มีค่ายิ่งกว่าทองคำ
คุณเคยดูสินค้าราคาถูกที่นำมาเปิดท้ายขายของแล้วฝันว่าคุณจะพบของมีค่าอย่างเหลือเชื่อไหม มันเกิดขึ้นที่รัฐคอนเนคทิคัต เมื่อชามโบราณลายดอกไม้จีนที่ซื้อในราคาพันกว่าบาท ได้ถูกขายในงานประมูลในปี 2021
ด้วยราคากว่ายี่สิบสามล้านบาท ของชิ้นนี้กลายเป็นศิลปวัตถุชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่หายากจากศตวรรษที่ 15 เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าทึ่งว่าสิ่งที่บางคนมองว่ามีค่าเพียงเล็กน้อยกลับมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่
เปโตรเขียนถึงผู้เชื่อที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกเวลานั้น ท่านอธิบายว่าความเชื่อของพวกเขาในพระเยซูคือความเชื่อในพระองค์ผู้ซึ่งถูกปฏิเสธโดยสังคมส่วนใหญ่ ถูกดูหมิ่นโดยผู้นำทางศาสนาชาวยิวและถูกตรึงกางเขนโดยรัฐบาลโรม พระคริสต์ถูกคนจำนวนมากมองว่าไร้ค่าเพราะไม่ทรงตอบสนองความคาดหวังและความปรารถนาของพวกเขา แต่ถึงแม้คนอื่นจะเมินเฉยต่อคุณค่าของพระเยซู แต่พระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้า “ทรงเลือกไว้และทรงค่าอันประเสริฐ” (1ปต.2:4) คุณค่าของพระองค์ที่มีต่อเรามีค่ายิ่งกว่าเงินหรือทอง (1:18-19) และเราได้รับการรับรองว่า ผู้ใดที่เลือกเชื่อวางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับความอับอายในสิ่งที่ตนเลือก (2:6)
เมื่อคนอื่นมองว่าพระเยซูไร้ค่า ขอให้เราลองมองอีกครั้ง พระวิญญาณของพระเจ้าทรงช่วยให้เราเห็นของประทานอันประเมินค่ามิได้จากพระคริสต์ ผู้ประทานคำเชื้อเชิญอันมีค่าแก่ทุกคนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า (ข้อ 10)
ความหวังสำหรับผู้ที่เจ็บปวด
“คนส่วนใหญ่มีรอยแผลเป็นที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจ” คำพูดที่ออกมาจากใจส่วนลึกนี้มาจากผู้เล่นเบสบอลเมเจอร์ลีกชื่อแอนเดรลตัน ซิมมอนส์ ผู้เลือกที่จะไม่ลงแข่งในฤดูกาลปกติเมื่อปลายปี 2020 เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพจิต เมื่อซิมมอนส์ทบทวนถึงการตัดสินใจนั้น เขารู้สึกว่าจะต้องแบ่งปันเรื่องราวของเขาเพื่อหนุนใจผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่คล้ายกันนี้และเพื่อเตือนคนอื่นๆให้แสดงความเห็นใจ
แผลเป็นที่ซ่อนอยู่นั้นคือความเจ็บปวดและบาดแผลในส่วนลึก ที่แม้มองไม่เห็นแต่ก็ยังเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ในสดุดี 6 ดาวิดเขียนถึงความทุกข์ลำบากยิ่งของตน ด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตรงไปตรงมา ท่านอยู่ใน “ความปวดร้าวแสนสาหัส” (ข้อ 2 TNCV) และ “ทุกข์ยากลำบากอย่างยิ่ง” (ข้อ 3) ท่าน “อ่อนเปลี้ย” จากการคร่ำครวญและที่เอนกายก็ชุ่มไปด้วยน้ำตา (ข้อ 6) แม้ดาวิดไม่ได้พูดถึงสาเหตุของความทุกข์ทนนี้ แต่เราหลายคนก็เข้าใจได้ถึงความเจ็บปวดของท่าน
เราเองก็อาจได้รับการหนุนใจจากท่าทีที่ดาวิดตอบสนองต่อความเจ็บปวดท่ามกลางความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้นนี้ ดาวิดได้ร้องทูลต่อพระเจ้า ท่านเทใจอธิษฐานขอการรักษา (ข้อ 2) การช่วยให้รอด (ข้อ 4) และความเมตตา (ข้อ 9 TNCV) แม้ยังมีคำถามที่ว่า “อีกนานสักเท่าใด” (ข้อ 3) กับเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้น แต่ดาวิดยังคงมั่นใจว่าพระเจ้า “ทรงได้ยินเสียงร้องทูลขอความเมตตาของข้าพเจ้า” (ข้อ 9 TNCV) และพระองค์จะตอบในเวลาของพระองค์ (ข้อ 10) เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นเช่นนี้ เราจึงมีความหวังอยู่เสมอ
รู้จักพระเจ้า
เมื่อไปเยือนไอร์แลนด์ ฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการประดับตกแต่งไปทั่วด้วยใบแชมร็อกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ พืชไม้ดอกที่มีกลีบใบสีเขียวเล็กๆสามกลีบพบเห็นได้ในร้านค้าทุกแห่ง บนข้าวของทุกอย่าง เสื้อผ้า หมวก เครื่องประดับและอื่นๆ!
ยิ่งกว่าการเป็นพืชไม้ดอกที่แพร่หลายทั่วไอร์แลนด์ ใบแชมร็อกนั้นได้รับการยอมรับมาหลายยุคสมัยว่าเป็นรูปแบบง่ายๆในการอธิบายถึงตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นหลักข้อเชื่อสำคัญของคริสเตียนในประวัติศาสตร์ ที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์โดยทรงปรากฏในสามบุคคลที่แยกจากกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรและพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขณะที่คำอธิบายทั้งหมดของมนุษย์เกี่ยวกับตรีเอกานุภาพนั้นไม่สมบูรณ์ แต่ใบแชมร็อกก็เป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้เข้าใจ เพราะมันเป็นพืชใบหนึ่งสายพันธุ์ที่เกิดจากลำต้นเดียวกัน โดยมีกลีบใบแยกจากกันสามกลีบ
คำว่า ตรีเอกานุภาพ ไม่มีในพระคัมภีร์ แต่เป็นการสรุปความจริงทางศาสนศาสตร์ที่เราเห็นอย่างชัดเจนในพระวจนะตอนต่างๆเมื่อมีบุคคลทั้งสามในตรีเอกานุภาพปรากฏในเวลาเดียวกัน ขณะที่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้ารับบัพติศมา จะเห็นพระเจ้าพระวิญญาณเสด็จลงมาจากฟ้าสวรรค์ “ดุจนกพิราบ” แล้วได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าพระบิดาว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา” (มก.1:10-11)
ชาวไอริชที่เชื่อในพระเยซูใช้ใบแชมร็อกเพราะต้องการช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า เมื่อเราเข้าใจความงดงามของตรีเอกานุภาพอย่างถ่องแท้มากขึ้น ก็จะช่วยให้เรารู้จักพระเจ้าและนมัสการพระองค์ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น “ด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยน.4:24)
เดียวดายแต่ไม่ถูกลืม
เมื่อคุณฟังเรื่องราวของพวกเขา เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นนักโทษคือความโดดเดี่ยวและความเหงา อันที่จริงแล้ว มีการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่านักโทษส่วนใหญ่ไม่ว่าจะถูกจองจำนานแค่ไหน จะมีเพื่อนหรือผู้ที่รักมาเยี่ยมเพียง 2 ครั้งในตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในห้องขัง ความเหงาจึงเป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ผมคิดภาพว่าโยเซฟคงรู้สึกเจ็บปวดขณะที่อยู่ในเรือนจำ ท่านถูกกล่าวโทษความผิดอย่างไม่เป็นธรรม ท่านมีความหวังอันริบหรี่จากการที่พระเจ้าทรงช่วยให้ท่านแก้ความฝันได้อย่างถูกต้องให้กับเพื่อนผู้ต้องขังที่บังเอิญเป็นคนที่กษัตริย์ไว้วางใจ โยเซฟบอกกับเขาว่า เขาจะได้กลับไปรับตำแหน่งเดิมและขอให้คนนั้นบอกกับฟาโรห์เรื่องของโยเซฟเพื่อโยเซฟจะได้รับอิสรภาพ (ปฐก.40:14) แต่ชายคนนั้น “มิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” (ข้อ 23) โยเซฟต้องรออีกสองปี ในช่วงสองปีแห่งการรอคอยโดยไม่มีสัญญาณใดว่าสถานการณ์ของท่านจะเปลี่ยนแปลง โยเซฟไม่เคยอยู่ตัวคนเดียว เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับท่าน ในที่สุด คนรับใช้ของฟาโรห์ก็จำได้ถึงคำสัญญาของเขาและโยเซฟก็ได้ถูกปล่อยตัวหลังจากแก้ความฝันได้ถูกต้องอีกครั้ง (41:9-14)
ไม่ว่าสถานการณ์อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเราถูกลืม และความรู้สึกเหงาหรือเดียวดายใดๆที่คืบคลานเข้ามา เราสามารถยึดพระสัญญาที่พระเจ้าทรงยืนยันกับลูกๆของพระองค์ไว้ได้ว่า “เราจะไม่ลืมเจ้า” (อสย.49:15)
ระลึกถึงในคำอธิษฐาน
มัลคอล์ม เคลาต์ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับพระราชทานเหรียญ Maundy Money ประจำปี 2021 จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับงานปรนนิบัตรับใช้ที่มอบให้กับชายหญิงชาวอังกฤษเป็นประจำทุกปี เคลาต์ ผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีในปีนั้นที่เขาได้รับเหรียญจากการแจกพระคัมภีร์จำนวนหนึ่งพันเล่มตลอดชีวิตของเขา และเขาได้จดรายชื่อของทุกคนที่ได้รับพระคัมภีร์ไว้และอธิษฐานเผื่อพวกเขาเป็นประจำ
ความสัตย์ซื่อในการอธิษฐานของเคลาต์เป็นตัวอย่างอันทรงพลังของความรักแบบที่เราพบตลอดงานเขียนของเปาโลในพันธสัญญาใหม่ เปาโลมักจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้รับจดหมายว่าท่านอธิษฐานเผื่อพวกเขาเป็นประจำ ท่านเขียนถึงฟีเลโมนสหายของท่านว่า “เมื่อข้าพเจ้านึกถึงท่านในคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ” (ฟม.1:4 TNCV) และในจดหมายถึงทิโมธี เปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานอยู่เสมอทั้งวันทั้งคืน” (2ทธ.1:3 TNCV) ส่วนคริสตจักรในกรุงโรม เปาโลย้ำว่าท่านระลึกถึงพวกเขาในคำอธิษฐาน “เสมอ” และ “ทุกครั้ง” (รม.1:9-10 TNCV)
แม้ว่าเราอาจไม่มีผู้คนนับพันให้อธิษฐานเผื่อเหมือนเคลาต์ แต่การตั้งใจอธิษฐานเผื่อคนที่เรารู้จักนั้นมีพลัง เพราะพระเจ้าทรงตอบสนองต่อท่าทีในการอธิษฐานเช่นนั้น เมื่อพระวิญญาณทรงกระตุ้นเตือนให้อธิษฐานเผื่อใครบางคน ฉันพบว่าปฏิทินอธิษฐานแบบเรียบง่ายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ การแบ่งรายชื่อเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ในปฏิทินช่วยให้ฉันอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ ช่างเป็นการสำแดงความรักที่สวยงามเมื่อเราระลึกถึงผู้อื่นในคำอธิษฐาน
เสริมกำลังในทุกวัน
บริสุทธิ์ทุกโมงยาม เป็นหนังสือคำอธิษฐานที่ดีสำหรับกิจกรรมต่างๆรวมถึงเรื่องทั่วไป เช่น การเตรียมอาหารหรือซักผ้า การงานที่จำเป็นต่างๆ ซึ่งเราอาจรู้สึกจำเจหรือเป็นเรื่องสามัญ หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของจี.เค.เชสเตอร์ตัน ผู้เขียนที่กล่าวว่า “ท่านอธิษฐานก่อนมื้ออาหาร นั่นก็ดี แต่ข้าพเจ้าอธิษฐานก่อนร่างภาพ ระบายสี ว่ายน้ำ ฟันดาบ ชกมวย เดิน เล่น เต้นรำ และก่อนที่ข้าพเจ้าจะจุ่มปากกาลงในหมึก”
คำหนุนใจเช่นนั้นปรับมุมมองเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆในสมัยของฉัน บางครั้งฉันมักจำแนกกิจกรรมต่างๆ ออกเป็นกิจกรรมที่ดูมีคุณค่าฝ่ายวิญญาณ เช่น การอ่านบทเฝ้าเดี่ยวก่อนรับประทานอาหาร และบางกิจกรรมที่มีคุณค่าฝ่ายวิญญาณเพียงเล็กน้อย เช่น การล้างจาน ในจดหมายที่เปาโลเขียนถึงชาวโคโลสีผู้เลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเยซูนั้น ท่านได้ขจัดเอาการแบ่งแยกนี้ออกไป ท่านหนุนใจพวกเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ “และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า” (3:17) การทำสิ่งต่างๆในพระนามของพระเยซูหมายถึงทั้งการถวายเกียรติแด่พระองค์ขณะที่เราทำสิ่งเหล่านั้น และมั่นใจว่าพระวิญญาณของพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เราทำสิ่งนั้นสำเร็จ
“เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใด” กิจกรรมธรรมดาทุกอย่างในชีวิตของเราในทุกช่วงเวลานั้น จะได้รับการเสริมกำลังจากพระวิญญาณของพระเจ้าและกระทำให้สำเร็จได้ในหนทางที่ถวายเกียรติแด่พระเยซู
เชื่อมต่อกับแหล่งแห่งฤทธิ์เดช
แม้รู้ว่าหลังเกิดพายุรุนแรง ไฟฟ้าจะใช้ไม่ได้ในบ้านของเรา (เหตุการณ์ปกติที่ไม่สะดวกในละแวกบ้านเรา) แต่เมื่อเข้าไปในห้อง ฉันก็กดสวิตช์เปิดไฟตามสัญชาตญาณ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นความมืดมิดยังคงปกคลุมรอบตัวฉัน
ประสบการณ์ดังกล่าว คือการคาดหวังว่าจะมีแสงสว่างแม้ในขณะที่รู้ว่าการเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานเสียหายแล้ว ทำให้ฉันระลึกถึงความจริงฝ่ายวิญญาณอย่างชัดแจ้ง บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราคาดหวังว่าจะได้รับกำลังหรือฤทธิ์เดชแม้ในยามที่เราไม่ได้พึ่งพาองค์พระวิญญาณ
ใน 1 เธสะโลนิกา เปาโลกล่าวถึงวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้ข่าวประเสริฐปรากฏ “มิใช่มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความไว้ใจอันเต็มเปี่ยม” (1:5) และเมื่อเราน้อมรับการอภัยจากพระเจ้า ผู้เชื่อก็สามารถเข้าถึงฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตเราได้ทันที ฤทธิ์เดชนั้นบ่มเพาะคุณลักษณะต่างๆในตัวเรา เช่น ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ (กท.5:22-23) และให้กำลังแก่เราด้วยของประทานนานาประการเพื่อรับใช้คริสตจักร รวมทั้งการสอน การให้ความช่วยเหลือ และการให้คำแนะนำ (1คร.12:28)
เปาโลเตือนผู้อ่านว่าเป็นไปได้ที่จะ “ดับพระวิญญาณ” (1ธส.5:19) เราอาจจำกัดฤทธิ์เดชของพระวิญญาณได้ โดยการไม่ใส่ใจในการสถิตอยู่ของพระเจ้าหรือปฏิเสธการทรงทำให้รู้แจ้งในเรื่องความผิด (ยน.16:8) แต่เราไม่ต้องดำเนินชีวิตที่ขาดการเชื่อมต่อกับพระองค์ เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นมีให้กับลูกๆของพระองค์ทุกเวลา
ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อแรงของลมพายุเฮอร์ริเคนเปลี่ยนการไหลของกระแสน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้อันกว้างใหญ่ ในเดือนสิงหาคม 2021 เฮอร์ริเคนไอด้าขึ้นฝั่งที่หลุยเซียน่า และทำให้เกิดสิ่งประหลาดคือ “กระแสน้ำเชิงลบ” หมายถึงการที่สายน้ำไหล ทวนกระแส เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในวงจรชีวิตของเฮอร์ริเคนหนึ่งลูกสามารถสร้างพลังงานได้เทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ถึงหนึ่งหมื่นลูก! พลังอันน่าทึ่งที่เปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำช่วยทำให้ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของชนชาติอิสราเอลต่อ “กระแสน้ำเชิงลบ” ที่มีความสำคัญยิ่งกว่าและถูกบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ
ขณะหนีจากชาวอียิปต์ที่กดขี่พวกเขามาหลายศตวรรษ ชนชาติอิสราเอลมาถึงริมทะเลแดง ด้านหน้าของพวกเขาเป็นทะเลกว้างและด้านหลังของพวกเขาคือกองทัพอียิปต์ที่แต่งชุดหุ้มเกราะเป็นอย่างดี ในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้นี้ “พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืนทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง...ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล” (อพย.14:21-22) เมื่อได้รับการช่วยชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ “ประชากรก็เกรงกลัวพระเจ้า” (ข้อ 31)
การตอบสนองด้วยความรู้สึกยำเกรงเป็นเรื่องปกติหลังจากได้ประสบกับฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น พวกอิสราเอลยังได้ “เชื่อถือพระเจ้า” ด้วย (ข้อ 31) เมื่อเรามีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เราเองก็สามารถยืนด้วยความยำเกรงต่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเชื่อวางใจในพระองค์
ใช้ชีวิตในเสรีภาพ
ในรัฐเท็กซัสที่ฉันเติบโตมา ทุกๆวันที่ 19 มิถุนายนจะมีขบวนพาเหรดและการปิกนิกในชุมชนคนผิวดำ จนเมื่อฉันโตเป็นวัยรุ่นจึงได้รู้ถึงความสำคัญอันน่าเศร้าใจของการเฉลิมฉลองวันจูนทีนธ์ (เป็นการรวมคำภาษาอังกฤษที่หมายถึง “มิถุนายน” และ “สิบเก้า”) วันจูนทีนธ์เป็นการรำลึกถึงวันหนึ่งในค.ศ. 1865 ที่ผู้อยู่ในสถานะทาสในรัฐเท็กซัสได้รู้ว่าประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ลงนามในคำประกาศเลิกทาสทำให้พวกเขามีเสรีภาพเมื่อสองปีครึ่งก่อนหน้านั้น ผู้อยู่ในสถานะทาสในเท็กซัสยังคงใช้ชีวิตเป็นทาสต่อไปเพราะไม่รู้ว่าพวกตนเป็นอิสระแล้ว
เป็นไปได้ที่บางคนได้รับเสรีภาพแล้วแต่ยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงทาส ในกาลาเทียเปาโลบันทึกเกี่ยวกับการเป็นทาสอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือการใช้ชีวิตภายใต้ข้อเรียกร้องอันเคร่งครัดของกฎเกณฑ์ทางศาสนา ในข้อพระธรรมสำคัญนี้เปาโลหนุนน้ำใจผู้อ่านของท่านว่า “เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่นและอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย” (กท.5:1) ผู้เชื่อในพระเยซูได้ถูกปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ภายนอก อันหมายรวมถึงสิ่งที่เขากินได้และคนที่เขาสามารถคบหาได้ แต่อย่างไรก็ตาม คนมากมายยังคงใช้ชีวิตราวกับว่าตนยังเป็นทาส
น่าเศร้าใจที่ทุกวันนี้เราก็อาจทำเช่นนั้นอยู่ แต่ความเป็นจริงคือในวินาทีที่เราเชื่อวางใจในพระเยซู พระองค์ทรงปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากการใช้ชีวิตในความกลัวแห่งมาตรฐานทางศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้น เสรีภาพได้ถูกประกาศแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีเสรีภาพในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า