มองเห็นด้วยความเชื่อ
ในระหว่างการเดินเล่นตอนเช้าของฉัน แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำของทะเลสาบมิชิแกนในมุมที่พอดีทำให้เกิดภาพอันงดงาม ฉันขอให้เพื่อนหยุดรอขณะที่ฉันตั้งกล้องเพื่อจะถ่ายภาพ เนื่องด้วยตำแหน่งของดวงอาทิตย์ทำให้ฉันมองไม่เห็นภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนที่จะกดถ่าย แต่จากที่เคยทำแบบนี้มาก่อน ฉันรู้สึกได้ว่ามันจะเป็นภาพที่งดงามมาก ฉันบอกเพื่อนว่า “เรามองไม่เห็นมันในตอนนี้ แต่ภาพถ่ายประเภทนี้จะออกมาดีเสมอ”
การดำเนินด้วยความเชื่อในชีวิตนี้ก็มักจะเหมือนกับการถ่ายรูปภาพนั้น คุณไม่สามารถเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนหน้าจอได้เสมอไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ภาพที่สวยงาม บางครั้งคุณก็ไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงทำงาน แต่คุณมั่นใจว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย ดังที่ผู้เขียนฮีบรูบันทึกไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” (11:1) โดยความเชื่อเราวางใจและมั่นใจในพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงกำลังทำ
ด้วยความเชื่อ การมองไม่เห็นไม่ได้ขัดขวางเราจากการ “กดถ่ายภาพ” มันอาจแค่ทำให้เราต้องอธิษฐานมากขึ้นและแสวงหาการชี้แนะจากพระเจ้า เรายังสามารถพึ่งพาในความรู้จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อมีคนดำเนินด้วยความเชื่อ (ข้อ 4-12) เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราเอง สิ่งที่พระเจ้าทรงเคยทำมาก่อน พระองค์จะทรงกระทำได้อีกครั้ง
ทางเลือก
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการเสียชีวิตของเพื่อนรักคนหนึ่ง ฉันได้พูดคุยกับแม่ของเธอ ฉันลังเลที่จะถามว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างเพราะฉันคิดว่าอาจเป็นคำถามที่ไม่ค่อยเหมาะ เนื่องจากท่านกำลังเศร้าเสียใจ แต่ฉันขจัดความลังเลนั้นออกไปและถามคำถามง่ายๆว่าท่านไหวไหม ท่านตอบฉันว่า “แม่อยากจะบอกว่า แม่เลือกความชื่นชมยินดี”
คำพูดของท่านช่วยฉันไว้ในวันนั้นขณะที่ฉันพยายามต่อสู้ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงใจนักในชีวิตของตัวเอง และถ้อยคำนั้นก็ยังทำให้ฉันนึกถึงคำสั่งของโมเสสต่อคนอิสราเอลในช่วงท้ายของเฉลยธรรมบัญญัติ ก่อนที่โมเสสจะเสียชีวิตและก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าต้องการให้พวกเขารู้ว่าพวกเขามีทางเลือก โมเสสบอกว่า “ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย...ไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต” (ฉธบ.30:19) พวกเขาสามารถเลือกที่จะทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าและมีชีวิตที่ดี หรือเลือกที่จะหันเหไปจากพระองค์และมีชีวิตอยู่กับผลแห่ง “ความตายและสิ่งร้าย” (ข้อ 15)
เราเองต้องเลือกว่าจะมีชีวิตอย่างไรด้วยเช่นกัน เราอาจเลือกความชื่นชมยินดีโดยการเชื่อและวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา หรืออาจเลือกที่จะจดจ่อกับส่วนที่เป็นด้านลบและยากลำบากของเส้นทางที่เราเดินอยู่ แล้วปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นขโมยเอาความชื่นชมยินดีไปจากเรา เราจะต้องฝึกฝนและพึ่งพาให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา แต่เราสามารถเลือกความยินดี โดยรู้ว่า “พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง” (รม.8:28)
พระเจ้าปกคลุมบาปของเรา
เมื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงทศวรรษ 1950 เธอจึงตกลงรับงานพิมพ์ดีด ปัญหาเดียวที่มีคือเธอไม่ใช่คนพิมพ์ดีดเก่งและมักจะพิมพ์ผิดอยู่เสมอ เธอมองหาวิธีปกปิดข้อผิดพลาดและในที่สุดก็ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าลิควิดเปเปอร์ ซึ่งเป็นน้ำยาลบคำผิดสีขาวที่ใช้ทาทับเพื่อปกปิดคำที่พิมพ์ผิด เมื่อมันแห้งแล้ว คุณจะสามารถพิมพ์ทับได้ราวกับว่าไม่มีข้อผิดพลาด
พระเยซูทรงเสนอวิธีที่ทรงพลังและมีความหมายมากกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในการจัดการกับบาปของเรา ซึ่งไม่ใช่การปกปิด แต่เป็นการให้อภัยอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ปรากฏในตอนต้นของพระธรรมยอห์นบทที่ 8 ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับฐานล่วงประเวณี (ข้อ 3-4) พวกธรรมาจารย์ต้องการให้พระเยซูทำบางอย่างกับหญิงคนนั้นและบาปของเธอ ธรรมบัญญัติกล่าวว่าเธอควรถูกหินขว้าง แต่พระคริสต์ไม่ทรงวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่ธรรมบัญญัติกล่าวหรือไม่ได้กล่าว พระองค์ประทานคำเตือนอย่างเรียบง่ายว่าทุกคนล้วนทำบาป (ดู รม.3:23) และตรัสว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ทำบาปก็ให้ “เอาหินขว้าง” หญิงนั้น (ยน.8:7) ไม่มีหินแม้แต่ก้อนเดียวถูกขว้างออกไป
พระเยซูทรงเสนอการเริ่มต้นใหม่ให้กับเธอ โดยตรัสว่าพระองค์ก็ไม่ทรงเอาโทษเธอและกำชับว่า “อย่าทำผิดอีก” (ข้อ 11) พระคริสต์ประทานทางออกในการยกโทษบาปของเธอ และ “พิมพ์” วิถีใหม่ในการดำเนินชีวิตลงเหนืออดีตของเธอข้อเสนอแบบเดียวกันนั้นก็ได้ทรงมอบให้กับเราด้วยโดยพระคุณของพระองค์
หน้ากากพระพร
เมื่อมีการผ่อนคลายข้อกำหนดของการสวมหน้ากากอนามัยในช่วงการแพร่ระบาดลง ฉันมีปัญหาที่มักจะลืมเก็บหน้ากากไว้ใกล้มือสำหรับในที่ที่ยังต้องใช้อยู่ เช่น ที่โรงเรียนของลูกสาว วันหนึ่งเมื่อฉันต้องใช้หน้ากาก ฉันพบเพียงอันเดียวในรถ ซึ่งเป็นอันที่ฉันเลี่ยงไม่สวมเพราะมีคำว่า พระพร เขียนคาดไว้ด้านหน้า
ฉันชอบสวมหน้ากากที่ไม่มีข้อความ และเชื่อว่าคำนั้นบนหน้ากากที่ฉันเจอมีการใช้กันมากเกินไป แต่ฉันไม่มีทางเลือกจึงสวมหน้ากากอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อฉันเกือบจะแสดงความรำคาญต่อพนักงานต้อนรับคนใหม่ที่โรงเรียน ฉันยั้งตัวเองไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดบนหน้ากากของฉัน ฉันไม่ต้องการดูเหมือนเป็นคนหน้าซื่อใจคด เดินไปทั่วโดยมีคำว่า พระพร เขียนหวัดๆไว้ที่ปาก ขณะเดียวกันก็แสดงความไม่อดกลั้นใจต่อคนที่พยายามทำงานกับระบบที่ซับซ้อน
แม้ตัวหนังสือบนหน้ากากเตือนฉันให้นึกถึงการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ แต่ถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่อยู่ในใจของฉันควรเป็นเครื่องเตือนใจที่แท้จริงให้อดกลั้นใจต่อผู้อื่น ตามที่เปาโลเขียนถึงชาวโครินธ์ว่า “ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์...ได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์” (2คร.3:3) พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ “ประทานชีวิต” (ข้อ 6) ทรงช่วยให้เราดำเนินชีวิตด้วย “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข” และใช่แล้ว “ความอดกลั้นใจ” (กท.5:22) เราได้รับ พระพร อย่างแท้จริงจากการทรงสถิตของพระองค์ภายในเรา!
ความเชื่อของเด็ก
ขณะที่ยายบุญธรรมของเรานอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลหลังจากเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตันหลายครั้ง หมอไม่แน่ใจว่าสมองของท่านได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด พวกเขาต้องรอจนยายมีอาการดีกว่านี้อีกหน่อยก่อนที่จะตรวจการทำงานของสมอง ยายพูดน้อยมากและสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อยายวัย 86 ที่ดูแลลูกสาวของฉันมา 12 ปีเห็นหน้าฉัน ท่านก็เปิดปากอันแห้งผากและถามว่า “เคย์ล่าเป็นอย่างไรบ้าง” คำแรกที่ท่านพูดกับฉันนั้นเป็นเรื่องลูกสาวของฉันที่ท่านรักของท่านอย่างเต็มหัวใจ
พระเยซูก็ทรงรักเด็กด้วยเช่นกัน และพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพวกเขาแม้เหล่าสาวกจะไม่เห็นด้วย พ่อแม่บางคนแสวงหาพระคริสต์และมอบลูกๆให้กับพระองค์ พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรเด็กๆขณะที่พระองค์ “ถูกต้องทารกนั้น” (ลก.18:15) แต่ไม่ใช่ทุกคนจะดีใจที่พระองค์อวยพรเด็กๆ บรรดาสาวกต่อว่าพวกพ่อแม่และขอให้เลิกรบกวนพระเยซูได้แล้ว แต่พระเยซูทรงเข้ามาห้ามและบอกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา” (ข้อ 16) พระองค์เรียกพวกเขาว่าเป็นตัวอย่างของการที่เราจะได้รับแผ่นดินของพระเจ้า คือเพียงแค่เราพึ่งพา ไว้วางใจ และบริสุทธิ์ใจ
เด็กเล็กนั้นมักไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ เห็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ขณะที่พระบิดาในสวรรค์ทรงช่วยให้เรามีความไว้วางใจเหมือนเด็กอีกครั้งนั้น ก็ขอให้เราเชื่อและพึ่งพาในพระองค์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนเช่นเด็กเล็กๆ
สวมความถ่อมใจ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแฟรนไชส์อาหารแช่แข็งแห่งหนึ่งได้ปลอมตัวไปในซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อเจ้านายสายสืบ โดยสวมชุดเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านสาขาหนึ่งซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของบริษัท เธอสวมวิกผมและแต่งหน้าเพื่ออำพรางตัวและสวมบทบาทเป็นพนักงาน “ใหม่” เป้าหมายของเธอคือ เพื่อดูระบบการทำงานจากภายในและในระดับปฏิบัติการว่าใช้การได้จริงๆ หรือไม่ จากการสังเกตการณ์ของเธอ ทำให้เธอแก้ปัญหาบางอย่างที่ร้านสาขากำลังเผชิญได้
พระเยซูทรง “สละทุกสิ่ง” มารับสภาพที่ต่ำต้อย (ฟป.2:7 TNCV) เพื่อแก้ปัญหาของเรา พระองค์ทรงกำเนิดเป็นมนุษย์โดยใช้ชีวิตอยู่บนโลก ทรงสอนเราเรื่องพระเจ้า และในที่สุดทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา (ข้อ 8) การเสียสละนี้เผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระคริสต์ที่ได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราด้วยใจเชื่อฟัง พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนโลกนี้และมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราถูกเรียกให้มี “ท่าทีแบบเดียวกับ” พระผู้ช่วยให้รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของเรากับผู้เชื่อคนอื่นๆ (ข้อ 5 TNCV) พระเจ้าจะช่วยเราในการสวมความถ่อมใจ (ข้อ 3) และการมีท่าทีแบบเดียวกับพระคริสต์ (ข้อ 5) พระองค์ทรงเตือนเราให้ดำเนินชีวิตในฐานะผู้รับใช้ที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้อื่นและเต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงนำเราให้รักผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าที่จะรับใช้พวกเขา และหาทางออกให้กับปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน
ในฤดูร้อนหลังจากที่ฉันเริ่มเรียนปีสองในวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฉันเพิ่งพบเขาสองสามวันก่อนที่เขาจะจากไปและเขาดูสบายดี ฉันกับเพื่อนๆต่างอายุยังน้อยและอยู่ในช่วงที่พวกเราคิดว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต เพิ่งจะได้เข้าร่วมในสมาคมนักศึกษาหญิงและสมาคมนักศึกษาชายที่นับทุกคนเป็นพี่เป็นน้องกัน สิ่งที่ฉันจำได้ดีที่สุดจากการเสียชีวิตของเพื่อนคนนั้นคือการได้เห็นพวกเพื่อนๆในสมาคมนักศึกษาชายสำแดงชีวิตที่อัครทูตเปาโลเรียกว่า “ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน” (ยก.1:27) พวกผู้ชายในสมาคมทำตัวเป็นพี่น้องให้กับน้องสาวของผู้ที่เสียชีวิต โดยไปร่วมงานแต่งงานของเธอ และเดินทางไปงานฉลองใกล้คลอดของเธอหลังจากที่พี่ชายเธอเสียชีวิตไปแล้วหลายปี คนหนึ่งถึงกับมอบโทรศัพท์มือถือให้เธอเป็นของขวัญไว้สำหรับติดต่อหาเขาได้ทุกเวลาที่เธอต้องการ
ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินที่ยากอบพูดถึงคือ “การเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน” (ข้อ 27) ถึงแม้น้องสาวของเพื่อนฉันจะไม่ใช่เด็กกำพร้าตามความหมายของพระธรรมข้อนี้ แต่เธอก็สูญเสียพี่ชาย และ “พี่/น้องชาย” เหล่านั้นได้มาทดแทนส่วนที่ขาดไป
และนั่นคือสิ่งซึ่งพวกเราอยากจะดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อและบริสุทธิ์ในพระเยซูสามารถทำได้ คือ “ประพฤติตามพระวจนะนั้น” (ข้อ 22) ตลอดจนห่วงใยดูแลผู้ที่ขัดสน (2:14-17) ความเชื่อในพระเจ้าจะเร้าใจเราให้ดูแลผู้อ่อนแอขณะที่เราป้องกันตนเองจากอิทธิพลด้านลบของโลกภายนอกด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า ซึ่งนี่แหละคือธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้า
พระเจ้าจำชื่อเราได้
ในวันอาทิตย์หลังจากที่ฉันเริ่มงานในฐานะผู้นำอนุชนที่คริสตจักรแห่งหนึ่งและได้พบอนุชนมากมาย ฉันได้คุยกับวัยรุ่นที่นั่งข้างแม่ของเธอ เมื่อฉันทักทายสาวน้อยขี้อายด้วยรอยยิ้ม ฉันเรียกชื่อเธอและถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเงยหน้าขึ้นดวงตาสีน้ำตาลงดงามเบิกกว้าง เธอเองก็ยิ้มและพูดเบาๆว่า “คุณจำชื่อของฉันได้” เพียงแค่เรียกชื่อเด็กสาวคนนั้นที่อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สลักสำคัญในคริสตจักรที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ ฉันได้เริ่มความสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจ เธอรู้สึกว่าถูกมองเห็นและมีคุณค่า
ในอิสยาห์ 43 พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เพื่อถ่ายทอดข้อความที่คล้ายกันให้กับคนอิสราเอลว่า พวกเขาถูกมองเห็นและมีค่า แม้ในตลอดช่วงที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงเห็นพวกเขาและรู้จักพวกเขา “ตามชื่อ” (ข้อ 1) พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า พวกเขาเป็นของพระองค์ แม้พวกเขาอาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่พวกเขา “ล้ำค่า” และความ “รัก” ของพระองค์อยู่กับพวกเขา (ข้อ 4 TNCV) และควบคู่ไปกับการเตือนความจำว่าพระเจ้าทรงรู้จักชื่อพวกเขา ทรงกล่าวถึงทุกสิ่งที่พระองค์จะทรงทำเพื่อพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันยากลำบาก เมื่อพวกเขาผ่านการทดลองต่างๆ พระองค์จะทรงอยู่กับพวกเขา (ข้อ 2) พวกเขาไม่ต้องกลัวหรือกังวลเพราะพระเจ้าทรงจดจำชื่อพวกเขาได้
พระเจ้าทรงรู้จักชื่อบุตรชายหญิงแต่ละคนของพระองค์ และนั่นคือข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราผ่านสายน้ำเชี่ยวลึกแห่งความยากลำบากของชีวิต
จากความเครียดสู่ความสงบ
การย้ายบ้านเป็นหนึ่งในความเครียดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เราย้ายมาที่บ้านหลังปัจจุบันหลังจากที่ฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมมาเกือบยี่สิบปี ฉันอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังแรกเป็นเวลาแปดปีก่อนจะแต่งงาน จากนั้นสามีของฉันก็ย้ายเข้ามาพร้อมกับข้าวของทุกอย่างของเขา ต่อมาเรามีลูกเพิ่มขึ้นอีกคนและนั่นหมายถึงข้าวของที่เพิ่มมากขึ้น
วันที่เราย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ยังเกิดเรื่องขึ้น ห้านาทีก่อนที่รถขนย้ายจะมาถึง ฉันยังคงเขียนต้นฉบับหนังสือให้เสร็จ และบ้านใหม่มีบันไดอยู่หลายจุด จึงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นสองเท่าและจำนวนคนขนย้ายมากเป็นสองเท่าจากแผนที่วางไว้
แต่ฉันก็ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ในวันนั้น แล้วฉันก็คิดขึ้นได้ว่า ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเขียนหนังสือให้เสร็จ ซึ่งเป็นเล่มที่อัดแน่นด้วยข้อพระคัมภีร์และแนวคิดของพระคัมภีร์ โดยพระคุณของพระเจ้าทำให้ฉันได้อ่านพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วน อธิษฐาน และเขียนเพื่อให้ทันกำหนดส่ง ดังนั้นฉันเชื่อว่ากุญแจสำคัญคือการที่ฉันได้ดำดิ่งลงไปในข้อพระคัมภีร์และในการอธิษฐาน
เปาโลกล่าวว่า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” (ฟป.4:6) เมื่อเราอธิษฐานและ “ชื่นชมยินดี” ในพระเจ้า (ข้อ 4) เราก็จะหันความคิดออกจากปัญหามาจดจ่อที่องค์พระผู้ทรงจัดเตรียม เราอาจกำลังขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราจัดการกับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยึดโยงอยู่กับพระองค์ผู้ทรงสามารถประทานสันติสุข “ซึ่งเกินความเข้าใจ” (ข้อ 7) ให้กับเรา