ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

สายรุ้งทรงกลด

ระหว่างการเดินบนภูเขา เอเดรียนพบว่าตัวเองอยู่เหนือเมฆที่ลอยต่ำ ดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลังของเขา เมื่อมองลงไปเขาไม่เพียงเห็นเงาตัวเองเท่านั้น แต่เห็นสิ่งงดงามที่เรียกว่าบร็อคเคน สเปคเตอร์ด้วย ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนสายรุ้งทรงกลดที่เป็นวงล้อมเงาของผู้นั้น เกิดขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนกับก้อนเมฆเบื้องล่าง เอเดรียนบอกว่าเป็นช่วงเวลา “มหัศจรรย์” ที่ทำให้เขาสุขใจยิ่งนัก

เราจินตนาการได้ว่าโนอาห์คงรู้สึกตะลึงงันไม่แพ้กันเมื่อเห็นสายรุ้งเป็นครั้งแรก ไม่เพียงแค่สุขใจที่ได้เห็น แต่แสงที่หักเหและสีสันที่เกิดขึ้นนั้นมาพร้อมพระสัญญาจากพระเจ้า หลังจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าให้คำมั่นกับโนอาห์และ “บรรดา​สัตว์​ที่​มี​ชีวิต” ตั้งแต่นั้นว่า “​น้ำ​จะ​ไม่​ท่วม​ทำลาย​บรรดา​สัตว์​โลก​อีก​เลย” (ปฐก.9:15)

โลกเรายังคงประสบกับสภาวะน้ำท่วมและสภาพอากาศแปรปรวนที่ทำให้เกิดความสูญเสีย แต่สายรุ้งคือพระสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาโลกด้วยการให้น้ำท่วมทั้งโลกอีก พระสัญญาถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์นี้ช่วยเตือนเราว่า แม้เราแต่ละคนจะพบกับความสูญเสียและความตายฝ่ายร่างกายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเพราะโรคภัยไข้เจ็บ หายนะทางธรรมชาติ การกระทำผิดหรืออายุที่มากขึ้น พระเจ้าทรงหนุนเราด้วยความรักและการทรงสถิตในตลอดความยากลำบากที่เราเผชิญ แสงอาทิตย์ที่สะท้อนสีสันจากหยดน้ำเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์ ที่จะทรงเติมเต็มโลกนี้ด้วยผู้คนที่เป็นพระฉายของพระองค์และสะท้อนพระสิริของพระองค์ไปยังผู้อื่น

ร้องเพลงให้เราฟัง

พ่อวัยหนุ่มอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับร้องเพลงกล่อมและโยกตัวไปมาตามจังหวะสบายๆ ลูกของเขามีปัญหาด้านการได้ยินและไม่สามารถได้ยินทำนองหรือคำร้องได้ แต่พ่อก็ยังร้องเพลงและแสดงออกถึงความรักที่แสนอ่อนโยนต่อลูกชาย และเด็กน้อยก็ตอบแทนความพยายามของเขาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

ภาพการแลกเปลี่ยนระหว่างพ่อลูกคู่นี้มีความคล้ายคลึงกับคำพูดของเศฟัน-ยาห์ ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมว่าพระเจ้าจะร้องเพลงด้วยความชื่นบานต่อบุตรีของพระองค์ คือชาวเยรูซาเล็ม (ศฟย.3:17) พระเจ้าทรงยินดีที่ได้ทำสิ่งดีเพื่อประชากรอันเป็นที่รักของพระองค์ เช่น ล้มเลิกการพิพากษาลงโทษและขับไล่ศัตรูของพวกเขาออกไป (ข้อ 15) เศฟันยาห์กล่าวว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวอีกต่อไป แต่กลับมีเหตุผลที่จะชื่นชมยินดี

บางครั้งเราในฐานะบุตรของพระเจ้าที่ได้รับการไถ่โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็ยากที่จะได้ยิน หรือไม่สามารถ หรือบางทีก็ไม่เต็มใจที่จะปรับหูของเราเพื่อฟังบทเพลงแห่งความรักที่พระเจ้าทรงขับร้องให้เรา ความรักที่พระองค์มีต่อเราก็เหมือนกับพ่อที่ร้องเพลงให้ลูกชายฟังด้วยความรักแม้ลูกของเขาจะไม่อาจได้ยิน พระองค์ยังนำการพิพากษาไปจากเราด้วย ซึ่งทำให้เรามีเหตุผลที่จะชื่นชมยินดียิ่งขึ้นไปอีก บางทีเราอาจจะต้องพยายามเข้าไปฟังใกล้ๆเพื่อจะได้ยินพระสุรเสียงอันเปี่ยมสุขที่ดังกึกก้องของพระองค์ พระบิดา โปรดช่วยให้เราได้ยินท่วงทำนองแห่งความรักของพระองค์ และโปรดโอบอุ้มเราไว้ให้ปลอดภัยในอ้อมแขนของพระองค์

กิจกรรมแบกภาระหนัก

คาเรนเป็นครูมัธยมที่คิดกิจกรรมหนึ่งขึ้นมาเพื่อสอนนักเรียนให้มีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ใน “กิจกรรมแบกภาระหนัก” นักเรียนเขียนรายการของความหนักใจที่แต่ละคนแบกรับอยู่ จะมีการแบ่งปันข้อความเหล่านี้โดยไม่ระบุชื่อผู้เขียน เพื่อให้นักเรียนเห็นความลำบากของคนอื่น ซึ่งหลายๆเรื่องก็เรียกน้ำตาจากเพื่อนๆ ตั้งแต่นั้นมาห้องเรียนก็เต็มไปด้วยความรู้สึกของการให้เกียรติกันอย่างแท้จริงระหว่างวัยรุ่น ตอนนี้พวกเขารู้สึกเห็นใจกันมากขึ้น

ในตลอดพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงเตือนคนของพระองค์ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยการให้เกียรติและความเห็นอกเห็นใจ (รม.12:15) ประวัติศาสตร์อิสราเอลช่วงแรกในพระธรรมเลวีนิติ พระเจ้าสอนคนอิสราเอลให้มีความเห็นใจโดยเฉพาะกับคนต่างชาติ พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง” เพราะพวกเขาเองก็เคยเป็นคนต่างด้าวในอียิปต์และรู้ซึ้งถึงความลำบากนั้น (ลนต.19:34)

บางครั้งภาระที่แบกอยู่ทำให้เรารู้สึกเหมือนคนต่างชาติ คือโดดเดี่ยวและถูกเข้าใจผิดแม้แต่ในหมู่เพื่อน เราอาจไม่มีประสบการณ์เหมือนกับชาวอิสราเอลที่ได้ทำกับคนต่างชาติท่ามกลางพวกเขา แต่เราสามารถปฏิบัติต่อผู้ที่พระเจ้าทรงนำเข้ามาในเส้นทางชีวิตของเราได้ด้วยการให้เกียรติและเข้าใจเขาเหมือนที่เราปรารถนา ไม่ว่าเราจะเป็นนักเรียนมัธยมสมัยนี้ เป็นชาวอิสราเอล หรือใครก็ตาม เราก็ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเราทำเช่นนั้น

เหตุผลของการพักผ่อน

หากคุณต้องการมีชีวิตยืนยาวขึ้น จงหยุดพักผ่อน! สี่สิบปีให้หลังจากที่เคยทำการศึกษาวิจัยผู้บริหารชายวัยกลางคนซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ นักวิจัยในเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ได้ติดตามผลผู้เข้าร่วมโครงการ นักวิทยา-ศาสตร์ค้นพบบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยมองหาจากการทำวิจัยในครั้งแรก สิ่งนั้นคือผู้ที่ให้เวลากับการหยุดพักผ่อนมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่เคยลาหยุดพัก

การทำงานเป็นส่วนที่จำเป็นของชีวิต เป็นส่วนที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราแม้ก่อนที่ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์จะแตกร้าวในปฐมกาลบทที่ 3 ซาโลมอนเขียนถึงงานที่ดูเหมือนไร้ความหมายของผู้ที่ไม่ได้ทำงานเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยรับรู้ถึงการ “ตรากตรำและคร่ำเครียด”และ “ความเจ็บปวดและ...สลดใจ” (ปญจ.2:22-23) แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้กำลังทำงานแล้วก็ตามแต่ซาโลมอนตรัสว่าจิตใจของพวกเขาก็ “ไม่หยุดพักสงบ” เพราะพวกเขามัวคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำให้เสร็จ (ข้อ 23)

บางครั้งพวกเราอาจรู้สึกว่า “กินลมกินแล้ง” เช่นกัน (ข้อ 17) และรู้สึกหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถทำงานของเราให้ “เสร็จ” แต่เมื่อเราระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นส่วนหนึ่งในงานและเป็นจุดมุ่งหมายของเรา เราจึงสามารถที่จะทำงานหนักและหาเวลาหยุดพักไปพร้อมๆกัน เราไว้วางใจให้พระองค์เป็นผู้ทรงจัดเตรียมของเราได้ เพราะพระองค์ทรงประทานทุกสิ่งให้เรา ซาโลมอนรับรู้ว่า “ถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า หรือใครจะมีความชื่นบานได้” (ข้อ 25) บางทีการที่เราเตือนตัวเองถึงความจริงข้อนี้ จะทำให้เราทำงานได้อย่างขยันขันแข็งเพื่อพระองค์ (คส.3:23) และยอมให้ตัวเราเองได้มีเวลาพักผ่อนเช่นกัน

มองขึ้นข้างบน

เจ้าหมึกตาโปนอาศัยอยู่ใน “แดนสนธยา” ของมหาสมุทร ซึ่งแสงแดดแทบจะส่องทะลุระดับน้ำที่ลึกมากลงไปไม่ถึง ชื่อเล่นของปลาหมึกตัวนี้มาจากดวงตาทั้งสองข้างของมันที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยตาซ้ายของมันค่อยๆโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปจนมีขนาดใหญ่กว่าตาขวาเกือบสองเท่า นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าปลาหมึกใช้ตาขวาซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเพื่อมองฝ่าความมืดในน้ำลึก ขณะที่ตาซ้ายซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าจะใช้มองขึ้นไปด้านบนที่มีแสงแดดส่องมา

เจ้าปลาหมึกนี้เป็นภาพที่ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เหมือนกับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ของเราและอนาคตอันแน่นอนที่เรารอคอยอยู่ในฐานะผู้ที่ถูก “ชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์” (คส.3:1) ในจดหมายของเปาโลถึงชาวเมืองโคโลสี ท่านยืนยันว่าเราควร “เอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน” เพราะชีวิตของเราถูก “ซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า” (ข้อ 2-3)

ในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกซึ่งกำลังรอคอยชีวิตในสวรรค์ เราฝึกฝนที่จะจับตาดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน แต่เช่นเดียวกับตาซ้ายของปลาหมึกที่โตขึ้นตามกาลเวลาจนมีขนาดใหญ่และไวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหนือตัวมัน เราก็สามารถรับรู้ได้มากขึ้นถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์ในมิติฝ่ายวิญญาณ เราอาจจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ในพระเยซู แต่เมื่อเรามอง “ขึ้นข้างบน” ดวงตาของเราจะเริ่มมองเห็นความหมายนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ

วิ่งไปบอก

การวิ่งแข่งมาราธอนในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากเรื่องของผู้ส่งสารชาวกรีกชื่อ ฟิดิปปิเดส ตามตำนานในปี 490 ก่อนคริสตกาล เขาวิ่งเป็นระยะทางประมาณสี่สิบกิโลเมตรจากเมืองมาราธอนถึงเอเธนส์ เพื่อแจ้งข่าวชัยชนะของกรีกที่มีต่อเปอร์เซียศัตรูน่าเกรงขามที่มารุกราน ทุกวันนี้ผู้คนวิ่งมาราธอนเพื่อความพึงพอใจส่วนตัวในการบรรลุเป้าหมายทางกีฬา แต่ฟิดิปปิเดสมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังความพยายามของเขา เขาวิ่งด้วยความยินดีในทุกฝีเท้าเพื่อนำข่าวดีไปยังพี่น้องร่วมชาติ!

ห้าร้อยปีต่อมา ผู้หญิงสองคนวิ่งเพื่อไปบอกข่าวดีเช่นกัน ซึ่งเป็นข่าวที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อนางมารีย์และมารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูหลังจากถูกตรึง แต่พบว่ามันว่างเปล่า ทูตสวรรค์บอกพวกเธอว่าพระเยซูทรง “เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” และ “จงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์” (มธ.28:7) พวกเธอ “ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก” วิ่งไปบอกพวกสาวกถึงสิ่งที่เจอ (ข้อ 8)

ขอให้เรามีความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้นในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเช่นกัน และให้ความยินดีนี้ทำให้เรามีกำลังในการแบ่งปันข่าวดีกับผู้อื่น เราอาจไม่จำเป็นต้อง “วิ่ง” ไปไกลกว่าประตูบ้านข้างๆ เพื่อจะหาใครสักคนที่ต้องการรู้จักองค์พระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงมีชัยต่อความตาย เราจึงมีชีวิตในชัยชนะร่วมกับพระองค์เป็นนิตย์!

อยู่ด้วยกัน

เมื่อเจนพนักงานของสวนสนุกมองเห็นราล์ฟทรุดตัวลงบนพื้นทั้งน้ำตา เธอรีบเข้าไปช่วย ราล์ฟซึ่งเป็นเด็กชายออทิสติกสะอื้นไห้เพราะเครื่องเล่นที่เขารอเล่นมาทั้งวันนั้นเกิดเสีย แทนที่เจนจะเร่งให้เขาลุกขึ้นยืนหรือปลอบใจให้รู้สึกดีขึ้น เธอนั่งลงไปบนพื้นกับราล์ฟ ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขาและปล่อยให้เขาได้ร้องไห้

การกระทำของเจนเป็นตัวอย่างอันงดงามของการอยู่เคียงข้างผู้ที่กำลังโศกเศร้าหรือทนทุกข์ พระคัมภีร์พูดถึงความทุกข์ระทมของโยบ หลังจากที่ท่านต้องสูญเสียบ้าน ฝูงสัตว์(รายได้) สุขภาพ และลูกทั้งสิบคนของท่านที่เสียชีวิตพร้อมกัน เมื่อเพื่อนของโยบรู้ถึงความทุกข์ใจของท่าน พวกเขา “ต่างก็มาจากที่ของตน...เพื่อ...เล้าโลมใจท่าน” โยบนั่งคร่ำครวญอยู่บนพื้นดิน เมื่อเพื่อนๆ มาถึง พวกเขานั่งลงด้วยกันกับโยบถึงเจ็ดวันโดยไม่พูดอะไรเพราะพวกเขาเห็นถึงความระทมทุกข์อย่างที่สุดของโยบ

แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ เพื่อนของโยบได้ให้คำแนะนำที่ทำลายกำลังใจของเขาในเวลาต่อมา ซึ่งต่างจากเจ็ดวันแรกที่พวกเขามอบของขวัญแห่งความใส่ใจห่วงใยให้โยบด้วยการอยู่เป็นเพื่อนโดยไม่พูดอะไรเลย เราอาจไม่เข้าใจในความทุกข์ของคนอื่นแต่เราสามารถรักเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอเพียงอยู่ด้วยกันกับพวกเขาก็พอ

รองเท้าที่ยืมมา

ความวุ่นวายในการหนีเอาชีวิตรอดจากเหตุไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2018 ทำให้กาเบนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ต้องพลาดรายการคัดตัวนักกีฬาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งข้ามรัฐที่เขาอุตส่าห์ฝึกฝนมา การพลาดครั้งนี้หมายความว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ลงแข่งในระดับรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดสี่ปีของการเป็นนักวิ่ง จากเหตุการณ์นี้คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ให้โอกาสกาเบอีกครั้ง โดยเขาจะต้องวิ่งคนเดียวบนลู่วิ่งของโรงเรียนมัธยมที่เป็นคู่แข่งภายในเวลาที่กำหนดด้วย “รองเท้าทั่วไป” เนื่องจากรองเท้าวิ่งของเขานั้นอยู่ใต้ซากปรักหักพังของบ้าน เมื่อเขามาถึง “การแข่งขัน” กาเบต้องประหลาดใจที่คู่แข่งของเขาเอารองเท้าวิ่งมาให้และวิ่งเคียงข้างไปกับเขาเพื่อช่วยเขารักษาความเร็วให้อยู่ในระดับที่สามารถผ่านเข้ารอบได้

คู่แข่งของกาเบไม่จำเป็นต้องช่วยเขาก็ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่พวกเขาจะคิดถึงตัวเองก่อน (กท.5:13) และนั่นอาจทำให้พวกเขามีโอกาสชนะมากขึ้นด้วย เปาโลเรียกร้องให้เราสำแดงผลของพระวิญญาณโดย “รับใช้กันและกันด้วยความรัก” รวมทั้งสำแดง “ความปรานี” และ “ความดี” (ข้อ 13, 22) เมื่อเราพึ่งพาองค์พระวิญญาณให้ช่วยเราที่จะไม่ทำตามสัญชาตญาณตามธรรม-ชาติของเรา เราก็จะสามารถรักคนรอบข้างได้มากขึ้น

รอดจากความแห้งแล้ง

ในเดือนเมษายนปี 2019 ย่านชานเมืองในวิกเตอร์วิลล์รัฐแคลิฟอร์เนียถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืช สายลมแรงพัดพาเมล็ดของต้นทิเซิ้ลซึ่งมีหนามแหลมจากทะเลทรายโมฮาวีที่อยู่ติดกันให้มาเจริญเติบโตที่นี่ เมื่อโตเต็มที่วัชพืชที่น่ารังเกียจอาจสูงถึงหกฟุต เป็นขนาดที่น่ากลัวเมื่อมันหลุดจากรากและ “ล้มกลิ้ง” ไปตามลมเพื่อกระจายเมล็ดของมัน

ฉันเห็นภาพของวัชพืชเมื่ออ่านคำจำกัดความของเยเรมีย์ถึงบุคคลที่ “ใจของเขาหันออกจากพระเจ้า” (ยรม.17:5) ท่านกล่าวว่าผู้ที่พึ่งพาในกำลังของ “เนื้อหนัง” จะเป็นเหมือน “พุ่มไม้ที่อยู่ในทะเลทราย” และไม่สามารถ “เห็นความดีอันใดมาถึงเลย” (ข้อ 5-6) ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่มอบความวางใจของเขาไว้ในพระเจ้าแทนที่จะเป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่รากอันแข็งแรงและหยั่งลึกได้รับกำลังจากพระเจ้า ทำให้พวกเขายังคงเต็มไปด้วยชีวิตแม้อยู่ในสถานการณ์ที่แห้งแล้ง

ทั้งวัชพืชและต้นไม้ต่างก็มีราก แต่วัชพืชไม่ยึดติดอยู่กับรากที่ให้ชีวิต มันจึงแห้งและตายไป ในทางตรงกันข้าม ต้นไม้ยึดติดอยู่กับรากของมันอย่างมั่นคงซึ่งช่วยให้มันเติบโต เบ่งบานและหล่อเลี้ยงมันในเวลายากลำบาก เมื่อเรายึดมั่นในพระเจ้า รับกำลังและการหนุนใจจากพระปัญญาที่พบได้ในพระคัมภีร์ และพูดคุยกับพระองค์ในคำอธิฐาน เราจะได้รับชีวิตและการบำรุงเลี้ยงที่พระองค์ทรงจัดเตรียมเพื่อเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา