ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย John Blase

เหตุผลที่ดี

ผู้หญิงทั้งสองคนนั่งตรงที่นั่งริมทางเดินคนละฝั่งในแถวเดียวกัน เที่ยวบินนั้นใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ผมจึงมีโอกาสได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเธอ แน่นอนว่าพวกเธอรู้จักกัน อาจจะเกี่ยวดองกันด้วย คนที่ดูอายุน้อยกว่า (น่าจะวัยหกสิบปี) คอยล้วงกระเป๋ายื่นสิ่งต่างๆให้อีกคนที่สูงวัยกว่า (ผมเดาว่าวัยเก้าสิบ) ทั้งแอปเปิ้ลหั่นชิ้น แซนด์วิชทำเองขนาดพอดีคำ ต่อด้วยผ้าเช็ดปาก ตบท้ายด้วยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ การยื่นให้ในแต่ละครั้งนั้นทั้งอ่อนโยนและดูภาคภูมิ เมื่อเราลุกขึ้นเตรียมตัวลงจากเครื่อง ผมบอกกับหญิงที่อายุน้อยกว่าว่า “ผมสังเกตเห็นวิธีที่คุณดูแลเธอ มันงดงามมาก” เธอตอบว่า “ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ท่านเป็นแม่ฉันเอง”

คงดีใช่ไหมถ้าเราทุกคนสามารถพูดเช่นนั้นได้ พ่อแม่บางคนเป็นเหมือนเพื่อนสนิท พ่อแม่บางคนไม่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย ความจริงคือความสัมพันธ์นี้มักจะซับซ้อน จดหมายของเปาโลถึงทิโมธีไม่ได้ละเลยในจุดนี้ และยังคงเรียกร้องให้เรา “หัด​ปฏิบัติ​หน้าที่​ทาง​ศาสนา” ด้วยการดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือก็คือ “วงศ์ญาติ” และ “คนในบ้านเรือน” ของเรา (1 ทธ.5:4,8)

เราทุกคนมักจะให้การดูแลก็ต่อเมื่อสมาชิกครอบครัวคนนั้นดีหรือเคยดีต่อเรา หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ ตามที่พวกเขาสมควรได้รับ แต่เปาโลให้เหตุผลที่งดงามกว่าในการตอบแทนพวกเขาคือ ให้ดูแลพวกเขาเพราะ “​การ​กระทำ​เช่นนี้​เป็น​ที่​พอ​พระ​ทัย​พระ​เจ้า” (ข้อ 4)

อธิษฐานอย่างไม่เร่งรีบ

อลิซ คาโฮลูซูนา เล่าว่าชาวฮาวายจะนั่งอยู่ภายนอกวิหารของพวกเขาเป็นเวลานานเพื่อเตรียมตัวเองก่อนเข้าไปภายใน เมื่อเข้าไปแล้วพวกเขาจะคลานไปยังแท่นบูชาเพื่ออธิษฐาน จากนั้นจะออกมานั่งอยู่ด้านนอกอีกนานเพื่อให้คำอธิษฐานของพวกเขา “มีชีวิต” สมัยที่มิชชันนารีมายังเกาะนี้ คนฮาวายมองว่าคำอธิษฐานของพวกเขาดูแปลก มิชชันนารีจะยืนขึ้น พึมพำ 2-3 ประโยคและเรียกสิ่งนั้นว่า “การอธิษฐาน” พูดเอเมนและจบแค่นั้น คนฮาวายบอกว่าการอธิษฐานแบบนี้ “ไม่มีชีวิต”

เรื่องของอลิซบอกเล่าถึงคนของพระเจ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาในการ “นิ่ง...และรู้” (สดด.46:10) จริงอยู่ที่พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของเราไม่ว่าจะยืดยาวหรือรวบรัด แต่หลายครั้งจังหวะของชีวิตเราก็เป็นไปตามจังหวะของหัวใจ และเราต้องให้เวลาเพียงพอในการที่พระเจ้าจะตรัส ทั้งในชีวิตเราและในชีวิตของคนรอบข้างด้วย เราได้พลาดช่วงเวลาแห่งชีวิตนี้ไปกี่ครั้งแล้วด้วยการเร่งรีบ พูดเอเมนและจบแค่นั้น

เรามักขาดความอดทนกับทุกอย่างตั้งแต่คนที่เชื่องช้าไปจนถึงถนนที่การจราจรติดขัด แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าตรัสด้วยความเมตตาว่า “จงนิ่งเสีย สูดหายใจเข้าและออก ค่อยๆไปและจำไว้ว่าเราคือพระเจ้า คือที่กำบังและความเข้มแข็งของเจ้า เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” การทำเช่นนั้นคือ การรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า คือการเชื่อวางใจ และการมีชีวิต

ใช้เวลากับพระเจ้า

สายน้ำลูกผู้ชาย เป็นผลงานชิ้นเอกของนอร์แมน แมคคลีน ที่เล่าถึงเด็กผู้ชายสองคนที่เติบโตทางตะวันตกของมอนตาน่าโดยการเลี้ยงดูของพ่อที่เป็นผู้รับใช้เพรสไบทีเรี่ยน เช้าวันอาทิตย์นอร์แมนและพอลน้องชายไปโบสถ์ที่พ่อของเขาเป็นผู้เทศนา และเย็นวันอาทิตย์มีการนมัสการอีกรอบที่พ่อเทศนาอีกครั้ง แต่ช่วงว่างระหว่างการนมัสการทั้งสองรอบ พวกเขามีเวลาที่จะเดินเที่ยวเล่นในหุบเขาริมลำธารกับพ่อของเขา “ซึ่งเป็นเวลาที่พ่อได้ผ่อนคลายจากงานรับใช้” เป็นความตั้งใจของพ่อที่ปลีกตัวออกไปเพื่อ “ฟื้นฟูจิตวิญญาณและรับการเติมให้เต็มล้นก่อนเทศนาในช่วงค่ำ”

ในตลอดพระกิตติคุณ เราเห็นพระเยซูทรงสั่งสอนคนมากมายบนเนินเขาและในเมือง และทรงรักษาคนป่วยที่มีคนพามาหาพระองค์ การพบปะทั้งหมดนี้คือเป้าหมายในงานของบุตรมนุษย์ “เพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” (ลก.19:10) แต่พระคัมภีร์ได้บอกเช่นกันว่า “แต่พระองค์ทรงเสด็จออกไปในที่เปลี่ยว” (5:16) พระองค์ทรงใช้เวลานั้นในการสนทนากับพระบิดา ทรงได้รับการฟื้นฟูและเสริมกำลังใหม่เพื่อกลับสู่พันธกิจของพระองค์อีกครั้ง

ในความพยายามที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อของเรา เป็นสิ่งดีที่เราจะระลึกว่าพระเยซูทรงปลีกตัวออกจากฝูงชนบ่อยครั้ง หากการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพระเยซู แล้วสิ่งนี้จะสำคัญกับเรามากเพียงไร ขอให้เราใช้เวลากับพระบิดาของเราอย่างสม่ำเสมอ พระองค์ทรงสามารถเติมเราให้เต็มล้นได้อีกครั้ง

แผ่นดินของพระเจ้า

แม่ของผมอุทิศทุ่มเทให้กับหลายสิ่งหลายอย่างในตลอดชีวิตของท่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ตลอดมาคือความปรารถนาที่จะเห็นเด็กเล็กๆได้รู้จักพระเยซู ผมเคยเห็นแม่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อหน้าคนอื่นสองหรือสามครั้ง เวลาที่มีคนพยายามลดงบประมาณพันธกิจของเด็กเพื่อจะเอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่า “จำเป็น” มากกว่า “แม่ถอยออกมาแค่ช่วงฤดูร้อนตอนท้องพี่ชายของลูก ครั้งนั้นแค่ครั้งเดียว” แม่เล่า ผมคำนวณดูจึงได้รู้ว่าแม่ทำงานกับเด็กๆในคริสตจักรมาห้าสิบห้าปีแล้ว

พระธรรมมาระโก 10 ได้บันทึกหนึ่งในเรื่องราวที่น่าประทับใจไว้ในพระกิตติคุณที่คนมักเรียกว่าเรื่อง “พระเยซูกับเด็กเล็กๆ” ประชาชนกำลังพาเด็กเล็กๆมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวและอวยพรพวกเขา แต่พวกสาวกพยายามห้ามไว้ มาระโกบันทึกว่าพระเยซู “ไม่พอพระทัย” และตำหนิสาวกของพระองค์ว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น​” (ข้อ 14)

ชาร์ลส์ ดิกเค่น เขียนไว้ว่า “ผมรักเด็กเล็กๆเหล่านี้ และมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่เด็กไร้เดียงสาเหล่านี้รักเรา” และไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะต้องทำทุกทางเพื่อให้เด็กเล็กๆเหล่านี้ไม่ถูกขัดขวางจากความรักบริสุทธิ์ของพระเยซู

เดิน อย่าวิ่ง

ผมเห็นเธอต้อนรับยามอรุณรุ่งในทุกวัน เธอเป็นนักเดินเร็วที่อยู่แถวบ้านเรา ขณะที่ผมขับรถไปส่งลูกๆก็จะเห็นเธอที่ไหล่ทาง โดยสวมหูฟังขนาดใหญ่และถุงเท้าสีสดสูงถึงเข่า เธอเดินแกว่งแขนสลับข้างกับขาโดยที่เท้าข้างหนึ่งติดพื้นเสมอ กีฬานี้ต่างจากการวิ่งหรือการวิ่งเหยาะๆ การเดินเร็วต้องใช้ความตั้งใจเพื่อจำกัดความต้องการออกวิ่งตามธรรมชาติของร่างกาย แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันต้องใช้พลังงาน สมาธิและกำลังมากเท่าการวิ่งหรือการวิ่งเหยาะๆ แต่อยู่ภายใต้การควบคุม

กุญแจสำคัญคือ กำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุม ความถ่อมใจตามพระคัมภีร์ ก็เป็นเช่นเดียวกับการเดินเร็วที่มักถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ ความจริงคือไม่ใช่เช่นนั้น ความถ่อมใจไม่ได้ลดทอนพละกำลังหรือความสามารถของเรา แต่คือการยอมให้ถูกควบคุมเหมือนกับที่แขนขาและเท้าถูกกำหนดหรือชี้นำโดยความคิดของนักเดินเร็วยามเช้า

ถ้อยคำของมีคาห์ที่ให้ “ดำเนิน​ชีวิต​ด้วย​ความ​ถ่อม​ใจ” นั้นเรียกให้เราควบคุมความต้องการที่จะนำหน้าพระเจ้า ท่านบอก “​ให้​กระทำ​ความ​ยุติธรรม​และ​รัก​สัจ​กรุณา” (6:8)และนั่นอาจทำให้เราปรารถนาอยากจะทำอะไรบางอย่างและทำอย่าง รวดเร็ว ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในโลกนี้ช่างมากมายนัก แต่เราต้องให้พระเจ้าทรงควบคุมและทรงนำเรา เป้าหมายของเราคือการได้เห็นน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในยามอรุณรุ่งแห่งแผ่นดินของพระองค์บนโลกนี้

รับใช้ผู้ต่ำต้อยที่สุด

ชื่อของเขาคือสเปนเซอร์ แต่ทุกคนเรียกเขาว่า “สเปนซ์” เขาเป็นแชมป์แข่งขันกรีฑาระดับมัธยมปลายของรัฐ จากนั้นเขาได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างสูงในงานด้านวิศวกรรมเคมี แต่ถ้าคุณถามสเปนซ์ถึงความสำเร็จสูงสุดจนถึงวันนี้ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านั้นเลย แต่จะเล่าอย่างตื่นเต้นเรื่องการเดินทางไปประเทศนิคารากัวทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อเยี่ยมเด็กๆและครูในโครงการกวดวิชาที่เขาช่วยก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ยากจนที่สุดของประเทศ เขาจะบอกคุณว่าชีวิตของเขามีคุณค่ามากขึ้นเพียงใดเมื่อได้รับใช้คนเหล่านี้

“ผู้ต่ำต้อยที่สุด” เป็นวลีที่มีการใช้ในหลายรูปแบบ แต่พระเยซูทรงใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงผู้คนที่โดยมาตรฐานของโลกแล้วเขาแทบจะไม่สามารถตอบแทนการช่วยเหลือที่เราให้ได้เลย เขาเหล่านั้นเป็นทั้งชาย หญิง และเด็กที่โลกมักจะมองข้ามหรือไม่ก็ถูกลืมอย่างสิ้นเชิง แต่คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเยซูทรงยกให้อยู่ในสถานะที่สวยงามโดยตรัสว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้...ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (มธ.25:40) คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อจะเข้าใจพระดำรัสของพระคริสต์ นั่นคือว่าการรับใช้ “ผู้ต่ำต้อยที่สุด” ก็เป็นเหมือนการรับใช้พระองค์ ทั้งหมดที่ต้องมีคือหัวใจที่เต็มใจ

เหตุผลที่บันทึกไว้

“องค์กษัตริย์ทรงเป็นหอคอยสูงของข้า...เราออกจากค่ายด้วยการร้องเพลง” วันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1943 เอ็ตตี้ ฮิลเลซัมเขียนคำเหล่านี้บนไปรษณียบัตรและโยนออกจากรถไฟ นั่นเป็นบันทึกคำพูดสุดท้ายที่เราจะได้ยินจากเธอ เธอถูกฆ่าที่ค่ายเอาช์วิทซ์ ภายหลังสมุดบันทึกของฮิลเลซัมเกี่ยวกับประสบการณ์ในค่ายกักกันถูกแปลและตีพิมพ์ บันทึกเหล่านั้นเป็นมุมมองของเธอในเรื่องการยึดครองของนาซีอันน่าสะพรึงกลัว และความงดงามในโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง บันทึกของเธอถูกแปลออกไปหกสิบเจ็ดภาษา เป็นของขวัญให้กับทุกคนที่อ่านและเชื่อทั้งในสิ่งดีและร้าย

อัครสาวกยอห์นไม่ได้หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงชีวิตในด้านที่ยากลำบากของพระเยซูบนโลก ท่านเขียนถึงทั้งสิ่งดีที่พระเยซูทำและความท้าทายที่พระองค์เผชิญ ข้อความสุดท้ายจากพระกิตติคุณยอนห์ชี้ถึงจุดประสงค์ของพระธรรมนี้ที่ตั้งชื่อตามท่าน พระเยซูทรงกระทำ “หมายสำคัญอื่นๆ... ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้” (20:30) โดยยอห์น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ “ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ข้อ 31) “บันทึก” ของยอห์นจบลงด้วยข้อความแห่งชัยชนะว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า” ของขวัญจากถ้อยคำในพระกิตติคุณนั้นทำให้เรามีโอกาสที่จะเชื่อและ “มีชีวิตในพระนามของพระองค์”

พระกิตติคุณคือสมุดบันทึกถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เป็นถ้อยคำให้เราได้อ่าน เชื่อ และแบ่งปัน เพราะถ้อยคำเหล่านี้นำเราสู่ชีวิต และนำเราสู่พระคริสต์

วางใจในความสว่าง

พยากรณ์อากาศบอกว่าจะเกิดพายุไซโคลนระเบิด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพายุฤดูหนาวทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่ความกดอากาศลดลง พอตกกลางคืนพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยบนทางหลวงที่ไปยังสนามบินเดนเวอร์แย่ลงจนเกือบจะมองไม่เห็นทาง แต่เมื่อคนที่บินกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นลูกสาวคุณเอง คุณจะทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ เช่น สำรองเสื้อผ้าและน้ำเผื่อไว้ (ในกรณีที่คุณต้องติดอยู่บนทางหลวง) ขับรถให้ช้าที่สุด อธิษฐานไปตลอดทาง และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยคือ วางใจในไฟหน้ารถของคุณ และบางครั้งคุณจะสามารถทำในสิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้

พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงพายุที่กำลังจะมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (ยน.12:31-33) และอีกลูกหนึ่งเป็นการท้าทายสาวกของพระองค์ให้คงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อและปรนนิบัติพระองค์ต่อไป (ข้อ 26) สถานการณ์กำลังมืดมนลงจนเกือบจะมองไม่เห็น พระเยซูบอกให้พวกเขาทำอะไร ทรงบอกว่าจงเชื่อหรือวางใจในความสว่าง (ข้อ 36) นั่นเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถเดินหน้าต่อไปและคงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อ

พระเยซูจะอยู่กับพวกเขาอีกเพียงไม่นาน แต่ผู้เชื่อมีองค์พระวิญญาณผู้ทรงเป็นแสงส่องนำทางเราไปตลอด เราเองก็จะเผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมิดจนเกือบจะมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า แต่โดยการเชื่อหรือไว้วางใจในความสว่าง เราจะเดินหน้าต่อไปได้

เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยว

ผมอยู่ที่โคโลราโด เป็นรัฐทางตะวันตกของอเมริกาซึ่งเป็นที่รู้จักจากเทือกเขาร็อคกี้และหิมะ แต่ภัยธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในรัฐของเราไม่เกี่ยวข้องกับหิมะเลย แต่เป็นฝน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1976 เกิดน้ำท่วมใหญ่จากแม่น้ำบิ๊กทอมสัน เข้ามาในที่พักตากอากาศที่เอสทิสพาร์ค เมื่อน้ำลดมียอดผู้เสียชีวิต 144 คนไม่รวมปศุสัตว์ ภายหลังภัยพิบัติได้มีการศึกษาค้นคว้าที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับรากฐานของถนนและทางหลวง ผนังของถนนที่ต้านทานพายุได้คือส่วนที่ทำด้วยคอนกรีต หรืออีกนัยหนึ่งคือ พวกมันมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง

ในชีวิตของเรานั้นคำถามไม่ใช่แค่ว่าจะเกิดน้ำท่วมหรือไม่ แต่ว่าเป็นเมื่อไร บางครั้งเราได้รับคำเตือนล่วงหน้าแต่โดยปกติแล้วไม่ใช่ พระเยซูทรงเน้นย้ำเรื่องรากฐานที่แข็งแรงเพื่อช่วงเวลาเหล่านั้น คนจะถูกสร้างได้ไม่เพียงได้ยินพระคำของพระเจ้าเท่านั้น แต่ต้องดำเนินชีวิตที่สำแดงข่าวประเสริฐด้วย (ลก.6:47) การปฏิบัติเช่นนั้นเปรียบเหมือนการเทคอนกรีตในชีวิตของเรา เมื่อเกิดน้ำท่วมซึ่งจะเกิดแน่นอน เราจะสามารถต้านทานมันได้เพราะเราถูก “สร้างไว้มั่นคง” (ข้อ 48) การไม่ปฏิบัติตามนั้นทำให้ชีวิตของเราอ่อนแอเสี่ยงต่อการถูกทำลายได้ (ข้อ 49) นี่คือความแตกต่างระหว่างคนมีปัญญาและคนโง่

เป็นการดีที่จะหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อประเมินรากฐานของเรา พระเยซูจะทรงช่วยเสริมสร้างส่วนที่อ่อนแอของเรา เพื่อเราจะยืนอย่างมั่นคงโดยกำลังของพระองค์เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา