ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Huang

รวบรวมบรรดาประชาชาติ

พรมแดนระหว่างประเทศที่ยาวที่สุดในโลกคือระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งทอดยาวทั้งทางบกและทางน้ำเป็นระยะทาง 8,892 กิโลเมตร คนงานจะตัดต้นไม้ที่อยู่ในระยะสิบฟุตจากพรมแดนทั้งสองฝั่งเป็นประจำเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด เส้นพรมแดนที่ทอดยาวบนผืนดินว่างเปล่านี้มีชื่อว่า“เดอะสแลช” มีก้อนหินมากกว่าแปดพันก้อนวางระบุตำแหน่ง เพื่อนักท่องเที่ยวจะรู้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนอยู่ตรงไหน

การถางป่าในพื้นที่บริเวณ “เดอะสแลช” แสดงถึงการแบ่งเขตการปกครองและวัฒนธรรมที่ชัดเจน ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรารอคอยเวลาที่พระเจ้าจะทรงรื้อถอนสิ่งนี้และรวบรวมบรรดาประชาชาติทั่วโลกมาอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงอนาคตที่พระนิเวศของพระองค์จะถูกสถาปนาและถูกยกขึ้น (อสย.2:2) ชนชาติทั้งหลายจะรวมตัวกันเพื่อเรียนรู้วิถีของพระเจ้าและ “เดินในมรรคาของพระองค์” (ข้อ 3) เราจะไม่พึ่งพาความพยายามอันล้มเหลวของมนุษย์ในการรักษาสันติภาพอีกต่อไป พระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้เที่ยงแท้ของเราจะทรงวินิจฉัยระหว่างประชาชาติทั้งหลาย และยุติข้อพิพาททั้งมวล (ข้อ 4)

คุณจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากการแบ่งแยกและความขัดแย้งออกหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะนำมา! เราสามารถ “ดำเนินในสว่างของพระเจ้า” (ข้อ 5) โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกแยกรอบตัว และเลือกที่จะถวายความจงรักภักดีของเราแด่พระองค์ในตอนนี้ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง และวันหนึ่งพระองค์จะทรงรวบรวมประชากรของพระองค์ไว้ภายใต้การปกครองเดียวกัน

พระองค์ทรงได้ยินคุณ

ตำราฟิสิกส์ซึ่งเขียนโดยชาร์ล ริบอร์ก มานน์และจอร์ช แรนซัม ทวิสส์ตั้งคำถามว่า “เมื่อต้นไม้ต้นหนึ่งโค่นล้มในป่าที่ห่างไกลผู้คน และไม่มีสัตว์อยู่ใกล้ที่จะได้ยิน มันส่งเสียงหรือไม่” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คำถามนี้ทำให้เกิดการอภิปรายทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเสียง การรับรู้ และการดำรงอยู่ ทว่ายังไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุด

คืนหนึ่งในขณะที่ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและเศร้าใจกับปัญหาที่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ฉันก็นึกถึงคำถามนี้ เมื่อไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงได้ยินไหมขณะเผชิญความตายที่คุกคามและรู้สึกอ่อนกำลังเพราะความทุกข์ใจ ผู้เขียนสดุดี 116 อาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง ท่านจึงร้องทูลพระเจ้าโดยรู้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและจะทรงช่วยท่าน ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีบันทึกว่า “พระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า...พระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า” (ข้อ 1-2) ในยามที่ไม่มีใครรู้ถึงความเจ็บปวดของเรานั้น พระเจ้าทรงรู้ เมื่อไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเรา พระเจ้าทรงได้ยิน

การรู้ว่าพระเจ้าจะทรงสำแดงความรักของพระองค์และปกป้องเรา (ข้อ5-6) เราจึงพักสงบได้ในยามยากลำบาก (ข้อ 7) คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ที่พัก” (manoakh) บรรยายถึงสถานที่ที่เงียบสงบและปลอดภัย เราจึงปราศจากความกังวลและเข้มแข็งขึ้นได้ โดยมั่นใจในการทรงสถิตและความช่วยเหลือจากพระเจ้า

คำถามที่ตั้งโดยมานน์และทวิสส์นำไปสู่คำตอบมากมาย แต่คำถามที่ว่า พระเจ้าทรงได้ยินไหม นั้นตอบได้ง่ายดายว่า แน่นอนพระองค์ทรงได้ยิน

ชีวิตนิรันดร์

“อย่ากลัวความตายเลยวินนีย์” แองกัส ทัคกล่าว “จงกลัวชีวิตที่มิได้ใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด” คำกล่าวจากหนังสือที่กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง ชั่วนิรันดร์ นี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเมื่อออกมาจากตัวละครที่เป็นอมตะ ในเรื่องนั้นครอบครัวของทัคกลายเป็นอมตะ เด็กหนุ่มเจมส์ ทัคผู้ตกหลุมรักกับวินนีย์ได้ร้องขอให้เธอกลายเป็นอมตะด้วยเพื่อพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่แองกัสผู้ฉลาดเข้าใจว่าการแค่อยู่เป็นอมตะนั้นไม่นำมาซึ่งการเติมเต็ม

วัฒนธรรมของเราบอกกับเราว่า ถ้าเรามีสุขภาพดี เยาว์วัย และกระปรี้กระเปร่าไปตลอด เราก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง แต่นั่นไม่ใช่ที่ซึ่งเราจะพบการเติมเต็ม ก่อนที่พระเยซูจะไปยังกางเขน พระองค์อธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์และผู้เชื่อในอนาคต ตรัสว่า “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยน.17:3) ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มของเรานั้นมาจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านความเชื่อในพระเยซู พระองค์คือความหวังสำหรับอนาคตและความชื่นชมยินดีสำหรับปัจจุบัน

พระเยซูอธิษฐานเผื่อที่สาวกของพระองค์จะใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่พวกเขาจะปฏิบัติตามพระดำรัสของพระเจ้า (ข้อ 6) เชื่อว่าพระเยซูมาจากพระเจ้าพระบิดา (ข้อ 8) และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ข้อ 11) ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เรารอคอยชีวิตนิรันดร์ในอนาคตร่วมกับพระองค์ แต่ขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราสามารถมีชีวิตที่ “ครบบริบูรณ์” (10:10) อย่างที่พระองค์ทรงสัญญาได้ ณ ที่นี่ ในตอนนี้

ทรงสัตย์ซื่อเสมอ

ฉันเป็นคนขี้กังวล ตอนเช้ามืดจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดเพราะฉันจะอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ดังนั้นฉันจึงแปะข้อความจากฮัดสัน เทย์เลอร์ไว้ที่กระจกในห้องน้ำ ที่ฉันจะมองเห็นได้เมื่อรู้สึกอ่อนแอ ข้อความนั้นคือ “มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์หมายความตามที่ตรัสไว้และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ทุกอย่าง”

คำพูดของเทย์เลอร์มาจากการดำเนินกับพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี และเตือนใจเราว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใดและทรงสามารถทำอะไรได้บ้างในเวลาที่เราเจ็บป่วย ยากจน เหงา และเศร้าโศก เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ แต่เขามีประสบการณ์ในความสัตย์ซื่อของพระองค์ และเพราะเขาวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ จึงมีชาวจีนหลายพันคนมอบชีวิตแก่พระเยซู

การมีประสบการณ์กับพระเจ้าและวิถีทางของพระองค์ช่วยให้กษัตริย์ดาวิดรู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ได้เขียนสดุดี 145 ซึ่งเป็นบทเพลงสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ที่พระองค์ได้สัมผัสถึงความดี ความเมตตา และความสัตย์ซื่อในพระสัญญาทั้งสิ้นของพระองค์ เมื่อเราวางใจและติดตามพระเจ้า เรารู้ (และเข้าใจดียิ่งขึ้น)ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์สัตย์ซื่อตามพระวจนะทั้งสิ้นของพระองค์ (ข้อ 13) และเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด เราตอบสนองด้วยการสรรเสริญพระองค์และพูดถึงพระองค์ให้ผู้อื่นได้ฟัง (ข้อ 10-12)

เมื่อเราเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความกังวลใจ พระเจ้าสามารถช่วยให้เราไม่หวั่นไหวในการเดินไปกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ (ฮบ.10:23)

รักนี้เป็นจริง

“ฉันรู้สึกเหมือนพรมที่ฉันยืนอยู่ถูกดึงออกไป” โจจี้บอก “อาการช็อคจากสิ่งที่ได้ค้นพบนั้นเหมือนกับร่างกายถูกระเบิดกระเด็นลอยไป” เธอพบว่าคู่หมั้นของเธอกำลังคบอยู่กับคนอื่น ความสัมพันธ์ครั้งก่อนของโจจี้ก็จบลงคล้ายๆกัน ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อเธอได้ยินเรื่องความรักของพระเจ้าในการศึกษาพระคัมภีร์ เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นี่เป็นกลลวงอีกหรือไม่ ฉันจะเสียใจไหมถ้าฉันเชื่อพระเจ้าในเวลาที่พระองค์ตรัสว่าทรงรักฉัน

เราอาจเคยประสบกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาเหมือนโจจี้ซึ่งทำให้เรารู้สึกหวาดระแวง หรือถึงกับกลัวที่จะไว้ใจคำมั่นสัญญาเรื่องความรักจากคนนั้นคนนี้ กระทั่งอาจรู้สึกทำนองนี้ต่อความรักของพระเจ้า โดยสงสัยว่าเรื่องไม่ดีซ่อนอยู่ตรงไหน แต่ทว่าไม่มีเรื่องไม่ดีใดที่ซ่อนไว้ “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (รม.5:8) “ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้าทรงพิสูจน์ความรักของพระองค์แล้ว” โจจี้กล่าว “โดยการสิ้นพระชนม์เพื่อฉัน” เพื่อนของฉันพบว่า เนื่องจากสถานภาพของบาปได้แยกเราออกจากพระเจ้า พระองค์จึงทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเราโดยประทานพระเยซูเพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา (รม.5:10; 1ยน.2:2) ด้วยเหตุนี้บาปของเราจึงได้รับการอภัย และเราจึงเฝ้ารอคอยการมีชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ (ยน.3:16)

เมื่อใดก็ตามที่เราสงสัยว่า เราจะวางใจในความรักของพระเจ้าได้จริงหรือ ขอให้ระลึกว่าพระคริสต์ทรงทำอะไรเพื่อเราบนกางเขน เราไว้วางใจในพระสัญญาเรื่องความรักของพระองค์ได้ โดยรู้ว่าพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ

กลับบ้านมาหาพระเจ้า

เย็นวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังวิ่งออกกำลังอยู่ใกล้กับไซต์ก่อสร้างในละแวกบ้าน ลูกแมวตัวผอมสกปรกร้องเหมียวอย่างเศร้าๆให้ฉัน และตามฉันกลับบ้าน ในวันนี้มิคกี้เป็นแมวโตเต็มวัยที่มีสุขภาพดีหน้าตาหล่อเหลา มีความสุขกับชีวิตอันแสนสบายในบ้านของเราและเป็นที่รักอย่างมากของครอบครัวฉัน ทุกครั้งที่ฉันไปวิ่งบนถนนเส้นนั้นที่ฉันเจอมัน ฉันมักนึกในใจว่า ขอบคุณพระเจ้า มิคกี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างถนนแล้ว มันมีบ้านแล้วตอนนี้

สดุดีบทที่ 91 กล่าวถึงคนเหล่านั้นที่ “อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด” (ข้อ 1) ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า คำฮีบรูว่า อาศัย ในที่นี้มีความหมายว่า “คงอยู่ อาศัยอยู่ถาวร” เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยให้เราใช้ชีวิตด้วยสติปัญญาของพระองค์และรักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด (ข้อ 14; ยน.15:10) พระเจ้าทรงสัญญากับเราถึงความสุขของการได้อยู่กับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ และสัญญาถึงความมั่นคงปลอดภัยภายใต้การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ในท่ามกลางความยากลำบากของโลกนี้ แม้จะมีปัญหาผ่านเข้ามา แต่เราสามารถพักสงบในการครอบครอง ในสติปัญญา ความรัก และพระสัญญาของพระองค์ที่จะปกป้องและช่วยกู้เราได้

เมื่อเราให้พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยของเรา เราก็ได้อาศัยอยู่ “ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” (สดด.91:1) ไม่มีปัญหาใดจะเข้ามาใกล้เราได้นอกจากที่พระปัญญาและความรักของพระองค์จะอนุญาต นี่คือความปลอดภัยเมื่อพระเจ้าทรงเป็นบ้านของเรา

ไม่ขาดทุน

รูเอลเพื่อนของฉันไปร่วมงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนมัธยมที่จัดขึ้นที่บ้านของอดีตเพื่อนร่วมชั้น คฤหาสน์ริมน้ำใกล้กับอ่าวมะนิลาหลังนั้นสามารถรองรับผู้ร่วมงานได้สองร้อยคน และนั่นทำให้รูเอลรู้สึกตัวเล็กลง

“หลายปีมานี้ ผมมีความสุขที่ได้ดูแลคริสตจักรในชนบทห่างไกล” รูเอลบอกกับฉัน “และถึงแม้ผมรู้ว่าไม่ควร แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาความมั่งคั่งทางวัตถุของเพื่อนร่วมชั้น ผมคิดเฉไฉไปว่า ชีวิตจะต่างออกไปอย่างไรถ้าผมใช้ปริญญาของผมเพื่อจะกลายเป็นนักธุรกิจแทน”

“แต่ต่อมาผมก็เตือนตัวเองว่า ไม่มีอะไรที่น่าอิจฉา” รูเอลพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ผมลงทุนชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า และผลลัพธ์จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์” ฉันจะจดจำใบหน้าอันสุขสงบของเขาตลอดไปในขณะที่เขากล่าวคำพูดเหล่านั้น

รูเอลดึงสันติสุขมาจากคำอุปมาของพระเยซูในมัทธิว 13:44-46 เขารู้ว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด การแสวงหาและดำเนินชีวิตเพื่อแผ่นดินของพระองค์อาจมีหลายรูปแบบ สำหรับบางคนอาจหมายถึงพันธกิจเต็มเวลา ขณะที่สำหรับคนอื่นๆอาจหมายถึงการดำเนินชีวิตที่สำแดงข่าวประเสริฐในที่ทำงาน ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเลือกใช้เราอย่างไร เราก็ยังคงวางใจและเชื่อฟังการทรงนำของพระองค์ได้ โดยรู้ดีเหมือนชายคนนั้นในคำอุปมาของพระเยซู คือรู้ถึงคุณค่าของขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันเสื่อมสลายที่เราได้รับ ทุกสิ่งในโลกนี้มีค่าน้อยกว่าทั้งหมดที่เราได้รับในการติดตามพระเจ้า (1 ปต.1:4-5)

ชีวิตของเราเมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ จะเกิดผลนิรันดร์

เมื่อคุณกลัว

ฉันมีนัดไปตรวจสุขภาพ และถึงแม้จะไม่ได้มีปัญหาสุขภาพในช่วงที่ผ่านมา แต่ฉันก็รู้สึกกลัว ความทรงจำที่เคยตรวจพบโรคที่ไม่คาดฝันเมื่อนานมาแล้วยังคงตามมาหลอกหลอน แม้ฉันจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยและฉันควรวางใจในพระองค์ แต่ฉันยังคงรู้สึกกลัว

ฉันผิดหวังที่ตัวเองกลัวและขาดความเชื่อ ถ้าพระเจ้าอยู่กับฉันตลอดเวลา ทำไมฉันจึงรู้สึกกังวลเช่นนี้ แล้วในเช้าวันหนึ่ง ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงนำฉันให้อ่านเรื่องราวของกิเดโอน

ทูตของพระเจ้าเรียกกิเดโอนว่า “เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญ” (วนฉ.6:12) แต่ตัวท่านเองกลับกลัวที่ได้รับมอบหมายให้ไปโจมตีชาวมีเดียน แม้พระเจ้าสัญญาว่าจะสถิตอยู่ด้วยและประทานชัยชนะให้ แต่กิเดโอนยังขอการยืนยันจากพระองค์อีกหลายครั้ง(ข้อ16-23,36-40) อย่างไรก็ดีพระเจ้าไม่ได้ตำหนิที่กิเดโอนกลัวพระองค์ทรงเข้าใจ ในคืนที่จะเข้าโจมตีคนมีเดียน พระองค์ทรงให้ความมั่นใจอีกครั้งถึงชัยชนะ และสำแดงให้ท่านเห็นหนทางที่จะช่วยบรรเทาความกลัว (7:10-11)

พระเจ้าทรงเข้าใจความกลัวของฉันเช่นกัน การรับรองของพระองค์ทำให้ฉันกล้าที่จะวางใจในพระองค์ ฉันพบกับสันติสุขของพระองค์และตระหนักว่าทรงอยู่กับฉันไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร สุดท้ายผลการตรวจร่างกายของฉันออกมาปกติทุกอย่าง

เรามีพระเจ้าที่เข้าใจความกลัวของเราและทรงให้ความมั่นใจเราผ่านพระคัมภีร์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (สดด.23:4; ยน.14:16-17) ขอให้เรานมัสการพระองค์ด้วยใจขอบพระคุณ เช่นเดียวกับกิเดโอน (วนฉ.7:15)

พระเจ้าทรงชดเชยความเจ็บปวดของเรา

โอลีฟมองเพื่อนขนอุปกรณ์ทันตกรรมของเธอขึ้นรถของเขา เขาเป็นเพื่อนทันตแพทย์ที่ซื้ออุปกรณ์ใหม่เอี่ยมจากเธอ การมีคลินิกของตนเองเป็นความฝันของโอลีฟมาหลายปี แต่เมื่อไคล์ลูกชายของเธอเกิดมาพร้อมภาวะสมองพิการ เธอจึงตระหนักว่าต้องหยุดทำงานเพื่อดูแลเขา

“ถึงจะมีล้านชีวิต ฉันก็จะเลือกเหมือนเดิม” เพื่อนของฉันบอก “แต่การเลิกเป็นทันตแพทย์นั้นยากมาก มันคือจุดจบของความฝัน”

เรามักเผชิญกับความยากลำบากที่เราไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับโอลีฟแล้วนี่คือความเจ็บปวดใจจากอาการป่วยอย่างไม่คาดฝันของลูกและการต้องทิ้งความปรารถนาของตน สำหรับนาโอมีนั่นคือความเจ็บปวดใจจากการสูญเสียคนทั้งครอบครัว ในนางรูธ 1:21 นางคร่ำครวญว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันต้องประสบเหตุร้ายเช่นนี้”

แต่เรื่องราวของนาโอมียังมีมากกว่าที่นางเห็น พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งนาง พระองค์ทรงนำการฟื้นฟูมาทางโอเบดหลานชายของนาง (นรธ.4:17) โอเบดไม่เพียงเป็นผู้สืบเชื้อสายสามีและบุตรชายของนาง แต่เพราะเขา นางจึงได้เป็นญาติกับบรรพบุรุษ (โบอาส) ของพระเยซู (มธ.1:5, 16)

พระเจ้าทรงชดเชยความเจ็บปวดของนาโอมี พระองค์ยังทรงชดเชยความเจ็บปวดของโอลีฟด้วยการช่วยเธอริเริ่มพันธกิจสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เราอาจต้องเผชิญกับฤดูแห่งความเจ็บปวด แต่เราสามารถวางใจว่าเมื่อเราเชื่อฟังและติดตามพระเจ้า พระองค์จะทรงชดเชยความเจ็บปวดของเรา ด้วยพระปัญญาและความรักของพระองค์นั้น พระองค์ทรงสามารถทำให้เกิดสิ่งดีจากความเจ็บปวดได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา