ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Jennifer Benson Schuldt

ยอมรับการ(ทรง)นำ

กลิ่นของหนังฟอกและเมล็ดพืชอบอวลในอากาศขณะเรายืนอยู่ในโรงนาที่มิเชลล์เพื่อนของฉันกำลังสอนลูกสาวฉันขี่ม้า ลูกม้าสีขาวของมิเชลล์อ้าปากขณะเธอสาธิตวิธีวางบังเหียนไว้ด้านหลังฟันของมัน เมื่อเธอดึงสายบังเหียนมาคล้องเหนือหูมันนั้น มิเชลล์อธิบายว่าบังเหียนนี้สำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ขี่สามารถชะลอม้าและบังคับทิศทางไปทางซ้ายหรือขวาได้

บังเหียนของม้าก็เหมือนกับลิ้นของมนุษย์ ขนาดเล็กแต่มีความสำคัญ ทั้งสองมีอิทธิพลมากต่อสิ่งใหญ่โตและมีกำลัง เพราะบังเหียนก็คือม้า ส่วนลิ้นนั้นก็คือคำพูดของเรา (ยก.3:3, 5)

คำพูดของเราอาจลื่นไหลไปคนละทิศทางได้ “เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์” (ข้อ 9) น่าเศร้าที่พระคัมภีร์เตือนว่าการควบคุมคำพูดของเราเป็นเรื่องยากมาก เพราะคำพูดออกมาจากใจ (ลก.6:45) แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน ทรงช่วยให้เราเติบโตในความอดกลั้นใจ ความดี และการรู้จักบังคับตน (กท.5:22-23) เมื่อเราร่วมมือกับพระวิญญาณ จิตใจของเราจะเปลี่ยนแปลง และคำพูดของเราก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน คำแช่งด่ากลายเป็นคำสรรเสริญ คำโกหกหลีกทางให้ความจริง คำวิจารณ์แปรเปลี่ยนเป็นคำหนุนใจ

การควบคุมลิ้นไม่ใช่แค่การฝึกตนเองให้พูดในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่คือการยอมรับในการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อว่าคำพูดของเราจะก่อให้เกิดความเมตตากรุณาและการหนุนใจที่โลกของเราต้องการ

พระเจ้าในทุกๆวันของเรา

หลังจากการผ่าตัดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ คุณหมอบอกโจแอนว่าอีก 5 สัปดาห์เธอจะต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ขณะที่เวลาผ่านไปความกังวลก็ก่อตัวขึ้น โจแอนและสามีเป็นผู้สูงอายุและครอบครัวก็อยู่ไกล พวกเขาต้องขับรถมายังเมืองที่ไม่คุ้นเคยและต้องผ่านระบบที่ซับซ้อนของโรงพยาบาล อีกทั้งยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญคนใหม่

แม้สถานการณ์จะดูหนักหนาสาหัส แต่พระเจ้าทรงดูแลพวกเขา ระหว่างการเดินทางระบบนำทางในรถของพวกเขาเกิดขัดข้อง แต่พวกเขาก็ยังมาถึงทันเวลาเพราะมีแผนที่กระดาษอยู่ พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้แก่พวกเขา ที่โรงพยาบาลมีศิษยาภิบาลคนหนึ่งอธิษฐานกับพวกเขาและเสนอที่จะช่วยเหลือพวกเขาในวันนั้น พระเจ้าทรงประทานการช่วยเหลือให้แก่พวกเขา หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว โจแอนได้รับข่าวดีคือการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ

แม้เราอาจไม่ได้รับการเยียวยาหรือช่วยกู้ทุกๆครั้ง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอเสมอ ไม่ว่าคนหนุ่มสาว คนชรา หรือผู้ด้อยโอกาส หลายร้อยปีที่แล้วเมื่อการถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลนทำให้คนอิสราเอลอ่อนแอลง อิสยาห์ได้เตือนพวกเขาว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่อุ้มชูพวกเขามาตั้งแต่เกิดและจะทรงดูแลพวกเขาต่อไป พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า “จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก” (อสย.46:4)

พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเราในเวลาที่เราต้องการพระองค์มากที่สุด พระองค์สามารถจัดหาสิ่งที่เราต้องการและทรงเตือนเราว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราในทุกๆช่วงของชีวิต พระองค์คือพระเจ้าในทุกๆวันของเรา

ทำด้วยคำอธิษฐาน

เมื่อลูกชายของฉันต้องผ่าตัดกระดูก ฉันนึกขอบคุณหมอที่ทำการผ่าตัด คุณหมอผู้ใกล้เกษียณให้ความมั่นใจกับเราว่าเขาช่วยคนมาแล้วกว่าพันคนกับปัญหาเดียวกันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนลงมือผ่า เขาอธิษฐานและทูลขอให้พระเจ้าประทานผลลัพธ์ที่ดี ฉันรู้สึกขอบคุณที่เขาทำเช่นนั้น

กษัตริย์เยโฮชาฟัทซึ่งเป็นผู้นำประเทศที่มีประสบการณ์ก็อธิษฐานในเวลาวิกฤตเช่นกัน ทั้งสามชนชาติรวมพลังกันต่อต้านพระองค์ และพวกเขากำลังจะมาโจมตีคนของพระองค์ แม้จะมีประสบการณ์มากว่ายี่สิบปี พระองค์ตัดสินใจถามพระเจ้าว่าควรทำอย่างไร โดยอธิษฐานว่า “[พวกเรา]จะร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด” (2 พศด.20:9) และพระองค์ยังทูลขอการทรงนำ โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์” (ข้อ 12)

การที่เยโฮชาฟัทจัดการกับความท้าทายด้วยใจถ่อมนั้นได้เปิดหัวใจของพระองค์สู่การมีส่วนร่วมของพระเจ้า ที่มาในรูปแบบของการหนุนใจและการแทรกแซงจากพระองค์ (ข้อ 15-17,22) ไม่ว่าเราจะมีประสบการณ์ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากแค่ไหน การอธิษฐานทูลขอความช่วยเหลือยังคงช่วยเพิ่มความวางใจอันบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า เป็นการย้ำเตือนเราว่าพระองค์ทรงรู้มากกว่าที่เรารู้ และพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด สิ่งนี้นำเราสู่สถานที่แห่งความถ่อมใจ อันเป็นที่แห่งความโปรดปรานซึ่งพระองค์จะตอบสนองและช่วยเหลือเรา ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร

กำลังในยามอ่อนแอ

เมื่อลูกชายของฉันย่างเข้าขวบปีที่สาม ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้นเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ก่อนเข้าสู่กระบวนการ ฉันมองเห็นภาพตัวเองนอนอยู่บนเตียงขณะที่มีจานสกปรกมากมายวางอยู่ในอ่างล้างจาน ฉันไม่มั่นใจว่าจะดูแลเด็กวัยกำลังซนอย่างไร และวาดภาพตัวเองกำลังยืนทำอาหารอยู่หน้าเตาให้กับครอบครัวไม่ออก ฉันหวาดกลัวว่าความอ่อนแอของฉันจะส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเรา

พระเจ้าทรงจงใจทำให้กองทหารของกิเดโอนอ่อนแอลงก่อนที่กองทัพของท่านจะเผชิญหน้ากับชาวมีเดียน ประการแรก คนที่หวาดกลัวได้รับอนุญาตให้จากไป ชายสองหมื่นสองพันคนได้กลับบ้าน (วนฉ.7:3) ต่อมาจากหนึ่งหมื่นคนที่เหลืออยู่ มีเพียงผู้ที่ใช้มือวักน้ำขึ้นดื่มที่อยู่ต่อได้ เหลือผู้ชายเพียงสามร้อยคน แต่ความเสียเปรียบนี้ป้องกันชนชาติอิสราเอลจากการพึ่งพากำลังของพวกเขาเอง (ข้อ 5-6) พวกเขาจึงไม่อาจพูดได้ว่า “มือของเราเองได้กู้เราไว้” (ข้อ 2)

เราหลายคนเคยประสบกับเวลาที่เรารู้สึกหมดพลังและอ่อนล้า เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจึงได้ตระหนักว่าฉันต้องการพระเจ้ามากเพียงใด พระองค์ทรงเสริมกำลังภายในใจฉันโดยพระวิญญาณของพระองค์ และภายนอกผ่านการช่วยเหลือของเพื่อนๆและครอบครัว ฉันต้องปล่อยวางการพึ่งพาตัวเองลงชั่วคราว แต่สิ่งนี้สอนฉันให้พึ่งพาในพระเจ้ามากกว่าเดิม เพราะ “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเรา [พระเจ้า]ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (2คร.12:9) เรามีความหวังได้แม้ในยามที่เราไม่สามารถพึ่งพาตัวเราเอง

อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่

ฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์แล้วถอนหายใจ ความกังวลทำให้คิ้วขมวด ฉันกับเพื่อนมีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรงในเรื่องที่เกี่ยวกับลูกของเรา และฉันรู้ว่าฉันต้องโทรไปขอโทษเธอ ฉันไม่อยากทำเพราะความเห็นของเรายังขัดแย้งกันอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่าฉันไม่ได้อ่อนโยนหรือถ่อมใจตอนเราถกประเด็นนี้กันครั้งที่แล้ว

ขณะที่รอโทรศัพท์ฉันนึกสงสัยว่า ถ้าเธอไม่ยกโทษให้ฉันล่ะ ถ้าเธอไม่อยากรักษามิตรภาพนี้ไว้แล้วล่ะ แล้วตอนนั้นเนื้อเพลงก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน นำฉันกลับไปยังช่วงเวลาที่ฉันสารภาพบาปของฉันในสถานการณ์นั้นต่อพระเจ้า ฉันรู้สึกโล่งใจเพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงให้อภัยแล้วและปลดปล่อยฉันจากความรู้สึกผิด

เมื่อเราพยายามจะแก้ปัญหาความสัมพันธ์ เราไม่สามารถควบคุมวิธีที่คนอื่นจะตอบสนองต่อเราได้ แต่ตราบใดที่เรายอมรับผิดในส่วนของเรา ทูลขอการอภัยด้วยใจถ่อมและเปลี่ยนแปลงในส่วนที่จำเป็น เราก็สามารถยอมให้พระเจ้าทรงนำการเยียวยารักษามาได้ แม้เราจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดจาก “ปัญหาเรื่องคน” ที่ยังไม่ถูกแก้ไข แต่เรามีสันติสุขกับพระเจ้าได้ อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่ และพระองค์ทรงคอยที่จะสำแดงพระคุณและพระเมตตาที่เราต้องการ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา” (1 ยน.1:9)

พระเยซูแห่งพระวจนะ

เสียงอื้ออึงในห้องค่อยๆเบาลงสู่ความเงียบที่สบายหูเมื่อหัวหน้าชมรมการอ่านกำลังสรุปนวนิยายที่กลุ่มจะอภิปรายร่วมกัน โจแอนเพื่อนของฉันตั้งใจฟังแต่ไม่คุ้นกับโครงเรื่อง ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเธออ่านหนังสือสารคดีที่มีชื่อคล้ายกับนวนิยายที่คนอื่นอ่านมา แม้ว่าเธอจะชื่นชอบการอ่านหนังสือเล่มที่ “ผิด” แต่เธอไม่สามารถอภิปรายหนังสือเล่มที่ “ถูก” ร่วมกับเพื่อนๆได้

อัครสาวกเปาโลไม่ต้องการให้ผู้เชื่อพระเยซูในเมืองโครินธ์เชื่อในพระเยซูที่ “ผิด” ท่านชี้ให้เห็นว่าพวกสอนผิดได้แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรและสอนถึง “พระเยซู” อีกองค์หนึ่งแก่พวกเขา และพวกเขาก็เชื่อคำโกหกนั้น (2 คร.11:3-4)

เปาโลประณามคำสอนนอกรีตของพวกสอนเท็จเหล่านี้ ในจดหมายฉบับแรกที่ท่านเขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ ท่านได้ทบทวนความจริงเกี่ยวกับพระเยซูตามที่เขียนไว้ในพระวจนะ พระเยซูองค์นี้คือพระเมสสิยาห์ผู้ “ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเรา... วันที่สามพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่... ทรงปรากฏแก่...อัครทูตสิบสองคน” และสุดท้ายทรงปรากฏแก่เปาโลเอง (1 คร.15:3-8) พระเยซูผู้นี้เสด็จเข้ามาในโลกโดยหญิงพรหมจารีย์ชื่อมารีย์ และทรงถูกเรียกว่า อิมมานูเอล (พระเจ้าทรงอยู่กับเรา) เพื่อยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (มธ.1:20-23)

ฟังดูเหมือนกับพระเยซูที่คุณรู้จักไหม การเข้าใจและยอมรับความจริงที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระองค์ จะทำให้เรามั่นใจว่าเราอยู่บนเส้นทางฝ่ายวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์

คริสต์มาสอัศจรรย์

ที่ร้านขายของมือสอง ฉันพบแบบจำลองการบังเกิดของพระเยซูในกล่องกระดาษที่เก่าและผุพัง เมื่อฉันหยิบพระกุมารเยซูขึ้นมาดู ฉันสังเกตเห็นรายละเอียดของร่างกายทารกที่ถูกแกะสลักมาอย่างประณีต เด็กแรกเกิดผู้นี้ไม่ได้นอนหลับตาอยู่ในผ้าห่ม แต่เขาตื่นอยู่พร้อมกับยื่นแขนและกางนิ้วมือออกมาราวกับจะบอกว่า “ผมอยู่ที่นี่!”

รูปแกะสลักนี้แสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของวันคริสต์มาส ที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมายังโลกในสภาพมนุษย์ เมื่อพระกุมารเยซูเติบโตขึ้น มือเล็กๆของพระองค์ทรงจับของเล่น ถือคัมภีร์โทราห์ แล้วก็ทำเฟอร์นิเจอร์ ก่อนที่จะเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์ พระบาทของพระองค์ที่อวบอิ่มและสมบูรณ์เมื่อแรกเกิด ได้เติบโตขึ้นและนำพระองค์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อเทศนาสั่งสอนและรักษาโรค ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ถูกตอกด้วยตะปูเพื่อตรึงพระกายของพระองค์บนกางเขน

โรม 8:3 (ฉบับ NLT) กล่าวว่า “ในร่างกายนั้น พระเจ้าทรงประกาศจุดจบของความบาปที่ควบคุมเราอยู่ โดยการประทานพระบุตรของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป” หากเรายอมรับเครื่องบูชาของพระเยซูเป็นค่าไถ่สำหรับความผิดบาปทั้งสิ้นของเรา และยอมมอบชีวิตของเราให้กับพระองค์ เราจะได้รับการปลดเปลื้องจากพันธนาการของความบาป เพราะพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงถือกำเนิดมาเพื่อเรานั้น เป็นทารกที่มีเนื้อหนังและขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้จริง เราจึงมีหนทางที่จะพบกับสันติสุขและความมั่นใจในการมีชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์

ใช้เสียงของคุณ

ลิซ่าต้องต่อสู้กับการพูดติดอ่างและกลายเป็นคนกลัวการเข้าสังคมที่ต้องพูดคุยกับผู้คนตั้งแต่เธออายุแปดขวบ แต่ช่วงชีวิตต่อมาหลังเข้ารับการบำบัดด้านการพูดช่วยให้เธอเอาชนะอุปสรรคได้ ลิซ่าจึงเลือกที่จะใช้เสียงของเธอช่วยเหลือผู้อื่น เธอเริ่มงานอาสาสมัครเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์สำหรับผู้ที่โศกเศร้า

โมเสสก็ต้องเผชิญหน้ากับความกังวลในเรื่องการพูดเพื่อช่วยนำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นเชลย พระเจ้าขอให้ท่านสื่อสารกับฟาโรห์ แต่โมเสสทักท้วงเพราะรู้สึกไม่มั่นใจความสามารถในการพูดของตน (อพย.4:10) พระเจ้าทรงท้าทายท่านว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์” จากนั้นพระองค์ทรงรับรองกับโมเสสว่า “เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” (ข้อ 11-12)

การตอบสนองของพระเจ้าย้ำเตือนเราว่า พระองค์สามารถกระทำพระราช-กิจอันทรงฤทธิ์ผ่านทางเราแม้เราจะมีข้อจำกัด แต่ถึงเราจะทราบดีอยู่แก่ใจก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะทำ โมเสสยังคงขัดขืนและอ้อนวอนให้พระเจ้าทรงใช้ผู้อื่นไปแทน (ข้อ 13) พระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้อาโรนพี่ชายของท่านไปกับท่าน (ข้อ 14)

เราแต่ละคนมีเสียงที่สามารถช่วยผู้อื่นได้ เราอาจกลัว เราอาจรู้สึกไร้ความสามารถ เราอาจรู้สึกว่าไม่มีคำพูดที่เหมาะสม

พระเจ้าทรงทราบว่าเรารู้สึกเช่นไร พระองค์สามารถประทานถ้อยคำและทุกสิ่งที่เราต้องการ เพื่อจะรับใช้ผู้อื่นและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ

สัญญาณของชีวิต

เมื่อลูกสาวของฉันได้ปูเลี้ยงสองตัวเป็นของขวัญ เธอใส่ทรายในตู้กระจกเพื่อมันจะได้ขุดและปีนป่าย เธอเตรียมน้ำ โปรตีน และเศษผักสำหรับเป็นอาหารเย็นของพวกมัน พวกมันดูมีความสุขดี จึงเป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อวันหนึ่งพวกมันหายไป เราค้นหาไปทุกที่ ในที่สุดเราก็รู้ว่าพวกมันอยู่ใต้ทราย และจะอยู่อย่างนั้นประมาณสองเดือนเพื่อลอกคราบ

สองเดือนผ่านไป และอีกเดือนก็ผ่านไป ฉันเริ่มกังวลว่าพวกมันจะตาย ยิ่งเรารอนานฉันก็ยิ่งหมดความอดทน และในที่สุดเราก็มองเห็นสัญญาณของการมีชีวิต และเจ้าปูก็ออกมาจากทราย

ฉันสงสัยว่าชนชาติอิสราเอลคงสงสัยในคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่าจะสำเร็จเป็นจริงได้อย่างไรในตอนที่พวกเขาเป็นทาสอยู่บาบิโลน พวกเขารู้สึกสิ้นหวังหรือเปล่า พวกเขากังวลว่าจะอยู่ที่นั่นไปตลอดหรือไม่ พระเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ว่า “เราจะเยี่ยมเยียนเจ้าและจะให้คำสัญญาของเรา สำเร็จเพื่อเจ้าและจะนำเจ้ากลับมาสู่ (เยรูซาเล็ม)” (ยรม.29:10) แน่นอนว่าในอีก 70 ปีให้หลังพระเจ้าทรงให้กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียอนุญาตให้ชาวยิวกลับสู่เยรูซาเล็มและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ (อสร.1:1-4)

ในฤดูกาลแห่งการรอคอยที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงลืมเรา ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราพัฒนาความอดทน เรารู้ได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานความหวัง ผู้รักษาสัญญา และผู้เดียวที่ทรงควบคุมอนาคต

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา