ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Huang

เติบโตในพระเยซู

ตอนเป็นเด็ก ฉันมองว่าผู้ใหญ่ฉลาดและไม่มีทางล้มเหลว พวกเขารู้เสมอว่าต้องทำอะไร ฉันคิดอย่างนั้น วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน “วันหนึ่ง” ที่ว่านั้นมาถึงเมื่อหลายปีมาแล้ว และทั้งหมดที่ฉันเรียนรู้คือ ฉันก็ยังคงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรในหลายๆครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยในครอบครัว ปัญหาเรื่องงาน หรือความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง ช่วงเวลาเหล่านั้นได้ขจัดเอาภาพลวงตาที่คิดว่าตัวเองมีกำลังและอำนาจควบคุมออกไปแล้ว เหลือไว้เพียงทางเลือกเดียว คือที่ฉันจะหลับตาลงและกระซิบว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วย ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”

อัครทูตเปาโลเข้าใจความรู้สึกหมดหนทางนี้ “หนาม” ในชีวิตท่านซึ่งอาจเป็นความเจ็บป่วยทางกาย ทำให้ท่านคับข้องใจและเจ็บปวด แต่ด้วยหนามนี้ เปาโลจึงได้มีประสบการณ์กับความรัก พระสัญญาและพระพรของพระเจ้าที่มากพอ จนท่านอดทนและเอาชนะความยากลำบากได้ (2 คร.12:9) ท่านเรียนรู้ว่าความอ่อนแอและการหมดหนทางของตนเองไม่ได้หมายถึงความพ่ายแพ้ เมื่อยอมจำนนต่อพระเจ้าด้วยความไว้วางใจ สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะทรงเข้ามาและกระทำกิจผ่านสถานการณ์เหล่านี้ (ข้อ 9-10)

การที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ทุกอย่าง แน่นอนว่าเราฉลาดขึ้นตามอายุ แต่ที่สุดแล้วความอ่อนแอมักจะเปิดเผยให้เห็นว่าเราไม่ได้มีอำนาจควบคุมใดๆ แต่ฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของเราอยู่ในพระคริสต์ “เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (ข้อ 10) การ “เป็นผู้ใหญ่” ที่แท้จริงนั้นหมายถึง การที่เรารู้จัก ไว้วางใจและเชื่อฟังในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่จะมาถึงเมื่อเราตระหนักว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์

อดทนในพระเยซู

ตอนที่ฉันเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมเมื่อหลายปีก่อน เรามีการนมัสการประจำทุกสัปดาห์ ในการนมัสการครั้งหนึ่งขณะที่นักศึกษากำลังร้องเพลง “องค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และทรงใหญ่ยิ่ง” ฉันเห็นอาจารย์ที่เรารักมากสามคนร้องเพลงอย่างสุดหัวใจ ใบหน้าของพวกท่านเปล่งประกายความยินดี ซึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่พวกท่านมีต่อพระเจ้าเท่านั้น หลายปีต่อมา ขณะที่อาจารย์แต่ละท่านต้องเผชิญกับอาการป่วยระยะสุดท้าย ความเชื่อนี้เองที่ทำให้ท่านสามารถอดทนได้และเป็นที่หนุนใจแก่ผู้อื่น

วันนี้ ความทรงจำถึงพวกอาจารย์ที่ร้องเพลงนั้นยังคงเป็นกำลังใจให้ฉันสู้ต่อไปเมื่อเกิดการทดลอง สำหรับฉันแล้ว เรื่องของอาจารย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องราวที่น่าประทับใจของผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เรื่องของพวกเขาเตือนเราถึงวิธีการทำตามสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู 12: 2-3 บอก คือให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ “ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความริื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์” (ข้อ 2)

เมื่อเกิดการทดลอง ไม่ว่าจากการถูกข่มเหงหรือความทุกข์ยากในชีวิตซึ่งทำให้ยากที่จะไปต่อ เรามีตัวอย่างจากคนเหล่านั้นที่ยึดพระวจนะของพระเจ้าและวางใจในพระสัญญาของพระองค์ เราสามารถ “วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา” (ข้อ 1) ให้จดจำไว้ว่า พระเยซูและคนเหล่านั้นที่ล่วงหน้าไปก่อนเราสามารถอดทนได้ ผู้เขียนหนุนใจให้เรา “คิดถึงพระองค์...เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 3)

