บทเรียนจากเด็กเล็กๆ
ขณะที่ฉันและเพื่อนนั่งรถเข้าไปที่สลัมแห่งหนึ่งในกรุงไนโรบี ประเทศ เคนยา เราหดหู่ใจมากเมื่อเห็นภาพความยากจนเบื้องหน้า แต่แล้วเราก็สดชื่นขึ้นดั่งมีน้ำชโลมใจเมื่อเห็นเด็กๆวิ่งมาพร้อมส่งเสียงว่า “Mchungaji, Mchungaji!” (ภาษาสวาฮีลีที่ใช้เรียก “ศิษยาภิบาล”) นั่นคือการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อได้เห็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของพวกเขานั่งอยู่ในรถกับเรา เด็กๆร้องตะโกนอย่างสุภาพเพื่อต้อนรับผู้ที่พวกเขารู้ว่าคอยห่วงใยดูแลพวกเขา
เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มโดยทรงลา เด็กๆที่ชื่นชมยินดีก็อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เฉลิมฉลองพระองค์ด้วย “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (มธ.21:9,15) เสียงที่ดังก้องอยู่นั้นไม่ได้มีแค่เสียงสรรเสริญพระเยซู แต่ยังมีเสียงความโกลาหลของผู้รับแลกเงินที่พระเยซูขับไล่จากพระวิหารด้วย (ข้อ 12-13) นอกจากนั้น ผู้นำศาสนาที่เห็นพระเยซูสำแดงพระเมตตาออกมาเป็นการกระทำก็มีความ “แค้นเคือง” (ข้อ 14-15) พวกเขาแสดงความไม่พอใจเมื่อเด็กๆพากันสรรเสริญพระองค์ (ข้อ 16) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความขัดสนในใจของพวกเขาเอง
เราเรียนรู้ได้จากความเชื่อของบรรดาลูกๆของพระเจ้าที่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ไม่ว่าเขาจะมีอายุเท่าไหร่หรืออยู่ที่ใดก็ตาม พระองค์เป็นผู้เดียวที่ได้ยินคำสรรเสริญและเสียงร้องทูลของเรา และทรงห่วงใยช่วยเหลือเราเมื่อเข้ามาหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจอย่างเด็กๆ
เป็นไทจริงๆ
ภาพยนตร์เรื่อง หัวใจทาสสะท้านโลก เล่าเรื่องที่เกิดในปี 1839 เมื่อทาสชาวแอฟริกันยึดเรือค้าทาสและฆ่ากัปตันกับลูกเรือบางคน ต่อมาพวกเขาถูกจับขังและถูกไต่สวน ฉากที่ลืมไม่ลงคือฉากในห้องสอบสวน ซิงเกผู้นำกลุ่มทาสร้องขออิสรภาพอย่างน่าสะเทือนใจ คำสามคำที่ชายผู้ติดโซ่ตรวนนี้พูดซ้ำด้วยความรู้สึกที่บีบคั้นมากขึ้นเป็นลำดับนั้นเป็นภาษาอังกฤษผิดไวยกรณ์ แต่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ “ให้ เรา อิสระ!” พวกเขาได้รับความยุติธรรมและเป็นอิสระ
คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้มีอันตรายจากพันธนาการทางร่างกาย แต่การเป็นไทอย่างแท้จริงจากพันธนาการฝ่ายวิญญาณนั้นยังเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ คำตรัสของพระเยซูในยอห์น 8:36 ทำให้เราอุ่นใจ “ถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” พระเยซูตรัสว่าพระองค์คือผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง เพราะพระองค์ทรงเสนอการอภัยโทษแก่ทุกคนที่เชื่อ แม้บางคนในฝูงชนจะอ้างว่าตนมีอิสรภาพ (ข้อ 33) แต่คำพูด ทัศนคติ และการกระทำของพวกเขาที่มีต่อพระเยซูนั้นกลับตรงกันข้าม
พระเยซูปรารถนาที่จะได้ยินเสียงสะท้อนคำอ้อนวอนของซิงเกที่บอกว่า “ขออิสรภาพให้ฉัน!” ด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรอคอยผู้ที่อยู่ภายใต้พันธนาการแห่งความไม่เชื่อ ความกลัว หรือความล้มเหลว อิสรภาพเป็นเรื่องของหัวใจ ความเป็นไทนี้มีให้เฉพาะผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อทำลายอำนาจครอบงำของบาป โดยการสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นของพระองค์
ทรงช่วยได้
การพัก” จากงานดูแลเหตุวิกฤติของคริสตจักรในเมืองนิวยอร์กเป็นเวลา 8 สัปดาห์ของโจไม่ใช่การพักผ่อน แต่เขาบอกว่าเป็น “การที่เขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตท่ามกลางคนไร้บ้านอีกครั้ง เพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขา เพื่อรำลึกว่าความหิว ความเหนื่อย และการถูกลืมเป็นอย่างไร” การใช้ชีวิตข้างถนนของโจเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 9 ปีก่อน เขามาถึงเมืองพิทซ์เบิร์กโดยไม่มีทั้งงานและที่พัก เขาอดนอนใช้ชีวิตข้างถนนกับอาหารเพียงเล็กน้อยอยู่ 13 วัน พระเจ้าทรงเตรียมเขาสำหรับการทำพันธกิจกับผู้ยากไร้
เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเดียวกับผู้ที่พระองค์มาช่วย “บุตรทั้งหลายร่วมสายโลหิตกันฉันใด พระองค์ก็ทรงเป็นเช่นนั้นด้วย เพื่อโดยทางความตายนั้นเองพระองค์จะได้ทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายคือมารเสียได้” (ฮบ.2:14) พระเยซูทรงมีประสบการณ์แบบมนุษย์ทุกอย่างนับตั้งแต่เกิดจนตาย ยกเว้นความบาป (4:15) เพราะพระองค์มีชัยเหนือบาป พระองค์จึงทรงช่วยได้เมื่อเราถูกทดลอง
พระเยซูไม่ต้องมาทำความคุ้นเคยกับภาระฝ่ายโลกของเราอีก พระองค์ผู้ทรงช่วยกู้เรายังคงผูกพันกับเราและสนพระทัยในเราอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรในชีวิต เรามั่นใจได้ว่าพระองค์ผู้ทรงช่วยชีวิตเราจากศัตรูตัวฉกาจ คือมารนั้น (2:14) ทรงพร้อมที่จะช่วยเมื่อเราตกอยู่ในความจำเป็นที่สุด
ดีกว่าชีวิต
แม้แมรี่จะรักพระเยซู แต่ชีวิตของเธอก็ลำบากมาก ลูกชายสองคนและหลานสองคนล้วนตกเป็นเหยื่อถูกยิงและเสียชีวิต แมรี่ทุกข์ทรมานเพราะเส้นเลือดอุดตันทำให้ร่างกายซีกหนึ่งเป็นอัมพาต แต่ทันทีที่เธอสามารถไปนมัสการที่โบสถ์ได้ เธอจะไปสรรเสริญพระเจ้า “จิตวิญญาณของฉันรักพระเยซู สรรเสริญพระนามของพระองค์” แม้จะกระท่อนกระแท่นและทำได้ยากก็ตาม
นานมาแล้วก่อนที่แมรี่จะสรรเสริญพระเจ้า ดาวิดได้เขียนสดุดี 63 ขึ้นตอนต้นของสดุดีระบุว่าดาวิดเขียน “เมื่อท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารยูดาห์” แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดี จนถึงขั้นสิ้นหวัง แต่ท่านก็ไม่สิ้นหวัง เพราะท่านหวังใจในพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ ... ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหยที่ที่ไม่มีน้ำ” (ข้อ 1)
คุณอาจพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ที่ไม่มีทิศทางชัดเจนหรือปัจจัยที่เพียงพอ ความยากลำบากอาจทำให้เราสับสน แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้เราหลงทางเมื่อเรายึดพระองค์ผู้ทรงรักเรา (ข้อ 3) ผู้ทำให้เราอิ่มใจ (ข้อ 5) ช่วยเรา (ข้อ 7) และชูเราไว้ด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ (ข้อ 8) เพราะความรักมั่นคงของพระเจ้าดีกว่าชีวิต เราจึงสามารถแสดงความชื่นบานด้วยริมฝีปากที่สรรเสริญยกย่องพระองค์ได้เช่นเดียวกับแมรี่และดาวิด (ข้อ 3-5)
เป็นไทโดยพระเยซู
ผมอาศัยอยู่กับแม่นานมากจนแม่ต้องเป็นฝ่ายย้ายออกไป” นี่เป็นคำพูดของเคซีซึ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีนักก่อนที่จะได้คิดและยอมจำนนต่อพระเยซู เขายอมรับตามตรงว่าหาเงินมาซื้อยาเสพโดยการลักขโมยแม้แต่จากคนที่เขารัก ตอนนี้ชีวิตเช่นนั้นเป็นอดีตสำหรับเขาแล้ว เขาเล่าเรื่องนี้และบอกได้ถึงวัน เดือน ปี ที่เขาได้รับการชำระให้สะอาด ตอนที่เคซีมานั่งศึกษาพระคำพระเจ้ากับฉันเป็นประจำ ฉันได้เห็นชายที่เปลี่ยนแปลงไป
มาระโก 5:15 พูดถึงคนที่เคยถูกผีเข้าและได้รับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ก่อนที่เขาจะได้รับการเยียวยา สภาพไร้ที่พึ่ง สิ้นหวัง ไร้บ้าน และอับจนเป็นคำที่เหมาะกับชายคนนี้ (ข้อ 3-5) แต่สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนไปหลังจากพระเยซูปลดปล่อยเขา (ข้อ 13) เช่นเดียวกับเคซี ก่อนจะมาพบพระเยซู ชีวิตของชายคนนี้ห่างไกลจากชีวิตปกติอย่างยิ่ง ความสับสนในจิตใจที่เขาแสดงออก ไม่ได้ต่างไปจากที่คนในยุคปัจจุบัน คนที่เจ็บปวดอาศัยอยู่ตามตึกร้าง ซากรถยนต์ หรือสถานที่อื่นๆ บางคนอาศัยอยู่ในบ้านของตนเองแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยว โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นจองจำหัวใจและความคิดจนทำให้พวกเขาแยกตัวออกจากผู้อื่น
ในพระเยซู เรามีผู้ที่เราฝากมอบความเจ็บปวดและความละอายของอดีตและปัจจุบันไว้ได้ และเช่นเดียวกับชีวิตของชายในพระคัมภีร์ที่ถูกผีเข้ากับเคซี พระองค์ทรงรอคอยด้วยอ้อมแขนแห่งพระเมตตาสำหรับทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ในวันนี้ (ข้อ 19) - ALJ
มีส่วนร่วมกัน
ในช่วง 2 เดือนแรกปี 1994 ชาวทุตซี่ในรวันดาถูกสังหารมากถึงหนึ่งล้านคนโดยสมาชิกของเผ่าฮูตูซึ่งมักสังหารเพื่อนร่วมชาติ ในพิธีไว้อาลัยผู้ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัว บิชอปเจฟฟรีย์ รวูบูซีซี ได้ขอให้ภรรยาของเขาช่วยเหลือผู้หญิงที่คนรักถูกสังหาร แมรี่ตอบว่า “ฉันไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากร้องไห้” เธอสูญเสียสมาชิกในครอบครัวเช่นกัน คำตอบของบิชอปเป็นคำตอบของผู้นำที่ฉลาดและสามีที่ห่วงใย “แมรี่ คุณรวมกลุ่มกับพวกผู้หญิงแล้วร้องไห้กับพวกเธอ” เขารู้ดีว่าความเจ็บปวดของภรรยาช่วยเตรียมเธออย่างเฉพาะเจาะจงให้ร่วมในความเจ็บปวดกับผู้อื่น
คริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้า เป็นที่ซึ่งทุกชีวิตสามารถแบ่งปันทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีแก่กัน คำว่า “กันและกัน” ในพันธสัญญาใหม่แสดงถึงการพึ่งพากันและกัน “จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว...จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (รม.12:10,16) ความผูกพันของเรากว้างขวางเพียงใดปรากฏอยู่ในข้อ 15 “จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้”
ในขณะที่ความเจ็บปวดของเราอาจไม่มากและรุนแรงเท่ากับผู้ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเรา และเช่นเดียวกับความเจ็บปวดของแมรี่ เรายอมรับและหนุนใจรวมทั้งทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา - ALJ
พระคุณที่ตรงสุดทาง
รูปปั้นชิ้นเอกของศิลปินดั๊ก เมอร์คีย์ชื่อความเชื่อวางใจอันแรงกล้าเป็นรูปปั้นชายผู้สิ้นหวังทำด้วยโลหะประสมทองแดงกำลังกอดไม้กางเขนมีข้อความว่า “เป็นการแสดงออกที่เรียบง่ายถึงท่าทีชีวิตที่แน่วแน่และเหมาะสม คือการมีเสรีภาพและพึ่งพาพระคริสต์และข่าวประเสริฐโดยสิ้นเชิง”
เกิดผลจนวันสุดท้าย
แม้ เลนอร์ ดันล็อพ อายุ 94 ปีแล้ว แต่ความคิดของเธอยังเฉียบคม รอยยิ้มของเธอสดใสและผู้คนมากมายสัมผัสได้ถึงความรักที่เธอมีต่อพระเยซู ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเห็นกลุ่มวัยรุ่นที่โบสถ์เรารายล้อมเธออยู่ ยามที่เธออยู่ด้วยและมีส่วนร่วม เธอเป็นแหล่งการหนุนใจและความชื่นชมยินดี ชีวิตของเลนอร์มีพลังมากจนเรานิ่งงันกับการจากไปของเธอ เธอวิ่งสู่เส้นชัยของชีวิตเหมือนนักวิ่งที่มีกำลัง พลังและความกระตือรือร้นของเธอยังคงเหมือนเดิมกระทั่งในวันก่อนที่เธอจะจากไป เธอได้เข้าร่วมการอบรม 16 สัปดาห์เกี่ยวกับการประกาศเรื่องพระเยซูให้ผู้อื่นอีกด้วย
คำอธิษฐานที่อดทน
คำอธิษฐานไม่มีวันตาย” คือคำพูดที่สะดุดใจของ อี. เอ็ม. บาวส์ (1835-1913) งานเขียนเรื่องการอธิษฐานของท่านได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมาหลายยุคสมัย
ข้อคิดเห็นของท่านเรื่องลักษณะคำอธิษฐานที่ทรงพลัง และคงทนของเรามีคำอธิบายวา่ “ริมฝีปากที่เอ่ยคำอธิษฐานอาจถูกปิดโดยความตาย หัวใจที่อธิษฐานอาจหยุดเต้น แต่คำอธิษฐานยังคงอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และพระทัยของพระเจ้าไม่เคยลืมคำอธิษฐาน คำอธิษฐานดำรงอยู่ยาวนานกว่าผู้ที่เอ่ยคำอธิษฐานนั้น ยาวนานกว่าชั่วอายุคนยาวนานกว่ายุคสมัย และยาวนานกว่าโลก”
คุณเคยสงสัยไหมว่าคำอธิษฐาน โดยเฉพาะการอธิษฐานในช่วงที่ยากลำบาก เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน จะไปถึงพระเจ้าหรือไม่ ข้อเขียนอันลึกซึ้งของบาวส์เตือนเราถึงความสำคัญของคำอธิษฐาน เช่นเดียวกับวิวรณ์ 8:1-5 ที่เป็นฉากในสวรรค์ (ข้อ 1) พระเจ้าประทับบนบัลลังก์และควบคุมศูนย์กลางของจักรวาลเหล่าทูตสวรรค์อยู่ต่อหน้าพระเจ้า (ข้อ 2) และทูตองค์หนึ่งทำหน้าที่เหมือนปุโรหิตที่ถวายเครื่องหอมร่วมกับคำอธิษฐานของ “คนของพระเจ้า” (ข้อ 3) ภาพนี้เปิดตาใจเราและหนุนใจว่าคำอธิษฐานบนโลกนี้ลอยขึ้นไปถึงพระเจ้าในสวรรค์ (ข้อ 4)
เมื่อเราคิดว่าคำอธิษฐานอาจตกหล่นระหว่างทางหรือถูกลืมภาพนี้ปลอบโยนและผลักดันให้เรายืนหยัดอธิษฐานต่อไป เพราะคำอธิษฐานของเรามีคุณค่าสำหรับพระเจ้า