ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Anne Cetas

ชายผู้มีเมตตา

เนื่องจากความผิดหวังและต้องการมีชีวิตที่มีความหมายมากกว่านี้ ลีออนจึงลาออกจากงานด้านการเงิน วันหนึ่งเขาเห็นชายไร้บ้านคนหนึ่งอยู่ตรงมุมถนนถือป้ายที่เขียนว่า “ความเมตตาคือยาที่ดีที่สุด” ลีออนบอกว่า “คำพูดนั้นกระทบใจผม และเป็นการเปิดเผยจากพระเจ้า”

ลีออนได้ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนเรื่องความเมตตา เขาเดินทางไปรอบโลก พึ่งพาคนแปลกหน้าในการจัดหาอาหาร น้ำมันรถ และที่พักอาศัยให้กับเขา จากนั้นเขาตอบแทนคนเหล่านั้นผ่านทางองค์กรนี้ด้วยการทำดี เช่น เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า หรือสร้างโรงเรียนให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาส เขาบอกว่า “ความเมตตาบางครั้งดูเหมือนเป็นความอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วคือพลังที่เข้มแข็ง”

ความประเสริฐคือแก่นแท้ของพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า ดังนั้นความเมตตาจึงหลั่งไหลออกมาจากพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ ฉันชอบเรื่องที่พระเยซูทรงกระทำเมื่อทรงเห็นขบวนแห่ศพบุตรชายคนเดียวของหญิงหม้าย (ลก.7:11-17) หญิงหม้ายผู้เศร้าโศกนี้ดูเหมือนต้องพึ่งพาลูกชายของเธอด้านการเงิน ในเรื่องนี้ไม่มีใครขอให้พระองค์ทำอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติแห่งความประเสริฐของพระองค์ทั้งสิ้น (ข้อ 13) พระองค์ทรงเมตตาและทำให้บุตรชายของเธอฟื้นคืนชีวิต ผู้คนต่างพากันพูดถึงพระคริสต์ว่า “พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์แล้ว” (ข้อ16)

มุมมองจากเบื้องบน

ตอนที่ปีเตอร์ เวลช์เป็นเด็กในยุคปี 70 การใช้เครื่องดักจับโลหะเป็นแค่กิจกรรมยามว่าง แต่ตั้งแต่ปี 1990 เขานำผู้คนจากทั่วโลกออกสำรวจด้วยเครื่องดักจับโลหะ พวกเขาค้นพบสิ่งของนับพัน เช่น ดาบ เครื่องประดับโบราณ เหรียญต่างๆ พวกเขามองหาแบบแผนจากลักษณะภูมิประเทศตามชนบทในสหราชอาณาจักรโดยใช้ “กูเกิลเอิร์ธ” ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างจากภาพถ่ายดาวเทียม แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนตรงไหนเป็นถนน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ปีเตอร์กล่าวว่า “มุมมองจากเบื้องบนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่หมด”

อ้าแขนต้อนรับ

เซย์ดีและครอบครัวของเขายึดปรัชญาที่ว่า “อ้าแขนและเปิดบ้าน” ผู้คนมักจะได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านของพวกเขา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความทุกข์ยาก” เขากล่าว นั่นคือลักษณะของครอบครัวที่เขาเติบโตมากับพี่น้องอีกเก้าคนในประเทศไลบีเรีย พ่อแม่ของพวกเขามักจะต้อนรับผู้อื่นเข้ามาในบ้าน เขาบอกว่า “เราเติบโตมาเป็นชุมชน เรารักซึ่งกันและกัน ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อกัน พ่อของผมสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ดูแลและปกป้องกันและกัน”

เมื่อกษัตริย์ดาวิดอยู่ในภาวะคับขัน พระองค์ได้พบกับความรักความห่วงใยแบบนี้ในพระเจ้า 2 ซามูเอล 22 (และสดุดี 18) เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยของพระองค์มาตลอดชีวิต ดาวิดย้อนระลึกว่า “ในยามทุกข์ใจ ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าของข้าพเจ้า จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า และเสียงร้องของข้าพเจ้ามาถึงพระกรรณของพระองค์” (2 ซมอ.22:7) พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์จากศัตรู รวมถึงจากกษัตริย์ซาอูลหลายครั้ง ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงเป็นป้อมปราการและผู้ช่วยกู้ ผู้เป็นที่ลี้ภัยของพระองค์ (ข้อ 2-3)

แม้ความทุกข์ของเราอาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดาวิด แต่พระเจ้าทรงยินดีต้อนรับเมื่อเราวิ่งไปหาพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่กำบังในยามที่เราต้องการ พระองค์ทรงอ้าแขนต้อนรับเราอยู่เสมอ เราจึง “ขอเชิดชูพระองค์” (ข้อ 50)

รับการดูแล

เด็บบี้มีกิจการรับทำความสะอาดบ้านและคอยหาลูกค้าอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเธอคุยกับลูกค้าที่บอกเธอว่า “ตอนนี้ฉันไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้ เพราะฉันกำลังรักษาโรคมะเร็ง” ในวินาทีนั้นเด็บบี้ตัดสินใจว่า “ผู้หญิงที่กำลังรักษาโรคมะเร็งจะไม่ถูกทอดทิ้ง พวกเธอจะได้รับบริการทำความสะอาดบ้านโดยไม่ต้องเสียเงิน” ดังนั้นในปี 2005 เธอจึงก่อตั้งองค์กรไม่แสวงกำไรขึ้นเพื่อให้บริษัทต่างๆ บริจาคเงินเป็นค่าทำความสะอาดบ้านให้แก่หญิงที่ต่อสู้กับมะเร็ง ผู้รับบริการคนหนึ่งรู้สึกมั่นใจเมื่อกลับมาถึงบ้านที่สะอาดสะอ้าน เธอบอกว่า “เป็นครั้งแรกที่ฉันเชื่อว่าฉันจะหายจากมะเร็ง”

ความรู้สึกว่าได้รับการดูแลและได้รับกำลังใจสามารถค้ำจุนเรา เมื่อเราเผชิญกับความท้าทาย การได้รู้ถึงการสถิตอยู่และการช่วยเหลือของพระเจ้าจะยิ่งนำความหวังใจมาสู่เรา สดุดี 46 เป็นพระธรรมตอนโปรดของหลายคนที่ต้องเผชิญการทดสอบได้เตือนเราว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” และ “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่าเราคือพระเจ้า...เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย” (ข้อ 1,10-11)

การเตือนใจตัวเราเองถึงพระสัญญาและการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นทางที่จะฟื้นฟูใจเราขึ้นใหม่ และทำให้เรามีกำลังใจและความมั่นใจในการฝ่าฟันความยากลำบาก

เกมทุบตัวตุ่น

คุณอาจเข้าใจว่าเป็นอย่างไร เวลาที่ใบเรียกเก็บเงินทยอยตามมาหลังการรักษาพยาบาล ทั้งจากวิสัญญีแพทย์ ศัลยแพทย์ ห้องปฏิบัติการ ค่าอุปกรณ์ เจสันพบปัญหานี้หลังรับการผ่าตัดฉุกเฉิน เขาบ่นว่า “เราเป็นหนี้หลายพันดอลลาร์ทั้งที่มีประกัน ถ้าเราจ่ายหนี้ได้หมด ชีวิตผมก็คงจะดีและมีความสุขใจ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมทุบตัวตุ่น” คือเกมที่มีตัวตุ่นโผล่ขึ้นมาจากหลุมแล้วคนเล่นต้องไล่ทุบด้วยค้อนยาง

บางครั้งชีวิตเราก็เป็นแบบนั้น อัครทูตเปาโลเข้าใจดี ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ” แต่ท่านก็ “รู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับทุกกรณี” (ฟป.4:12) เคล็ดลับของท่านคือ “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ข้อ 13) เมื่อฉันทุกข์ใจมาก ฉันได้อ่านข้อความนี้จากบัตรอวยพรว่า “ถ้าไม่ใช่ที่นี่ จะมีที่ไหนอีก” ซึ่งเตือนใจได้อย่างดีว่าถ้าฉันไม่มีความพึงใจที่นี่ในเวลานี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉันจะมีความพึงใจได้ โดยเพียงแค่เปลี่ยนสถานการณ์

เราเรียนรู้ที่จะพักสงบในพระเยซูอย่างไร โดยการจดจ่อ การชื่นชมยินดี และมีใจขอบพระคุณสำหรับสิ่งดี การรู้จักพระบิดาผู้ทรงสัตย์ซื่อมากขึ้น การเติบโตในความวางใจและอดทน การตระหนักว่าชีวิตเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อฉัน การขอให้พระองค์สอนให้เราพบความพึงใจในพระองค์

สถานที่แห่งการเข้าส่วน

หลายปีหลังจากที่ร็อบบี้และซาบริน่าสูญเสียคู่ครองคนแรกของตนไป ทั้งคู่ได้พบรักกัน แต่งงาน และรวมครอบครัวเข้าด้วยกัน ทั้งสองสร้างบ้านหลังใหม่และตั้งชื่อว่า ฮาวิลาห์ (เป็นคำในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “บิดด้วยความเจ็บปวด” และ “การนำออกมา”) หมายถึงการสร้างสิ่งที่สวยงามผ่านความเจ็บปวด ทั้งคู่บอกว่าพวกเขาไม่ได้สร้างบ้านหลังนั้นเพื่อลืมอดีต แต่ “เพื่อสร้างชีวิตจากกองขี้เถ้า เพื่อเฉลิมฉลองความหวัง” สำหรับพวกเขาแล้ว “ที่นี่เป็นสถานที่แห่งการมีส่วนร่วมกัน เป็นสถานที่สำหรับเฉลิมฉลองชีวิตและเป็นที่ที่สื่อว่าเราทุกคนมีความหวังต่ออนาคต”

นั่นเป็นภาพที่งดงามของชีวิตที่เรามีในพระเยซู พระองค์ฉุดชีวิตเราออกจากกองขี้เถ้าและให้พระองค์เองเป็นที่ที่เราจะมีส่วนได้ เมื่อเราต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็สถิตอยู่ในใจของเรา (อฟ.3:17) พระเจ้ารับเราเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์ผ่านทางพระเยซูเพื่อให้เราเป็นของพระองค์ (1:5-6) แม้เราต้องผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวด แต่พระองค์สามารถใช้กระทั่งช่วงเวลาเช่นนั้นเพื่อวัตถุประสงค์อันดีในชีวิตของเราได้

แต่ละวันเรามีโอกาสเติบโตขึ้นในความเข้าใจเรื่องพระเจ้าเมื่อเราชื่นชมความรักของพระองค์และชื่นบานกับสิ่งที่พระองค์ประทานให้ ในพระองค์มีชีวิตบริบูรณ์ที่เราไม่อาจมีได้หากไม่มีพระองค์ และเราได้รับพระสัญญาว่าความสัมพันธ์นี้จะยั่งยืนตลอดไป (3:19) เราเป็นของพระเยซู เป็นเหตุผลให้เราเฉลิมฉลองชีวิต และเป็นความหวังของเราวันนี้และสืบไปเป็นนิตย์ - AMC

ราชาเพียงผู้เดียว

ขณะที่เอลดอนวัยห้าขวบฟังศิษยาภิบาลพูดถึงการที่พระเยซูเสด็จจากสวรรค์มาในโลก เขาตกใจเมื่ออาจารย์อธิษฐานขอบคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา “แย่จัง พระองค์ตายด้วยเหรอ” เขาร้องด้วยความแปลกใจ

มีคนอยากให้พระคริสต์ตายตั้งแต่ทรงเริ่มต้นชีวิตของพระองค์ในโลก โหราจารย์มาเยรูซา-เล็มในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด สอบถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” (มธ.2:2) เมื่อเฮโรดได้ยินก็กลัวว่าวันหนึ่งจะต้องเสียบัลลังก์ให้แก่พระเยซู จึงส่งทหารไปฆ่าเด็กชายทุกคนที่อายุต่ำกว่าสองขวบทั่วเบธเลเฮม แต่พระเจ้าทรงปกป้องพระบุตรของพระองค์ และส่งทูตสวรรค์มาเตือนบิดามารดาของพระองค์ให้ออกจากบริเวณนั้น พวกเขาหนีไปและพระองค์ปลอดภัย (ข้อ 13-18)

เมื่อพระเยซูทำพระราชกิจเสร็จสิ้น ทรงถูกตรึงกางเขนเพราะความบาปของโลกนี้ ป้ายที่ติดบนกางเขนเขียนเพื่อเยาะเย้ยว่า “ผู้นี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” (27:37) แต่สามวันต่อมาทรงฟื้นคืนพระชนม์มีชัยเหนือความตาย หลังจากเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ประทับบนบัลลังก์ในฐานะกษัตริย์เหนือกษัตริย์และองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือพระทั้งปวง (ฟป.2:8-11)

องค์กษัตริย์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา ของคุณและฉัน และเอลดอน จงยอมให้พระองค์ครอบครองหัวใจของเรา

ผลอันงดงาม

เด็กควรมีโอกาสโยนเมล็ดพืชไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ (ในสวน) และดูว่าจะมีอะไรงอกขึ้นมา” รีเบคกา เลมอส โอเทโร ผู้ก่อตั้งซิตี้บลอส-ซั่มกล่าว แม้นี่จะไม่ใช่สวนที่ดูแลอย่างระมัดระวัง แต่ได้สะท้อนความจริงที่ว่าทุกเมล็ดมีโอกาสเติบโตมีชีวิต ตั้งแต่ปี 2004 ซิตี้บลอสซั่มได้สร้างสวนให้กับโรงเรียนและชุมชนในแถบรายได้ต่ำ เด็กๆได้เรียนรู้เรื่องโภชนาการและทักษะการทำงานผ่านการทำสวน รีเบคกากล่าวว่า “การมีพื้นที่สีเขียวอันมีชีวิตในชุมชนเมือง...สร้างโอกาสให้เด็กๆได้ออกไปข้างนอกทำสิ่งที่เกิดผลและงดงาม

ขึ้นอยู่กับพระเจ้า

เนทและเชอริลินมีความสุขที่ได้แวะร้านอาหารโอมาคาเสะ ตอนไปเที่ยวนิวยอร์ค โอมาคาเสะมาจากภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ฉันฝากมอบไว้กับคุณ” ลูกค้าที่มาร้านนี้ให้พ่อครัวเป็นคนเลือกอาหารให้ แม้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ลองอาหารแบบนี้และดูเหมือนจะเสี่ยงไปหน่อย แต่พวกเขาก็ชอบอาหารที่พ่อครัวเลือกและปรุงให้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา