ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Pimpo

สละการควบคุมให้พระเจ้า

ลองนึกภาพต้นโอ๊คใหญ่ที่ถูกทำให้มีขนาดเล็กพอที่จะวางบนโต๊ะในครัวได้ นั่นคือลักษณะของบอนไซ ไม้ประดับสวยงามซึ่งเป็นฉบับจำลองขนาดจิ๋วของต้นไม้ที่คุณพบได้ในป่าธรรมชาติ ไม่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่างบอนไซกับไม้ประเภทเดียวกันที่โตเต็มที่ เพียงแค่ใช้กระถางขนาดเล็ก มีการตัดแต่งกิ่งและรากเพื่อจำกัดการเจริญเติบโต ต้นไม้นั้นจึงยังคงมีขนาดเล็ก

แม้ว่าต้นบอนไซสร้างขึ้นเพื่อเป็นไม้ประดับที่สวยงาม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการควบคุม เป็นความจริงที่เราสามารถควบคุมการเติบโตของพวกมันได้ เพราะต้นไม้จำพวกนี้ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม แต่สุดท้ายแล้วพระเจ้าคือผู้เดียวที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆเติบโตขึ้น

พระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลดังนี้ “เราคือพระเจ้ากระทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และกระทำต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น” (อสค.17:24) พระเจ้าทรงพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต เมื่อพระองค์จะ “ถอนรากถอนโคน” ชนชาติอิสราเอล โดยปล่อยให้ชาวบาบิโลนบุกเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตพระเจ้าจะปลูกต้นไม้ใหม่ในอิสราเอลซึ่งจะบังเกิดผล และมี “นกทุกชนิด” มาอาศัยและหาที่กำบังใต้ร่มกิ่งของมัน (ข้อ 23) พระเจ้าตรัสว่า แม้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นอาจดูเหมือนอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่พระองค์ยังทรงควบคุมอยู่

โลกบอกให้เราพยายามควบคุมสถานการณ์ต่างๆด้วยการเข้าไปจัดการและผ่านการทำงานอย่างหนัก แต่สันติสุขและการเติบโตที่แท้จริงจะพบได้โดยการสละการควบคุมให้กับพระองค์เพียงผู้เดียว ผู้ทรงสามารถกระทำต้นไม้ให้เติบโตขึ้น

คำตักเตือนที่ให้ชีวิต

“น่าเสียดายที่เราต้องพูดกันค่อนข้างแรง” เชลลี่กล่าว “ฉันไม่คิดว่าเราสองคนชอบการพูดคุยแบบนั้น แต่ฉันรู้สึกจริงๆว่าจะต้องพูดถึงทัศนคติและการกระทำของเธอเพื่อเธอจะไม่ทำร้ายคนรอบข้างอยู่เรื่อยไป” เชลลี่กำลังพูดถึงหญิงสาวที่เธอเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่ แม้การสนทนาจะน่าอึดอัดแต่ก็เกิดผลและกลับทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา หญิงทั้งสองคนได้นำในการอธิษฐานของทั้งคริสตจักรในหัวข้อความถ่อมใจ

แม้ในความสัมพันธ์ที่นอกเหนือจากการเป็นพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง เราก็จะเผชิญกับการสนทนาที่น่าลำบากใจหลายครั้งกับพี่น้องในพระคริสต์ ในพระธรรมสุภาษิตซึ่งเป็นหนังสือที่เต็มด้วยสติปัญญาที่ใช้ได้ทุกยุคสมัยนั้น ความถ่อมใจในการให้และรับการแก้ไขเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกพูดถึงซ้ำๆ ยิ่งกว่านั้นการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ยังเรียกว่าการ “ให้ชีวิต” และนำไปสู่สติปัญญาที่แท้จริง (สภษ.15:31) สุภาษิต 15:5 กล่าวว่าคนโง่ดูหมิ่นคำเตือนสติ แต่ผู้ที่สนใจคำทักท้วงเป็นผู้หยั่งรู้ หรือกล่าวให้ชัดเจนคือ “บุคคลผู้เกลียดคำเตือนสติจะตายเปล่า” (ข้อ 10) ดังที่เชลลี่ได้มีประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วว่า ความจริงที่กล่าวออกมาด้วยความรักสามารถนำชีวิตใหม่มาสู่ความสัมพันธ์ได้

มีใครในชีวิตของคุณบ้างที่ควรได้รับถ้อยคำตักเตือนแห่งความรักและการแก้ไขที่ให้ชีวิต หรือบางทีคุณอาจเพิ่งได้รับคำตักเตือนที่มีเหตุมีผลและคุณถูกล่อลวงให้ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือการเมินเฉย การเพิกเฉยต่อคำเตือนสติก็ดูหมิ่นตนเอง แต่บุคคลผู้สนใจการทักท้วงก็ได้ความเข้าใจ (ข้อ 32) ให้เราทูลขอพระเจ้าเพื่อช่วยเรามอบและรับคำตักเตือนด้วยความถ่อมใจในวันนี้

หนังสือที่มีชีวิต

เพื่อเป็นการระลึกถึงผลงานของคุณตา ปีเตอร์ ครอฟท์ เขียนว่า “เป็นความปรารถนาอย่างที่สุดของผมให้คนที่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาไม่ว่าจะฉบับไหนก็ตาม จะไม่เพียงแค่เข้าใจแต่มีประสบการณ์ว่าพระวจนะนั้นเป็นหนังสือที่มีชีวิต ทั้งยังทันสมัย เสี่ยงอันตรายและน่าตื่นเต้นในปัจจุบันอย่างที่เคยเป็นเมื่อกว่าพันปีที่แล้ว” คุณตาของปีเตอร์คือ เจ.บี.ฟิลิปส์ ผู้รับใช้ฝ่ายอนุชนที่เรียบเรียงพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษขึ้นใหม่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อให้น่าสนใจต่อนักเรียนในโบสถ์ของเขา

เราก็พบอุปสรรคในการอ่านและมีประสบการณ์กับพระคัมภีร์เช่นเดียวกับนักเรียนของฟิลิปส์ และอาจไม่ใช่เพราะการแปลพระคัมภีร์ของเรา เราอาจไม่มีเวลา วินัย หรือเครื่องมือที่ดีในการทำความเข้าใจ แต่สดุดี 1 บอกเราว่า “ความสุขเป็นของบุคคล...(ที่)ความปีติยินดี...อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” (ข้อ 1-2) การใคร่ครวญพระวจนะทุกวันทำให้เรา “จำเริญขึ้น” ในทุกฤดูกาลไม่ว่าเรากำลังเผชิญความทุกข์ยากใดก็ตาม

คุณมีมุมมองต่อพระคัมภีร์อย่างไร พระคัมภีร์ยังคงอุดมด้วยปัญญาเพื่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ยังคงเสี่ยงอันตรายในการที่ทรงเรียกให้เชื่อและติดตามพระเยซู ยังคงน่าตื่นเต้นในการถ่ายทอดความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้าและมนุษย์ พระคัมภีร์เป็นเหมือนธารน้ำ (ข้อ 3) ที่มอบสิ่งจำเป็นแก่เราทุกวัน ในวันนี้ขอให้เราโน้มตัวเข้ามา ด้วยการจัดสรรเวลา หาเครื่องมือที่ดี และทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีประสบการณ์กับพระคัมภีร์ในฐานะที่เป็นหนังสือที่มีชีวิต

เดินกับพระเยซู

อาหารเท่าที่จำเป็น รองเท้าบูทกันน้ำและแผนที่เป็นสิ่งจำเป็นเพียงบางส่วนที่นักเดินทางไกลบนเส้นทางจอห์นมูร์เทรลจะต้องแบก เส้นทางจอห์นมูร์เทรลมีระยะทางราว 340 กิโลเมตรทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องข้ามลำธาร อ้อมทะเลสาบและแนวป่า และข้ามภูเขาที่สูงกว่า 47,000 ฟุต การเดินทางนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ดังนั้นการแบกอุปกรณ์และเสบียงที่พอเหมาะจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การเตรียมมากเกินไปก็ทำให้หนักเกินกว่าที่จะแบกได้ น้อยเกินไปก็จะมีสิ่งจำเป็นไม่เพียงพอต่อการเดินทาง

การประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการเป็นผู้เชื่อในพระเยซูก็ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างระมัดระวังถึงสิ่งที่เรานำติดตัวไปด้วยเช่นกัน ในพระธรรมฮีบรู 12 เตือนเราให้ “ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น” ผู้เขียนเปรียบชีวิตของเรากับการ “วิ่งแข่ง...ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา” ซึ่งเราจะต้อง “ไม่รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 1,3) การหมกมุ่นอยู่ในความบาปหรือการผูกพันอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าคือการแบกน้ำหนักที่เกินความจำเป็น

เช่นเดียวกับการเตรียมตัวเพื่อไปที่จอห์นมูร์เทรล พระเจ้าก็ทรงให้ขั้นตอนในการติดตามพระเยซูไว้ในพระคัมภีร์ เราสามารถรู้ได้ว่ามีนิสัย ความฝันและความปรารถนาใดที่มีคุณค่าพอที่เราควรจะนำติดตัวไปด้วยโดยวิเคราะห์ดูจากพระคัมภีร์ เมื่อเราเดินทางพร้อมสัมภาระที่พอเหมาะ เราจะประสบความสำเร็จในการเดินทางอย่างสวยงาม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา