ของขวัญคริสต์มาสมือสอง
คุณแม่คนหนึ่งรู้สึกว่าตนใช้เงินซื้อของขวัญคริสต์มาสสำหรับครอบครัวมากเกินไป พอมาปีหนึ่งเธอจึงลองวิธีใหม่ หลายเดือนก่อนเทศกาล เธอไปตามบ้านที่เปิดขายของมือสองเพื่อหาซื้อของใช้แล้วที่ราคาย่อมเยา เธอซื้อมากกว่าปกติแต่จ่ายน้อยกว่ามาก ในคืนก่อนวันคริสต์มาส ลูกๆของเธอแกะของขวัญอย่างตื่นเต้นกล่องแล้วกล่องเล่า เช้าวันต่อมาก็มีของขวัญอีก! คุณแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของใหม่ จึงมีของขวัญให้มากเป็นพิเศษในเช้าวันคริสต์มาส เด็กๆแกะห่อของขวัญพลางบ่นอุบว่า “พวกเราแกะของขวัญจนเหนื่อยแล้ว! แม่ให้ของขวัญพวกเรามากเหลือเกิน!” นี่ไม่ใช่คำพูดปกติของเด็กในเช้าวันคริสต์มาสเลย!
พระเจ้าทรงประทานพรแก่เรามากมาย แต่ดูเหมือนเรายังแสวงหามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่ขึ้น รถที่ดีขึ้น เงินเก็บที่มากขึ้น ฯลฯ เปาโลหนุนใจทิโมธีให้เตือนสติคนในคริสตจักรของเขาว่า “เราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้าก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด” (1 ทธ.6:7-8)
นอกจากการทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้เราแล้ว พระเจ้ายังทรงประทานลมหายใจและชีวิตให้แก่เราด้วย น่าชื่นใจสักเท่าใดที่เราจะชื่นชมและพอใจกับของประทานจากพระเจ้าและพูดว่า พระองค์ประทานให้เรามากมายเหลือเกิน เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว “เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้าพร้อมทั้งความสุขใจ” (ข้อ 6)
ถ้าเลือกได้...
ต้นสนอลาสก้าซีดาร์โอนเอนไปมาตามความแรงของพายุ เร็กกี้รักต้นไม้ที่ไม่เพียงแค่ให้ร่มเงา แต่มันยังให้ความสงบเป็นส่วนตัวกับครอบครัวของเธออีกด้วย ขณะนี้ลมพายุที่บ้าคลั่งกำลังถอนรากของมันขึ้นมาจากพื้นดิน เร็กกี้และลูกชายวัย 15 ปีรีบวิ่งเข้าไปพยายามป้องกันต้นสนไม่ให้โค่นลงมาด้วยมือเปล่าและด้วยน้ำหนักตัวเพียง 40 กว่ากิโลกรัมของเธอ แต่พวกเขาไม่แข็งแรงพอ
พระเจ้าทรงเป็นกำลังของกษัตริย์ดาวิด เมื่อทรงร้องเรียกหาพระเจ้าในท่ามกลางพายุอีกแบบหนึ่ง (สดด.28:8) นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าดาวิดเขียนพระธรรมตอนนี้ในช่วงเวลาที่โลกของพระองค์กำลังแตกสลาย โอรสของพระองค์ก่อการกบฏและพยายามแย่งชิงบัลลังก์ (2 ซมอ.15) พระองค์รู้สึกเปราะบางและอ่อนแอจนเกรงว่าถ้าพระเจ้ายังทรงเงียบอยู่ พระองค์จะตาย (สดด.28:1) พระองค์ร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ขอทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์ ขณะเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์” (ข้อ 2) พระเจ้าทรงประทานกำลังให้ดาวิดเดินต่อไปแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโอรสจะไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม
ถ้าเลือกได้ เราคงไม่อยากให้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น! แต่ในความอ่อนแอของเรา พระเจ้าทรงสัญญาว่าเราสามารถเรียกหาพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระศิลาของเราได้เสมอ (ข้อ 1-2) เมื่อเราอ่อนกำลังพระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราและจะหอบหิ้วอุ้มชูเราไปเป็นนิตย์ (ข้อ 8-9)
สิ่งที่ขาดไปคือสติปัญญา
เคนเนทวัย 2 ขวบหายตัวไป แต่ภายใน 3 นาทีที่แม่โทรหา 911 เจ้าหน้าที่ก็พบตัวเขาในงานเทศกาลที่อยู่แค่สองช่วงตึกถัดไป แม่ได้สัญญาว่าจะให้เขาไปกับคุณตา แต่เคนเนทขับรถของเล่นของตัวเองไป และจอดรถตรงที่เขาชอบจอด เมื่อหนูน้อยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย พ่อจึงรีบถอดแบตเตอรรี่รถของเล่นออก
ถือว่าเคนเนทเก่งทีเดียวที่ไปจนถึงที่ซึ่งเขาอยากไป แต่เด็กวัย 2 ขวบขาดคุณสมบัติข้อสำคัญคือ สติปัญญา ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่เองก็ขาด ซาโลมอนผู้ได้รับการแต่งตั้งจากบิดาคือดาวิด (1 พกษ.2) ยอมรับว่าท่านรู้สึกยังเป็นเด็ก พระเจ้าได้ปรากฏในความฝันและบอกว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าก็จงขอเถิด” (3:5) ท่านตอบว่า “ข้าพระองค์เป็นแต่เด็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้านอกออกในอย่างไรถูก...เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว” (ข้อ 7-9) พระเจ้าจึงประทาน “สติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล” (4:29)
เราจะรับสติปัญญานี้จากที่ไหน ซาโลมอนบอกว่าจุดเริ่มต้นของสติปัญญาคือ “ความยำเกรง” พระเจ้า (สภษ.9:10) ให้เราเริ่มด้วยการขอให้พระเจ้าทรงสอนเราเกี่ยวกับพระองค์และมอบสติปัญญาที่เหนือกว่าที่เรามี
กลัวโดยไม่มีเหตุ
อาจฟังดูไม่มีเหตุผล แต่ในช่วงสามเดือนหลังจากที่พ่อแม่ของฉันเสียชีวิต ฉันกลัวว่าพวกท่านจะลืมฉัน แน่นอนว่าพวกท่านไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว และนั่นทำให้ฉันเกิดความรู้สึกไม่มั่นคง ฉันเพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ยังไม่ได้แต่งงาน และสงสัยว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีพวกท่าน ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ฉันจึงแสวงหาพระเจ้า
เช้าวันหนึ่งฉันบอกพระองค์เรื่องความกลัวอย่างไม่มีเหตุและความเศร้าที่ตามมาของฉัน (แม้พระองค์จะทราบอยู่แล้ว) ข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในบทเฝ้าเดี่ยววันนั้นคืออิสยาห์ 49 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง...ได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 15) พระเจ้าย้ำกับคนของพระองค์ผ่านอิสยาห์ว่าพระองค์ทรงไม่ลืมพวกเขา และต่อมาทรงสัญญาว่าจะรื้อฟื้นพวกเขาให้กลับเป็นของพระองค์โดยทรงให้พระเยซูพระบุตรเสด็จมา พระวจนะคำนั้นตรัสกับใจฉันเช่นกัน เป็นเรื่องยากที่พ่อหรือแม่จะลืมลูก แต่ก็ยังเป็นไปได้ แต่พระเจ้าน่ะหรือ ไม่มีทาง พระองค์ตรัสว่า “เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา”
คำตอบของพระเจ้าน่าจะทำให้ฉันกลัวมากขึ้น แต่สันติสุขที่พระองค์ประทานให้เพราะพระองค์ทรงระลึกถึงฉันนั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพ่อแม่หรือใครก็ตาม และพระองค์ทรงรู้วิธีที่จะช่วยเราได้ในทุกเรื่อง แม้ในเรื่องความกลัวโดยไม่มีเหตุของเรา
รางวัลแสนอัศจรรย์
คุณครูโดเนแลนเป็นนักอ่านมาตลอด จนวันหนึ่งเธอก็ได้ค่าตอบแทนจากสิ่งนี้ เธอกำลังวางแผนเดินทางและอ่านนโยบายประกันการเดินทางอันยาวเหยียด เมื่อถึงหน้า 7 เธอพบรางวัลแสนมหัศจรรย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน “จ่ายเมื่ออ่าน” บริษัทจะมอบเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้คนแรกที่อ่านสัญญามาจนถึงหน้านี้ พวกเขายังบริจาคเงินหลายพันดอลลาร์ให้โรงเรียนในชุมชนของโดเนแลน เพื่อการอ่านของเด็กๆ เธอเล่าว่า “ฉันเป็นหนอนหนังสือที่อ่านสัญญาเสมอ ฉันจึงแปลกใจมากกว่าใคร”
ผู้เขียนสดุดีปรารถนาให้ดวงตาของท่านเปิดเพื่อจะ “เห็นสิ่งมหัศจรรย์” ของพระเจ้า (สดด.119:8) ท่านมีความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงต้องการเป็นที่รู้จัก ท่านจึงปรารถนาจะใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น ท่านอยากรู้มากขึ้นว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นไร พระองค์ได้ประทานสิ่งใดมาแล้วบ้าง และจะติดตามพระองค์ใกล้ชิดขึ้นได้อย่างไร (ข้อ 24, 98) ท่านเขียนว่า “แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ” (ข้อ 97)
เราเองก็มีสิทธิพิเศษที่จะใช้เวลาครุ่นคิดถึงพระเจ้า พระลักษณะ และพระบัญญัติของพระองค์ เพื่อเรียนรู้และเติบโตใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น พระเจ้าทรงปรารถนาจะสอนเรา นำเราและเปิดใจของเราให้รู้จักพระองค์ เมื่อเราแสวงหาพระองค์ พระองค์ประทานรางวัลที่ทำให้เราประหลาดใจยิ่งขึ้นถึงสิ่งที่พระองค์เป็น และประทานความชื่นชมยินดีในการสถิตอยู่ของพระองค์
ชายผู้มีเมตตา
เนื่องจากความผิดหวังและต้องการมีชีวิตที่มีความหมายมากกว่านี้ ลีออนจึงลาออกจากงานด้านการเงิน วันหนึ่งเขาเห็นชายไร้บ้านคนหนึ่งอยู่ตรงมุมถนนถือป้ายที่เขียนว่า “ความเมตตาคือยาที่ดีที่สุด” ลีออนบอกว่า “คำพูดนั้นกระทบใจผม และเป็นการเปิดเผยจากพระเจ้า”
ลีออนได้ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนเรื่องความเมตตา เขาเดินทางไปรอบโลก พึ่งพาคนแปลกหน้าในการจัดหาอาหาร น้ำมันรถ และที่พักอาศัยให้กับเขา จากนั้นเขาตอบแทนคนเหล่านั้นผ่านทางองค์กรนี้ด้วยการทำดี เช่น เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า หรือสร้างโรงเรียนให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาส เขาบอกว่า “ความเมตตาบางครั้งดูเหมือนเป็นความอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วคือพลังที่เข้มแข็ง”
ความประเสริฐคือแก่นแท้ของพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า ดังนั้นความเมตตาจึงหลั่งไหลออกมาจากพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ ฉันชอบเรื่องที่พระเยซูทรงกระทำเมื่อทรงเห็นขบวนแห่ศพบุตรชายคนเดียวของหญิงหม้าย (ลก.7:11-17) หญิงหม้ายผู้เศร้าโศกนี้ดูเหมือนต้องพึ่งพาลูกชายของเธอด้านการเงิน ในเรื่องนี้ไม่มีใครขอให้พระองค์ทำอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติแห่งความประเสริฐของพระองค์ทั้งสิ้น (ข้อ 13) พระองค์ทรงเมตตาและทำให้บุตรชายของเธอฟื้นคืนชีวิต ผู้คนต่างพากันพูดถึงพระคริสต์ว่า “พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์แล้ว” (ข้อ16)
มุมมองจากเบื้องบน
ตอนที่ปีเตอร์ เวลช์เป็นเด็กในยุคปี 70 การใช้เครื่องดักจับโลหะเป็นแค่กิจกรรมยามว่าง แต่ตั้งแต่ปี 1990 เขานำผู้คนจากทั่วโลกออกสำรวจด้วยเครื่องดักจับโลหะ พวกเขาค้นพบสิ่งของนับพัน เช่น ดาบ เครื่องประดับโบราณ เหรียญต่างๆ พวกเขามองหาแบบแผนจากลักษณะภูมิประเทศตามชนบทในสหราชอาณาจักรโดยใช้ “กูเกิลเอิร์ธ” ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างจากภาพถ่ายดาวเทียม แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนตรงไหนเป็นถนน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ปีเตอร์กล่าวว่า “มุมมองจากเบื้องบนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่หมด”
อ้าแขนต้อนรับ
เซย์ดีและครอบครัวของเขายึดปรัชญาที่ว่า “อ้าแขนและเปิดบ้าน” ผู้คนมักจะได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านของพวกเขา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความทุกข์ยาก” เขากล่าว นั่นคือลักษณะของครอบครัวที่เขาเติบโตมากับพี่น้องอีกเก้าคนในประเทศไลบีเรีย พ่อแม่ของพวกเขามักจะต้อนรับผู้อื่นเข้ามาในบ้าน เขาบอกว่า “เราเติบโตมาเป็นชุมชน เรารักซึ่งกันและกัน ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อกัน พ่อของผมสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ดูแลและปกป้องกันและกัน”
เมื่อกษัตริย์ดาวิดอยู่ในภาวะคับขัน พระองค์ได้พบกับความรักความห่วงใยแบบนี้ในพระเจ้า 2 ซามูเอล 22 (และสดุดี 18) เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยของพระองค์มาตลอดชีวิต ดาวิดย้อนระลึกว่า “ในยามทุกข์ใจ ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าของข้าพเจ้า จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า และเสียงร้องของข้าพเจ้ามาถึงพระกรรณของพระองค์” (2 ซมอ.22:7) พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์จากศัตรู รวมถึงจากกษัตริย์ซาอูลหลายครั้ง ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงเป็นป้อมปราการและผู้ช่วยกู้ ผู้เป็นที่ลี้ภัยของพระองค์ (ข้อ 2-3)
แม้ความทุกข์ของเราอาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดาวิด แต่พระเจ้าทรงยินดีต้อนรับเมื่อเราวิ่งไปหาพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่กำบังในยามที่เราต้องการ พระองค์ทรงอ้าแขนต้อนรับเราอยู่เสมอ เราจึง “ขอเชิดชูพระองค์” (ข้อ 50)
รับการดูแล
เด็บบี้มีกิจการรับทำความสะอาดบ้านและคอยหาลูกค้าอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเธอคุยกับลูกค้าที่บอกเธอว่า “ตอนนี้ฉันไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้ เพราะฉันกำลังรักษาโรคมะเร็ง” ในวินาทีนั้นเด็บบี้ตัดสินใจว่า “ผู้หญิงที่กำลังรักษาโรคมะเร็งจะไม่ถูกทอดทิ้ง พวกเธอจะได้รับบริการทำความสะอาดบ้านโดยไม่ต้องเสียเงิน” ดังนั้นในปี 2005 เธอจึงก่อตั้งองค์กรไม่แสวงกำไรขึ้นเพื่อให้บริษัทต่างๆ บริจาคเงินเป็นค่าทำความสะอาดบ้านให้แก่หญิงที่ต่อสู้กับมะเร็ง ผู้รับบริการคนหนึ่งรู้สึกมั่นใจเมื่อกลับมาถึงบ้านที่สะอาดสะอ้าน เธอบอกว่า “เป็นครั้งแรกที่ฉันเชื่อว่าฉันจะหายจากมะเร็ง”
ความรู้สึกว่าได้รับการดูแลและได้รับกำลังใจสามารถค้ำจุนเรา เมื่อเราเผชิญกับความท้าทาย การได้รู้ถึงการสถิตอยู่และการช่วยเหลือของพระเจ้าจะยิ่งนำความหวังใจมาสู่เรา สดุดี 46 เป็นพระธรรมตอนโปรดของหลายคนที่ต้องเผชิญการทดสอบได้เตือนเราว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” และ “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่าเราคือพระเจ้า...เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับเราทั้งหลาย” (ข้อ 1,10-11)
การเตือนใจตัวเราเองถึงพระสัญญาและการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นทางที่จะฟื้นฟูใจเราขึ้นใหม่ และทำให้เรามีกำลังใจและความมั่นใจในการฝ่าฟันความยากลำบาก