อาจารย์ของฉันตอนนี้พวกท่านมีความสุขอยู่ในสวรรค์ และท่านน่าจะอยากบอกว่า “ชีวิตแห่งความเชื่อนั้นคุ้มค่าจริงๆ ขอจงสู้ต่อไป”

พระเจ้าทรงอยู่ใกล้

ลอร์เดสเป็นครูสอนร้องเพลงในกรุงมะนิลา เธอสอนนักเรียนแบบตัวต่อตัวเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว เมื่อถูกขอให้จัดชั้นเรียนออนไลน์ เธอจึงรู้สึกกังวล “ฉันไม่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์” เธอเล่า “แล็ปท็อปของฉันเก่าแล้วและฉันไม่คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการประชุมผ่านวิดีโอ”

แม้ว่าอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่เรื่องนี้ก็สร้างความเครียดให้กับเธอจริงๆ “ฉันอยู่คนเดียวจึงไม่มีใครคอยช่วย” เธอกล่าว “ฉันกังวลว่านักเรียนจะลาออก และฉันจำเป็นต้องมีรายได้”

ก่อนเริ่มชั้นเรียนทุกครั้ง เธอจะอธิษฐานขอให้แล็ปท็อปใช้การได้ดี “พระธรรมฟีลิปปี 4:5-6 เป็นภาพพื้นหลังบนหน้าจอของฉัน” เธอเล่า “นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ฉันยึดมั่นอยู่ในพระวจนะตอนนั้น”

เปาโลเตือนสติเราไม่ให้ทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย เพราะ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้” (ฟป.4:5) พระสัญญาเรื่องการทรงสถิตอยู่ด้วยนั้นเป็นของเราที่จะต้องยึดไว้ เมื่อเราพักสงบในการทรงสถิตอยู่ใกล้ และมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์ด้วยการอธิษฐานทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ สันติสุขของพระองค์จะคุ้มครอง “จิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 7)

“พระเจ้าทรงนำฉันไปที่เว็บไซต์ที่แก้ไขข้อผิดพลาดของคอมพิวเตอร์” เธอกล่าว “ทั้งยังทรงประทานนักศึกษาที่มีความอดทนที่เข้าใจข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของฉันด้วย” สันติสุข ความช่วยเหลือและการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นของเรา เพื่อที่เราจะชื่นชมยินดีเมื่อเราแสวงหาที่จะติดตามพระองค์ตลอดวันคืนของชีวิต เรากล่าวอย่างมั่นใจได้ว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด” (ข้อ 4)

พระเจ้าจะไม่ลืมคุณ

ตอนยังเป็นเด็กฉันชอบสะสมแสตมป์ เมื่ออากง (ปู่หรือตาในภาษาจีน) ทราบถึงงานอดิเรกของฉัน ท่านก็เริ่มเก็บแสตมป์จากจดหมายในที่ทำงานของท่านทุกวัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันไปเยี่ยมพวกท่าน อากงจะมอบซองจดหมายที่
เต็มไปด้วยแสตมป์สวยงามหลากหลายแบบให้ฉัน ท่านบอกฉันครั้งหนึ่งว่า “ถึงอากงจะยุ่งตลอดเวลา แต่อากงจะไม่ลืมหนู”

อากงไม่ได้แสดงความรักอย่างโจ่งแจ้ง แต่ฉันสัมผัสถึงความรักของท่านได้อย่างลึกซึ้ง พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ต่ออิสราเอลด้วยวิธีการอันล้ำลึกอย่างหาที่สุดมิได้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราก็จะไม่ลืมเจ้า” (อสย.49:15) ประชากรของพระองค์คร่ำครวญที่ต้องทนทุกข์ในบาบิโลนเนื่องจากการกราบไหว้รูปเคารพและการไม่เชื่อฟังในอดีต “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว” (ข้อ 14) แต่ความรักของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงสัญญาว่าจะให้อภัยและฟื้นฟูพวกเขา (ข้อ 8-13)

“เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา” พระเจ้าตรัสกับอิสราเอล ดังที่พระองค์ตรัสกับเราในวันนี้เช่นกัน (ข้อ 16) ขณะที่ฉันใคร่ครวญถึงคำยืนยันของพระองค์นั้น มันย้ำเตือนฉันอย่างลึกซึ้งถึงพระหัตถ์ที่มีรอยตะปูของพระเยซู ซึ่งได้เหยียดออกด้วยความรักเพื่อเราและเพื่อช่วยเราให้รอด (ยน.20:24-27) เช่นเดียวกับแสตมป์และคำพูดอันอ่อนโยนของอากง พระเจ้าก็ได้ทรงยื่นพระหัตถ์แห่งการให้อภัยเพื่อเป็นเครื่องหมายนิรันดร์แห่งความรักของพระองค์ ให้เราขอบพระคุณสำหรับความรักที่ไม่วันเปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันลืมเรา

เชื่อวางใจพระเจ้า

ฉันต้องการยาสองตัวอย่างเร่งด่วน ตัวแรกคือยาแก้แพ้สำหรับแม่ ส่วนอีกตัวคือยาแก้ผิวอักเสบของหลานสาว พวกเขามีอาการแย่ลงแต่ยานั้นไม่มีวางขายในร้านขายยาอีกแล้ว ฉันสิ้นหวังและหมดหนทาง ฉันอธิษฐานซ้ำไปมาว่า พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด

หลายสัปดาห์ต่อมาอาการป่วยของพวกเขาดีขึ้น พระเจ้าดูเหมือนจะกำลังตรัสว่า “บางเวลาเราใช้ยาในการรักษา แต่เราคือผู้ที่ควบคุมอย่างแท้จริง ไม่ใช่ยาเหล่านั้น อย่าไว้วางใจในยา แต่จงวางใจในเรา”

ในสดุดีบทที่ 20 กษัตริย์ดาวิดรู้สึกอบอุ่นใจในความเป็นพระเจ้าที่ทรงไว้วางใจได้ ชนชาติอิสราเอลมีกองทัพที่เข้มแข็งแต่พวกเขารู้ว่ากำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขามาจาก “พระนามพระเจ้าของเรา” (ข้อ 7) พวกเขาไว้วางใจในพระนามของพระองค์คือในผู้ที่พระองค์ทรงเป็น ในพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์และในพระสัญญาที่มั่นคงของพระองค์ พวกเขายึดมั่นในความจริงที่ว่าพระเจ้าผู้ทรงครอบครองและทรงฤทธานุภาพเหนือสถานการณ์ใดๆจะได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขาและปลดปล่อยพวกเขาจากศัตรู (ข้อ 6)

แม้พระเจ้าอาจทรงใช้สิ่งของในโลกนี้เพื่อช่วยเรา แต่ในท้ายที่สุดแล้วชัยชนะเหนือปัญหาของเรามาจากพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะประทานวิธีในการแก้ปัญหา หรือประทานพระคุณเพื่อให้เราอดทนได้ ไม่ว่าในทางใดเราก็เชื่อวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงเป็นทุกสิ่งที่ได้สัญญาไว้กับเรา เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกท่วมท้นด้วยปัญหา แต่เราสามารถเผชิญกับมันได้ด้วยความหวังและพระคุณของพระองค์

ยึดพระเยซูไว้

ขณะอยู่ตรงบันไดในตึกที่ทำงาน ฉันเกิดอาการวิงเวียนศีรษะที่ถาโถมเข้ามาจนต้องจับราวบันไดไว้เพราะดูเหมือนบันไดกำลังหมุน ขณะที่หัวใจเต้นแรงและขาอ่อนแรงนั้นฉันยึดราวบันไดไว้แน่นและนึกขอบคุณในความแข็งแรงของมัน ผลตรวจทางการแพทย์ชี้ว่าฉันมีภาวะโลหิตจาง แม้อาการจะไม่รุนแรงและฉันดีขึ้นแล้ว แต่ฉันจะไม่มีวันลืมความรู้สึกอ่อนแอในวันนั้นเลย

นี่เป็นเหตุผลที่ฉันชื่นชมหญิงที่แตะต้องพระเยซู เธอไม่เพียงแต่เดินฝ่าฝูงชนขณะที่อ่อนแรง แต่ยังแสดงถึงความเชื่อโดยการยอมเสี่ยงเพื่อจะสัมผัสพระองค์ด้วย (มธ.9:20-22) เธอมีเหตุผลที่จะกลัว เพราะกฎบัญญัติของยิวถือว่าเธอเป็นผู้มีมลทิน และการนำมลทินของเธอไปสู่ผู้อื่นนั้นอาจนำผลร้ายแรงมาสู่เธอ (ลนต.15:25-27) แต่ความคิดที่ว่า ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น นำให้เธอเดินต่อไป คำภาษากรีกที่แปลว่า “แตะต้อง” ในมัทธิว 9:21 นั้นไม่ได้หมายถึงการแตะเพียงผิวเผินแต่มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นคือ “การยึดเอาไว้” หรือ “การทำตัวให้ติด” หญิงนั้นยึดพระเยซูไว้แน่น เธอเชื่อว่าพระองค์จะรักษาเธอได้

ในท่ามกลางฝูงชนมากมายนั้น พระเยซูทรงเห็นความเชื่ออย่างสุดใจของหญิงคนหนึ่ง เช่นเดียวกัน เมื่อเรายอมเสี่ยงโดยความเชื่อและยึดพระคริสต์ไว้ในยามลำบาก พระองค์จะทรงต้อนรับเราและช่วยเหลือเรา เราสามารถเล่าเรื่องของเราให้พระองค์ฟังได้โดยไม่ต้องกลัวการปฏิเสธหรือการลงโทษ พระเยซูทรงบอกกับเราในวันนี้ว่า “ยึดเราไว้”

คุณวางใจในพระเจ้าได้

เมื่อมิกกี้แมวของฉันติดเชื้อที่ตา ฉันหยอดตาให้มันทุกวัน ทันทีที่วางมันที่บนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำ มันนั่งลง มองฉันด้วยสายตาตื่นกลัว และเตรียมพร้อมสำหรับของเหลวที่จะพุ่งเข้ามา “เด็กดี” ฉันพึมพำ แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันทำ แต่ก็ไม่เคยกระโดดหนี ขู่ฟ่อหรือข่วนฉัน แต่จะเบียดตัวเข้ามาใกล้ฉันที่ทำให้มันเจอกับประสบการณ์ยากลำบาก มันรู้ว่าไว้ใจฉันได้

เมื่อดาวิดเขียนพระธรรมสดุดีบทที่ 9 ท่านคงมีประสบการณ์กับความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้ามามากแล้ว ท่านหันไปหาพระองค์เพื่อขอการปกป้องให้พ้นจากศัตรู และพระเจ้าทรงกระทำกิจแทนท่าน (ข้อ 3-6) ในช่วงเวลาที่ดาวิดต้องการ พระเจ้าไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวัง ด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจและทรงชอบธรรม ทรงรักและทรงสัตย์ซื่อ และด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงไว้วางใจพระองค์ ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ไว้วางใจได้

ฉันดูแลมิกกี้ผ่านความเจ็บป่วยมาหลายครั้งตั้งแต่คืนที่ฉันพบมันตอนเป็นลูกแมวตัวเล็กๆที่หิวโหยอยู่ข้างถนน มันรู้ว่ามันจะไว้ใจฉันได้ แม้ว่าฉันจะทำบางอย่างกับมันโดยที่มันไม่เข้าใจก็ตาม ในทำนองเดียวกันการระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราและพระลักษณะของพระองค์ ช่วยให้เราวางใจพระองค์เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังทำ ขอให้เรายังคงวางใจในพระเจ้าต่อไปผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต

สมอแห่งความหวังของเรา

ฉันชูภาพคนนอนใต้เศษลังกระดาษในตรอกสลัวๆขึ้น แล้วถามนักเรียนป. 6 ในชั้นเรียนรวีวันอาทิตย์ว่า “พวกเขาต้องการอะไร” คนหนึ่งตอบว่า “อาหาร” อีกคนตอบว่า “เงิน” เด็กชายคนหนึ่งตอบอย่างครุ่นคิดว่า “ที่ๆปลอดภัย” แล้วเด็กหญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ความหวัง”

เธออธิบายว่า “ความหวังคือการคาดหวังว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้น” ฉันพบว่าน่าสนใจที่เธอพูดถึงเรื่อง “การคาดหวัง” สิ่งดีๆเมื่อมีปัญหามากมาย ซึ่งการไม่คาดหวังสิ่งดีใดๆดูจะง่ายกว่า แต่ทว่าพระคัมภีร์พูดถึงความหวังในแบบเดียวกับนักเรียนของฉัน หาก “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้” (ฮบ.11:1) เราผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซู สามารถ คาดหวังสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นได้

อะไรคือสิ่งดีที่สุดที่ผู้เชื่อในพระคริสต์จะหวังได้ด้วยความมั่นใจ นั่นก็คือ “พระสัญญา…ว่าจะให้เราเข้าสู่การหยุดพักของพระองค์” (4:1 THSV 11) สำหรับผู้เชื่อการหยุดพักที่มาจากพระเจ้านั้นรวมไปถึงสันติสุขจากพระองค์ ความมั่นใจในความรอด การไว้วางใจในกำลังของพระองค์และการรับรองถึงบ้านในอนาคตบนสวรรค์ การรับประกันของพระเจ้าและความรอดที่พระเยซูประทานคือสาเหตุที่ทำให้ความหวังนั้นเป็นเหมือนสมอที่เรายึดมั่นไว้ได้ในเวลาที่จำเป็น (6:18-20) โลกนี้ต้องการความหวัง ซึ่งก็คือความจริงและการรับรองอย่างหนักแน่นของพระเจ้าว่า ทั้งในยามดีหรือยามร้ายพระองค์จะเป็นผู้ตัดสินในท้ายที่สุดและจะไม่ทำให้เราผิดหวัง เมื่อเราวางใจในพระองค์ เรารู้ว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งถูกต้องในเวลาของพระองค์

ปล่อยวาง

เจ้าของร้านหนังสือที่คีธทำงานอยู่เพิ่งจะไปพักร้อนได้เพียงสองวัน แต่คีธซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาก็ตื่นตระหนกเสียแล้ว งานดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่คีธวิตกว่าตนจะดูแลร้านได้ไม่ดี เขาจึงลนลานเข้าไปจัดการในรายละเอียดยิบย่อยทุกอย่างเท่าที่ทำได้

“หยุดเลย” เจ้านายบอกเขาผ่านวิดีโอคอลในที่สุด “สิ่งที่คุณต้องทำคือทำตามคำแนะนำที่ผมส่งอีเมลถึงคุณทุกวัน ไม่ต้องกังวลคีธ ภาระไม่ได้อยู่ที่คุณ แต่อยู่ที่ผม”

ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งกับนานาประเทศ อิสราเอลได้รับถ้อยคำคล้ายคลึงกันจากพระเจ้า “จงนิ่งเสีย” (สดด.46:10) “หยุดดิ้นรน” พระองค์ตรัสใจความสำคัญว่า “จงทำตามเราที่บอก เราจะต่อสู้แทนเจ้า” อิสราเอลไม่ได้ถูกบอกให้อยู่เฉยๆ หรือพึงพอใจกับสถานการณ์ แต่ให้นิ่งสงบด้วยความตื่นตัว โดยเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อในขณะที่ปล่อยวางการควบคุมสถานการณ์และละผลแห่งความพยายามของพวกเขาไว้กับพระองค์

เราก็ถูกเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน และเราทำได้เพราะพระเจ้าที่เราไว้วางใจนั้นทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือโลกนี้ หาก “พระองค์เปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็ละลายไป” และหากพระองค์ทรงให้ “สงครามสงบถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 6, 9) ได้นั้น แน่ทีเดียวเราก็สามารถวางใจในความมั่นคงปลอดภัยของพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา (ข้อ 1) ภาระในการควบคุมชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่อยู่ที่พระเจ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา