ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

ของขวัญล้ำค่าของความรัก

ขณะที่เจฟฟ์ลูกชายผมกำลังออกจากร้าน เขาเห็นอุปกรณ์ช่วยเดินถูกทิ้งอยู่บนพื้น หวังว่าจะไม่มีใครที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ด้านหลังนั้นนะ เขาคิด เขามองไปด้านหลังตึกและพบชายไร้บ้านคนหนึ่งหมดสติอยู่บนทางเดิน

เจฟฟ์ปลุกเขาและถามว่าเป็นอะไรไหม “ผมพยายามจะดื่มให้ตายไปเลย” เขาตอบ “เต็นท์ผมพังเพราะพายุ ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่”

เจฟฟ์โทรศัพท์ไปที่สถานบำบัดของคริสเตียนแห่งหนึ่ง ขณะรอการช่วยเหลืออยู่นั้น เขารีบกลับไปที่บ้านและนำเอาเต็นท์พักแรมของเขามาให้ชายคนนั้น “คุณชื่ออะไร” เจฟฟ์ถาม ชายไร้บ้านตอบว่า “เจฟฟรี่ สะกดด้วยตัวจี” เจฟฟ์ไม่ได้บอกชื่อของตนกับชายคนนั้นและไม่ได้พูดถึงการสะกดชื่อแบบไม่ธรรมดานั้นด้วย เขาบอกผมภายหลังว่า “พ่อครับ นั่นอาจเป็นผมก็ได้”

เจฟฟ์เองเคยต่อสู้กับการใช้สารเสพติด และเขาช่วยชายคนนั้นเพราะความเมตตาที่เขาได้รับจากพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวถ้อยคำเพื่อทำนายถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่จะมาถึงเราผ่านทางพระเยซูว่า “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน” (อสย.53:6)

พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของเราไม่ได้ทรงปล่อยให้เราหลงอยู่ตัวคนเดียวอย่างไร้ซึ่งความหวัง พระองค์ทรงเลือกที่จะเอาใจเราไปใส่ใจของพระองค์และยกเราขึ้นด้วยความรัก เพื่อเราจะได้รับอิสรภาพเพื่อมีชีวิตใหม่ในพระองค์ ไม่มีของขวัญใดจะล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อรักไม่มีวันสิ้นสุด

“ทุกครั้งที่คุณปู่พาฉันไปเที่ยวทะเล” แซนดร้าระลึกถึงอดีต “ท่านจะถอดนาฬิกาแล้วเอาไปเก็บ วันหนึ่งฉันถามท่านว่าเพราะอะไร”

“ท่านยิ้มและตอบว่า ‘เพราะปู่อยากให้หนูรู้ว่าหนูสำคัญกับปู่มาก ปู่อยากอยู่กับหนูแล้วก็ปล่อยให้เวลาผ่านไป’”

ผมได้ฟังแซนดร้าเล่าถึงความทรงจำนั้นในงานศพของคุณปู่เธอ ซึ่งเป็นหนึ่งในความทรงจำอันน่าประทับใจระหว่างเธอกับคุณปู่ ขณะที่ผมคิดถึงว่า เราจะรู้สึกมีคุณค่าเพียงไรที่มีคนใช้เวลาเพื่อเรา พระวจนะคำที่พูดถึงความรักห่วงใยของพระเจ้าก็เข้ามาในความคิด

พระเจ้าทรงมีเวลาให้เราเสมอ ดาวิดอธิษฐานในสดุดี 145 ว่า “พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้สัตว์โลกทุกอย่างอิ่มตามความปรารถนา พระเจ้าทรงชอบธรรมตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ และทรงเอ็นดูในการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์ พระเจ้าทรงสถิตใกล้” (ข้อ 16-18)

ความประเสริฐและความใส่พระทัยของพระเจ้านั้นค้ำจุนชีวิตของเราไว้ในทุกช่วงเวลา ทั้งประทานอากาศให้เราหายใจและอาหารสำหรับเรา เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรัก และองค์พระผู้สร้างสรรพสิ่งทรงสร้างแม้สิ่งที่ละเอียด
ซับซ้อนที่สุดด้วยพระเมตตาเพื่อการดำรงอยู่ของเรา

ความรักของพระเจ้านั้นลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด และโดยพระเมตตากรุณา พระองค์ทรงยอมเปิดหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์และความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ราวกับจะทรงตรัสว่า “เรารักเจ้ามาก เราต้องการอยู่กับเจ้าตลอดไปแล้วก็ปล่อยให้เวลาผ่านไป”

สิงห์ พระเมษโปดก และพระผู้ไถ่!

สิงโตสองตัวที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าห้องสมุดของรัฐนิวยอร์กนั้นถูกสกัดขึ้นจากหินอ่อน พวกมันอยู่ตรงนั้นอย่างภาคภูมิมาตั้งแต่พิธีเปิดห้องสมุดในปี 1911 ตอนแรกพวกมันมีชื่อเล่นว่าลีโอ ลีน็อกซ์ และลีโอ แอสเตอร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อตั้งห้องสมุด แต่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ฟิออเรลโล ลาการ์เดีย นายกเทศมนตรีของนิวยอร์กได้ตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า ทรหด และอดทน ซึ่งเป็นคุณธรรมที่เขาคิดว่า ชาวนิวยอร์กพึงแสดงออกมาในช่วงเวลาที่ท้าทายนั้น ปัจจุบันสิงโตทั้งสองตัวยังคงถูกขนานนามว่า ทรหดและอดทน

พระคัมภีร์ได้บรรยายถึงสิงโตที่มีอำนาจและมีชีวิต ผู้ซึ่งให้การหนุนใจในยามที่มีปัญหาและยังเป็นที่รู้จักในชื่ออื่นๆด้วย ในนิมิตเกี่ยวกับสวรรค์ของยอห์น ท่านร้องไห้เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแกะตราของหนังสือม้วนซึ่งเป็นแผนการพิพากษาและการไถ่ของพระเจ้าได้ แล้วยอห์นก็ได้รับคำบอกว่า “อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์... พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและคลี่หนังสือม้วนนั้นออกได้” (วว. 5:5)

แต่ในข้อถัดมา ยอห์นได้บรรยายถึงอีกสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “ข้าพเจ้าแลเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่ประหนึ่งทรงถูกปลงพระชนม์” (ข้อ 6) สิงห์และพระเมษโปดกคือบุคคลเดียวกันคือพระเยซู พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้พิชิต และ “พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยน.1:29) โดยกำลังและกางเขนของพระองค์ เราจึงได้รับพระเมตตาและการอภัยเพื่อเราจะมีความสุขกับชีวิตและอัศจรรย์ใจในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นตลอดชั่วนิรันดร์!

ทรงอยู่ด้วยในหุบเขา

ขณะที่ฮันนาห์ วิลเบอร์ฟอร์ซ (ป้าของวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ ชาวอังกฤษผู้สนับสนุนการเลิกค้าทาส) กำลังจะเสียชีวิต เธอเขียนจดหมายโดยพูดถึงสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเพื่อนผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งว่า “ความสุขเป็นของชายผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปสู่สวรรค์ และตอนนี้ได้อยู่กับพระเยซูผู้ที่เขารักแม้ขณะที่ยังมองไม่เห็นพระองค์ หัวใจฉันเต้นโลดด้วยความสุข” แล้วเธอก็อธิบายสถานการณ์ของตนว่า “สำหรับฉันนั้นทั้งในยามดีและร้าย พระเยซูก็ทรงดีเสมอไป”

คำพูดของเธอทำให้ผมคิดถึงสดุดี 23 ที่ดาวิดเขียนว่า “แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาอันมืดมน (หุบเขาเงามัจจุราช) ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) ถ้อยคำเหล่านี้น่าสนใจเพราะในท่ามกลางหุบเขาแห่งเงามืดของความตาย ที่นี่เองที่พระลักษณะของพระเจ้าที่ดาวิดบรรยายกลายเป็นจริงสำหรับตัวท่าน จากที่พูดถึงพระเจ้าในตอนเริ่มต้นของสดุดีว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ” (ข้อ 1) เปลี่ยนมาเป็นพูดกับพระเจ้าว่า “เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4)

เป็นความรู้สึกมั่นใจจริงๆที่รู้ว่าพระเจ้าองค์มหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรง “ให้กำเนิดโลกและพิภพ” (90:2) ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักเมตตา โดยดำเนินไปกับเราแม้ในที่ซึ่งยากลำบากที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะดีหรือร้าย เราสามารถหันไปหาองค์พระผู้เลี้ยง พระผู้ช่วยให้รอดและเพื่อนของเรา แล้วพบว่าพระองค์ทรง “ดีเสมอไป” ช่างดีจริงๆที่ความตายพ่ายแพ้ราบคาบไปแล้ว และเราจะ “อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” (23:6)

จากความล้มเหลวสู่คำพยาน

ดาร์ริลเป็นตำนานของนักเบสบอลผู้เกือบทำลายชีวิตตนเองเพราะยาเสพติด แต่พระเยซูทรงปลดปล่อยเขาให้เป็นไทและมีชีวิตที่ขาวสะอาด ทุกวันนี้เขาช่วยคนที่ติดยาและนำคนเหล่านั้นมาถึงความเชื่อ เมื่อมองย้อนกลับไป เขายืนยันว่าพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนความล้มเหลวของเขาให้เป็นคำพยาน

ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นฝั่งใกล้กับที่ฝังศพ หลังจากค่ำคืนที่ลมพายุโหมกระหน่ำในทะเลกาลิลีกับเหล่าสาวก ชายที่มีผีสิงวิ่งมาหาพระองค์ พระเยซูตรัสกับผีที่สิงอยู่นั้น ขับไล่พวกมันไปและปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ

เมื่อพระเยซูเสด็จไปชายนั้นขอติดตามไปด้วย แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาตเพราะพระองค์มีงานให้เขาทำ คือ “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้านแล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า” (มก.5:19)

เราไม่ได้เห็นชายนั้นอีกเลย แต่พระคัมภีร์เผยให้เราเห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ ประชาชนที่นั่นอ้อนวอนให้พระองค์ “ไปเสีย” จากเมือง (ข้อ 17) แต่เมื่อทรงกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกัน (8:1) เป็นไปได้ไหมว่าฝูงชนที่มานั้นเป็นผลมาจากที่พระเยซูส่งชายคนนั้นกลับไปบ้าน เป็นไปได้ไหมที่ชายซึ่งเคยถูกความมืดครอบงำได้กลายเป็นมิชชันนารีคนแรกๆที่ประกาศถึงฤทธิ์เดชแห่งการช่วยกู้ของพระเยซูอย่างเกิดผล

เราไม่มีวันรู้ แต่ที่รู้คือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระเพื่อจะรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนความล้มเหลวในอดีตให้กลายเป็นคำพยานแห่งความหวังและความรักได้

พระเมตตาและพระคุณ

ทานตะวันต้นหนึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางทางหลวงทอดยาวห่างจากเลนสำหรับรถวิ่งเร็วไม่กี่ฟุต ขณะที่ผมขับผ่าน ผมสงสัยว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีต้นทานตะวันอื่นให้เห็นเลยในระยะหลายกิโลเมตร พระเจ้าผู้เดียวทรงสามารถสร้างต้นไม้ซึ่งทนทานจนเติบใหญ่ชิดถนนบนแนวเส้นกลางที่เป็นก้อนกรวดสีเทาได้ ที่นั่นมันยืนต้นอย่างสง่า สั่นไหวเบาๆตามแรงลมคอยต้อนรับนักเดินทางที่โฉบผ่านไปมาด้วยความยินดี

พันธสัญญาเดิมบอกเล่าเรื่องราวของกษัตริย์ผู้สัตย์ซื่อของยูดาห์ซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน พ่อและปู่ของพระองค์ปรนนิบัติพระอื่นอย่างกระตือรือร้น แต่หลังจากโยสิยาห์ครองราชย์ได้แปดปี “เมื่อ​พระ​องค์​ยัง​ทรง​พระ​เยาว์​อยู่ ​พระ​องค์​ทรง​เริ่ม​แสวงหา​พระ​เจ้า​ของ​ดาวิด​บรรพ​บุรุษ​ของ​พระ​องค์” (2 พศด.34:3) พระองค์ส่งคนงานไป “​ซ่อมแซม​พระ​นิเวศ​ของ​พระ​เยโฮวาห์” (ข้อ 8) และที่นั่นพวกเขาพบหนังสือธรรม​บัญญัติ (พระธรรมห้าเล่มแรกในพระคัมภีร์เดิม; ข้อ 14) จากนั้นพระเจ้าทรงดลใจโยสิยาห์ให้นำชนชาติยูดาห์ทั้งสิ้นกลับสู่ความเชื่อของบรรพบุรุษ และพวกเขาปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า “​ตลอด​รัชกาล​ของ​[โยสิยาห์]” (ข้อ 33)

พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์จอมเจ้านายแห่งพระเมตตาที่เหนือความคาดหมายพระองค์ทรงสามารถให้สิ่งดีเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จากก้อนกรวดแห่งสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของชีวิต จงจับตาดูพระองค์ให้ดี พระองค์อาจทำเช่นนั้นอีกในวันนี้

การฟังเป็นสิ่งสำคัญ

“มาทันที เราชนภูเขาน้ำแข็งแล้ว” นี่คือข้อความแรกที่ฮาโรลด์ คอตแทมผู้ควบคุมระบบสื่อสารบนเรือคาร์ปาเทียได้รับจากเรือไททานิคที่กำลังจมเมื่อเวลา 00:25 น.ในวันที่ 15 เมษายน 1912 คาร์ปาเทียเป็นเรือลำแรกที่ไปถึงจุดเกิดเหตุ และช่วยชีวิตไว้ได้ 706 คน

ในการวินิจฉัยของวุฒิสภาสหรัฐหลายวันต่อมา กัปตันเรือคาร์ปาเทีย อาเธอร์ รอสตรอนให้การว่า “ทั้งหมดนี้เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าทั้งสิ้น... ผู้ควบคุมระบบสื่อสารอยู่ในห้องพักของเขาในขณะนั้นเพราะเป็นช่วงเลิกงาน
เขาเพียงแค่เปิดหูฟังขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า... ภายในสิบนาทีเขาคงจะหลับไปแล้ว และพวกเราคงจะไม่ได้ยินข้อความนี้”

การฟังเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการฟังเสียงของพระเจ้า เหล่าบุตรของโคราห์ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 85 กำชับถึงเรื่องการตั้งใจเชื่อฟัง เมื่อเขียนว่า “ขอให้ข้าพระองค์ได้ฟังความที่พระเจ้าจะตรัส เพราะพระองค์จะตรัสความสันติแก่ประชากรของพระองค์ แก่ธรรมิกชนของพระองค์ แต่อย่าให้เขาทั้งหลายหันกลับไปสู่ความโง่อีก แน่ทีเดียวที่ความรอดของพระองค์อยู่ใกล้คนที่เกรงกลัวพระองค์” (ข้อ 8-9) คำเตือนของพวกเขาเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ เพราะบรรพบุรุษของพวกเขากบฏต่อพระเจ้าและได้ถูกทำลายในถิ่นทุรกันดาร (กดว.16:1-35)

ในคืนที่เรือไททานิคจมมีเรืออีกลำหนึ่งที่อยู่ใกล้กว่ามาก แต่ผู้ควบคุมระบบสื่อสารได้หลับไปแล้ว หากเขาได้ยินสัญญาณขอความช่วยเหลือคงจะมีผู้รอดชีวิตมากกว่านี้ เมื่อเราฟังเสียงพระเจ้าและเชื่อฟังคำสอนของพระองค์ พระองค์จะทรงช่วยนำเราให้ข้ามผ่านอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตของเรา

คำอธิษฐานกับผงคลีดินและดวงดาว

ลาร่าและเดฟต้องการอย่างยิ่งที่จะมีลูก แต่แพทย์บอกว่าพวกเขาไม่สามารถมีลูกได้ ลาร่าปรับทุกข์กับเพื่อนว่า “ฉันได้เปิดใจพูดคุยกับพระเจ้าตรงๆหลายครั้ง” แต่หลังจากการ “พูดคุย” ครั้งหนึ่ง เธอและเดฟได้คุยกับศิษยาภิบาลซึ่งบอกพวกเขาถึงพันธกิจการรับบุตรบุญธรรมของคริสตจักร หนึ่งปีต่อมาพวกเขาก็ได้รับพระพรจากการรับเลี้ยงทารกชายคนหนึ่ง

ในปฐมกาล 15 พระคัมภีร์กล่าวถึงการสนทนาแบบตรงไปตรงมาของอับรามกับพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็น...บำเหน็จของเจ้าจะยิ่งใหญ่” (ข้อ 1 TNCV) แต่อับรามยังไม่มั่นใจในพระสัญญาเกี่ยวกับอนาคต จึงตอบไปตรงๆว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย” (ข้อ 2)

ก่อนหน้านี้พระเจ้าทรงสัญญากับอับรามว่า “เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้ามากเหมือนผงคลีดิน” (13:16) ตอนนี้อับรามย้ำเตือนพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วยความคิดอย่างมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงรับรองโดยบอกให้ท่านมองดูฟ้า “ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไปเถิด” ซึ่งบ่งบอกว่าท่านจะมีพงศ์พันธุ์เหลือคณานับ (15:5)

พระเจ้าทรงแสนดี ที่ไม่เพียงยอมรับคำอธิษฐานอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังทรงรับรองแก่อับรามอย่างอ่อนโยน! ต่อมาพระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านเป็นอับราฮัม (“บิดาของประชาชาติมากมาย”) เช่นเดียวกับอับราฮัม คุณและผมก็สามารถเปิดใจต่อพระองค์และวางใจว่าพระองค์จะทรงกระทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเราและผู้อื่น

ในพระเจ้าเราวางใจ

ช่วงแรกของสงครามปฏิวัติอเมริกา ปฏิบัติการเพื่อต่อต้านกองทัพอังกฤษได้เริ่มขึ้นในเมืองควิเบก เมื่อกองทัพเคลื่อนผ่านนิวเบอรี่พอร์ต รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปแคนาดา พวกเขาหยุดที่หลุมศพของนักเทศน์ชื่อดัง จอร์จ วิทฟิลด์ โลงศพของเขาถูกเปิดออก คอปกและข้อมือเสื้อถูกถอด ผ้าถูกตัดเป็นชิ้นๆ และแบ่งกันด้วยความเชื่อผิดๆว่าจะช่วยให้ทหารประสบความสำเร็จ

ปฏิบัติการครั้งนั้นล้มเหลว แต่สิ่งที่เหล่าทหารทำแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของมนุษย์เราที่มักเชื่อในบางสิ่งที่มีค่าน้อยกว่าความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือกำลังของมนุษย์ แม้แต่ประเพณีทางศาสนาเพื่อความเป็นอยู่ดีของเรา พระเจ้าทรงเตือนคนของพระองค์ในเรื่องนี้เมื่ออัสซีเรียบุกมาโจมตีและพวกเขาแสวงหาความช่วยเหลือจากฟาโรห์แทนที่จะหันจากความบาปและกลับมาหาพระเจ้า “พระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ในการกลับและหยุดพัก เจ้าทั้งหลายจะรอด กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบ และความไว้วางใจ’ และเจ้าก็ไม่ยอมทำตาม แต่เจ้าทั้งหลายว่า ‘อย่าเลย เราจะขี่ม้าหนีไป’ เพราะฉะนั้น เจ้าก็จะหนีไป!” (อสย.30:15-16)

“ปฏิบัติการ” ของพวกเขาล้มเหลวเช่นกัน (ดังที่พระเจ้าตรัส) และอัสซีเรียมีชัยชนะเหนือยูดาห์ แต่พระเจ้าตรัสกับคนของพระองค์ด้วยว่า “พระเจ้าทรงคอยที่จะทรงพระกรุณาเจ้าทั้งหลาย” แม้ในยามที่เราเชื่อวางใจในสิ่งอื่นที่สำคัญน้อยกว่าพระองค์ พระเจ้าก็ยังทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์มาเพื่อช่วยให้เรากลับไปหาพระองค์ “ผู้ที่คอยท่าพระองค์จะได้รับพระพร” (ข้อ18)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา