ฝูงชน
นักปรัชญาและนักเขียนฮันนาห์ อาเรนท์ (1906-1975) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “มนุษย์จะต่อต้านผู้ปกครองผู้มีอำนาจสูงสุด และปฏิเสธที่จะก้มหัวให้กับพวกเขา” เธอเสริมอีกว่า “แต่มีไม่กี่คนที่ต่อต้านฝูงชน ที่ยืนขึ้นเพียงลำพังต่อหน้ามวลชนที่หลงทาง เพื่อเผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งอันแข็งกร้าวโดยปราศจากอาวุธ” ในฐานะคนยิว อาเรนท์ประสบกับเรื่องนี้ด้วยตนเองในเยอรมนีประเทศบ้านเกิดของเธอเอง การถูกปฏิเสธโดยฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัว
อัครทูตเปาโลพบกับการถูกปฏิเสธเช่นนั้นด้วย เพราะท่านถูกฝึกให้เป็นฟาริสีและรับบี ชีวิตของท่านจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้พบกับพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ เปาโลได้เดินทางไปเมืองดามัสกัสเพื่อข่มเหงผู้เชื่อในพระคริสต์ (กจ.9) หลังจากกลับใจ ท่านพบว่าตนเองถูกปฏิเสธโดยคนชาติเดียวกัน ในจดหมายของท่านที่เรารู้จักในชื่อพระธรรม 2 โครินธ์ เปาโลได้พูดถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น เช่น “การถูกเฆี่ยนตี” และ “การถูกจำคุก” (6:5)
แทนที่จะตอบโต้การถูกปฏิเสธนั้นด้วยความโกรธและความขมขื่น เปาโลปรารถนาให้พวกเขาได้มารู้จักพระเยซูเหมือนกับท่าน ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนักและความเจ็บร้อนในใจเสมอมิได้ขาด เพราะถ้าเป็นประโยชน์ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ข้าพเจ้าเองถูกสาป และถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพราะเห็นแก่พี่น้องของข้าพเจ้า” (รม.9:2-3)
ในขณะที่พระเจ้าทรงต้อนรับเราเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยให้เราสามารถเชิญชวนแม้แต่ศัตรูของเราให้เข้ามาในความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยเถิด
ฉันได้ยินเสียงระฆัง
บทเพลง “ฉันได้ยินเสียงระฆังในวันคริสต์มาส” มีที่มาจากบทกวีในปีค.ศ. 1863 โดยเฮนรี่ วอดสเวิร์ท ลองเฟลโลว์เป็นบทเพลงคริสต์มาสที่ไม่ธรรมดาเลย แทนที่จะเป็นความสุขยินดีทั่วไปในเทศกาลคริสต์มาส แต่เนื้อเพลงกลับแต่งขึ้นเป็นเสียงคร่ำครวญ ร้องว่า “และฉันคอตกด้วยความสิ้นหวัง ฉันพูดว่าไม่มีสันติใดเลยบนโลกนี้ เพราะความเกลียดชังนั้นรุนแรงและเย้ยหยันบทเพลงอื่น ที่บอกว่าสันติสุขจงมีแก่มวลมนุษย์บนโลกผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน” แต่การคร่ำครวญนี้กลับกลายเป็นความหวังที่ทำให้เรามั่นใจว่า “พระเจ้ามิได้ตายหรือหลับไป ความชั่วร้ายจะสิ้นไป ความชอบธรรมจะดำรงอยู่ ด้วยสันติสุขท่ามกลางมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน”
รูปแบบของความหวังที่เกิดขึ้นมาจากการคร่ำครวญยังพบได้ในบทสดุดีแห่งการคร่ำครวญในพระคัมภีร์ เช่น สดุดี 43 เริ่มต้นด้วยผู้เขียนร้องทูลถึงการที่ถูกศัตรูโจมตี (ข้อ 1) และพระเจ้าผู้ทรงดูเหมือนว่าได้ลืมท่านไปแล้ว (ข้อ 2) แต่ผู้เขียนไม่จมอยู่กับการคร่ำครวญ ท่านมองหาพระเจ้าผู้ที่ท่านไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้ทั้งหมดแต่ยังไว้วางใจพระองค์ โดยร้องว่า “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 5)
ชีวิตเต็มไปด้วยเหตุผลที่จะคร่ำครวญ และเราทุกคนล้วนมีประสบการณ์นั้นอยู่ในทุกๆวัน แต่ถ้าเรายอมให้การคร่ำครวญนำเราไปสู่พระเจ้าแห่งความหวัง เราจะสามารถร้องเพลงได้ด้วยความยินดี แม้เราจะร้องทั้งน้ำตา
ชมรมโสกราตีส
ชมรมโสกราตีสก่อตั้งขึ้นที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ในปี 1941 เพื่อสนับสนุนการโต้วาทีระหว่างผู้เชื่อพระเยซูกับผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือผู้ที่ไม่รู้ว่ามีพระเจ้าหรือไม่
การโต้เถียงเรื่องศาสนาในมหาวิทยาลัยทั่วไปไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่น่าประหลาดใจ คือผู้ที่เป็นประธานชมรมโสกราตีสเป็นเวลาสิบห้าปีคือ ซี.เอส.ลูอิส นักวิชาการคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ ลูอิสเต็มใจที่จะพิสูจน์ความคิดของตนโดยเชื่อว่าความเชื่อในพระคริสต์สามารถยืนหยัดต่อการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนได้ เขารู้ว่ามีข้อพิสูจน์ที่น่าเชื่อถือและมีเหตุผลในการเชื่อพระเยซู
ที่เป็นเช่นนี้เพราะลูอิสปฏิบัติตามคำแนะนำของเปโตรที่ย้ำเตือนผู้เชื่อที่กระจัดกระจายไปเพราะการข่มเหงว่า “แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ” (1 ปต.3:15) เปโตรให้หลักการสำคัญสองประการคือ เรามีเหตุผลที่ดีในการหวังใจในพระคริสต์ และเราต้องนำเสนอเหตุผลของเราด้วย “ใจสุภาพและด้วยความนับถือ”
การวางใจในพระคริสต์ไม่ใช่การหนีจากโลกไปพึ่งศาสนาหรือเป็นความคิดเพ้อฝัน ความเชื่อของเรามีรากฐานอยู่บนความจริงในประวัติศาสตร์ รวมถึงการฟื้นพระชนม์ของพระเยซูและการที่สรรพสิ่งทรงสร้างเป็นประจักษ์พยานถึงพระผู้สร้าง ขณะที่เราพักพิงในพระปัญญาของพระเจ้าและกำลังของพระวิญ-ญาณ ขอให้เราพร้อมแบ่งปันเหตุผลที่เรามีในการวางใจในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา
ใจที่โกรธเคือง
เกอร์นิกา เป็นภาพเขียนทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของปาโบล ปิกัสโซ่ที่ใช้เทคนิคการวาดแบบสมัยใหม่ซึ่งบอกเล่าถึงการทำลายเมืองเล็กๆในสเปนในปี ค.ศ. 1937 โดยตั้งชื่อผลงานตามชื่อเมืองนี้ ในช่วงปฏิวัติสเปนและการก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินนาซีเยอรมนีได้รับอนุญาตจากกองกำลังชาตินิยมสเปนให้ใช้เมืองนี้เพื่อฝึกซ้อมการทิ้งระเบิด การทิ้งระเบิดหลายครั้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก และดึงความสนใจของประชาคมโลกที่กังวลในเรื่องการทิ้งระเบิดโจมตีพลเรือนอย่างผิดศีลธรรม ภาพเขียนของปิกัสโซ่สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่โลกกำลังจับตาดูอยู่ และกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการถกประเด็นถึงศักยภาพของมนุษยชาติในการทำลายล้างกันและกัน
สำหรับพวกเราที่มั่นใจว่าจะไม่มีทางเจตนาทำให้โลหิตตก เราควรจดจำคำตรัสของพระเยซูว่า “‘ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ” (มธ.5:21-22) จิตใจนั้นสามารถฆ่าคนได้แม้ไม่เคยลงมือทำจริงๆ
เมื่อความโกรธที่เรามีต่อผู้อื่นพลุ่งขึ้นและพยายามครอบงำเรานั้น เราจำเป็นต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเติมเต็มและควบคุมจิตใจเรา เพื่อว่านิสัยต่างๆของมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วยผลของพระวิญญาณ (กท.5:19-23) แล้วความรัก ความปลาบปลื้มใจ และสันติสุขจะเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสัมพันธ์ของเรา
สร้างบ้าน
โครงการก่อสร้างบ้านส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐเริ่มต้นขึ้นในปี 1889 มีการผลิตอิฐในพื้นที่ก่อสร้างประมาณ 32,000 ก้อนต่อวัน งานยังคงดำเนินไปจน “บ้านฤดูร้อน” ของจอร์จ แวนเดอร์บิลต์ที่ 2 เสร็จสิ้นในอีกหกปีต่อมา นั่นคือคฤหาสน์บิลต์มอร์ในเมืองแอชวิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ในปัจจุบันบ้านนี้ยังคงเป็นที่พักอาศัยส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาด้วยจำนวน 250 ห้อง (รวมห้องนอน 35 ห้องและห้องน้ำ 43 ห้อง) ซึ่งกินพื้นที่อย่างน่าตกตะลึงถึง 178,926 ตารางฟุต (16,226 ตารางเมตร)
โครงการนี้ซึ่งยิ่งใหญ่อย่างที่มันเป็น แต่ยังเทียบไม่ได้กับพระประสงค์ในการสร้าง “ตึก” ที่พระเยซูตรัสกับสาวกในมัทธิว 16 เมื่อเปโตรยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็น “พระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (ข้อ 16) พระองค์ตรัสว่า “ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้” (ข้อ 18) ขณะที่นักศาสนศาสตร์ถกเถียงถึงความหมายของ “ศิลา” แต่ไม่มีการถกเถียงเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเยซู พระองค์จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ให้ขยายไปยังสุดปลายแผ่นดินโลก (มธ.28:19-20) ไปยังชนทุกชาติ ทุกเชื้อสายจากทั่วโลก (วว.5:9)
ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับโครงการนี้คือ พระโลหิตของพระเยซูที่สละลงบนกางเขน (กจ.20:28) เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ตึก” นั้น (อฟ.2:21) ซึ่งพระองค์ได้ทรงจ่ายด้วยราคาที่สูงยิ่ง ขอให้เราเฉลิมฉลองการทรงเสียสละด้วยความรักและร่วมกับพระองค์ในพันธกิจอันยิ่งใหญ่นี้
จุดลงจอด
อิมพาลาเป็นสัตว์ในตระกูลละมั่งที่สามารถกระโดดได้สูงถึงสิบฟุตและไกลถึงสามสิบฟุต ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อและไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสามารถนี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการที่มันจะเอาชีวิตรอดในป่าแอฟริกา แต่ที่คอกอิมพาลาในสวนสัตว์หลายแห่ง คุณจะพบว่าสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ภายในกำแพงที่สูงเพียงสามฟุต แล้วกำแพงเตี้ยๆเช่นนี้สามารถกั้นสัตว์ที่แข็งแรงเหล่านี้ไม่ให้ออกมาได้อย่างไร ที่เป็นไปได้เพราะอิมพาลาจะไม่มีวันกระโดดออกมานอกจากพวกมันจะเห็นจุดที่จะรองรับมัน แต่กำแพงได้กั้นพวกมันไว้ไม่ให้เห็นว่าอีกด้านหนึ่งคืออะไร
ในฐานะมนุษย์ เราก็ไม่ต่างอะไรจากอิมพาลา เราต้องการรู้ผลลัพธ์ก่อนที่จะก้าวออกไป แต่การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ โดยเตือนพวกเขาว่า “เราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 คร.5:7)
พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานว่า “ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มธ.6:10) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้ผลลัพธ์ของพระองค์ล่วงหน้า การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อหมายถึง การวางใจในพระประสงค์อันดีของพระองค์แม้พระประสงค์เหล่านั้นจะซ่อนอยู่ในความลึกลับก็ตาม
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของชีวิต เราสามารถวางใจในความรักที่ไม่มีวันสูญสิ้นของพระองค์ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในชีวิต “เราตั้งเป้าของเราว่า...จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์” (2 คร.5:9)
วิญญาณที่ยอมรับการสอน
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่การโจมตีความคิดเห็นของผู้อื่นรวมไปถึงตัวบุคคลที่แสดงความคิดเห็นได้กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้ว สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในแวดวงวิชาการด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงตกใจเมื่อนักวิชาการและนักศาสนศาสตร์ ริชาร์ด บี.เฮส์ เขียนบทความโต้แย้งอย่างรุนแรงต่องานเขียนของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน! ในหนังสือ อ่านด้วยความเข้าใจพระวจนะอันน้อยนิด เฮส์แสดงออกถึงความถ่อมใจอย่างยิ่งเมื่อเขาแก้ไขความคิดของตนในอดีต ซึ่งตอนนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนโดยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในบทนำของพระธรรมสุภาษิต กษัตริย์ซาโลมอนได้เขียนเจตจำนงต่างๆ ของถ้อยคำแห่งปัญญาที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ท่ามกลางวัตถุประสงค์เหล่านั้น พระองค์ได้แทรกคำท้าทายว่า “ทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้ และคนที่มีความเข้าใจจะได้ความช่ำชอง” (สภษ.1:5) เช่นเดียวกับที่อัครทูตเปาโลได้กล่าวอ้างว่า แม้ท่านจะติดตามพระคริสต์มาหลายสิบปีแล้ว แต่ท่านก็ยังคงต้องการจะรู้จักพระเยซู (ฟป.3:10) ซาโลมอนกระตุ้นปราชญ์ให้รับฟัง เรียนรู้ และเติบโตต่อไป
ไม่มีใครเคยบาดเจ็บจากการมีวิญญาณที่ยอมรับการสอน ขณะเราแสวงหาที่จะเติบโตและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของความเชื่อ (และเรื่องต่างๆในชีวิต) ต่อไป จงยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราไปสู่ความจริง (ยน.16:13) เพื่อเราจะเข้าใจถึงความมหัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ประเสริฐและยิ่งใหญ่ของเราได้ดีขึ้น
แยกเราไว้
ในเดือนพฤศจิกายนปี 1742 เกิดจลาจลขึ้นที่สแตฟฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อคัดค้านข่าวประเสริฐที่ชาร์ลส์ เวสลีย์กำลังประกาศ ดูเหมือนว่าชาร์ลส์และจอห์นพี่ชายกำลังเปลี่ยนประเพณีบางอย่างของคริสตจักรที่มีมาช้านาน และนั่นมากเกินกว่าที่ชาวเมืองส่วนใหญ่จะรับได้
เมื่อจอห์นได้ยินเรื่องการจลาจล เขารีบไปสแตฟฟอร์ดเชียร์เพื่อจะช่วยน้องชาย ไม่นานนักฝูงชนที่คุมไม่อยู่ก็ได้ล้อมที่พักของจอห์น เขาเผชิญหน้ากับพวกผู้นำอย่างกล้าหาญ โดยเจรจากับพวกเขาอย่างสงบจนแต่ละคนคลายความโกรธลง
จิตวิญญาณที่อ่อนน้อมและสงบของจอห์นทำให้ฝูงชนที่มีแนวโน้มรุนแรงสงบลง แต่นั่นไม่ใช่ใจอ่อนน้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเขา แต่เป็นหัวใจของพระผู้ช่วยให้รอดที่เวสลีย์ติดตามอย่างใกล้ชิด พระเยซูตรัสว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มธ.11:29) แอกแห่งความอ่อนน้อมนี้กลายเป็นพลังที่แท้จริงเบื้องหลังคำท้าทายของอัครทูตเปาโลที่มีต่อเราว่า “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (อฟ.4:2)
ในความเป็นมนุษย์ของเรานั้นความอดทนเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ แต่โดยผลของพระวิญญาณที่อยู่ภายในเรา ความอ่อนน้อมแห่งพระทัยของพระคริสต์จะแยกเราไว้และเตรียมเราให้เผชิญกับโลกที่เป็นปรปักษ์นี้ได้ เมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็ได้ทำให้ถ้อยคำของเปาโลเป็นจริงว่า “จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง” (ฟป.4:5)
พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่!
ลายนิ้วมือถูกใช้เพื่อระบุตัวตนมนุษย์มานานแล้ว แต่ก็มีการคัดลอกเพื่อปลอมขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับรูปแบบม่านตาของคนเราที่ใช้เป็นเครื่องระบุตัวตนที่เชื่อถือได้ จนกระทั่งมีคนใช้คอนแทคเลนส์เพื่อเปลี่ยนรูปแบบของม่านตาทำให้ผลออกมาผิดเพี้ยน การใช้ลักษณะทางกายภาพเพื่อระบุตัวตนอาจถูกปลอมแปลงได้ แล้วอะไรคือคุณสมบัติที่จะใช้ระบุตัวตนที่มีเพียงหนึ่งเดียวได้ มนุษย์ทุกคนมีรูปแบบหลอดเลือดที่เป็นเอกลักษณ์และปลอมแปลงไม่ได้ “แผนผังเส้นเลือด” เฉพาะบุคคลคือสิ่งระบุตัวตนที่ไม่ซ้ำกับใคร ทำให้คุณแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นบนโลกนี้
การใคร่ครวญถึงความซับซ้อนดังกล่าวของมนุษย์น่าจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจและการยกย่องในองค์พระผู้ทรงสร้างเรา ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงสร้างเราอย่าง “มหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดด.139:14 TNCV) และนี่จึงเป็นเหตุที่เราสมควรจะเฉลิมฉลอง ที่จริงแล้วสดุดี 111:2 บอกกับเราว่า “บรรดาพระราชกิจของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เป็นที่ค้นคว้าของทุกคนที่พอใจ”
สิ่งที่มีค่าคู่ควรกับความสนใจของเรายิ่งไปกว่านั้นคือ องค์พระผู้ทรงสร้าง ในขณะที่เราเฉลิมฉลองพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เราต้องเฉลิมฉลองพระองค์ด้วย! พระราชกิจนั้นยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ใหญ่ยิ่งกว่า ดังที่ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า “เพราะพระองค์ใหญ่ยิ่งและทรงกระทำการอัศจรรย์ พระองค์แต่องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า” (86:10)
วันนี้เมื่อเราใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ให้เรายกย่องชื่นชมในความเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วย