ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kimya Loder

จงสงบนิ่ง

หลังจากที่ฉันปรับตัวให้คุ้นเคยในอ่างบำบัดแล้ว ร่างกายของฉันก็ลอยอยู่เหนือน้ำอย่างสบาย ห้องมืดลงและเสียงดนตรีที่เล่นคลอเบาๆก็เงียบลง ฉันเคยอ่านพบว่าอ่างน้ำสำหรับลอยตัวนี้สามารถบำบัดโรคได้ โดยช่วยบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล แต่นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ราวกับว่าความวุ่นวายในโลกหยุดลง และฉันได้ยินความคิดจากภายในส่วนลึกที่สุดของตนเองได้อย่างชัดเจน ฉันปล่อยให้ประสบการณ์ที่ปรับสมดุลและฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่านี้ เตือนให้รู้ว่ามีพลังในความนิ่งสงบ

เราจะพักได้อย่างสบายที่สุดในความนิ่งสงบแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า ผู้ทรงเสริมกำลังและประทานสติปัญญาที่จำเป็นแก่เราเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เราเผชิญในแต่ละวัน เมื่อเราสงบนิ่ง โดยการขจัดเสียงและสิ่งรบกวนต่างๆ ในชีวิตเราออกไป พระองค์จะทรงประทานกำลังเพื่อให้เราได้ยินพระสุรเสียงอันอ่อนโยนของพระองค์ชัดเจนยิ่งขึ้น (สดด.37:7)

แม้ว่าอ่างน้ำสำหรับลอยตัวเพื่อการบำบัดนี้จะเป็นรูปแบบหนึ่งของความสงบนิ่ง แต่พระเจ้าประทานวิธีการที่ง่ายกว่าโดยการใช้เวลาอยู่กับพระองค์โดยไม่ถูกรบกวน พระองค์ตรัสว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน” (มธ.6:6) เมื่อเราแสวงหาคำตอบในเรื่องความท้าทายต่างๆของชีวิตภายใต้การสงบนิ่งอยู่ต่อการทรงสถิตที่เปี่ยมไปด้วยพระสิริของพระองค์นั้น (สดด.37:5-6) พระเจ้าจะทรงนำย่างเท้าของเรา และให้ความชอบธรรมของพระองค์ส่องสว่างผ่านตัวเรา

สิ่งสำคัญต่อหน้าพระเจ้า

ในปี 2009 ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ทำการศึกษานักเรียนมากกว่าสองร้อยคนในงานทดลองหนึ่งที่ให้มีการสลับกันระหว่างการทำงานและการใช้ความจำ น่าประหลาดใจที่ผลวิจัยพบว่า นักเรียนที่มองว่าตัวเองสามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะมีนิสัยชอบทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆกัน กลับได้ผลแย่กว่ากลุ่มที่ชอบทำงานทีละอย่าง การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันทำให้ยากต่อการจดจ่อความคิดและการกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง การรักษาสมาธิขณะมีสิ่งรบกวนอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

เมื่อพระเยซูทรงเสด็จเยี่ยมมารีย์และมารธาที่บ้าน มารธาก็ยุ่งในการทำงานและ “ยุ่งในการปรนนิบัติมาก” (ลก.10:40) ส่วนน้องสาวของเธอคือมารีย์นั้นเลือกที่จะนั่งฟังพระเยซูสอน รับเอาสติปัญญาและสันติสุขที่ไม่มีใครจะชิงเอาไปจากเธอได้ (ข้อ 39-42) เมื่อมารธาขอให้พระเยซูบอกมารีย์ให้มาช่วยเธอ พระองค์ตรัสตอบว่า “เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว” (ข้อ 41-42)

พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ความสนใจจากเรา แต่เช่นเดียวกับมารธาที่บ่อยครั้งเราถูกหันเหความสนใจไปด้วยการงานและปัญหาต่างๆ เราละเลยการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าแม้ว่าพระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถมอบสติปัญญาและความหวังที่เราต้องการได้ เมื่อเราให้การใช้เวลากับพระองค์โดยการอธิษฐานและจดจ่อที่พระคัมภีร์มาก่อนสิ่งอื่นใด พระองค์ก็จะมอบคำแนะนำและกำลังที่เราต้องการเพื่อจัดการกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่นั้น

อำนาจของเสียง

นักพูดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มักจะเป็นผู้นำที่ใช้เสียงของตนสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก อย่างเช่น เฟรเดอริก ดักลาส ที่สุนทรพจน์เกี่ยวกับการเลิกทาสและเสรีภาพของเขาก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ช่วยนำไปสู่การเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา แล้วถ้าเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบล่ะ เราทั้งหลายต่างมีความสามารถที่จะใช้เสียงของเราสร้างแรงบันดาลใจและช่วยเหลือผู้อื่น แต่ความกลัวที่จะต้องอ้าปากพูดออกไปอาจทำให้เราเป็นอัมพาต ในห้วงเวลาที่ความกลัวนี้ถาโถมเข้าใส่ เราสามารถมองไปที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งสติปัญญาเหนือมนุษย์และกำลังใจจากเบื้องบนของเรา

เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้เป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ ท่านเริ่มสงสัยความสามารถของตนในทันที ท่านร้องว่า “ข้าพระองค์พูดไม่เป็นเพราะว่าข้าพระองค์เป็นเด็ก” (ยรม.1:6) แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้ความกลัวของเยเรมีย์มาขัดขวางการทรงเรียกจากเบื้องบน ที่จะให้ท่านใช้เสียงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลัง โดยทรงสอนให้ท่านเพียงแต่วางใจในพระองค์ด้วยการพูดและทำตามที่พระองค์ทรงบัญชา (ข้อ 7) นอกจากให้ความมั่นใจกับเยเรมีย์แล้ว พระองค์ยังทรงเตรียมท่านให้พร้อม ทรงยืนยันกับท่านด้วยว่า “ดูเถิด เราเอาถ้อยคำของเราใส่ในปากของเจ้า” (ข้อ 9)

เมื่อเราขอให้พระเจ้าสำแดงกับเราว่าพระองค์ทรงอยากจะใช้เราอย่างไรนั้น พระองค์จะทรงตระเตรียมเราเพื่อให้เราทำตามเป้าประสงค์ให้ลุล่วง โดยการช่วยเหลือจากพระองค์ เราจะกล้าใช้เสียงของเราเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคนรอบข้าง

ก้าวแห่งความเชื่อ

ขณะเตรียมโหนสลิงจากจุดที่สูงที่สุดในเขตป่าฝนที่เซนต์ลูเซียซึ่งเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน ความกลัวเอ่อล้นภายในฉัน ไม่กี่วินาทีก่อนจะกระโดดจากฐาน ความคิดของฉันก็เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้น แต่ด้วยความกล้าทั้งหมดที่รวบรวมได้ (และทางเลือกอันน้อยนิดที่จะถอยกลับ) ฉันจึงทิ้งตัวลงมา ฉันร่วงลงจากยอดไม้ พุ่งตัวผ่านดงไม้เขียวชอุ่ม ลมพัดผ่านเส้นผม และความกังวลของฉันก็ค่อยๆจางหายไป ขณะเคลื่อนที่ผ่านอากาศโดยทิ้งตัวไปตามแรงโน้มถ่วง ภาพฐานถัดไปก็ชัดเจนขึ้น และการหยุดอย่างนุ่มนวลทำให้รู้ว่าฉันมาถึงอย่างปลอดภัย

ช่วงเวลาบนเชือกสลิงของฉันทำให้เห็นภาพเวลาที่พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ใหม่อันท้าทายและยากแก่เรา พระคัมภีร์สอนให้เราวางใจในพระเจ้าและ “อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของ[เรา]เอง” (สภษ.3:5) เมื่อเรารู้สึกสงสัยและไม่แน่ใจ เมื่อจิตใจของเราเต็มไปด้วยความกลัวและคำถาม เส้นทางของเราอาจไม่ชัดเจนและบิดเบี้ยว แต่เมื่อเราตัดสินใจก้าวออกไปด้วยความเชื่อโดยยอมมอบทางของเราไว้กับพระเจ้า “พระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของ[เรา]ราบรื่น” (ข้อ 6)

เราจะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ก้าวออกไปด้วยความเชื่อ โดยการเรียนรู้จักพระเจ้าผ่านการใช้เวลาอธิษฐานและอ่านพระวจนะเราสามารถค้นพบอิสรภาพและความสงบสุขแม้ในความท้าทายของชีวิต เมื่อเรายึดมั่นในพระเจ้าและยอมให้พระองค์ทรงนำเราผ่านการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา

พระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟู

วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1966 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ส่งผลให้ผลงานศิลป ภาพอาหารมื้อสุดท้าย ที่มีชื่อเสียงของจิออร์จิโอ วาซารีจมอยู่ใต้แอ่งที่มีโคลน น้ำ และน้ำมันที่ร้อนระอุเป็นเวลานานกว่าสิบสองชั่วโมง ด้วยสีที่ซีดจางลงและกรอบไม้ที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก หลายคนเชื่อว่างานชิ้นนี้ไม่อาจซ่อมแซมได้ อย่างไรก็ตามภายหลัง 50 ปีอันยาวนานและเหน็ดเหนื่อยของความพยายามในการอนุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญและอาสาสมัครก็สามารถเอาชนะอุปสรรคอันยิ่งใหญ่และฟื้นฟูภาพวาดอันทรงคุณค่าได้

เมื่อพวกบาบิโลนพิชิตอิสราเอลได้ ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง เพราะถูกห้อมล้อมด้วยความตายและการทำลายล้าง และต้องการการฟื้นฟู (ดู พคค.1) ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ พระเจ้าทรงนำผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลไปในนิมิตให้มาที่หว่างเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีกระดูกแห้งเต็มไปหมด และตรัสกับท่านว่า “กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม” เอเสเคียลทูลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว” (อสค.37:3) ทรงตรัสอีกว่า ให้เผยพระวจนะต่อกระดูกนั้นเพื่อมันจะมีชีวิตอีกครั้ง เอเสเคียลบรรยายว่า “เมื่อข้าพเจ้าเผยอยู่นั้นก็มีเสียง และดูเถิด เป็นเสียงกรุกกริก กระดูกเหล่านั้นก็เข้ามาหากันตามที่ของมัน” (ข้อ 7) โดยนิมิตนี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เอเสเคียลว่าการฟื้นฟูอิสราเอลจะเกิดขึ้นได้โดยทางพระองค์เท่านั้น

เมื่อเรารู้สึกราวกับว่าสิ่งต่างๆในชีวิตพังทลายและไม่อาจซ่อมแซมได้นั้น พระเจ้าทรงรับรองกับเราว่า พระองค์ทำให้ชิ้นส่วนที่แตกสลายของเรากลับคืนสู่สภาพเดิมได้ พระองค์จะประทานลมหายใจและชีวิตใหม่แก่เรา

ความสัมพันธ์ที่กลับคืนดี

ฉันกับพี่สาวทะเลาะกันบ่อยครั้งเมื่อเรายังเป็นเด็ก แต่มีครั้งหนึ่งที่เด่นชัดเป็นพิเศษอยู่ในความทรงจำของฉัน หลังจากตะโกนใส่กันไปมาด้วยคำพูดที่รุนแรงได้สักพักหนึ่ง พี่สาวฉันพูดบางอย่างที่ดูเหมือนไม่น่าให้อภัยในขณะนั้น เมื่อได้เห็นความเกลียดชังที่เติบโตขึ้นระหว่างเรา คุณยายจึงเตือนพวกเราถึงหน้าที่ที่เราจะต้องรักซึ่งกันและกัน โดยพูดกับเราว่า “พระเจ้าประทานพี่น้องหนึ่งคนให้พวกเธอในชีวิตนี้ เธอต้องรู้จักแสดงความเมตตาแก่กันและกันบ้าง” เมื่อเราทูลขอพระเจ้าให้เติมเต็มเราด้วยความรักและความเข้าใจนั้น พระองค์ทรงช่วยเราให้ตระหนักว่าเราทำร้ายกันอย่างไร และทรงช่วยเราในการให้อภัยกันและกัน

เป็นเรื่องง่ายที่จะยึดติดกับความขมขื่นและความโกรธ แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราได้สัมผัสกับสันติสุข ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราทูลขอพระองค์ให้ทรงช่วยเราหลุดพ้นจากความคับแค้นใจ (อฟ.4:31) แทนที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ เราสามารถมองดูแบบอย่างการให้อภัยขององค์พระคริสต์ที่มาจากความรักและพระคุณ เพื่อมุ่งมั่นที่จะ “เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” และพร้อมจะ “อภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ [เรา] ในพระคริสต์นั้น” (ข้อ 32) เมื่อเราพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้อภัย ขอให้เราคิดถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่เราในแต่ละวัน ไม่ว่าเราจะผิดพลาดบ่อยครั้งเพียงใดก็ตาม พระเมตตาของพระองค์ไม่เคยสิ้นสุด (พคค.3:22) พระเจ้าทรงช่วยให้เราขจัดความขมขื่นออกไปจากหัวใจได้ เพื่อให้เรามีเสรีภาพที่จะเปี่ยมไปด้วยความหวัง และพร้อมที่จะรับความรักของพระองค์

พบกำลังในพระเจ้า

คริสเตียน พูลิซิชต้องเผชิญการบาดเจ็บหลายอย่างที่ส่งผลต่ออาชีพนักฟุตบอลของเขา หลังจากรู้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมเล่นในรอบรองชนะเลิศของแชมป์เปี้ยนส์ลีก เขารู้สึกผิดหวังแต่เขาได้อธิบายว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่เขาอย่างไร “เหมือนเช่นทุกครั้ง ผมแสวงหาพระเจ้า และพระองค์ทรงมอบกำลังแก่ผม” เขากล่าว “ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่กับผมเสมอ ผมไม่รู้ว่าจะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างไรหากปราศจากความรู้สึกนี้” ในที่สุดพูลิซิชได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวลงเล่นในช่วงท้ายของการแข่งขัน เขาเริ่มเล่นอย่างชาญฉลาดซึ่งนำไปสู่ชัยชนะและรักษาลำดับเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ประสบการณ์เหล่านี้ได้ให้บทเรียนอันมีค่าแก่เขาว่า เราสามารถมองความอ่อนแอของเราให้เป็นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์ได้เสมอ

โลกสอนเราให้พึ่งพากำลังของตัวเองเมื่อต้องเผชิญปัญหา แต่สติปัญญาจากพระคัมภีร์สอนเราว่า พระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าประทานกำลังแก่เราเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด (2คร.12:9) ดังนั้นเราจึงสามารถมุ่งหน้าไปด้วยความมั่นใจ โดยรู้ว่าเราจะไม่ต้องเผชิญกับการทดลองตามลำพัง “ความอ่อนแอ” ของเรากลายเป็นโอกาสในการที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ เสริมกำลังและเสริมสร้างเรา (ข้อ 9-10) เมื่อนั้นเราจึงสามารถใช้อุปสรรคของเราเพื่อสรรเสริญพระเจ้าและขอบพระคุณในความดีงามของพระองค์ และแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้แก่ผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสกับความรักของพระองค์

การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ

แพทย์แผนจีนได้มีการขัดผิวด้วยผงไข่มุกมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยใช้ไข่มุกบดเพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหนังชั้นนอก ในประเทศโรมาเนียโคลนบำบัดเพื่อการฟื้นฟูได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่ง ผู้คนทั่วโลกต่างใช้วิธีดูแลร่างกายที่พวกเขาเชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูกระทั่งผิวที่หมองคล้ำที่สุดได้

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อดูแลรักษาร่างกายของเรา ทำได้เพียงนำความพึงพอใจมาให้เราแค่ชั่วคราวเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เรายังคงมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดีและเข้มแข็ง ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราได้รับของประทานแห่งการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณโดยทางพระองค์ อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” (2คร.4:16) ความท้าทายที่เราเผชิญแต่ละวันอาจทำให้รู้สึกหนักอึ้งในยามที่เรายึดเกาะสิ่งต่างๆไว้ เช่น ความกลัว ความเจ็บปวดและความวิตกกังวล การฟื้นฟูในฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเรา “ไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่เรามองไม่เห็น” (ข้อ 18) เราทำสิ่งนี้ด้วยการมอบความกังวลในแต่ละวันไว้กับพระเจ้า และทูลขอผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งรวมถึงความรัก ความปลาบปลื้มใจและสันติสุข ให้เกิดขึ้นใหม่ในชีวิตของเรา (กท.5:22-23) เมื่อเราปล่อยวางปัญหาไว้กับพระเจ้าและยอมให้พระวิญญาณของพระองค์ส่องสว่างผ่านเราทุกวัน พระองค์จะทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของเรา

หมดไฟ

“ฉันไม่คิดว่าจะทำอย่างนี้อีกต่อไปได้” เพื่อนของฉันพูดทั้งน้ำตาขณะเล่าถึงความรู้สึกสิ้นหวังอันท่วมท้นที่เธอต้องเผชิญในฐานะพยาบาลในวิกฤตสุขภาพระดับโลก “ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกฉันให้เป็นพยาบาล แต่ฉันรู้สึกหนักเกินไปและหมดแรง” เธอสารภาพ เมื่อเห็นว่ามีเมฆหมอกแห่งความอ่อนล้าปกคลุมเธอ ฉันจึงตอบว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกหมดหวัง แต่ขอพระเจ้าประทานการทรงนำที่เธอกำลังแสวงหาและประทานกำลังที่จะอดทนต่อไป” ในขณะนั้นเองเธอตัดสินใจที่จะตั้งใจแสวงหาพระเจ้าโดยการอธิษฐาน ไม่นานหลังจากนั้นเพื่อนของฉันก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายใหม่ เธอไม่เพียงแต่มีกำลังใจที่จะเป็นพยาบาลต่อไป แต่พระเจ้ายังประทานกำลังแก่เธอที่จะรับใช้ผู้คนได้มากขึ้นด้วยการเดินทางไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราพึ่งพาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือและกำลังใจได้ตลอดเวลาเมื่อเรารู้สึกว่ามีภาระหนักเกินไป เพราะ “พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย” (อสย.40:28) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่าพระบิดาของเราในสวรรค์ “ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง” (ข้อ 29) แม้ว่าพระกำลังของพระเจ้าจะคงอยู่นิรันดร์ แต่พระองค์ทรงรู้ดีว่าเราจะเจอกับวันที่เรารู้สึกหมดพลังทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ข้อ 30) แต่เมื่อเราพึ่งพาพระเจ้าเพื่อจะรับกำลัง แทนที่จะพยายามวิ่งฝ่าอุปสรรคต่างๆในชีวิตเพียงลำพัง พระองค์ก็จะทรงฟื้นฟูและประทานกำลังใหม่แก่เราที่จะตัดสินใจมุ่งมั่นต่อไปด้วยความเชื่อ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา