เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ
ในปี 1916 เนลสันเพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ในรัฐเวอร์จิเนียบ้านเกิด และต่อมาในปีนั้น เขาและเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานกันได้หกเดือนก็เดินทางมาถึงประเทศจีน ในวัย 22 เขาเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลเลิฟแอนด์เมอร์ซี่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในพื้นที่ที่มีชาวจีนอย่างน้อยสองล้านคน เขากับครอบครัวอยู่ที่นั่นเป็นเวลากว่า 24 ปี ดูแลโรงพยาบาล ผ่าตัดและแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนเป็นพันๆ จากที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “มารร้ายจากต่างแดน” โดยพวกคนที่ไม่ไว้ใจคนต่างชาติ เขาได้กลายเป็นที่รู้จักต่อมาในนาม “เบลล์ผู้เป็นที่รักของคนจีน” และรูธลูกสาวของเขาได้แต่งงานกับบิลลี่ เกรแฮมผู้ประกาศข่าวประเสริฐในเวลาต่อมา
แม้ว่าเนลสันเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งกาจและเป็นครูสอนพระคัมภีร์ แต่ไม่ใช่เพราะทักษะของเขาที่ดึงดูดคนจำนวนมากมาหาพระเยซู หากแต่เป็นอุปนิสัยและรูปแบบการดำเนินชีวิตตามข่าวประเสริฐนั้น ในจดหมายที่เปาโลเขียนถึงทิตัสซึ่งเป็นคนต่างชาติและผู้นำวัยหนุ่มที่ดูแลคริสตจักรในเกาะครีต อัครทูตกล่าวว่าการดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้ข่าวประเสริฐนั้น “น่าเลื่อมใส” (ทต.2:10 TNCV) กระนั้นเราไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยกำลังของเราเอง พระคุณของพระเจ้าช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ “รู้จักควบคุมตัวเอง เป็นคนยุติธรรมและอยู่ในทางพระเจ้า” (ข้อ 12) ซึ่งสะท้อนความจริงแห่งความเชื่อของเรา (ข้อ 1)
ผู้คนมากมายรอบตัวเรายังไม่รู้จักข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แต่พวกเขารู้จักเรา ขอพระองค์ทรงช่วยเราให้สะท้อนและสำแดงถึงข่าวสารของพระองค์ด้วยวิธีที่น่าเลื่อมใสในทุกๆทาง
พระองค์จะยังรักฉันไหม
ในที่สุดลินลินวัยสิบขวบก็ได้รับการอุปการะ แต่เธอรู้สึกกลัว ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมานั้น เธอโดนทำโทษแม้ทำผิดเล็กน้อย ลินลินถามแม่เลี้ยงของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของฉันว่า “แม่คะ แม่รักหนูไหมคะ” เมื่อเพื่อนฉันตอบว่า รักสิ ลินลินถามอีกว่า “ถ้าหนูทำผิด แม่จะยังรักหนูไหมคะ”
แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่พวกเราบางคนอาจถามคำถามเดียวกันเมื่อเรารู้สึกว่าเราทำให้พระเจ้าผิดหวัง “พระองค์จะยังรักฉันอยู่ไหม” เรารู้ว่าตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจะยังล้มเหลวและทำบาปเป็นครั้งคราว และเราสงสัยว่า ความผิดพลาดของฉันส่งผลต่อความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉันหรือเปล่า
ยอห์น 3:16 ยืนยันกับเราถึงความรักของพระเจ้า พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูเพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา เพื่อที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์เมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์ แต่ถ้าเราทำให้พระองค์ผิดหวังแม้เราจะเชื่อในพระองค์แล้วล่ะ นั่นเป็นเวลาที่เราต้องจำไว้ว่า “พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” แม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป (รม.5:8) ถ้าพระองค์ทรงรักเราในเวลาที่เราแย่ที่สุด เราจะสงสัยในความรักของพระองค์ในวันนี้ที่เราเป็นบุตรของพระองค์ได้อย่างไร
เมื่อเราทำบาป พระบิดาทรงแก้ไขและฝึกวินัยเราด้วยความรัก นั่นไม่ใช่การปฏิเสธเรา (8:1) แต่คือความรัก (ฮบ.12:6) จงใช้ชีวิตอย่างบุตรที่รักของพระเจ้า พักสงบในพระพรแห่งความมั่นใจว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อเรานั้นมั่นคงและยั่งยืนนิรันดร์
วางใจในพระนามของพระองค์
ตอนเป็นเด็กมีช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันกลัวการไปโรงเรียน พวกเด็กผู้หญิงบางคนรังแกฉันโดยกลั่นแกล้งอย่างโหดร้าย ดังนั้นในช่วงพักฉันจะไปหลบภัยในห้องสมุดซึ่งเป็นที่ที่ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องราวของคริสเตียนหลายเล่ม ฉันจำครั้งแรกที่อ่านพระนาม “พระเยซู” ได้ อย่างไรก็ตามฉันได้รู้ว่านี่คือชื่อของคนผู้หนึ่งที่รักฉัน หลายเดือนต่อมา เมื่อใดก็ตามที่ฉันมาโรงเรียนโดยรู้สึกกลัวการทรมานที่รออยู่ตรงหน้า ฉันจะอธิษฐาน “พระเยซู ขอทรงปกป้องฉัน” ฉันรู้สึกเข้มแข็งและสงบมากขึ้นเพราะรู้ว่าพระองค์ทรงเฝ้ามองฉันอยู่ ต่อมาเด็กหญิงพวกนั้นก็เบื่อที่จะรังแกฉันและเลิกไป
หลายปีผ่านไปและการวางใจในพระนามของพระองค์ยังคงช่วยค้ำจุนฉันในยามยากลำบาก การวางใจในพระนามของพระองค์คือการเชื่อว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับพระลักษณะของพระองค์นั้นเป็นความจริง ซึ่งทำให้ฉันได้พักสงบในพระองค์
ดาวิดเองก็รู้ดีถึงความมั่นคงปลอดภัยในการวางใจในพระนามพระเจ้า เมื่อท่านเขียนสดุดีบทที่ 9 ท่านมีประสบการณ์กับพระเจ้าแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองสูงสุด ทรงเที่ยงธรรมและสัตย์ซื่อ (ข้อ 7-8, 10, 16) ดาวิดจึงได้แสดงความวางใจในพระนามของพระเจ้าด้วยการเข้าสู้รบกับศัตรูโดยไม่ได้วางใจในอาวุธหรือทักษะทางทหาร แต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงปกป้องท่านเหนืออื่นใดในฐานะที่ทรงเป็น “ที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่” (ข้อ 9)
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉันร้องออกพระนามพระองค์และได้พบว่าพระองค์ทรงเป็นตามพระนามนั้น ขอให้เราวางใจในพระนามของพระเยซูเสมอ ซึ่งเป็นพระนามของผู้ที่รักเรา
เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ
วันนั้นเป็นเช้าวันจันทร์ แต่เจียหมิงเพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน เขาอยู่ที่บ้านกำลังทำความสะอาดห้องน้ำ เขาว่างงานมาหนึ่งเดือนแล้ว บริษัทของเขาปิดตัวลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตทำให้เจียหมิงเต็มไปด้วยความกลัว ผมต้องเลี้ยงดูครอบครัว เขาคิด ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหนได้
ในสดุดี 121:1 นักแสวงบุญที่ไปยังกรุงเยรูซาเล็มได้ถามคำถามคล้ายๆกันว่า เขาจะขอความช่วยเหลือได้จากที่ไหน การเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาศิโยนนั้นยาวนานและอาจเป็นอันตรายได้ โดยนักเดินทางต้องอดทนกับการปีนป่ายที่ยากลำบาก ความท้าทายที่พวกเขาเผชิญอาจเหมือนกับการเดินทางอันยากลำบากที่เราเผชิญในชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ปัญหาความสัมพันธ์ การสูญเสียคนที่เรารัก ความเครียดในที่ทำงาน หรือในกรณีของเจียหมิงคือ ปัญหาด้านการเงินและการว่างงาน
แต่เรามีกำลังใจได้ในความจริงที่ว่า พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะทรงช่วยเรา (ข้อ 2) พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของเรา (ข้อ 3, 5, 7-8) และทรงรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด Shamar ซึ่งแปลว่า “เฝ้าดู” ในภาษาฮีบรูหมายถึง “พิทักษ์รักษา” พระผู้สร้างจักรวาลเป็นผู้พิทักษ์ของเรา เราอยู่ในการอารักขาของพระองค์ “พระเจ้าดูแลผมและครอบครัว” เจียหมิงแบ่งปันเมื่อเร็วๆนี้ “และในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงจัดเตรียมงานสอนให้กับผม”
เมื่อเราวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า เราสามารถมองไปข้างหน้าได้ด้วยความหวัง โดยรู้ว่าเราอยู่ในอาณาเขตการคุ้มครองภายใต้พระปัญญาและความรักของพระองค์
พระเจ้าทรงเห็นคุณ
เช้าตรู่อาจเป็นเวลาที่เจ็บปวดสำหรับอัลม่าเพื่อนของฉันผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสองคน เธอบอกว่า “เวลาที่ทุกอย่างเงียบสงบ ความวิตกจะปรากฏขึ้น เวลาที่ฉันทำงานบ้าน ฉันกังวลเรื่องการเงิน และสุขภาพและการเรียนของลูกๆ”
เมื่อสามีทิ้งเธอไป อัลม่าแบกรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกด้วยตัวคนเดียว “มันยาก” เธอบอก “แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นฉันและครอบครัวของฉัน พระองค์ประทานกำลังให้ฉันสามารถทำงานสองแห่ง ทรงจัดเตรียมสำหรับความจำเป็นของพวกเรา และทรงให้ลูกๆของฉันมีประสบการณ์กับการทรงนำของพระองค์ในแต่ละวัน”
ฮาการ์ สาวใช้ชาวอียิปต์เข้าใจความหมายของการที่พระเจ้าทรงมองเห็นนาง หลังจากตั้งครรภ์กับอับราม นางเริ่มดูหมิ่นซาราย (ปฐก.16:4) ผู้ตอบโต้ด้วยการข่มเหงนาง ทำให้นางต้องหนีไปในทะเลทราย ฮาการ์ต้องอยู่ตัวคนเดียว เผชิญกับอนาคตที่มืดมนและสิ้นหวังสำหรับตนเองและลูกในครรภ์
แต่ในทะเลทรายนั้นเอง “ทูตพระเจ้า” (ข้อ 7) พบเธอและกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า” (ข้อ 11) ทูตพระเจ้าบอกฮาการ์ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป และรับรองเรื่องอนาคตของเธอ จากเรื่องของฮาการ์เราได้รู้จักหนึ่งในพระนามของพระเจ้า คือ เอล โรอี “พระเจ้าผู้ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์” (ข้อ 13 TNCV)
คุณอาจกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ยากลำบาก รู้สึกหลงทางและโดดเดี่ยวเหมือนกับฮาการ์ แต่จงจำไว้ว่าแม้ในที่รกร้างว่างเปล่า พระเจ้าทรงเห็นคุณ จงยื่นแขนออกหาพระองค์ และวางใจให้พระองค์ทรงนำคุณไป
ความเย่อหยิ่งและการล่อลวง
พระเจ้าผู้ทรงรัก ขอบพระคุณสำหรับการลงโทษที่เป็นการสะกิดเตือนอันอ่อนโยนของพระองค์ ฉันคอตกเมื่อพึมพำคำพูดยากๆเหล่านั้น ข้าพระองค์เย่อหยิ่งมากที่คิดว่าทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง หลายเดือนที่ฉันสนุกกับโครงการที่ประสบความสำเร็จ และรางวัลต่างๆได้กล่อมให้ฉันวางใจในความสามารถตนเองและปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้า จนมีโครงการหนึ่งที่ท้าทายที่ทำให้ตระหนักว่าฉันไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด จิตใจที่เย่อหยิ่งล่อลวงให้ฉันเชื่อว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า
อาณาจักรเอโดมอันทรงอำนาจได้รับการตีสอนจากพระเจ้าเพราะความเย่อหยิ่งของตน เอโดมตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้ดูเหมือนศัตรูไม่อาจทำลายได้ (อบด.1:3) อีกทั้งเป็นประเทศที่มั่งคั่ง ตั้งอยู่ใจกลางยุทธศาสตร์ของเส้นทางการค้า และอุดมไปด้วยทองแดงซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าสูงในยุคโบราณ เอโดมเต็มไปด้วยของดีและก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ชาวเมืองเชื่อว่าอาณาจักรของตนไม่มีใครทำลายได้ แม้เมื่อพวกเขากดขี่ประชากรของพระเจ้า (ข้อ 10-14) แต่พระเจ้าใช้ผู้เผยพระวจนะโอบาดีห์มาประกาศการพิพากษา บรรดาประชาชาติจะลุกขึ้นต่อต้านเอโดม และอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยทรงอำนาจจะไม่มีทางป้องกันและอับอาย (ข้อ 1-2)
ความเย่อหยิ่งล่อลวงให้คิดว่าเราใช้ชีวิตตามเงื่อนไขของตนเองได้โดยไม่มีพระเจ้า ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยจากผู้มีอำนาจ จากการลงโทษและความอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้เราถ่อมตัวลง (1 ปต.5:6) เมื่อเราหันจากความเย่อหยิ่งและเลือกการกลับใจ พระเจ้าก็จะทรงนำเราไปสู่การไว้วางใจทั้งสิ้นในพระองค์
ทรงรู้
ลีอากำลังจะเริ่มทำงานเป็นพยาบาลในประเทศไต้หวัน เธอจะสามารถส่งเสียครอบครัวได้ดีกว่าการอยู่ในกรุงมะนิลาที่โอกาสด้านการงานมีอยู่อย่างจำกัด ในคืนก่อนออกเดินทาง เธอบอกวิธีการกับพี่สาวซึ่งจะเป็นคนดูแลลูกสาววัยห้าขวบของเธอว่า “เขาจะยอมกินวิตามิน ถ้าเอาเนยถั่วหนึ่งช้อนให้เขากินด้วย” ลีอาอธิบายว่า “อย่าลืมว่าเขาเป็นเด็กขี้อาย อีกหน่อยเขาจะค่อยๆกล้าเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเอง และเขากลัวความมืด...”
วันรุ่งขึ้นขณะมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ลีอาอธิษฐานว่า ข้าแต่พระเจ้า ไม่มีใครู้จักลูกสาวของข้าพระองค์ดีเหมือนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อยู่กับลูกไม่ได้ แต่พระองค์ทรงทำได้
เรารู้จักคนที่เรารัก และเราสังเกตรายละเอียดทุกอย่างของพวกเขาเพราะพวกเขามีค่าสำหรับเรา เมื่อเราไม่สามารถอยู่กับพวกเขาได้เพราะสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เรามักจะวิตกว่าเมื่อไม่มีใครรู้จักเขาดีเท่าเรา พวกเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายกว่า
ในพระธรรมสดุดี 139 ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราดีกว่าใคร และทรงรู้จักคนที่เรารักเป็นอย่างดีด้วย (ข้อ 1-4) พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้สร้างของพวกเขา (ข้อ 13-15) พระองค์จึงทรงเข้าใจในความต้องการทุกอย่างที่พวกเขามี พระองค์ทรงรู้ว่าในแต่ละวันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา (ข้อ 16) พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยและจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา (ข้อ 5, 7-10)
เมื่อคุณกังวลถึงใคร จงฝากเขาไว้กับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้จักคนเหล่านั้นดีที่สุด และรักพวกเขามากที่สุด
การเอื้อเฟื้อที่แท้จริง
“คูมาอิน กา นา บา” (คุณกินอะไรมารึยัง) นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ยินเสมอเมื่อมาเยือนบ้านส่วนใหญ่ในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฉัน เป็นวิธีการแสดงความเอาใจใส่และความมีน้ำใจต่อแขกของชาวฟิลิปปินส์ และไม่ว่าคุณจะตอบอย่างไร เจ้าของบ้านจะเตรียมบางอย่างให้คุณกินเสมอ คนฟิลิปปินส์เชื่อว่าการมีน้ำใจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่พูดทักทายตามธรรมเนียม แต่ยังต้องทำมากกว่านั้นเพื่อแสดงความเอื้อเฟื้อจริงๆ
เรเบคาห์ก็เข้าใจเรื่องการเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี งานบ้านประจำวันของเธอนั้นรวมถึงการไปตักน้ำจากบ่อน้ำนอกเมืองและแบกเหยือกที่หนักอึ้งนั้นกลับบ้าน เมื่อคนใช้ของอับราฮัมซึ่งกระหายน้ำมากจากการเดินทาง ขอดื่มน้ำเล็กน้อยจากเหยือกของเธอ เธอไม่ลังเลที่จะให้เขาดื่ม (ปฐก.24:17-18)
แต่แล้วเรเบคาห์ก็ทำมากกว่านั้นอีก เมื่อเธอเห็นว่าอูฐของผู้มาเยือนกระหายน้ำ เธอจึงรีบกลับไปตักน้ำให้พวกมัน (ข้อ 19-20) เธอไม่รีรอที่จะช่วยเหลือ แม้นั่นจะหมายถึงการต้องเดินกลับไปที่บ่อน้ำอีกรอบหนึ่ง (หรือมากกว่านั้น) และกลับมาพร้อมกับเหยือกอันหนักอึ้ง
ชีวิตเป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนมาก และบ่อยครั้งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล็กๆน้อยๆในทางปฏิบัติสามารถหนุนจิตชูใจพวกเขาได้ การเป็นช่องทางส่งต่อความรักของพระเจ้าไม่ได้หมายความถึงการเทศนาที่ทรงพลังหรือการตั้งคริสตจักรเสมอไป บางครั้งอาจเป็นแค่การให้น้ำดื่มกับใครสักคน
สันติสุขของพระองค์
เป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันต้องรับมือกับการใช้เล่ห์กลและการเมืองในที่ทำงานอย่างหนักหน่วง ความวิตกกังวลเป็นนิสัยของฉัน ฉันจึงประหลาดใจที่ตนเองมีสันติสุข แทนที่จะรู้สึกวิตกฉันสามารถตอบโต้อย่างใจเย็นและมีสติ ฉันรู้ว่าสันติสุขนี้มาจากพระเจ้าเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม มีช่วงเวลาอื่นในชีวิตฉันที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่ฉันกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ ฉันรู้ว่านั่นเป็นเพราะฉันวางใจในความสามารถของตนเอง แทนที่จะวางใจในพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันตระหนักว่าสันติสุขที่แท้จริงคือสันติสุขของพระเจ้านั้น ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสถานการณ์ แต่โดยความไว้วางใจในพระองค์
สันติสุขของพระเจ้ามาถึงเราเมื่อใจของเราแน่วแน่ (อสย.26:3) ในภาษาฮีบรู คำว่า แน่วแน่ หมายถึง “การพึ่งพา” เมื่อเราพึ่งพาในพระองค์ เราจะพบกับการทรงสถิตอันสุขสงบของพระองค์ เราวางใจในพระเจ้าได้ โดยระลึกว่าพระองค์จะทำให้ผู้จองหองและคนชั่วถ่อมใจ และกระทำให้วิถีของคนชอบธรรมราบรื่น (ข้อ 5-7)
ตอนที่ฉันได้พบสันติสุขในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมากกว่าในตอนที่สบายนั้น ฉันค้นพบว่าสันติสุขของพระเจ้าไม่ใช่การไม่มีปัญหาขัดแย้ง แต่เป็นการรับรู้อย่างชัดเจนในส่วนลึกถึงความปลอดภัยแม้อยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจของมนุษย์และคุ้มครองจิตใจและความคิดของเราไว้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด (ฟป.4:6-7)