ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Dave Branon

จะตั้งชื่อลูกว่าอะไร

บทสนทนาหนึ่งที่นางมารีย์ไม่ต้องคุยกับโยเซฟขณะที่รอคลอดทารกในครรภ์คือ “โยเซฟ เราจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี” ไม่เหมือนกับคนส่วนมากขณะรอลูกคลอด พวกเขาไม่มีคำถามว่าจะเรียกลูกด้วยชื่ออะไร

ทูตสวรรค์ที่มาปรากฏกับนางมารีย์และจากนั้นกับโยเซฟได้บอกพวกเขาว่าทารกจะชื่อเยซู (มธ.1:20-21; ลก.1:30-31) ทูตสวรรค์ที่ปรากฏแก่โยเซฟอธิบายว่าชื่อนี้บ่งบอกว่าทารกจะ “ช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา”

ทารกจะถูกเรียกด้วยว่า “อิมมานูเอล” (อสย.7:14) ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงสถิตกับเราทั้งหลาย” เพราะพระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์ที่ถูกพันผ้าอ้อมไว้ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้เปิดเผยพระนามอื่นอีกว่า “ที่ปรึกษา​มหัศจรรย์” “​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​มหิทธิ​ฤทธิ์” “​พระ​บิดา​นิรันดร์” และ “องค์​สันติ​ราช” (9:6) เพราะพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งที่ได้กล่าวมา

การตั้งชื่อทารกเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอ แต่ไม่มีทารกคนไหนมีชื่อที่ทรงฤทธิ์อำนาจ น่าตื่นเต้น และเปลี่ยนแปลงโลกได้เหมือน “พระเยซู​ที่​เรียก​ว่า​พระ​คริสต์​” (มธ.1:16) ช่างน่าตื่นเต้นที่เราสามารถ “ออก​พระ​นาม​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​” (1 คร.1:2) ได้! ไม่มีนามอื่นใดที่ช่วยให้รอดได้ (กจ.4:12)

ให้เราสรรเสริญพระเยซูและใคร่ครวญถึงความหมายทั้งหมดที่พระองค์มีต่อเราในเทศกาลคริสต์มาสนี้!

ทำหน้าที่ของเรา

เมื่อหลานของผมสองคนเข้าคัดตัวเพื่อแสดงละครเพลงเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์จูเนียร์ พวกเธอหวังจะได้เป็นนักแสดงนำ แม็กกี้อยากเป็นสาวน้อยอลิซ ส่วนเคธี่คิดว่ามาทิลด้าเป็นบทบาทที่ดี แต่พวกเธอถูกเลือกให้เป็นดอกไม้ นั่นไม่ใช่ใบเบิกทางที่จะพาพวกเธอไปสู่เวทีบรอดเวย์เลย

แต่ลูกสาวผมบอกว่าพวกเธอ “ตื่นเต้นกับเพื่อนๆที่ได้รับ(บทนำ) พวกเธอดูจะยินดีกับการให้กำลังใจและร่วมตื่นเต้นไปกับเพื่อนๆ”

นั่นเป็นภาพที่เราควรปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องในพระกายของพระคริสต์! คริสต-จักรท้องถิ่นทุกแห่งล้วนต้องมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญ แต่ก็ยังต้องมีดอกไม้ คือผู้ที่มีความสำคัญแต่อาจไม่ได้ทำงานชิ้นสำคัญ ถ้าผู้อื่นได้รับบทบาทที่เราปรารถนา ขอให้เราหนุนใจพวกเขาและทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายเราให้เต็มที่ที่สุด

ที่จริงการช่วยเหลือและหนุนใจผู้อื่นคือการแสดงความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ฮีบรู 6:10 บอกว่า “[พระเจ้า]ไม่ทรง...ลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น” และไม่มีของประทานใดของพระเจ้าที่ไม่สำคัญ “ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทาน...แล้วก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่...สำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (1 ปต.4:10)

ลองคิดภาพคริสตจักรที่เต็มไปด้วยผู้หนุนน้ำใจ ซึ่งใช้ของประทานที่ได้รับอย่างแข็งขันเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า (ฮบ.6:10) สิ่งนี้จะทำให้เกิดความชื่นชมยินดี!

ประกาศหรือไถดิน

จากเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง ขณะที่พี่กับน้องคือบิลลี่และเมลวินยืนอยู่ที่ฟาร์มวัวนมของครอบครัว เขาเห็นเครื่องบินกำลังบินพ่นควันเป็นตัวหนังสือ เด็กชายทั้งสองมองดูตัวอักษร “GP” อยู่บนท้องฟ้า

สองพี่น้องคิดว่าสิ่งที่เห็นมีความหมายสำหรับพวกเขา คนหนึ่งตีความหมายว่า “ไปประกาศ” (Go preach) อีกคนบอกว่า “ไปไถดิน” (Go plow) หลังจากนั้นพี่ชายคือบิลลี่ เกรแฮมได้ถวายตัวประกาศข่าวประเสริฐ และกลายเป็นสัญลักษณ์ในด้านการประกาศ ส่วนน้องชายคือเมลวินทำงานต่อไปที่ฟาร์มวัวนมของครอบครัวอย่างสัตย์ซื่อเป็นเวลาหลายปี

หากไม่พูดถึงสัญลักษณ์บนท้องฟ้า ถ้าพระเจ้าเรียกให้บิลลี่ประกาศและให้เมลวินไถดินตามนั้นจริง ทั้งสองได้ถวายเกียรติพระเจ้าแล้วด้วยอาชีพของพวกเขา บิลลี่ทำงานเป็นผู้ประกาศมายาวนาน ความสำเร็จของท่านไม่ได้หมายความว่าการเชื่อฟังพระเจ้าของน้องชายที่ให้ไปไถดินสำคัญน้อยกว่า

พระเจ้าทรงมอบหมายบางคนให้ทำพันธกิจเต็มเวลา (อฟ.4:11-12) แต่ไม่ได้หมายความว่างานหรือบทบาทอย่างอื่นไม่สำคัญ ตามที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร “อวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม” (ข้อ 16) นั่นก็คือการถวายเกียรติพระเยซูด้วยการใช้ของประทานที่ได้รับอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ว่าจะ “ไปประกาศ” หรือ “ไปไถดิน” เราสร้างความแตกต่างเพื่อพระเยซูได้ไม่ว่าเราจะรับใช้หรือทำงานด้านใด

ตอนนี้และต่อๆไป

ไม่นานมานี้ผมไปร่วมพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนมัธยมในระหว่างวิทยากรต้องกล่าวท้าทายคนหนุ่มสาวที่กำลังรอรับวุฒิบัตร เขากล่าวว่านี่เป็นช่วงเวลาในชีวิตที่ทุกคนจะถามว่าพวกเขา “จะทำอะไรต่อ” จะทำอาชีพอะไร จะไปเรียนหรือไปทำงานที่ไหนต่อ จากนั้นเขากล่าวว่าคำถามที่สำคัญกว่าคือ พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้

ในบริบทของเส้นทางแห่งความเชื่อ พวกเขาต้องตัดสินใจอย่างไรในแต่ละวันที่จะนำพวกเขาให้มีชีวิตเพื่อพระเยซู ไม่ใช่เพื่อตัวเองคำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงพระธรรมสุภาษิต ซึ่งกล่าวถึงเรื่องการใช้ชีวิตใน “ตอนนี้” ไว้ เช่น การเป็นคนซื่อสัตย์ (11:1) การเลือกเพื่อนให้ถูก (12:26) การใช้ชีวิตเที่ยงธรรม (13:6) การมีสามัญสำนึกที่ดี (13:15) การพูดอย่างฉลาด (14:3)

การมีชีวิตเพื่อพระเจ้าในตอนนี้ โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้การตัดสินใจเรื่องต่อๆไปง่ายขึ้น “​พระ​เจ้า​ประทาน​ปัญญา...พระ​องค์​ทรง​สะสม​สติปัญญา​ไว้​ให้​คน​เที่ยง​ธรรม...ทรง​รักษา​ระวัง​วิถี​ของ​ความ​ยุติธรรม และ​ทรง​สงวน​ทาง​ของ​ธรรมิก​ชน​ของ​พระ​องค์​ไว้” (2:6-8) ขอพระเจ้าประทานสิ่งจำเป็นเพื่อให้เราใช้ชีวิตตามทางของพระองค์ในตอนนี้ และขอพระองค์ทรงนำเราต่อไปเพื่อพระเกียรติของพระองค์

ตรวจสอบตัวเอง

ไม่นานนี้ผมได้อ่านจดหมายสมัยสงครามโลกครั้งที่สองทั้งปึกที่พ่อส่งให้แม่ พ่ออยู่ที่แอฟริกาเหนือ ส่วนแม่อยู่ที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย พ่อเป็นร้อยตรีประจำกองทัพสหรัฐ มีหน้าที่ตรวจสอบจดหมายของทหารเพื่อป้องกันข้อมูลละเอียดอ่อนหลุดไปยังศัตรู จึงเป็นเรื่องน่าขันที่เห็นว่าบนซองจดหมายที่ส่งถึงภรรยาของท่านจะมีตราประทับไว้ว่า “ตรวจสอบโดย ร.ต.จอห์น บรานอน” แน่นอนว่าท่านได้ตัดบางประโยคออกจากจดหมายของตัวเองด้วย

การตรวจสอบตนเองเป็นความคิดที่เข้าท่าสำหรับเราทุกคน หลายครั้งในพระคัมภีร์ผู้เขียนเอ่ยถึงความสำคัญของการพิจารณาตนเองเพื่อค้นดูว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ตัวอย่างเช่น ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์... ทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่” (สดด.139:23-24) เยเรมีย์บอกว่า “ให้พวกเราทดสอบและพิจารณาวิถีของพวกเรา และกลับมาหาพระเจ้าเถิด” (พคค.3:40) และเปาโลกล่าวถึงสภาพจิตใจของเราขณะร่วมพิธีมหาสนิท “ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง” (1 คร.11:28)

พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถช่วยเราเปลี่ยนแปลงความคิดหรือการกระทำที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ดังนั้น ก่อนที่เราจะเผชิญกับโลกในวันนี้ ให้เราหยุดและแสวงหาการช่วยเหลือจากพระวิญญาณในการตรวจสอบตัวเอง เพื่อเราจะสามารถ “กลับมาหาพระเจ้า” ในการสามัคคีธรรมกับพระองค์

เมื่อศักดิ์ศรีสูญไป

ผมไม่สามารถจดจำถึงความงดงามเปล่งประกายของเมลิสาลูกสาวของเราได้ ช่วงเวลาดีๆที่เราเคยดูเธอมีความสุขกับการเล่นวอลเล่ย์บอลที่โรงเรียนกำลังเลือนรางไปจากความทรงจำของผม และบางครั้งผมก็นึกไม่ออกถึงรอยยิ้มเอียงอายอย่างพึงใจที่ฉายบนใบหน้าของเธอเวลาที่ครอบครัวของเราใช้เวลาด้วยกัน การจากไปในวัยสิบเจ็ดปีได้ปิดฉากแห่งความสุขของการมีเธออยู่ด้วย

ในหนังสือเพลงคร่ำครวญ คำกล่าวของเยเรมีย์แสดงถึงความเข้าใจที่ว่าหัวใจคนเราบาดเจ็บได้ ท่านกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญไปแล้วและความหวังในพระเจ้าก็ดับหมด” (3:18) สถานการณ์ที่เกิดกับท่านต่างจากของคุณและผมมาก ท่านประกาศเรื่องการพิพากษาของพระเจ้า และเห็นกรุงเยรูซาเล็มพ่ายแพ้ ศักดิ์ศรีสูญไปเพราะท่านรู้สึกสิ้นหวัง (ข้อ 12) โดดเดี่ยว (ข้อ 14) และถูกพระเจ้าทอดทิ้ง (ข้อ 15-20)

แต่เรื่องราวไม่ได้จบแค่นั้น มีแสงสว่างส่องเข้ามา แล้วเยเรมีย์ผู้แบกภาระหนักและอ่อนกำลังพึมพำว่า “ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้น” (ข้อ 21) ความหวังที่เกิดจากการรู้ว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” (ข้อ 22) และนี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องระลึกถึงเมื่อศักดิ์ศรีสูญไป นั่นคือ “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า” (ข้อ 22-23)

แม้ในวันที่มืดมิดที่สุดของเรา ความสัตย์ซื่อยิ่งใหญ่ของพระเจ้ายังคงส่องสว่าง

วิธีการสร้างใหม่

ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนเมื่อผู้นำขึ้นม้าเพื่อออกสำรวจงานที่รออยู่ ขณะผ่านซากปรักหักพังรอบตัว ท่านเห็นกำแพงเมืองที่ถูกทำลายและประตูเมืองที่ถูกเผาในบางพื้นที่ ซากกองโตทำให้ม้าเดินผ่านไปอย่างลำบาก ท่านขี่ม้ากลับบ้านด้วยความเศร้าใจ

ชายที่พูดไม่ได้

บ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในเมืองเบลีซ ชายบนรถเข็นกำลังนั่งฟังเด็กนักเรียนมัธยมชาวอเมริกันขับร้องเพลงเกี่ยวกับพระเยซูอย่างมีความสุข หลังจากนั้นวัยรุ่นบางคนพยายามสื่อสารกับเขา แต่กลับพบว่าชายผู้นี้พูดไม่ได้โรคเส้นเลือดในสมองแตกทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพูดไป

เมื่อไม่สามารถสนทนากันได้ พวกเด็กๆจึงตัดสินใจร้องเพลงให้เขาฟัง เมื่อพวกเขาเริ่มร้องเพลง สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ชายที่พูดไม่ได้เริ่มร้องเพลง เขาร้องเพลง “พระเจ้ายิ่งใหญ่” ด้วยเสียงอันดังพร้อมกับเพื่อนใหม่ของเขา ด้วยความกระตือรือร้น

เป็นช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมสำหรับทุกคน ความรักที่ชายผู้นี้มีต่อพระเจ้าได้ทำลายกำแพงและนำมาซึ่งการนมัสการที่มาจากใจและเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี

เราต่างก็มีอุปสรรคในการนมัสการในบางครั้ง อาจจะเป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์หรือการเงิน หรืออาจจะเป็นหัวใจที่เย็นชากับพระเจ้า

สิ่งที่เกิดขึ้นกับชายผู้นี้ย้ำเตือนเราว่า ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้นสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ “พระองค์เจ้าข้า ข้าเฝ้ามองดูด้วยยำเกรง เพราะพระองค์เองเป็นผู้สร้างจักรวาล!”

คุณกำลังมีปัญหาในการนมัสการหรือไม่ จงใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าโดยอ่านข้อพระคำ เช่น สดุดี 96 แล้วคุณจะพบเช่นกันว่าอุปสรรคขัดขวางจะถูกแทนที่ด้วยการสรรเสริญ

แสวงหาพระเจ้า

ผมได้รับแรงบันดาลใจจากการเฝ้าดูผู้คนที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อไปให้ถึงฝัน หญิงสาวที่ผมรู้จักเพิ่งจบมหาวิทยาลัยในเวลาแค่ 3 ปี นับเป็นภารกิจที่แสนทุ่มเท เพื่อนคนหนึ่งอยากได้รถจึงอบขนมเค้กขายอย่างขยันขันแข็งจนบรรลุเป้าหมาย อีกคนอยู่ในงานขายจึงต้องการรู้จักคนใหม่ๆ 100 คนในทุกสัปดาห์

แม้ว่าเป็นเรื่องดีที่จะทุ่มเทแสวงหาบางสิ่งที่มีค่าในโลกนี้ แต่เราต้องคำนึงว่ามีสิ่งที่สำคัญมากกว่าที่เราต้องแสวงหา

ในช่วงที่สิ้นหวังและทนทุกข์ในทะเลทราย กษัตริย์ดาวิดเขียน “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์”(สดด.63:1) เมื่อดาวิดร้องหาพระเจ้า พระองค์ก็มาใกล้กษัตริย์ผู้อ่อนแรง ความหิวกระหายหาพระเจ้าของดาวิดนั้น จะได้รับการเติมเต็มก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การทรงสถิตเท่านั้น

ดาวิดระลึกถึงการพบกับพระเจ้าใน “สถานนมัสการ” (ข้อ 2) มีประสบการณ์ในความรักมั่นคงของพระองค์ (ข้อ 3) และสรรเสริญพระองค์วันแล้ววันเล่า ได้พบความสุขที่แท้จริงที่ไม่เหมือนกับความสุขในรสชาติอาหาร (ข้อ 4-5) แม้ในเวลาค่ำคืนดาวิดก็ภาวนาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และตระหนักถึงการช่วยกู้และปกป้อง (ข้อ 6-7)

วันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกร้องให้เราแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง เมื่อเราติดสนิทในพระองค์ พระเจ้าทรงอุ้มเราด้วยพระหัตถ์ขวาอันทรงฤทธิ์ภายใต้ฤทธิ์เดชและความรัก โดยการทรงนำของพระวิญญาณ ขอให้เราเข้ามาใกล้องค์พระผู้สร้างสิ่งดีๆทั้งสิ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา