแสน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้อันกว้างใหญ่ ในเดือนสิงหาคม 2021 เฮอร์ริเคนไอด้าขึ้นฝั่งที่หลุยเซียน่า และทำให้เกิดสิ่งประหลาดคือ “กระแสน้ำเชิงลบ” หมายถึงการที่สายน้ำไหล ทวนกระแส เป็นเวลาหลายชั่วโมง

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในวงจรชีวิตของเฮอร์ริเคนหนึ่งลูกสามารถสร้างพลังงานได้เทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ถึงหนึ่งหมื่นลูก! พลังอันน่าทึ่งที่เปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำช่วยทำให้ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของชนชาติอิสราเอลต่อ “กระแสน้ำเชิงลบ” ที่มีความสำคัญยิ่งกว่าและถูกบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ

ขณะหนีจากชาวอียิปต์ที่กดขี่พวกเขามาหลายศตวรรษ ชนชาติอิสราเอลมาถึงริมทะเลแดง ด้านหน้าของพวกเขาเป็นทะเลกว้างและด้านหลังของพวกเขาคือกองทัพอียิปต์ที่แต่งชุดหุ้มเกราะเป็นอย่างดี ในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้นี้ “พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืนทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง...ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล” (อพย.14:21-22) เมื่อได้รับการช่วยชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ “ประชากรก็เกรงกลัวพระเจ้า” (ข้อ 31)

การตอบสนองด้วยความรู้สึกยำเกรงเป็นเรื่องปกติหลังจากได้ประสบกับฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น พวกอิสราเอลยังได้ “เชื่อถือพระเจ้า” ด้วย (ข้อ 31) เมื่อเรามีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เราเองก็สามารถยืนด้วยความยำเกรงต่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเชื่อวางใจในพระองค์

ใช้ชีวิตในเสรีภาพ

ในรัฐเท็กซัสที่ฉันเติบโตมา ทุกๆวันที่ 19 มิถุนายนจะมีขบวนพาเหรดและการปิกนิกในชุมชนคนผิวดำ จนเมื่อฉันโตเป็นวัยรุ่นจึงได้รู้ถึงความสำคัญอันน่าเศร้าใจของการเฉลิมฉลองวันจูนทีนธ์ (เป็นการรวมคำภาษาอังกฤษที่หมายถึง “มิถุนายน” และ “สิบเก้า”) วันจูนทีนธ์เป็นการรำลึกถึงวันหนึ่งในค.ศ. 1865 ที่ผู้อยู่ในสถานะทาสในรัฐเท็กซัสได้รู้ว่าประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ลงนามในคำประกาศเลิกทาสทำให้พวกเขามีเสรีภาพเมื่อสองปีครึ่งก่อนหน้านั้น ผู้อยู่ในสถานะทาสในเท็กซัสยังคงใช้ชีวิตเป็นทาสต่อไปเพราะไม่รู้ว่าพวกตนเป็นอิสระแล้ว

เป็นไปได้ที่บางคนได้รับเสรีภาพแล้วแต่ยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงทาส ในกาลาเทียเปาโลบันทึกเกี่ยวกับการเป็นทาสอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือการใช้ชีวิตภายใต้ข้อเรียกร้องอันเคร่งครัดของกฎเกณฑ์ทางศาสนา ในข้อพระธรรมสำคัญนี้เปาโลหนุนน้ำใจผู้อ่านของท่านว่า “เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่นและอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย” (กท.5:1) ผู้เชื่อในพระเยซูได้ถูกปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ภายนอก อันหมายรวมถึงสิ่งที่เขากินได้และคนที่เขาสามารถคบหาได้ แต่อย่างไรก็ตาม คนมากมายยังคงใช้ชีวิตราวกับว่าตนยังเป็นทาส

น่าเศร้าใจที่ทุกวันนี้เราก็อาจทำเช่นนั้นอยู่ แต่ความเป็นจริงคือในวินาทีที่เราเชื่อวางใจในพระเยซู พระองค์ทรงปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากการใช้ชีวิตในความกลัวแห่งมาตรฐานทางศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้น เสรีภาพได้ถูกประกาศแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีเสรีภาพในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

ต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน

ในขณะที่ครอบครัวของเราต้องกักตัวเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดในทั่วโลกนั้น เราได้เริ่มโครงการแห่งความทะเยอทะยานในการต่อจิ๊กซอว์ 18,000 ชิ้น! แม้เราจะต่อมันเกือบทุกวัน แต่ก็มักจะรู้สึกว่างานของเราไม่คืบหน้าเท่าไหร่ ห้าเดือนถัดมา ในที่สุดเราก็ได้ฉลองการวางชิ้นส่วนสุดท้ายบนภาพจิ๊กซอว์ขนาด 2.4 x 1.8 เมตรที่อยู่บนพื้นห้องอาหารของเรา

บางครั้งชีวิตของฉันก็รู้สึกคล้ายภาพจิ๊กซอว์ขนาดยักษ์ ที่ชิ้นส่วนหลายชิ้นอยู่ในที่ทางของมัน แต่มีอีกมากมายหลายชิ้นยังกระจัดกระจายอยู่บนพื้น แม้จะรู้ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงฉันให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บางครั้งก็ยากที่จะเห็นความคืบหน้าอย่างชัดเจน

คำหนุนใจของเปาโลในจดหมายที่เขียนถึงชาวฟีลิปปีช่วยให้ฉันมีกำลังใจอย่างมาก เมื่อท่านบอกว่าท่านอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วยความยินดีเนื่องจากการดีที่พวกเขาได้ทำ (1:3-4) แต่ความมั่นใจของท่านไม่ได้อยู่ที่ความสามารถของพวกเขา แต่อยู่ในพระเจ้า ท่านเชื่อว่า “พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้...จะทรงกระทำให้สำเร็จ” (ข้อ 6) พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทำงานของพระองค์ให้สำเร็จภายในเรา เช่นเดียวกับการต่อจิ๊กซอว์ที่มีบางส่วนอาจยังต้องการความเอาใจใส่จากเรา และจะมีช่วงเวลาที่ดูเหมือนเราไม่คืบหน้ามากนัก แต่เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้าของเราผู้ทรงสัตย์ซื่อจะยังคงต่อชิ้นส่วนเหล่านี้เข้าด้วยกัน

การนำด้วยความรัก

ในวิดีโอที่ถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายเป็นเรื่องของแม่หมีที่พยายามพาลูกหมีจอมซนทั้งสี่ตัวของเธอข้ามถนนที่วุ่นวายนั้นทำให้ฉันยิ้มด้วยความเข้าใจ ช่างเป็นความรู้สึกร่วมที่มีความสุขขณะที่ดูแม่หมีอุ้มลูกหมีข้ามถนนทีละตัว แล้วลูกหมีเหล่านั้นก็เดินกลับมาฝั่งเดิม หลังจากความพยายามที่ดูน่าหงุดหงิดอยู่หลายครั้ง แม่หมีก็สามารถจัดการลูกหมีทั้งสี่ตัวให้ข้ามถนนไปได้อย่างปลอดภัย

ภาพของการทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของแม่หมีที่ปรากฏในวิดีโอนั้นตรงกับภาพที่เปาโลใช้อธิบายความห่วงใยของท่านที่มีต่อคนในคริสตจักรเมืองเธสะโลนิกา แทนที่จะเน้นย้ำถึงสิทธิอำนาจของท่าน เปาโลกลับเปรียบเทียบงานของท่านท่ามกลางพวกเขาว่าเป็นดังพ่อแม่ที่ห่วงใยลูก (1 ธส.2:7,11) ความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อชาวเธสะโลนิกา (ข้อ 8) ผลักดันให้เปาโลคอยหนุนใจ ปลอบโยน และผลักดันให้พวกเขา “ใช้ชีวิตอย่างสมควรต่อพระเจ้า” (ข้อ 12) การเรียกร้องอย่างแน่วแน่ให้พวกเขาใช้ชีวิตในทางของพระเจ้านั้น เกิดจากความปรารถนาที่เปี่ยมด้วยความรักของท่านที่อยากจะเห็นพวกเขาถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกด้านของชีวิต

ตัวอย่างของเปาโลสามารถเป็นแนวทางในการเป็นผู้นำให้กับเราได้ โดยเฉพาะในเวลาที่บทบาทความรับผิดชอบนั้นทำให้เราเหนื่อยล้า เราสามารถรักคนเหล่านั้นที่อยู่ในการดูแลของเราอย่างอ่อนโยนและมั่นคงได้ ด้วยการเสริมกำลังจากพระวิญญาณของพระเจ้าเมื่อเราหนุนใจและนำพวกเขามาหาพระเยซู

รอยแต้มสีแดง

ขณะเดินชมงานศิลปะที่หอศิลป์แห่งชาติสก็อตแลนด์ ฉันถูกดึงดูดด้วยภาพวาดสีสันสดใสของต้นมะกอกเทศภาพหนึ่งในหลายๆภาพของศิลปินชาวดัทช์ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าผลงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของพระเยซูในสวนเกทเสมนีบนภูเขามะกอกเทศ สิ่งที่จับสายตาของฉันเป็นพิเศษจากภาพวาดบนผืนผ้าใบก็คือรอยแต้มเล็กๆสีแดงท่ามกลางต้นมะกอกเทศโบราณ

ที่ได้ชื่อว่าภูเขามะกอกเทศนั้นก็เพราะมีต้นมะกอกเทศมากมายบนภูเขาพระเยซูเสด็จไปที่นั่นเพื่ออธิษฐานในคืนที่พระองค์ทรงทำนายว่า ยูดาสหนึ่งในพวกสาวกจะทรยศพระองค์ พระเยซูทรงท่วมท้นด้วยความทุกข์ เพราะทรงรู้ว่าการทรยศนั้นจะนำไปสู่การถูกตรึงที่กางเขน ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน “พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” (ลก.22:44) ความทุกข์ใจของพระเยซูปรากฏให้เห็นชัดเจนในสวน ขณะที่ทรงเตรียมรับความเจ็บปวดและความอับอายของการถูกประหารในที่สาธารณะ ซึ่งพระองค์จะต้องทรงหลั่งพระโลหิตในวันศุกร์ประเสริฐเมื่อนานมาแล้ว

รอยแต้มสีแดงบนภาพวาดของแวนโก๊ะห์เตือนเราว่า พระเยซูทรงต้อง “ทนทุกข์ทรมานหลายประการ...และไม่ได้รับการยอมรับ” (มก.8:31) แม้ว่าการทนทุกข์ทรมานนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวของพระองค์ แต่มันก็ไม่ได้มีอิทธิพลเหนือภาพนั้นอีกต่อไป ชัยชนะเหนือความตายของพระเยซูได้เปลี่ยนความทุกข์ของเรา และให้มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของภาพอันงดงามของชีวิตเราที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้น

การสถิตที่ทรงพลานุภาพของพระเจ้า

ในปี 2020 การเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่สิบเก้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้สิทธิแก่สตรีในการออกเสียงลงคะแนนภาพถ่ายเก่าๆแสดงให้เห็นผู้เดินขบวนพร้อมป้ายที่ประดับด้วยถ้อยคำจากพระธรรมสดุดี 68:11 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวจนะ พวกผู้หญิงที่นำข่าวดีก็เป็นพวกใหญ่โต”

ในพระธรรมสดุดี 68 กษัตริย์ดาวิดพรรณนาถึงการที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่นำผู้ถูกกดขี่ออกจากการเป็นเชลย (ข้อ 6) ทรงช่วยผู้คนของพระองค์ที่อ่อนล้าให้สดชื่นและได้รับการฟื้นฟูจากความมั่งคั่งอันอุดมของพระองค์ (ข้อ 9-10) ในพระธรรมสามสิบห้าข้อของสดุดีบทนี้ กษัตริย์ดาวิดทรงกล่าวถึงพระเจ้าสี่สิบสองครั้ง โดยเปิดเผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขาตลอดเวลาอย่างไร ทรงกระทำการเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากความอยุติธรรมและความทุกข์ยากลำบาก และสตรีจำนวนมากประกาศความจริงนี้ (ข้อ 11)

ไม่ว่าผู้หญิงที่เดินขบวนเพื่อสิทธิในการออกเสียงจะเข้าใจทุกสิ่งที่สดุดีบทที่ 68 ป่าวประกาศหรือไม่ ป้ายของพวกเธอก็ได้ประกาศความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาว่า พระเจ้า “ทรงเป็นพระบิดาของลูกกำพร้า” และ “ทรงเป็นผู้ป้องกันหญิงม่าย” (ข้อ 5) เสด็จนำหน้าประชากรของพระองค์ไปยังแผ่นดินแห่งพระพร ความสดชื่น และความปีติยินดี

ขอให้เราได้รับการหนุนใจ โดยระลึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์เสมอ และทรงสถิตกับคนอ่อนแอและคนที่ทุกข์ยากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับในอดีต พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับเราอย่างทรงพลานุภาพในวันนี้ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์

ความรักอันเปรมปรีดิ์

เบร็นแดนและเคธี่ยิ้มกว้างให้แก่กัน เมื่อมองดูความปลื้มปีติบนใบหน้าของพวกเขาแล้ว คุณจะคาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาต้องปรับเปลี่ยนแผนการแต่งงานมากมายด้วยความยากลำบากเพราะข้อบังคับของโรคโควิด 19 แม้จะมีสมาชิกครอบครัวเข้าร่วมเพียง 25 คน แต่สันติสุขและความชื่นชมยินดีกลับเปล่งประกายจากทั้งคู่ขณะที่พวกเขากล่าวคำปฏิญาณเพราะความรักที่พวกเขามีให้กัน และแสดงออกถึงความชื่นชมยินดีต่อความรักของพระเจ้าที่ค้ำจุนพวกเขา

ภาพของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่ปีติยินดีในกันและกันเป็นภาพที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ใช้ เพื่ออธิบายความยินดีและความรักของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ ในบทกวีอันไพเราะที่อธิบายการช่วยกู้ที่พระเจ้าทรงสัญญานั้นอิสยาห์ย้ำเตือนผู้อ่านว่า การช่วยกู้ที่พระเจ้ามอบให้พวกเขานั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของการอาศัยอยู่ในโลกที่แตกสลายนี้ เพื่อเล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ นำความชื่นชมยินดีมาสู่ผู้ไว้ทุกข์ และการจัดเตรียมสำหรับผู้ขาดแคลน (อสย.61:1-3) เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยินดีในความรักซึ่งกันและกันฉันใด พระเจ้าทรงเสนอความช่วยเหลือแก่คนของพระองค์เพราะ “พระเจ้าของเจ้าจะเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น” (62:5)

ความจริงอันอัศจรรย์คือพระเจ้าทรงชื่นชมยินดีในพวกเราและต้องการมีความสัมพันธ์กับเรา แม้ในยามที่เราลำบากเพราะผลจากการอาศัยอยู่ในโลกที่แตกสลาย เรายังคงมีพระเจ้าที่รักเรา ไม่ใช่ด้วยความขมขื่นใจ แต่ด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความรักมั่นคงที่ “ดำรงเป็นนิตย์” (สดด.136:1)

รักที่ให้อภัย

แปดสิบปีของการแต่งงาน! ปู่ทวดพีทและย่าทวดรูธของสามีฉันฉลองวาระพิเศษนี้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 หลังจากได้มีโอกาสพบกันในปี 1941 ขณะที่รูธยังเรียนมัธยมปลาย หนุ่มสาวคู่นี้กระตือรือร้นที่จะแต่งงานกันมากจนหนีตามกันไปหลังจากที่รูธจบการศึกษา พีทและรูธเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขามาอยู่ร่วมกันและทรงนำพาในตลอดปีเดือนที่ผ่านมานี้

เมื่อใคร่ครวญถึงเวลาแปดทศวรรษของชีวิตแต่งงาน พีทและรูธต่างเห็นพ้องต้องกันว่ากุญแจดอกเดียวในการรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาคือ การตัดสินใจเลือกที่จะอภัย ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งจะเข้าใจดีว่าเราทุกคนต้องการการอภัยอยู่เสมอ จากการที่เราทำร้ายกันและกันในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดที่ไร้ความปราณี การผิดสัญญา หรืองานที่ลืมทำ

มีพระธรรมตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้เชื่อในพระเยซูอยู่ร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เปาโลกล่าวถึงบทบาทสำคัญของการให้อภัย เมื่อหนุนใจให้ผู้อ่านเลือก “ใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) เปาโลหนุนใจเพิ่มเติมอีกว่า “ถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน จงยกโทษให้กันและกัน” (ข้อ 13) ที่สำคัญที่สุด ปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างพวกเขาต้องมีความรักเป็นเครื่องนำทาง (ข้อ 14)

ความสัมพันธ์ทั้งหลายที่หล่อหลอมให้เรามีคุณลักษณะตามที่เปาโลระบุไว้นั้นคือพระพร ขอพระเจ้าทรงช่วยเราทุกคนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรักและการให้อภัย

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา