ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Arthur Jackson

ศึกษาพระคัมภีร์

ในผลงานชิ้นเอกเรื่อง รู้จักพระเจ้า ของเจ.ไอ.แพคเกอร์ (1926-2020) กล่าวถึงผู้เชื่อในพระคริสต์สี่คนซึ่งเป็นที่รู้จัก เขาเรียกคนเหล่านั้นว่า “ผู้ทำงานหนักเพื่อพระคัมภีร์” ไม่ใช่ทุกคนเป็นผู้รอบรู้ที่ได้รับการอบรม แต่แต่ละคนฝึกฝนอย่างตั้งใจเพื่อจะรู้จักพระเจ้า โดยค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งเหมือนตัวบีเวอร์ที่ขุดและกัดแทะต้นไม้เพื่อเปิดทาง แพคเกอร์ให้ข้อสังเกตอีกว่าการรู้จักพระเจ้าผ่านการศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่สำหรับนักวิชาการเท่านั้น “คนธรรมดาที่อ่านพระคัมภีร์และฟังคำเทศนาซึ่งเป็นผู้ที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะพัฒนาความสนิทสนมกับพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเขาได้ลึกซึ้งกว่านักวิชาการผู้คร่ำเคร่ง ที่พอใจเพียงความถูกต้องในหลักศาสนศาสตร์เท่านั้น”

น่าเสียดายว่าไม่ใช่ทุกคนที่ศึกษาพระคัมภีร์จะทำเช่นนั้นด้วยความถ่อมใจ โดยมีเป้าหมายที่จะรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดให้ดีขึ้นและเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น ในยุคของพระเยซูมีคนมากมายที่อ่านพันธสัญญาเดิม แต่กลับไม่รู้จักบุคคลที่พระคัมภีร์กล่าวถึง “ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” (ยน.5:39-40)

คุณเคยรู้สึกสับสนในขณะที่อ่านพระคัมภีร์บ้างหรือไม่ หรือคุณเคยเลิกศึกษาพระคัมภีร์ไหม “ผู้ทำงานหนัก” เพื่อพระคัมภีร์เป็นมากกว่าผู้อ่านพระคัมภีร์ พวกเขาอธิษฐานอย่างจริงใจและค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างตั้งใจ เพื่อเปิดตาและใจของเขาให้เห็นความรักของพระเยซูซึ่งเป็นผู้ที่พระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้เรารู้จัก

มามือเปล่า

โรเบิร์ตรู้สึกอายเมื่อเขาไปร่วมรับประทานอาหารเช้าและพบว่าเขาลืมเอากระเป๋าเงินมา เรื่องนี้กวนใจจนถึงจุดที่เขาคิดว่าควรจะรับประทานอาหารหรือไม่ หรือสั่งแค่เครื่องดื่ม หลังจากที่เพื่อนพูดเกลี้ยกล่อม เขาก็คลายกังวล เขาและเพื่อนมีความสุขกับมื้ออาหารและเพื่อนจ่ายเงินให้เขาด้วยความเต็มใจ

คุณอาจเคยอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหรือสถานการณ์อื่นที่ทำให้คุณอึดอัดเช่นนี้ การอยากรับผิดชอบด้วยตัวเองเป็นเรื่องปกติ แต่ในบางโอกาสเราต้องถ่อมใจยอมรับน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นให้

การตอบแทนอาจเป็นสิ่งที่บุตรชายคนน้องคิดในลูกา 15:17-24 เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่จะพูดกับพ่อ “ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” (ข้อ 19) ลูกจ้างหรือ พ่อของเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่! ในสายตาของพ่อนั้น เขาคือลูกชายสุดที่รักที่กลับมาบ้าน เขาจึงได้พบกับอ้อมกอดและจุบแห่งความรัก (ข้อ 20) ช่างเป็นภาพของข่าวประเสริฐที่ยิ่งใหญ่! สิ่งนี้ย้ำเตือนเราว่า โดยการทรงสิ้นพระชนม์นั้นพระเยซูได้สำแดงถึงพระบิดาแห่งความรักผู้ทรงอ้าแขนต้อนรับลูกที่มามือเปล่าด้วยความเต็มใจ ผู้ประพันธ์เพลงนมัสการท่านหนึ่งบรรยายไว้ว่า “ข้าไม่มีอะไรติดมา รู้สึกอายเมื่อพึ่งกางเขน”

เมื่อเราไม่เข้าใจ

“ผมไม่เข้าใจแผนการของพระองค์ ผมมอบทั้งชีวิตให้กับพระองค์ แล้วสิ่งนี้กลับเกิดกับผม!” นี่เป็นข้อความที่ลูกชายส่งให้กับแม่ของเขาเมื่อความฝันที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นนักกีฬาอาชีพต้องเปลี่ยนทิศทางชั่วคราว มีใครในพวกเราบ้างที่ไม่เคยประสบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด หรือความผิดหวังที่ทำให้ความคิดของเราเตลิดไปกับความตื่นตระหนกและคำถาม ไม่ว่าจะคนในครอบครัวตัดการสื่อสารโดยไม่มีคำอธิบาย สุขภาพที่ดีกลับแย่ลง บริษัทย้ายสถานที่ประกอบการโดยไม่คาดคิด มีอุบัติเหตุที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเกิดขึ้น

พระธรรมโยบ 1-2 ได้บันทึกโศกนาฏกรรมและความสูญเสียของโยบ พูดแบบคนทั่วไป คือหากจะมีใครสักคนที่สมควรจะมีชีวิตที่ปราศจากปัญหาแล้ว คนนั้นก็คือโยบ “ชายคนนั้นเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย” (โยบ 1:1) แต่ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอไป ชีวิตของโยบและของเราก็เช่นกัน เมื่อภรรยาของท่านแนะนำท่านให้ “แช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (2:9) สิ่งที่โยบพูดกับภรรยาเต็มไปด้วยสติปัญญา ให้ความรู้และเหมาะกับเราด้วยเมื่อมีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ซึ่งเราไม่อยากเผชิญ “‘เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ’ ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบมิได้กระทำผิดด้วยริมฝีปากของตน” (ข้อ 10)

โดยพระกำลังของพระเจ้า ขอให้เรายังคงไว้วางใจและยำเกรงในพระองค์ แม้เราจะไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงกำลังทำงานในท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตเราอย่างไร

ไม่ถูกลืม

“ลุงอาเธอร์ ลุงจำวันที่พาผมไปร้านตัดผมกับซูเปอร์มาร์เก็ตได้ไหมครับผมใส่กางเกงสีกากี เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้า เสื้อไหมพรมสีน้ำเงิน ถุงเท้ากับรองเท้าร็อกพอร์ตสีน้ำตาล วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม ปี 2016” จาเร็ดหลานชายที่มีภาวะออทิสติกของผมได้รับสิ่งชดเชยเป็นความทรงจำอันมหัศจรรย์ ที่เขาสามารถจดจำรายละเอียดของวันเวลาและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ได้แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปนานหลายปี

เพราะความผิดปกติของจาเร็ด เขาจึงได้ครอบครองความทรงจำที่เตือนผมถึงพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้และเปี่ยมด้วยความรัก ผู้ทรงควบคุมเวลาและนิรันดร์กาลพระองค์ทรงทราบข้อเท็จจริงทุกอย่าง และไม่เคยลืมพระสัญญาหรือประชากรของพระองค์ คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าพระเจ้าทรงลืมคุณไปหรือยัง เมื่อคนอื่นดูเหมือนจะแข็งแรง มีความสุข และประสบความสำเร็จมากกว่าคุณ

สถานการณ์ที่ไม่เป็นตามคาดของอิสราเอลในยุคโบราณทำให้พวกเขาพูดว่า “พระเจ้าได้ทรงละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว” (อสย.49:14) แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเช่นนั้น พระเมตตาและความห่วงใยของพระองค์มีมากกว่าความรักความผูกพันตามธรรมชาติที่แม่มีต่อลูก (ข้อ 15) ก่อนที่จะพูดว่าพระเจ้าทรง “ละทิ้ง” หรือ “ทรงลืม” ให้เราทบทวนอีกครั้งถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพระเยซูพระบุตรของพระองค์ ในพระกิตติคุณที่นำการยกโทษมาให้เรา พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า “เราก็จะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 15)

อคติและการให้อภัย

หลังจากฟังคำเทศนาเรื่องการแก้ไขความอยุติธรรม สมาชิกคริสตจักรคนหนึ่งร้องไห้เข้ามาหาศิษยาภิบาล ขอให้ยกโทษและสารภาพว่าเพราะเขามีอคติจึงไม่ได้ลงคะแนนสนับสนุนให้เชิญผู้รับใช้ผิวสีมาเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักร “ผมต้องการให้คุณยกโทษให้ผมจริงๆ ผมไม่อยากให้อคติไร้สาระและการเหยียดเชื้อชาติส่งต่อไปยังลูกๆของผม ผมไม่ได้ลงคะแนนให้คุณและผมทำผิดไปแล้ว” น้ำตาและคำสารภาพของเขาได้พบกับน้ำตาและการให้อภัยจากผู้รับใช้ สัปดาห์ต่อมา ทั้งคริสตจักรต่างชื่นชมยินดีเมื่อได้ยินคำพยานของชายคนนั้น ถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงทำงานในใจของเขา

แม้แต่เปโตรผู้เป็นสาวกของพระเยซูและหัวหน้าผู้นำในคริสตจักรยุคแรก ก็ยังต้องรับการแก้ไขเพราะอคติที่มีต่อคนที่ไม่ใช่ยิว การกินและดื่มร่วมกับคนต่างชาติ (ที่ถูกมองว่ามีมลทิน) เป็นการละเมิดข้อห้ามทางสังคมและศาสนา เปโตรกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่ห้าม” (กจ.10:28) ต้องใช้การกระทำกิจอันเหนือธรรมชาติของพระเจ้า (ข้อ 9-23) เพื่อทำให้เปโตรตระหนักว่า ท่าน “ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน” (ข้อ 28)

พระเจ้ายังคงทำงานในใจมนุษย์เพื่อแก้ไขอคติที่เรามีต่อผู้อื่น ผ่านทางคำเทศนาพระวจนะ การฟ้องผิดของพระวิญญาณและประสบการณ์ชีวิต พระองค์ทรงช่วยให้เราเห็นว่า “พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด” (ข้อ 34)

ลองจินตนาการดูสิ!

ในระหว่างรายการโทรทัศน์ยอดนิยมเกี่ยวกับการปรับปรุงบ้าน ผู้ชมมักจะได้ยินพิธีกรพูดบ่อยๆว่า “ลองจินตนาการดูสิ!” จากนั้นเธอจะเปิดให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อของเก่าได้รับการบูรณะและกำแพงกับพื้นสีซีดจางที่ทาสีใหม่ ในตอนหนึ่งหลังจากการซ่อมแซม เจ้าของบ้านเต็มไปด้วยความยินดีพร้อมกับพรั่งพรูว่า “มันสวยมาก!” ถึงสามครั้ง

หนึ่งในการ “ลองจินตนาการดูสิ!” อันน่าทึ่งปรากฏในพระธรรมอิสยาห์ 65:17-25 ช่างเป็นภาพการเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ! ภาพการสร้างฟ้าสวรรค์และโลกใหม่ปรากฏให้เห็น (ข้อ 17) และไม่ใช่เพียงพื้นผิวแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงและรักษาชีวิตที่ลึกซึ้งและเป็นจริง “เขาจะสร้างบ้านและเข้าอาศัยอยู่ในนั้น เขาจะปลูกสวนองุ่นและกินผลของมัน” (ข้อ 21) การทำลายจะกลายเป็นอดีต “มันทั้งหลายจะไม่ทำอันตรายหรือทำลายทั่วภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” (ข้อ 25)

ขณะที่ภาพการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏในอิสยาห์บทที่ 65 แสดงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่พระเจ้าผู้ทรงควบคุมเหนือการฟื้นฟูสภาพของจักรวาลทรงกำลังทำภารกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต อัครทูตเปาโลได้ยืนยันกับเราว่า “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) คุณต้องการได้รับการฟื้นฟูหรือไม่ ชีวิตของคุณแตกสลายเพราะความสงสัย ไม่เชื่อฟังและความเจ็บปวดอยู่ไหม การเปลี่ยนแปลงชีวิตผ่านทางพระเยซูนั้นเป็นจริง งดงาม และพร้อมที่จะให้กับทุกคนที่ทูลขอและเชื่อในพระองค์เสมอ

หนักแต่ยังมีหวัง

ในการ์ตูนเรื่องพีนัทส์ ลูซี่ตัวละครที่กล้าได้กล้าเสียลงโฆษณาว่า “รับให้ความช่วยเหลือทางจิตเวช” ในราคา 5 เซ็นต์ ไลนัสไปสำนักงานของเธอและยอมรับว่ามี “ความรู้สึกหดหู่ลึกๆ” เมื่อเขาถามว่าควรจะทำอย่างไรกับอาการที่เป็นนี้ลูซี่ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “รีบออกจากมันซะ! แล้วจ่ายฉันมา 5 เซ็นต์”

ขณะที่เรื่องขำขันเช่นนี้ทำให้เรายิ้มได้ชั่วขณะ แต่ความเศร้าและความหดหู่ที่เกาะกุมเราในชีวิตจริงนั้นเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ ความรู้สึกหมดหวังและสิ้นหวังเป็นเรื่องจริงและบางครั้งก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

คำแนะนำของลูซี่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนสดุดี 88 ได้แนะนำบางสิ่งที่เป็นความรู้และเต็มไปด้วยความหวัง เมื่อปัญหามาเคาะที่ประตูบ้าน ท่านได้เทใจออกต่อพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย” (ข้อ 3) “พระองค์ทรงใส่ข้าพระองค์ไว้ในส่วนลึกของปากแดนผู้ตายในแดนที่มืดและลึก” (ข้อ 6) “พวกเพื่อนของข้าพระองค์อยู่ในความมืด” (ข้อ 18) เราได้ฟัง รู้สึก และอาจร่วมรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้เขียนสดุดี แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ความโศกเศร้าของท่านเจือไปด้วยความหวัง “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ในกลางคืน ขอคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาจำเพาะเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์” (ข้อ 1-2; ดูข้อ 9, 13) อาจมีเรื่องหนักๆเกิดขึ้นและจำเป็นต้องมีขั้นตอนในทางปฏิบัติ เช่น การให้คำปรึกษาและการดูแลทางการแพทย์ แต่จงอย่าละทิ้งความหวังในพระเจ้า

