วิญญาณที่ยอมรับการสอน
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่การโจมตีความคิดเห็นของผู้อื่นรวมไปถึงตัวบุคคลที่แสดงความคิดเห็นได้กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้ว สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในแวดวงวิชาการด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงตกใจเมื่อนักวิชาการและนักศาสนศาสตร์ ริชาร์ด บี.เฮส์ เขียนบทความโต้แย้งอย่างรุนแรงต่องานเขียนของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน! ในหนังสือ อ่านด้วยความเข้าใจพระวจนะอันน้อยนิด เฮส์แสดงออกถึงความถ่อมใจอย่างยิ่งเมื่อเขาแก้ไขความคิดของตนในอดีต ซึ่งตอนนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนโดยความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในบทนำของพระธรรมสุภาษิต กษัตริย์ซาโลมอนได้เขียนเจตจำนงต่างๆ ของถ้อยคำแห่งปัญญาที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ท่ามกลางวัตถุประสงค์เหล่านั้น พระองค์ได้แทรกคำท้าทายว่า “ทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้ และคนที่มีความเข้าใจจะได้ความช่ำชอง” (สภษ.1:5) เช่นเดียวกับที่อัครทูตเปาโลได้กล่าวอ้างว่า แม้ท่านจะติดตามพระคริสต์มาหลายสิบปีแล้ว แต่ท่านก็ยังคงต้องการจะรู้จักพระเยซู (ฟป.3:10) ซาโลมอนกระตุ้นปราชญ์ให้รับฟัง เรียนรู้ และเติบโตต่อไป
ไม่มีใครเคยบาดเจ็บจากการมีวิญญาณที่ยอมรับการสอน ขณะเราแสวงหาที่จะเติบโตและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของความเชื่อ (และเรื่องต่างๆในชีวิต) ต่อไป จงยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราไปสู่ความจริง (ยน.16:13) เพื่อเราจะเข้าใจถึงความมหัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ประเสริฐและยิ่งใหญ่ของเราได้ดีขึ้น
แยกเราไว้
ในเดือนพฤศจิกายนปี 1742 เกิดจลาจลขึ้นที่สแตฟฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อคัดค้านข่าวประเสริฐที่ชาร์ลส์ เวสลีย์กำลังประกาศ ดูเหมือนว่าชาร์ลส์และจอห์นพี่ชายกำลังเปลี่ยนประเพณีบางอย่างของคริสตจักรที่มีมาช้านาน และนั่นมากเกินกว่าที่ชาวเมืองส่วนใหญ่จะรับได้
เมื่อจอห์นได้ยินเรื่องการจลาจล เขารีบไปสแตฟฟอร์ดเชียร์เพื่อจะช่วยน้องชาย ไม่นานนักฝูงชนที่คุมไม่อยู่ก็ได้ล้อมที่พักของจอห์น เขาเผชิญหน้ากับพวกผู้นำอย่างกล้าหาญ โดยเจรจากับพวกเขาอย่างสงบจนแต่ละคนคลายความโกรธลง
จิตวิญญาณที่อ่อนน้อมและสงบของจอห์นทำให้ฝูงชนที่มีแนวโน้มรุนแรงสงบลง แต่นั่นไม่ใช่ใจอ่อนน้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเขา แต่เป็นหัวใจของพระผู้ช่วยให้รอดที่เวสลีย์ติดตามอย่างใกล้ชิด พระเยซูตรัสว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มธ.11:29) แอกแห่งความอ่อนน้อมนี้กลายเป็นพลังที่แท้จริงเบื้องหลังคำท้าทายของอัครทูตเปาโลที่มีต่อเราว่า “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (อฟ.4:2)
ในความเป็นมนุษย์ของเรานั้นความอดทนเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ แต่โดยผลของพระวิญญาณที่อยู่ภายในเรา ความอ่อนน้อมแห่งพระทัยของพระคริสต์จะแยกเราไว้และเตรียมเราให้เผชิญกับโลกที่เป็นปรปักษ์นี้ได้ เมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็ได้ทำให้ถ้อยคำของเปาโลเป็นจริงว่า “จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง” (ฟป.4:5)
พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่!
ลายนิ้วมือถูกใช้เพื่อระบุตัวตนมนุษย์มานานแล้ว แต่ก็มีการคัดลอกเพื่อปลอมขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับรูปแบบม่านตาของคนเราที่ใช้เป็นเครื่องระบุตัวตนที่เชื่อถือได้ จนกระทั่งมีคนใช้คอนแทคเลนส์เพื่อเปลี่ยนรูปแบบของม่านตาทำให้ผลออกมาผิดเพี้ยน การใช้ลักษณะทางกายภาพเพื่อระบุตัวตนอาจถูกปลอมแปลงได้ แล้วอะไรคือคุณสมบัติที่จะใช้ระบุตัวตนที่มีเพียงหนึ่งเดียวได้ มนุษย์ทุกคนมีรูปแบบหลอดเลือดที่เป็นเอกลักษณ์และปลอมแปลงไม่ได้ “แผนผังเส้นเลือด” เฉพาะบุคคลคือสิ่งระบุตัวตนที่ไม่ซ้ำกับใคร ทำให้คุณแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นบนโลกนี้
การใคร่ครวญถึงความซับซ้อนดังกล่าวของมนุษย์น่าจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจและการยกย่องในองค์พระผู้ทรงสร้างเรา ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงสร้างเราอย่าง “มหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดด.139:14 TNCV) และนี่จึงเป็นเหตุที่เราสมควรจะเฉลิมฉลอง ที่จริงแล้วสดุดี 111:2 บอกกับเราว่า “บรรดาพระราชกิจของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เป็นที่ค้นคว้าของทุกคนที่พอใจ”
สิ่งที่มีค่าคู่ควรกับความสนใจของเรายิ่งไปกว่านั้นคือ องค์พระผู้ทรงสร้าง ในขณะที่เราเฉลิมฉลองพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เราต้องเฉลิมฉลองพระองค์ด้วย! พระราชกิจนั้นยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ใหญ่ยิ่งกว่า ดังที่ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า “เพราะพระองค์ใหญ่ยิ่งและทรงกระทำการอัศจรรย์ พระองค์แต่องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า” (86:10)
วันนี้เมื่อเราใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ให้เรายกย่องชื่นชมในความเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วย
หัวใจสำคัญของการอธิษฐาน
เมื่ออับราฮัม ลินคอล์นขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขามีภารกิจในการนำประเทศที่กำลังแตกแยก ลินคอล์นถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ฉลาดและมีคุณธรรม แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งของภาพลักษณ์ภายนอกนี้ ซึ่งอาจเป็นที่มาของทุกอย่างคือ ลินคอล์นรู้ว่าเขาไม่มีความสามารถพอกับงานที่อยู่ตรงหน้า แล้วเขาตอบสนองอย่างไรกับความไม่ดีพอนั้น ลินคอล์นกล่าวว่า “ผมถูกผลักดันให้ต้องคุกเข่าลงหลายครั้งด้วยความแน่ใจอันท่วมท้นว่าผมไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว สติปัญญาและทุกอย่างที่ผมมีดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับเวลานั้น”
เมื่อเรามาถึงจุดที่ตระหนักว่าปัญหาในชีวิตนั้นช่างหนักหนา และพบว่าสติปัญญา ความรู้หรือกำลังของเรานั้นจำกัดเหลือเกิน เราจะได้พบเหมือนกับลินคอล์นว่า เราต้องพึ่งพาพระเยซูในทุกทาง พระองค์ทรงไร้ซึ่งขีดจำกัดใดๆ เปโตรเตือนเราถึงการพึ่งพานี้เมื่อท่านเขียนว่า “จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 ปต.5:7)
ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อลูกๆของพระองค์ ผนวกเข้ากับฤทธิ์อำนาจที่ไร้ขีดจำกัดทำให้พระองค์เป็นผู้ทรงสมควรที่สุดที่เราจะเข้าไปหาพร้อมด้วยความอ่อนแอที่มี และนี่คือหัวใจสำคัญของการอธิษฐาน คือการที่เราเข้าหาพระเยซูโดยยอมรับต่อพระองค์ (และต่อตนเอง) ว่าเราไม่มีความสามารถพอ และพระองค์ทรงสามารถมากพอไปตลอดนิรันดร์กาล ลินคอล์นพูดว่าเขารู้สึกเหมือน “ไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว” แต่เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย นั่นก็เป็นข่าวดีที่ยอดเยี่ยม เราเข้าไปหาพระเจ้าได้!
ไม่ถูกลืม
เมื่อเราคิดถึงมิชชันนารีรุ่นบุกเบิกในประวัติศาสตร์ ชื่อของจอร์จ ไลเอล (1750-1820) มักไม่ผ่านเข้ามาในความคิด แต่บางทีเราควรคิดถึงเขา จอร์จเกิดมาเป็นทาส เขารู้จักพระคริสต์ที่รัฐจอร์เจียและได้รับอิสรภาพก่อนสงครามปฏิวัติอเมริกา เขานำข่าวประเสริฐไปที่ประเทศจาไมก้า ทำพันธกิจกับทาสในพื้นที่เพาะปลูกที่นั่น และรับใช้เป็นศิษยาภิบาลผู้ก่อตั้งคริสตจักรสองแห่งเพื่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย หนึ่งในนั้นถูกเรียกว่า “คริสตจักรแม่ของชาวแบ๊บติสต์ผิวดำ”
อาจมีคนลืมชีวิตการรับใช้พระเจ้าอันโดดเด่นของจอร์จ แต่พระเจ้าไม่เคยทรงลืมการรับใช้ในฝ่ายวิญญาณของเขา และจะไม่ทรงลืมการงานที่คุณทำเพื่อพระองค์ด้วย จดหมายถึงชาวฮีบรูหนุนใจเราด้วยถ้อยคำเหล่านี้ “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรม ที่จะทรงลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น ดังที่ท่านยังรับใช้อยู่” (6:10) ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าไม่ควรถูกมองข้าม เพราะพระองค์ทรงทราบดีและทรงจดจำทุกสิ่งที่กระทำในพระนามของพระองค์ พระธรรมฮีบรูยังหนุนใจเราอีกว่า “ให้ตามเยี่ยงอย่างแห่งคนเหล่านั้นที่อาศัยความเชื่อและความเพียร จึงได้รับตามพระสัญญาเป็นมรดก” (ข้อ 12)
หากเรารับใช้อยู่เบื้องหลังในคริสตจักรหรือในชุมชน เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าไม่ได้รับการชื่นชม อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะจดจำหรือตอบแทนการงานของเราหรือไม่ แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่มีวันลืมเรา
ความหวังที่แท้จริง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 สหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงอนาคตอันสดใส ประธานาธิบดีหนุ่มจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ได้บุกเบิกดินแดนใหม่ ก่อตั้งกองกำลังอาสาสมัครเพื่อสันติภาพ และริเริ่มภารกิจพิชิตดวงจันทร์ เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูทำให้คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าอนาคตจะ “มีแต่ช่วงเวลาดีๆ” แต่ต่อมาสงครามเวียดนามทวีความรุนแรง ความไม่สงบในชาติเริ่มแผ่ขยาย เคนเนดี้ถูกลอบสังหาร และบรรทัดฐานทางสังคมที่คาดหวังไว้ก็ถูกทำลาย การมองโลกในแง่ดีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ และเมื่อความเป็นจริงนี้ปรากฏ ความสิ้นหวังก็ได้เข้าครอบงำ
ต่อมาในปี 1967 นักศาสนศาตร์เจอร์เกน มอลท์แมนชี้ให้เห็นมุมมองที่ชัดเจนกว่าในหนังสือศาสนศาสตร์แห่งความหวัง ของเขาว่า เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางของการมองโลกในแง่ดีแต่เป็นทางแห่งความหวัง ทั้งสองทางนี้ไม่เหมือนกัน เขายืนยันว่าการมองโลกในแง่ดีขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ในขณะนั้น แต่ความหวังหยั่งรากอยู่ในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นเช่นไร
อะไรคือแหล่งกำเนิดของความหวังนี้ เปโตรเขียนว่า “สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (1 ปต.1:3) พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อทรงมีชัยเหนือความตายโดยทางพระเยซูองค์พระบุตร! ความจริงแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ยกชูเราไว้เหนือการมองโลกในแง่ดีไปสู่ความหวังที่มั่นคงแข็งแรง ในทุกวันและในทุกสถานการณ์
แตกหักอย่างงดงาม
ในที่สุดรถโดยสารของเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่เราตั้งหน้าตั้งตาคอยคือที่แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีในอิสราเอล ที่ซึ่งเราจะได้ลองทำการขุดค้นดูจริงๆ ผู้ควบคุมหลุมขุดค้นอธิบายว่า ทุกสิ่งที่เราอาจขุดเจอนั้นไม่มีใครแตะต้องมานานนับพันปี การขุดพบเศษเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักทำให้เรารู้สึกราวกับได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็ถูกพาไปยังจุดซึ่งใช้ประกอบชิ้นส่วนของแจกันเก่าแก่ใบใหญ่เข้าด้วยกัน
นี่เป็นภาพที่ชัดเจน ช่างฝีมือที่นำชิ้นส่วนแตกหักของเครื่องปั้นดินเผาอายุหลายร้อยปีมาประกอบเข้าด้วยกันนั้น เป็นภาพที่งดงามของพระเจ้าผู้ทรงรักที่จะซ่อมแซมสิ่งที่แตกหักขึ้นมาใหม่ ในสดุดี 31:12 ดาวิดกล่าวว่า “เขาลืม
ข้าพระองค์เสียประหนึ่งว่าเป็นคนตายแล้ว ข้าพระองค์เหมือนอย่างภาชนะที่แตก” แม้จะไม่ได้บอกถึงช่วงเหตุการณ์ที่เขียนเพลงสดุดีบทนี้ แต่ความยากลำบากในชีวิตของดาวิดมักถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงคร่ำครวญเช่นเดียวกับเพลงบทนี้ ซึ่งบรรยายถึงการที่ท่านถูกทำให้แตกสลายด้วยภยันตราย ศัตรู และความสิ้นหวัง
แล้วท่านหันไปขอความช่วยเหลือจากที่ใด ในข้อ 16 ดาวิดร้องทูลพระเจ้าว่า “ขอพระพักตร์พระองค์ทอแสงบนผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยความรักมั่นคงของพระองค์”
พระเจ้าผู้ซึ่งดาวิดไว้วางใจ คือองค์เดียวกันกับผู้ที่ยังคงซ่อมแซมสิ่งที่แตกหักในปัจจุบัน ขอเพียงเราเรียกหาพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์
ใจขอบพระคุณ
ครั้งหนึ่งเซเนกา นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโรมัน (ก่อน ค.ศ.4-ค.ศ.65) ถูกจักรพรรดินีเมซซาลิน่ากล่าวหาว่าล่วงประเวณี สภาตัดสินโทษประหารชีวิต แต่จักรพรรดิคลอดิอุสกลับเนรเทศเขาไปที่คอร์ซิกา อาจเพราะพระองค์สงสัยว่าข้อกล่าวหานั้นไม่จริง การลดโทษครั้งนี้อาจหล่อหลอมมุมมองของการสำนึกในบุญคุณของเซเนกา เมื่อเขาเขียนว่า “ฆาตกร ทรราชย์ ขโมย คนล่วงประเวณี โจร คนไร้ศีลธรรม และคนทรยศนั้นมีอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่าคนเหล่านี้คือ อาชญากรรมแห่งการไม่สำนึกบุญคุณ”
อัครทูตเปาโลซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับเซเนกาอาจเห็นด้วย ในโรม 1:21 ท่านเขียนว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษยชาติล่มสลาย คือพวกเขาปฏิเสธที่จะขอบคุณพระเจ้า ในจดหมายที่เขียนถึงคริสตจักรในโคโลสี ท่านท้าทายเพื่อนผู้เชื่อให้ขอบพระคุณถึงสามครั้ง โดยบอกว่าเราจะต้อง “บริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ” (คส.2:7) ขณะที่เราให้สันติสุขของพระเจ้า “ครองจิตใจของ[เรา]” เราต้องตอบสนองด้วยใจขอบพระคุณ (3:15 TNCV) ที่จริงแล้ว การขอบพระคุณควรเป็นคุณลักษณะของคำอธิษฐานของเรา (4:2)
พระเมตตายิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อเราเตือนเราถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ของชีวิต พระองค์ไม่เพียงสมควรได้รับความรักและการนมัสการจากเรา แต่ยังสมควรได้รับใจขอบพระคุณจากเราด้วย สิ่งดีในชีวิตทุกอย่างมาจากพระองค์ (ยก.1:17)
เพราะสิ่งสารพัดที่เราได้รับในพระคริสต์ การสำนึกในพระคุณจึงควรเป็นธรรมชาติเหมือนกับการหายใจ ขอให้เราตอบสนองต่อของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าด้วยการแสดงออกถึงใจขอบพระคุณต่อพระองค์
รู้แจ้งได้โดยพระวิญญาณ
เมื่อทหารฝรั่งเศสนายหนึ่งขุดหลุมในทะเลทรายเพื่อเสริมแนวป้องกันของค่ายทหาร เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ ขณะกดพลั่วเข้าไปในทราย เขาพบหินก้อนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ก้อนหินทั่วไป แต่มันคือศิลาจารึกโรเซตต้า ซึ่งจารึกกฎหมายและการปกครองของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 5 ไว้ถึงสามภาษา ศิลานั้น (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 19 ซึ่งช่วยไขความลึกลับของอักษรอียิปต์โบราณที่เรียกว่า อักษรเฮียโรกลิฟฟิค
สำหรับพวกเราหลายคน เนื้อหาส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์ยังคงเป็นปริศนาเช่นกัน แม้กระนั้นในคืนก่อนการถูกตรึงที่กางเขน พระเยซูสัญญากับผู้ที่ติดตามพระองค์ว่าจะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มา พระองค์ตรัสว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” (ยน.16:13) อีกนัยหนึ่งคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศิลาจารึกโรเซตต้าอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ที่ส่องสว่างให้เห็นความจริงรวมถึงความจริงที่อยู่ภายใต้ความล้ำลึกของพระคัมภีร์
แม้จะไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะให้เราเข้าใจทุกสิ่งที่ทรงมอบไว้ให้กับเราในพระคัมภีร์ แต่เราก็มั่นใจได้ว่าโดยพระวิญญาณเราสามารถรู้อย่างชัดแจ้งถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราในการติดตามพระเยซู พระองค์จะทรงนำเราไปสู่ความจริงที่สำคัญเหล่านั้น