แค่เสียงกระซิบ
กำแพงกระซิบในสถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัลของนครนิวยอร์กเป็นโอเอซิสแห่งเสียงในท่ามกลางความอึกทึกของบริเวณนั้น ในสถานที่พิเศษนี้ผู้คนสามารถกระซิบเบาๆถึงกันได้จากระยะสามสิบฟุต เมื่อคนหนึ่งยืนที่ฐานหินแกรนิตของซุ้มทางเดินหลังคาโค้งและพูดเบาๆใส่กำแพง คลื่นเสียงจะเคลื่อนที่ขึ้นและผ่านหินโค้งด้านบนไปยังผู้ฟังที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
โยบได้ยินเสียงกระซิบข้อความถึงท่านในขณะที่ชีวิตท่านเต็มไปด้วยเสียงรบกวนและโศกนาฏกรรมจากการสูญเสียเกือบทุกอย่าง (โยบ 1:13-19; 2:7) เพื่อนๆ ของท่านแสดงความคิดเห็น ความคิดของท่านเองก็วุ่นวายสับสน และปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตรอบด้าน แต่กระนั้นความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติได้พูดกับท่านอย่างแผ่วเบาถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า
ความงดงามของท้องฟ้า ความลึกลับแห่งแผ่นดินโลกที่ลอยอยู่ในอวกาศ และความมั่นคงของเส้นขอบฟ้าทำให้โยบระลึกได้ว่าโลกนี้อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้า (26:7-11) แม้แต่ทะเลที่ปั่นป่วนและท้องฟ้าที่ส่งเสียงครืนก็นำท่านให้กล่าวว่า “เหล่านี้เป็นเพียงพระราชกิจผิวเผินของพระองค์ เราทราบถึงพระองค์ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบ” (ข้อ 14)
หากสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายของโลกสำแดงถึงขีดความสามารถของพระเจ้าได้แค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ย่อมยิ่งใหญ่เกินความเข้าใจของเรา ในเวลาของการสูญเสีย สิ่งนี้ทำให้เรามีความหวัง พระเจ้าทรงทำได้ทุกสิ่งรวมถึงสิ่งที่ทรงทำเพื่อโยบดังที่ทรงค้ำจุนท่านไว้ในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก
การออกแบบอันงดงาม
ทีมนักวิจัยนานาชาติได้สร้างโดรนปีกกระพือที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของนกชนิดหนึ่ง นั่นคือนกแอ่น ซึ่งเป็นนกที่สามารถบินได้เร็วถึง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถบินโฉบเฉี่ยว พุ่งตัวลง หักเลี้ยว และหยุดอย่างกะทันหันได้ แต่โดรนติดปีกออร์นิทอปเตอร์นี้ยังทำได้ไม่เท่ากับนก นักวิจัยท่านหนึ่งกล่าวว่า นก “มีกล้ามเนื้อหลายชุดที่ทำให้พวกมันบินได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ ทั้งการพับปีก การบิดปีก การเปิดช่องปีกและการลดพลังงาน เขายอมรับว่าความพยายามของทีมยังคงเลียนแบบได้เพียงแค่ “10 เปอร์เซ็นต์ของการบินแบบธรรมชาติ”
พระเจ้าทรงประทานความสามารถอันน่าทึ่งให้สัตว์ทั้งหลายในโลกของเรา การสังเกตและใคร่ครวญความเชี่ยวชาญในสัตว์เหล่านั้นอาจเป็นที่มาของสติปัญญาให้กับเราได้ พวกมดสอนเราเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมอาหาร ตัวกระจงผาทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของที่กำบังที่มั่นคง และตั๊กแตนสอนเราถึงพลังของการรวมตัวกัน (สภษ.30:25-27)
พระคัมภีร์บอกเราว่า “[พระเจ้า]ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยสติปัญญาของพระองค์” (ยรม.10:12) และตอนท้ายของทุกขั้นตอนในกระบวนการทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงรับรองว่าสิ่งที่ทรงทำเสร็จแล้วนั้น “ดี” (ปฐก.1:4, 10, 12, 18, 21, 25, 31) พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ผู้ทรงสร้างนกที่ “บินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน” (ข้อ 20) เป็นผู้ประทานความสามารถให้เรานำสติปัญญาของพระองค์มาประกอบกับการใช้เหตุผลของเราเอง วันนี้ให้คุณใคร่ครวญว่าคุณจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากการออกแบบอันงดงามของพระองค์ในโลกแห่งธรรมชาตินี้
ยอมรับการ(ทรง)นำ
กลิ่นของหนังฟอกและเมล็ดพืชอบอวลในอากาศขณะเรายืนอยู่ในโรงนาที่มิเชลล์เพื่อนของฉันกำลังสอนลูกสาวฉันขี่ม้า ลูกม้าสีขาวของมิเชลล์อ้าปากขณะเธอสาธิตวิธีวางบังเหียนไว้ด้านหลังฟันของมัน เมื่อเธอดึงสายบังเหียนมาคล้องเหนือหูมันนั้น มิเชลล์อธิบายว่าบังเหียนนี้สำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ขี่สามารถชะลอม้าและบังคับทิศทางไปทางซ้ายหรือขวาได้
บังเหียนของม้าก็เหมือนกับลิ้นของมนุษย์ ขนาดเล็กแต่มีความสำคัญ ทั้งสองมีอิทธิพลมากต่อสิ่งใหญ่โตและมีกำลัง เพราะบังเหียนก็คือม้า ส่วนลิ้นนั้นก็คือคำพูดของเรา (ยก.3:3, 5)
คำพูดของเราอาจลื่นไหลไปคนละทิศทางได้ “เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์” (ข้อ 9) น่าเศร้าที่พระคัมภีร์เตือนว่าการควบคุมคำพูดของเราเป็นเรื่องยากมาก เพราะคำพูดออกมาจากใจ (ลก.6:45) แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน ทรงช่วยให้เราเติบโตในความอดกลั้นใจ ความดี และการรู้จักบังคับตน (กท.5:22-23) เมื่อเราร่วมมือกับพระวิญญาณ จิตใจของเราจะเปลี่ยนแปลง และคำพูดของเราก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน คำแช่งด่ากลายเป็นคำสรรเสริญ คำโกหกหลีกทางให้ความจริง คำวิจารณ์แปรเปลี่ยนเป็นคำหนุนใจ
การควบคุมลิ้นไม่ใช่แค่การฝึกตนเองให้พูดในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่คือการยอมรับในการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อว่าคำพูดของเราจะก่อให้เกิดความเมตตากรุณาและการหนุนใจที่โลกของเราต้องการ
พระเจ้าในทุกๆวันของเรา
หลังจากการผ่าตัดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ คุณหมอบอกโจแอนว่าอีก 5 สัปดาห์เธอจะต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ขณะที่เวลาผ่านไปความกังวลก็ก่อตัวขึ้น โจแอนและสามีเป็นผู้สูงอายุและครอบครัวก็อยู่ไกล พวกเขาต้องขับรถมายังเมืองที่ไม่คุ้นเคยและต้องผ่านระบบที่ซับซ้อนของโรงพยาบาล อีกทั้งยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญคนใหม่
แม้สถานการณ์จะดูหนักหนาสาหัส แต่พระเจ้าทรงดูแลพวกเขา ระหว่างการเดินทางระบบนำทางในรถของพวกเขาเกิดขัดข้อง แต่พวกเขาก็ยังมาถึงทันเวลาเพราะมีแผนที่กระดาษอยู่ พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้แก่พวกเขา ที่โรงพยาบาลมีศิษยาภิบาลคนหนึ่งอธิษฐานกับพวกเขาและเสนอที่จะช่วยเหลือพวกเขาในวันนั้น พระเจ้าทรงประทานการช่วยเหลือให้แก่พวกเขา หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว โจแอนได้รับข่าวดีคือการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ
แม้เราอาจไม่ได้รับการเยียวยาหรือช่วยกู้ทุกๆครั้ง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอเสมอ ไม่ว่าคนหนุ่มสาว คนชรา หรือผู้ด้อยโอกาส หลายร้อยปีที่แล้วเมื่อการถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลนทำให้คนอิสราเอลอ่อนแอลง อิสยาห์ได้เตือนพวกเขาว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่อุ้มชูพวกเขามาตั้งแต่เกิดและจะทรงดูแลพวกเขาต่อไป พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า “จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก” (อสย.46:4)
พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเราในเวลาที่เราต้องการพระองค์มากที่สุด พระองค์สามารถจัดหาสิ่งที่เราต้องการและทรงเตือนเราว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราในทุกๆช่วงของชีวิต พระองค์คือพระเจ้าในทุกๆวันของเรา
ทำด้วยคำอธิษฐาน
เมื่อลูกชายของฉันต้องผ่าตัดกระดูก ฉันนึกขอบคุณหมอที่ทำการผ่าตัด คุณหมอผู้ใกล้เกษียณให้ความมั่นใจกับเราว่าเขาช่วยคนมาแล้วกว่าพันคนกับปัญหาเดียวกันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนลงมือผ่า เขาอธิษฐานและทูลขอให้พระเจ้าประทานผลลัพธ์ที่ดี ฉันรู้สึกขอบคุณที่เขาทำเช่นนั้น
กษัตริย์เยโฮชาฟัทซึ่งเป็นผู้นำประเทศที่มีประสบการณ์ก็อธิษฐานในเวลาวิกฤตเช่นกัน ทั้งสามชนชาติรวมพลังกันต่อต้านพระองค์ และพวกเขากำลังจะมาโจมตีคนของพระองค์ แม้จะมีประสบการณ์มากว่ายี่สิบปี พระองค์ตัดสินใจถามพระเจ้าว่าควรทำอย่างไร โดยอธิษฐานว่า “[พวกเรา]จะร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด” (2 พศด.20:9) และพระองค์ยังทูลขอการทรงนำ โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์” (ข้อ 12)
การที่เยโฮชาฟัทจัดการกับความท้าทายด้วยใจถ่อมนั้นได้เปิดหัวใจของพระองค์สู่การมีส่วนร่วมของพระเจ้า ที่มาในรูปแบบของการหนุนใจและการแทรกแซงจากพระองค์ (ข้อ 15-17,22) ไม่ว่าเราจะมีประสบการณ์ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากแค่ไหน การอธิษฐานทูลขอความช่วยเหลือยังคงช่วยเพิ่มความวางใจอันบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า เป็นการย้ำเตือนเราว่าพระองค์ทรงรู้มากกว่าที่เรารู้ และพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด สิ่งนี้นำเราสู่สถานที่แห่งความถ่อมใจ อันเป็นที่แห่งความโปรดปรานซึ่งพระองค์จะตอบสนองและช่วยเหลือเรา ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
กำลังในยามอ่อนแอ
เมื่อลูกชายของฉันย่างเข้าขวบปีที่สาม ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้นเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ก่อนเข้าสู่กระบวนการ ฉันมองเห็นภาพตัวเองนอนอยู่บนเตียงขณะที่มีจานสกปรกมากมายวางอยู่ในอ่างล้างจาน ฉันไม่มั่นใจว่าจะดูแลเด็กวัยกำลังซนอย่างไร และวาดภาพตัวเองกำลังยืนทำอาหารอยู่หน้าเตาให้กับครอบครัวไม่ออก ฉันหวาดกลัวว่าความอ่อนแอของฉันจะส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเรา
พระเจ้าทรงจงใจทำให้กองทหารของกิเดโอนอ่อนแอลงก่อนที่กองทัพของท่านจะเผชิญหน้ากับชาวมีเดียน ประการแรก คนที่หวาดกลัวได้รับอนุญาตให้จากไป ชายสองหมื่นสองพันคนได้กลับบ้าน (วนฉ.7:3) ต่อมาจากหนึ่งหมื่นคนที่เหลืออยู่ มีเพียงผู้ที่ใช้มือวักน้ำขึ้นดื่มที่อยู่ต่อได้ เหลือผู้ชายเพียงสามร้อยคน แต่ความเสียเปรียบนี้ป้องกันชนชาติอิสราเอลจากการพึ่งพากำลังของพวกเขาเอง (ข้อ 5-6) พวกเขาจึงไม่อาจพูดได้ว่า “มือของเราเองได้กู้เราไว้” (ข้อ 2)
เราหลายคนเคยประสบกับเวลาที่เรารู้สึกหมดพลังและอ่อนล้า เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจึงได้ตระหนักว่าฉันต้องการพระเจ้ามากเพียงใด พระองค์ทรงเสริมกำลังภายในใจฉันโดยพระวิญญาณของพระองค์ และภายนอกผ่านการช่วยเหลือของเพื่อนๆและครอบครัว ฉันต้องปล่อยวางการพึ่งพาตัวเองลงชั่วคราว แต่สิ่งนี้สอนฉันให้พึ่งพาในพระเจ้ามากกว่าเดิม เพราะ “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเรา [พระเจ้า]ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (2คร.12:9) เรามีความหวังได้แม้ในยามที่เราไม่สามารถพึ่งพาตัวเราเอง
อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่
ฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์แล้วถอนหายใจ ความกังวลทำให้คิ้วขมวด ฉันกับเพื่อนมีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรงในเรื่องที่เกี่ยวกับลูกของเรา และฉันรู้ว่าฉันต้องโทรไปขอโทษเธอ ฉันไม่อยากทำเพราะความเห็นของเรายังขัดแย้งกันอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่าฉันไม่ได้อ่อนโยนหรือถ่อมใจตอนเราถกประเด็นนี้กันครั้งที่แล้ว
ขณะที่รอโทรศัพท์ฉันนึกสงสัยว่า ถ้าเธอไม่ยกโทษให้ฉันล่ะ ถ้าเธอไม่อยากรักษามิตรภาพนี้ไว้แล้วล่ะ แล้วตอนนั้นเนื้อเพลงก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน นำฉันกลับไปยังช่วงเวลาที่ฉันสารภาพบาปของฉันในสถานการณ์นั้นต่อพระเจ้า ฉันรู้สึกโล่งใจเพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงให้อภัยแล้วและปลดปล่อยฉันจากความรู้สึกผิด
เมื่อเราพยายามจะแก้ปัญหาความสัมพันธ์ เราไม่สามารถควบคุมวิธีที่คนอื่นจะตอบสนองต่อเราได้ แต่ตราบใดที่เรายอมรับผิดในส่วนของเรา ทูลขอการอภัยด้วยใจถ่อมและเปลี่ยนแปลงในส่วนที่จำเป็น เราก็สามารถยอมให้พระเจ้าทรงนำการเยียวยารักษามาได้ แม้เราจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดจาก “ปัญหาเรื่องคน” ที่ยังไม่ถูกแก้ไข แต่เรามีสันติสุขกับพระเจ้าได้ อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่ และพระองค์ทรงคอยที่จะสำแดงพระคุณและพระเมตตาที่เราต้องการ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา” (1 ยน.1:9)
พระเยซูแห่งพระวจนะ
เสียงอื้ออึงในห้องค่อยๆเบาลงสู่ความเงียบที่สบายหูเมื่อหัวหน้าชมรมการอ่านกำลังสรุปนวนิยายที่กลุ่มจะอภิปรายร่วมกัน โจแอนเพื่อนของฉันตั้งใจฟังแต่ไม่คุ้นกับโครงเรื่อง ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเธออ่านหนังสือสารคดีที่มีชื่อคล้ายกับนวนิยายที่คนอื่นอ่านมา แม้ว่าเธอจะชื่นชอบการอ่านหนังสือเล่มที่ “ผิด” แต่เธอไม่สามารถอภิปรายหนังสือเล่มที่ “ถูก” ร่วมกับเพื่อนๆได้
อัครสาวกเปาโลไม่ต้องการให้ผู้เชื่อพระเยซูในเมืองโครินธ์เชื่อในพระเยซูที่ “ผิด” ท่านชี้ให้เห็นว่าพวกสอนผิดได้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรและสอนถึง “พระเยซู” อีกองค์หนึ่งแก่พวกเขา และพวกเขาก็เชื่อคำโกหกนั้น (2 คร.11:3-4)
เปาโลประณามคำสอนนอกรีตของพวกสอนเท็จเหล่านี้ ในจดหมายฉบับแรกที่ท่านเขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ ท่านได้ทบทวนความจริงเกี่ยวกับพระเยซูตามที่เขียนไว้ในพระวจนะ พระเยซูองค์นี้คือพระเมสสิยาห์ผู้ “ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเรา... วันที่สามพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่... ทรงปรากฏแก่...อัครทูตสิบสองคน” และสุดท้ายทรงปรากฏแก่เปาโลเอง (1 คร.15:3-8) พระเยซูผู้นี้เสด็จเข้ามาในโลกโดยหญิงพรหมจารีย์ชื่อมารีย์ และทรงถูกเรียกว่า อิมมานูเอล (พระเจ้าทรงอยู่กับเรา) เพื่อยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (มธ.1:20-23)
ฟังดูเหมือนกับพระเยซูที่คุณรู้จักไหม การเข้าใจและยอมรับความจริงที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระองค์ จะทำให้เรามั่นใจว่าเราอยู่บนเส้นทางฝ่ายวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์
คริสต์มาสอัศจรรย์
ที่ร้านขายของมือสอง ฉันพบแบบจำลองการบังเกิดของพระเยซูในกล่องกระดาษที่เก่าและผุพัง เมื่อฉันหยิบพระกุมารเยซูขึ้นมาดู ฉันสังเกตเห็นรายละเอียดของร่างกายทารกที่ถูกแกะสลักมาอย่างประณีต เด็กแรกเกิดผู้นี้ไม่ได้นอนหลับตาอยู่ในผ้าห่ม แต่เขาตื่นอยู่พร้อมกับยื่นแขนและกางนิ้วมือออกมาราวกับจะบอกว่า “ผมอยู่ที่นี่!”
รูปแกะสลักนี้แสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของวันคริสต์มาส ที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมายังโลกในสภาพมนุษย์ เมื่อพระกุมารเยซูเติบโตขึ้น มือเล็กๆของพระองค์ทรงจับของเล่น ถือคัมภีร์โทราห์ แล้วก็ทำเฟอร์นิเจอร์ ก่อนที่จะเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์ พระบาทของพระองค์ที่อวบอิ่มและสมบูรณ์เมื่อแรกเกิด ได้เติบโตขึ้นและนำพระองค์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อเทศนาสั่งสอนและรักษาโรค ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ถูกตอกด้วยตะปูเพื่อตรึงพระกายของพระองค์บนกางเขน
โรม 8:3 (ฉบับ NLT) กล่าวว่า “ในร่างกายนั้น พระเจ้าทรงประกาศจุดจบของความบาปที่ควบคุมเราอยู่ โดยการประทานพระบุตรของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป” หากเรายอมรับเครื่องบูชาของพระเยซูเป็นค่าไถ่สำหรับความผิดบาปทั้งสิ้นของเรา และยอมมอบชีวิตของเราให้กับพระองค์ เราจะได้รับการปลดเปลื้องจากพันธนาการของความบาป เพราะพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงถือกำเนิดมาเพื่อเรานั้น เป็นทารกที่มีเนื้อหนังและขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้จริง เราจึงมีหนทางที่จะพบกับสันติสุขและความมั่นใจในการมีชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์