เข้าสู่สงครามพร้อมกับพระเจ้า

การกระทำเยี่ยงวีรบุรุษของพลทหารสหรัฐเดสมอนด์ ดอส ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 เรื่องวีรบุรุษสมรภูมิปาฏิหาริย์ความเชื่อของดอสทำให้เขาไม่อาจคร่าชีวิตมนุษย์ และในฐานะแพทย์ทหารเขาปฏิญาณว่าจะรักษาชีวิตของผู้อื่นแม้จะต้องเสี่ยงชีวิตของตน คำยกย่องในพิธีมอบเหรียญเกียรติยศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1945 ได้กล่าวถึงดอสว่า “สิบตรีดอสปฏิเสธที่จะหลบเข้าที่กำบัง และรั้งอยู่ในจุดที่มีการกระหน่ำยิงที่มีผู้บาดเจ็บมากมาย เขาแบกคนเหล่านั้นออกมายังชายขอบที่ลาดชันทีละคน... เขาไม่ลังเลที่จะฝ่าดงกระสุนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือนายทหารปืนใหญ่”

ในพระธรรมสดุดีบทที่ 11 ความเชื่อของดาวิดว่าที่ลี้ภัยของท่านอยู่ในพระเจ้า ผลักดันท่านให้ปฏิเสธคำแนะนำให้หนีไปแทนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู (ข้อ 2-3) คำง่ายๆหกคำที่ประกอบกันเป็นถ้อยคำแห่งความเชื่อของท่าน “ข้าพเจ้าลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า” ความเชื่อที่หยั่งรากมั่นคงนั้นชี้นำการกระทำของท่าน

คำกล่าวของดาวิดในข้อ 4-7 ขยายภาพความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แน่นอนว่า บางครั้งชีวิตก็เหมือนกับสนามรบ การกระหน่ำยิงของศัตรูทำให้เราแตกกระเจิงหาที่หลบภัย เมื่อเราถูกโจมตีด้วยปัญหาสุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์และความกดดันในฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะทำเช่นใด ให้เรายอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นราชาแห่งฟ้าสวรรค์ (ข้อ 4) และยินดีในฤทธานุภาพอันอัศจรรย์ของพระองค์ที่จะพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม (ข้อ 5-6) ให้เราพักสงบอยู่ในพระองค์ผู้ทรงยินดี ในความถูกต้อง ยุติธรรมและเที่ยงตรง (ข้อ 7) เราสามารถวิ่งไปหาพระเจ้าเพื่อจะหลบภัยได้!

พระเจ้าทรงกระทำกิจ

“พระเจ้ากำลังร้องไห้” นี่คือคำที่ลูกสาววัยสิบขวบของบิล ฮาเลย์ กระซิบกับเขาขณะยืนกลางสายฝนร่วมกับผู้เชื่อในพระเยซูที่เป็นชนกลุ่มน้อยหลากหลายกลุ่ม พวกเขามาที่หุบเขาเชนแนนโด รัฐเวอร์จิเนียร์เพื่อแสวงหาพระเจ้า และทำความเข้าใจกับความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่สืบทอดมานานในอเมริกา ขณะยืนอยู่บนผืนดินที่ใช้ฝังศพพวกทาสในอดีต พวกเขาจับมือกันอธิษฐาน ทันใดนั้นลมเริ่มพัดแรงขึ้นและฝนเริ่มตก ขณะที่ผู้นำอธิษฐานขอการเยียวยาในปัญหาระหว่างเชื้อชาติ ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมเชื่อว่าพระเจ้าทรงกำลังกระทำกิจเพื่อนำการคืนดีและการให้อภัย

พระเจ้าได้ทรงกระทำกิจบนไม้กางเขนเช่นกัน หลังจากพระเยซูทรงถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ “แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก” (มธ.27:51-52) ถึงแม้ว่าหลายคนไม่ยอมรับพระเยซู แต่นายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพมีข้อสรุปที่ต่างออกไป “ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพอยู่ด้วยกันเมื่อได้เห็นแผ่นดินไหว และการทั้งปวงซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 54)

ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำกิจเพื่อประทานการอภัยบาปให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ “พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา” (2 คร.5:19) ดังนั้นจะมีวิธีใดที่ดีไปกว่าการให้อภัยกันและกันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราได้รับการยกโทษจากพระเจ้าแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา