ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Arthur Jackson

แข็งแกร่งกว่าความเกลียด

คริสพบว่าตัวเองพึมพำประโยคที่เปี่ยมด้วยพลังและพระคุณว่า “ความรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง” ในช่วง 24 ชั่วโมงของการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของชารอนด้าแม่ของเขา เธอถูกฆ่าพร้อมกับอีก 8 คนในชั้นเรียนพระคัมภีร์คืนวันพุธ ที่เมืองชาลส์ตันรัฐเซาท์แคโรไลน่า ชีวิตของวัยรุ่นคนนี้ได้รับการปลูกฝังอะไรที่ทำให้ถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจากปากและใจของเขาได้ คริสเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู โดยมีคุณแม่ที่ “รักทุกคนอย่างสุดใจ”

ในพระธรรมลูกา 23:26-49 เราได้นั่งแถวหน้าเพื่อดูฉากการประหารชีวิตอาชญากร 2 คน และพระเยซูผู้บริสุทธิ์ (ข้อ 32) ทั้ง 3 คนถูกตรึงบนกางเขน (ข้อ 33) ท่ามกลางความตกตะลึง เสียงถอนหายใจ และเสียงครวญครางของผู้ที่ถูกตรึงบนกางเขน เราได้ยินพระเยซูตรัสว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ข้อ 34) ความมุ่งมั่นที่เต็มด้วยความเกลียดชังของเหล่าผู้นำทางศาสนาเป็นเหตุให้เกิดการถูกตรึงกางเขนของพระองค์ผู้ทรงเป็นสุดยอดในเรื่องความรัก แม้ในความเจ็บปวดรวดร้าว ความรักของพระเยซูยังคงได้รับชัยชนะ

คุณหรือคนที่คุณรักเป็นเป้าหมายของความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย ความขมขื่น หรือความรังเกียจอย่างไร ขอความเจ็บปวดนั้นจะกระตุ้นให้คุณอธิษฐาน และขอแบบอย่างของพระเยซูและคริสหนุนใจคุณด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เลือกที่จะรักแทนการเกลียดชัง

ผู้รักษาสัญญา

เมื่อตระหนักถึงความจริงจังของคำมั่นสัญญาที่เขากำลังกล่าวต่อลาชอนเน่ โจนาธานเริ่มพูดตะกุกตะกัก เขาคิดว่าผมจะกล่าวคำสัญญานี้ได้อย่างไรถ้าไม่เชื่อว่าจะรักษาสัญญานี้ได้ เขาทำพิธีจนเสร็จลุล่วงแต่ความหนักใจยังอยู่ หลังงานเลี้ยงโจนาธานพาภรรยาของเขาเข้าไปในโบสถ์และอธิษฐานนานกว่าสองชั่วโมง ขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเขารักษาคำมั่นสัญญาที่จะรักและดูแลลาชอนเน่

ความกลัวในวันแต่งงานของโจนาธานเกิดจากการรับรู้ถึงความอ่อนแอในความเป็นมนุษย์ของตนเอง แต่พระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่าจะอวยพรประชาชาติผ่านทางพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม (กท.3:16) ทรงไม่มีข้อจำกัดนี้ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูต้องการท้าทายคริสเตียนชาวยิวให้บากบั่นและอดทนในความเชื่อ ท่านจึงทบทวนพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัมผู้อดทนรอคอยด้วยความเพียร และการทรงทำให้พระสัญญานั้นเป็นจริง (ฮบ.6:13-15) สถานภาพของอับราฮัมและซาราห์ที่อายุมากแล้วแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่พระสัญญาจะสำเร็จเป็นจริงว่า “เผ่าพันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้น” (ข้อ 14)

คุณกำลังถูกท้าทายให้เชื่อวางใจในพระเจ้าแม้จะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอและเปราะบางหรือไม่ คุณกำลังต่อสู้เพื่อจะรักษาคำมั่นสัญญา คำปฏิญาน หรือคำสาบานอยู่หรือเปล่า ใน 2 โครินธ์ 12:9 พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะช่วยเรา “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” พระเจ้าทรงช่วยโจนาธานและลาชอนเน่ในการรักษาคำปฏิญาณของพวกเขาเป็นเวลานานกว่าสามสิบหกปี แล้วทำไมไม่เชื่อวางใจให้พระองค์ทรงช่วยคุณล่ะ

พูดออกมา!

บริททานีร้องบอกเพื่อนร่วมงานที่ร้านอาหารว่า “คนนั้นไง! คนนั้นไง!” เธอหมายถึงเมลวินซึ่งเธอพบครั้งแรกในสถานการณ์ที่ต่างออกไป ขณะที่เขากำลังตัดหญ้าที่โบสถ์ พระวิญญาณเร้าใจเขาให้ไปคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นหญิงขายบริการ เมื่อเขาเชิญเธอไปโบสถ์ เธอถามเขาว่า “คุณรู้ไหมว่าฉันทำงานอะไร ไม่มีใครอยากให้ฉันเข้าไปหรอก” เมื่อเมลวินเล่าเรื่องความรักของพระเยซูและยืนยันว่าฤทธิ์อำนาจของพระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอได้ น้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้มเธอ หลายสัปดาห์ผ่านไป ตอนนี้บริททานีทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่เป็นพยานที่มีชีวิตถึงฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของพระเยซู

ในบริบทอัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อให้มุ่งมั่นอธิษฐานนั้น ท่านได้ขอร้องไว้สองเรื่องว่า “อธิษฐาน​เผื่อ​เรา​ด้วย เพื่อ​พระ​เจ้า​จะ​ได้​ทรง​โปรด​เปิด​ประตู​ไว้​ให้​เรา​สำหรับ​พระ​วาทะ​นั้น ให้​เรา​กล่าว​ความ​ล้ำ​ลึก​ของ​พระ​คริสต์​ (​ที่​ข้าพเจ้า​ถูก​จำ​จอง​อยู่​ก็​เพราะ​เหตุ​นี้​) ​เพื่อ​ข้าพเจ้า​จะ​ได้​กล่าว​ชี้แจง​ข้อความ​ตาม​สมควร​ที่​ข้าพเจ้า​ควร​จะ​กล่าว​นั้น” (คส.4:3-4)

คุณเคยอธิษฐานขอโอกาสในการพูดอย่างกล้าหาญและตามสมควรเพื่อพระเยซูไหม ช่างเป็นคำอธิษฐานที่เหมาะเจาะ! คำอธิษฐานเช่นนี้อาจนำผู้เชื่ออย่างเมลวินให้พูดเรื่องพระองค์ในสถานที่และกับผู้คนที่คาดไม่ถึง การพูดเรื่องพระเยซูออกมาอาจดูน่าอึดอัดใจ แต่ผลที่ได้คือชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้นคุ้มค่ากับความอึดอัดใจของเรา

เพียงแค่วางใจ

เด็กสามร้อยคนแต่งตัวเรียบร้อยนั่งรออาหารเช้า มีการอธิษฐานขอบพระคุณสำหรับอาหารแล้ว แต่กลับไม่มีอาหาร! สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ จอร์จ มูลเลอร์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีและผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้า (1805-1898) นี่เป็นอีกโอกาสที่จะได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไร ไม่กี่นาทีหลังจากมูลเลอร์อธิษฐาน คนทำขนมปังที่นอนไม่หลับในคืนก่อนมาที่ประตู เขารู้สึกว่าบ้านเด็กต้องการขนมปังจึงอบมาสามชุด ไม่นานคนส่งนมประจำเมืองก็ปรากฏตัว เกวียนของเขาเสียอยู่หน้าบ้านเด็กกำพร้า เขาไม่ต้องการให้นมเสียเปล่าจึงได้มอบนมให้กับมูลเลอร์

เป็นเรื่องปกติที่เราจะกลัดกลุ้ม กังวล และสงสารตัวเองเมื่อขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่นอาหาร ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การเงิน มิตรภาพ 1 พงศ์กษัตริย์ 17:8-16 เตือนเราว่าความช่วยเหลือจากพระเจ้าอาจมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึง เหมือนกับหญิงม่ายยากจน “ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห” (ข้อ 12) ก่อนหน้านี้ก็เป็นกาที่เลี้ยงดูเอลียาห์ (ข้อ 4-6) ความกังวลถึงสิ่งจำเป็นต่างๆ อาจทำให้เราแสวงหาหนทางมากมาย ภาพที่ชัดเจนของพระเจ้าในฐานะผู้เลี้ยง ผู้ซึ่งทรงสัญญาว่าจะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้เรานั้น ช่วยปลดเปลื้องความกังวลออกไป ก่อนที่เราจะหาทางแก้ปัญหา ขอให้เราตั้งใจแสวงหาพระองค์ก่อน การทำเช่นนั้นจะช่วยเราประหยัดเวลา พลังงาน และความขุ่นเคืองใจ

การแก้ไขด้วยใจเมตตา

คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าอากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอันแสนสดชื่นและการเดินทางของผมกับภรรยาอีกแล้ว แต่ความงดงามของช่วงเวลาเหล่านั้นอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้อย่างรวดเร็วหากไม่มีป้ายสีแดงขาวที่เตือนให้รู้ว่า ผมกำลังไปผิดทาง เนื่องจากผมหักเลี้ยวไม่มากพอ จนป้าย “ห้ามเข้า” มาอยู่ตรงหน้า ผมรีบปรับทิศทางแต่ยังคงตกใจเมื่อคิดถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง ภรรยาผม และคนอื่นๆ หากผมไม่สนใจป้ายเตือนนั้น

คำทิ้งท้ายในจดหมายของยากอบย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขสิ่งผิด มีใครในที่นี้บ้างที่ไม่ต้องมีผู้หวังดีมาช่วยให้ “กลับใจเสียใหม่” จากเส้นทาง การกระทำ การตัดสินใจ หรือความปรารถนาที่อาจทำร้ายเรา ไม่มีใครรู้ว่าตัวเราหรือผู้อื่นอาจได้รับอันตราย หากไม่มีผู้กล้าที่เข้ามาแทรกแซงในเวลาที่เหมาะสม

ยากอบเน้นถึงคุณค่าของการตักเตือนแก้ไขด้วยใจเมตตาไว้ว่า “ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากความตาย และได้กำจัดบาปเสียมากมาย” (5:20) การตักเตือนแก้ไขเป็นการแสดงออกถึงพระเมตตาของพระเจ้า ขอให้ความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อสวัสดิภาพของผู้อื่น ผลักดันให้เราพูดและกระทำในวิถีทางของพระองค์เพื่อ “ชักจูงเขาให้เขากลับใจเสียใหม่” (ข้อ 19)

รอยแผลของพระองค์

หลังจากพูดคุยกับเกรดี้ ผมก็เข้าใจว่าทำไมเขาจึงชอบทักทายด้วยการ “ชนหมัด” แทนการจับมือ การจับมือทำให้เห็นแผลเป็นบนข้อมือที่เกิดจากการทำร้ายตัวเองหลายครั้งของเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะซ่อนแผลเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ ทั้งที่เกิดโดยคนอื่นหรือจากตัวเราเอง

หลังจากได้คุยกับเกรดี้ผมคิดถึงแผลเป็นบนพระกายของพระเยซู รอยแผลที่เกิดจากการตอกตะปูเข้าไปในมือและเท้า และรอยแผลที่ถูกหอกแทงที่สีข้าง แทนที่จะทรงซ่อนแผลเป็นนั้น พระเยซูกลับให้ความสำคัญกับมัน

ในตอนแรกโธมัสยังสงสัยในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลยจงเชื่อเถิด” (ยน.20:27) เมื่อโธมัสเห็นรอยแผลด้วยตาตนเองและได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซู เขาจึงเชื่อว่าเป็นพระเยซูจริงและร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” (ข้อ 28) พระเยซูจึงทรงอวยพรผู้ที่ไม่ได้เห็นพระองค์แต่ยังคงเชื่อว่า “ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ข้อ 29)

ข่าวที่ดีที่สุดคือ รอยแผลของพระองค์นั้นก็เพื่อบาปของเรา บาปที่เราทำต่อผู้อื่นหรือต่อตัวเราเอง การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูก็เพื่อที่จะยกโทษบาปให้กับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์และยอมรับเหมือนกับโธมัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”

ผู้ล้างหนี้

ตกตะลึง เป็นคำๆเดียวที่ใช้อธิบายปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมงานรับปริญญาของวิทยาลัยมอร์เฮาส์ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ผู้ให้โอวาทประกาศว่าเขาและครอบครัวจะบริจาคเงินหลายล้านเหรียญเพื่อล้างหนี้ให้ผู้จบการศึกษาทุกคน นักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งมีหนี้ราว 3 ล้านบาทรู้สึกท่วมท้นและแสดงความยินดีร่วมกับคนอื่นๆด้วยน้ำตาและเสียงโห่ร้อง

รวมกันเรามีชัยชนะ

กลางดึกคืนหนึ่ง ศิษยาภิบาลซามูเอล แบ็กกาก้าได้รับโทรศัพท์เรียกให้ไปบ้านของสมาชิกคนหนึ่ง เมื่อไปถึงเขาพบว่าบ้านถูกเพลิงไหม้ ผู้เป็นพ่อวิ่งกลับเข้าไปช่วยลูกแม้ตัวเองจะถูกไฟคลอกและกลับออกมาพร้อมลูกสาวที่หมดสติ โรงพยาบาลในชนบทของอูกันดานี้อยู่ห่างไปสิบกิโลเมตร เพราะไม่มีรถ พ่อกับศิษยาภิบาลจึงอุ้มพาเด็กวิ่งไป เมื่อคนหนึ่งเหนื่อยจากการอุ้มเด็กหญิงที่บาดเจ็บ อีกคนก็ช่วยอุ้มต่อ ทั้งคู่ร่วมมือกันจนสำเร็จ ทั้งพ่อและลูกสาวได้รับการรักษาจนหายดีในเวลาต่อมา

บทเรียนจากเด็กเล็กๆ

ขณะที่ฉันและเพื่อนนั่งรถเข้าไปที่สลัมแห่งหนึ่งในกรุงไนโรบี ประเทศ เคนยา เราหดหู่ใจมากเมื่อเห็นภาพความยากจนเบื้องหน้า แต่แล้วเราก็สดชื่นขึ้นดั่งมีน้ำชโลมใจเมื่อเห็นเด็กๆวิ่งมาพร้อมส่งเสียงว่า “Mchungaji, Mchungaji!” (ภาษาสวาฮีลีที่ใช้เรียก “ศิษยาภิบาล”) นั่นคือการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อได้เห็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของพวกเขานั่งอยู่ในรถกับเรา เด็กๆร้องตะโกนอย่างสุภาพเพื่อต้อนรับผู้ที่พวกเขารู้ว่าคอยห่วงใยดูแลพวกเขา

เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มโดยทรงลา เด็กๆที่ชื่นชมยินดีก็อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เฉลิมฉลองพระองค์ด้วย “โฮซันนา แก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (มธ.21:9,15) เสียงที่ดังก้องอยู่นั้นไม่ได้มีแค่เสียงสรรเสริญพระเยซู แต่ยังมีเสียงความโกลาหลของผู้รับแลกเงินที่พระเยซูขับไล่จากพระวิหารด้วย (ข้อ 12-13) นอกจากนั้น ผู้นำศาสนาที่เห็นพระเยซูสำแดงพระเมตตาออกมาเป็นการกระทำก็มีความ “แค้นเคือง” (ข้อ 14-15) พวกเขาแสดงความไม่พอใจเมื่อเด็กๆพากันสรรเสริญพระองค์ (ข้อ 16) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความขัดสนในใจของพวกเขาเอง

เราเรียนรู้ได้จากความเชื่อของบรรดาลูกๆของพระเจ้าที่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ไม่ว่าเขาจะมีอายุเท่าไหร่หรืออยู่ที่ใดก็ตาม พระองค์เป็นผู้เดียวที่ได้ยินคำสรรเสริญและเสียงร้องทูลของเรา และทรงห่วงใยช่วยเหลือเราเมื่อเข้ามาหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจอย่างเด็กๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา