หนังสือนิทานของพระเจ้า
ฉันออกไปเดินเล่นเพราะอยากชื่นชมวันที่สวยงามและไม่นานฉันก็เจอเพื่อนบ้านใหม่ เขาหยุดทักฉันและแนะนำตัว “ผมชื่อปฐมกาล อายุหกขวบครึ่ง”
“ปฐมกาลเป็นชื่อที่ยอดเยี่ยม! เป็นพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์” ฉันตอบ
“พระคัมภีร์คืออะไรครับ” เขาถาม
“เป็นหนังสือนิทานของพระเจ้า เล่าถึงการสร้างโลกและมนุษย์ และความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา”
การตอบสนองด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำให้ฉันยิ้ม “ทำไมพระองค์สร้างโลกและมนุษย์และรถกับบ้านล่ะครับ แล้วรูปภาพของผมอยู่ในหนังสือของพระองค์หรือเปล่า”
แม้จะไม่มีรูปภาพจริงๆของเพื่อนใหม่ของฉันหรือพวกเราในพระคัมภีร์ แต่เราทุกคนเป็นส่วนสำคัญในหนังสือนิทานของพระเจ้า เราเห็นในปฐมกาล 1 ว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น” (ข้อ 27) พระองค์ทรงดำเนินกับมนุษย์ในสวนและเตือนไม่ให้พวกเขาถูกล่อลวงให้เป็นพระเจ้าของตนเอง (บทที่ 3) ในตอนท้ายของหนังสือ พระเจ้าทรงบอกถึงการที่พระบุตรของพระองค์ได้เสด็จลงมาดำเนินกับเราด้วยความรักอีกครั้ง และนำมาซึ่งแผนงานแห่งการยกโทษและฟื้นฟูสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เราเรียนรู้ว่าพระผู้สร้างของเราอยากให้เรารู้จักพระองค์ พูดกับพระองค์และแม้แต่ถามคำถามกับพระองค์ พระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าที่เราจะจินตนาการได้
เฉลิมฉลองด้วยความยินดี
ช ารอนเพื่อนของฉันเสียชีวิตไปแล้วปีหนึ่ง ก่อนที่เมลิสสาลูกสาววัยรุ่นของเดฟซึ่งเป็นเพื่อนฉันจะจากไป ทั้งสองคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ คืนหนึ่งฉันฝันเห็นชารอนและเมลิสสา พวกเขาหัวเราะคิกคักและพูดคุยกันขณะที่แขวนสายรุ้งในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่โดยไม่สนใจตอนที่ฉันก้าวเข้ามาในห้อง บนโต๊ะยาวที่ปูด้วยผ้าขาว มีจานชามและแก้วน้ำที่ทำด้วยทองคำจัดวางไว้ ฉันถามพวกเขาว่าให้ฉันช่วยอะไรมั้ย แต่พวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินฉันและยังคงทำงานต่อไป แต่แล้วชารอนก็พูดว่า “นี่เป็นงานแต่งงานของเมลิสสา”
“เจ้าบ่าวคือใคร” ฉันถาม ทั้งสองไม่ตอบ แต่ยิ้มและสบตากันอย่างรู้ใจ ในที่สุดฉันก็มาถึงบางอ้อ คือพระเยซูนั่นเอง! “พระเยซูคือเจ้าบ่าว” ฉันกระซิบเบาๆ ขณะตื่นขึ้น
ความฝันนี้ทำให้ฉันนึกถึงการเฉลิมฉลองที่น่ายินดีซึ่งผู้เชื่อในพระเยซูจะได้เข้าร่วมเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา พระธรรมวิวรณ์ได้บรรยายให้เห็นภาพของงานเลี้ยงที่เรียกว่า “การมงคลสมรสของพระเมษโปดก” (19: 9) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้ซึ่งเตรียมคนสำหรับการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซู ได้เรียกพระองค์ว่า “พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยน.1:29) ท่านยังเรียกพระเยซูว่า “เจ้าบ่าว” และเรียกตัวเองว่า “สหายของเจ้าบ่าว” (เหมือนกับเพื่อนเจ้าบ่าว) ที่กำลังรอคอยพระองค์ (3:29)
ในวันที่มีงานเลี้ยงและในตลอดตราบชั่วนิรันดร์ เราจะได้สามัคคีธรรมกับพระเยซูองค์เจ้าบ่าวของเรา กับชารอนและเมลิสสา และกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า
ขุดมันออกไป
เมื่อพี่ชายและพี่สะใภ้ของรีเบคก้าเริ่มมีปัญหาในชีวิตแต่งงาน รีเบคก้าอธิษฐานอย่างจริงจังให้พวกเขาคืนดีกัน แต่พวกเขาก็หย่าร้างกัน พี่สะใภ้พาลูกๆย้ายไปอยู่รัฐอื่นโดยผู้เป็นพ่อไม่คัดค้าน รีเบคก้าไม่ได้พบหลานสาวที่รักอีกเลยหลายปีต่อมาเธอบอกว่า “เพราะว่าฉันพยายามจัดการกับความเศร้าด้วยตัวเอง ฉันจึงปล่อยให้เกิดรากขมขื่นในใจ และมันเริ่มแพร่ไปสู่ครอบครัวและเพื่อนๆของฉัน”
ในพระธรรมนางรูธบอกเราถึงเรื่องราวของหญิงชื่อนาโอมี ผู้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยหัวใจเศร้าหมองจนกลายเป็นความขมขื่น สามีของเธอตายในดินแดนต่างชาติและสิบปีต่อมาลูกชายทั้งสองคนก็เสียชีวิต เธอถูกทิ้งให้สิ้นไร้ไม้ตอกอยู่กับลูกสะใภ้สองคน รูธกับโอรปาห์ (1:3-5) เมื่อนาโอมีกับรูธกลับมายังบ้านเกิดของนาโอมี ทุกคนในเมืองตื่นเต้นที่ได้พบพวกเธอ แต่นาโอมีบอกกับเพื่อนๆของเธอว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงกระทำกับฉันอย่างขมขื่น...พระเจ้าทรงให้ฉันทุกข์ใจ” (ข้อ 20-21) เธอบอกให้พวกเขาเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่าขมขื่น
ใครบ้างไม่เคยพบกับความผิดหวังและถูกล่อลวงให้ขมขื่น บางคนอาจพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ ไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง หรือการเรียกร้องของคนอื่นทำให้เราขุ่นเคืิองใจ เมื่อเรายอมรับกับตัวเองและกับพระเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นลึกๆในใจเรา พระเจ้าเป็นเจ้าของสวนผู้อ่อนโยนจะทรงช่วยขุดเอารากขมขื่นของเราออกไป ไม่ว่ามันจะยังเล็กอยู่หรือฝังรากมาหลายปี และทรงสามารถทดแทนด้วยวิญญาณที่หวานชื่นและเบิกบาน
มนุษย์เป็นผู้ใด
ชื่อของเขาคือ ดะนิอัน และเขาถือว่าตัวเองเป็นนักเรียนของโลกใบนี้ เขาพูดถึงประเทศและเมืองที่เขาเคยเดินทางผ่านมาว่า “นี่คือโรงเรียนที่ใหญ่มาก” ในปี 2016 เขาเริ่มต้นการเดินทางสี่ปีด้วยจักรยานเพื่อพบปะและเรียนรู้จากผู้คน เมื่อมีอุปสรรคด้านภาษา เขาพบว่าบางครั้งผู้คนสามารถเข้าใจกันได้โดยเพียงแค่มองหน้ากัน นอกจากนี้เขายังใช้แอปพลิเคชั่นแปลภาษาในโทรศัพท์เพื่อช่วยในการสื่อสาร เขาไม่ได้วัดคุณค่าการเดินทางของเขาด้วยจำนวนระยะทาง หรือตามจำนวนสถานที่ที่ได้เห็น แต่เขาวัดคุณค่าจากผู้คนที่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความประทับใจไว้ให้เขา “ผมอาจไม่รู้ภาษาของคุณ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร”
ช่างเป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่พระเจ้าทรงรู้จักทุกสิ่งและทุกคนในโลกนี้เป็นอย่างดีในทุกด้าน ดาวิดผู้เขียนสดุดีรู้สึกยำเกรงพระเจ้าเมื่อท่านได้พิจารณาถึงทุกสิ่งที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ดวงจันทร์และดวงดาว (สดด.8:3) ท่านประหลาดใจว่า “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา” (ข้อ 4)
พระเจ้าทรงรู้จักคุณอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าใครจะสามารถทำได้ และพระองค์ทรงห่วงใยคุณ เราทำได้เพียงตอบสนองว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรดาข้าพระองค์ พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก” (ข้อ 1,9)
ของขวัญคริสต์มาสมือสอง
คุณแม่คนหนึ่งรู้สึกว่าตนใช้เงินซื้อของขวัญคริสต์มาสสำหรับครอบครัวมากเกินไป พอมาปีหนึ่งเธอจึงลองวิธีใหม่ หลายเดือนก่อนเทศกาล เธอไปตามบ้านที่เปิดขายของมือสองเพื่อหาซื้อของใช้แล้วที่ราคาย่อมเยา เธอซื้อมากกว่าปกติแต่จ่ายน้อยกว่ามาก ในคืนก่อนวันคริสต์มาส ลูกๆของเธอแกะของขวัญอย่างตื่นเต้นกล่องแล้วกล่องเล่า เช้าวันต่อมาก็มีของขวัญอีก! คุณแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของใหม่ จึงมีของขวัญให้มากเป็นพิเศษในเช้าวันคริสต์มาส เด็กๆแกะห่อของขวัญพลางบ่นอุบว่า “พวกเราแกะของขวัญจนเหนื่อยแล้ว! แม่ให้ของขวัญพวกเรามากเหลือเกิน!” นี่ไม่ใช่คำพูดปกติของเด็กในเช้าวันคริสต์มาสเลย!
พระเจ้าทรงประทานพรแก่เรามากมาย แต่ดูเหมือนเรายังแสวงหามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่ขึ้น รถที่ดีขึ้น เงินเก็บที่มากขึ้น ฯลฯ เปาโลหนุนใจทิโมธีให้เตือนสติคนในคริสตจักรของเขาว่า “เราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้าก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด” (1 ทธ.6:7-8)
นอกจากการทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้เราแล้ว พระเจ้ายังทรงประทานลมหายใจและชีวิตให้แก่เราด้วย น่าชื่นใจสักเท่าใดที่เราจะชื่นชมและพอใจกับของประทานจากพระเจ้าและพูดว่า พระองค์ประทานให้เรามากมายเหลือเกิน เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว “เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้าพร้อมทั้งความสุขใจ” (ข้อ 6)
ถ้าเลือกได้...
ต้นสนอลาสก้าซีดาร์โอนเอนไปมาตามความแรงของพายุ เร็กกี้รักต้นไม้ที่ไม่เพียงแค่ให้ร่มเงา แต่มันยังให้ความสงบเป็นส่วนตัวกับครอบครัวของเธออีกด้วย ขณะนี้ลมพายุที่บ้าคลั่งกำลังถอนรากของมันขึ้นมาจากพื้นดิน เร็กกี้และลูกชายวัย 15 ปีรีบวิ่งเข้าไปพยายามป้องกันต้นสนไม่ให้โค่นลงมาด้วยมือเปล่าและด้วยน้ำหนักตัวเพียง 40 กว่ากิโลกรัมของเธอ แต่พวกเขาไม่แข็งแรงพอ
พระเจ้าทรงเป็นกำลังของกษัตริย์ดาวิด เมื่อทรงร้องเรียกหาพระเจ้าในท่ามกลางพายุอีกแบบหนึ่ง (สดด.28:8) นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าดาวิดเขียนพระธรรมตอนนี้ในช่วงเวลาที่โลกของพระองค์กำลังแตกสลาย โอรสของพระองค์ก่อการกบฏและพยายามแย่งชิงบัลลังก์ (2 ซมอ.15) พระองค์รู้สึกเปราะบางและอ่อนแอจนเกรงว่าถ้าพระเจ้ายังทรงเงียบอยู่ พระองค์จะตาย (สดด.28:1) พระองค์ร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ขอทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์ ขณะเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์” (ข้อ 2) พระเจ้าทรงประทานกำลังให้ดาวิดเดินต่อไปแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโอรสจะไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม
ถ้าเลือกได้ เราคงไม่อยากให้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น! แต่ในความอ่อนแอของเรา พระเจ้าทรงสัญญาว่าเราสามารถเรียกหาพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระศิลาของเราได้เสมอ (ข้อ 1-2) เมื่อเราอ่อนกำลังพระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราและจะหอบหิ้วอุ้มชูเราไปเป็นนิตย์ (ข้อ 8-9)
สิ่งที่ขาดไปคือสติปัญญา
เคนเนทวัย 2 ขวบหายตัวไป แต่ภายใน 3 นาทีที่แม่โทรหา 911 เจ้าหน้าที่ก็พบตัวเขาในงานเทศกาลที่อยู่แค่สองช่วงตึกถัดไป แม่ได้สัญญาว่าจะให้เขาไปกับคุณตา แต่เคนเนทขับรถของเล่นของตัวเองไป และจอดรถตรงที่เขาชอบจอด เมื่อหนูน้อยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย พ่อจึงรีบถอดแบตเตอรรี่รถของเล่นออก
ถือว่าเคนเนทเก่งทีเดียวที่ไปจนถึงที่ซึ่งเขาอยากไป แต่เด็กวัย 2 ขวบขาดคุณสมบัติข้อสำคัญคือ สติปัญญา ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่เองก็ขาด ซาโลมอนผู้ได้รับการแต่งตั้งจากบิดาคือดาวิด (1 พกษ.2) ยอมรับว่าท่านรู้สึกยังเป็นเด็ก พระเจ้าได้ปรากฏในความฝันและบอกว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าก็จงขอเถิด” (3:5) ท่านตอบว่า “ข้าพระองค์เป็นแต่เด็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้านอกออกในอย่างไรถูก...เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว” (ข้อ 7-9) พระเจ้าจึงประทาน “สติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล” (4:29)
เราจะรับสติปัญญานี้จากที่ไหน ซาโลมอนบอกว่าจุดเริ่มต้นของสติปัญญาคือ “ความยำเกรง” พระเจ้า (สภษ.9:10) ให้เราเริ่มด้วยการขอให้พระเจ้าทรงสอนเราเกี่ยวกับพระองค์และมอบสติปัญญาที่เหนือกว่าที่เรามี
กลัวโดยไม่มีเหตุ
อาจฟังดูไม่มีเหตุผล แต่ในช่วงสามเดือนหลังจากที่พ่อแม่ของฉันเสียชีวิต ฉันกลัวว่าพวกท่านจะลืมฉัน แน่นอนว่าพวกท่านไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว และนั่นทำให้ฉันเกิดความรู้สึกไม่มั่นคง ฉันเพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ยังไม่ได้แต่งงาน และสงสัยว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีพวกท่าน ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ฉันจึงแสวงหาพระเจ้า
เช้าวันหนึ่งฉันบอกพระองค์เรื่องความกลัวอย่างไม่มีเหตุและความเศร้าที่ตามมาของฉัน (แม้พระองค์จะทราบอยู่แล้ว) ข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในบทเฝ้าเดี่ยววันนั้นคืออิสยาห์ 49 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง...ได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 15) พระเจ้าย้ำกับคนของพระองค์ผ่านอิสยาห์ว่าพระองค์ทรงไม่ลืมพวกเขา และต่อมาทรงสัญญาว่าจะรื้อฟื้นพวกเขาให้กลับเป็นของพระองค์โดยทรงให้พระเยซูพระบุตรเสด็จมา พระวจนะคำนั้นตรัสกับใจฉันเช่นกัน เป็นเรื่องยากที่พ่อหรือแม่จะลืมลูก แต่ก็ยังเป็นไปได้ แต่พระเจ้าน่ะหรือ ไม่มีทาง พระองค์ตรัสว่า “เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา”
คำตอบของพระเจ้าน่าจะทำให้ฉันกลัวมากขึ้น แต่สันติสุขที่พระองค์ประทานให้เพราะพระองค์ทรงระลึกถึงฉันนั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพ่อแม่หรือใครก็ตาม และพระองค์ทรงรู้วิธีที่จะช่วยเราได้ในทุกเรื่อง แม้ในเรื่องความกลัวโดยไม่มีเหตุของเรา
รางวัลแสนอัศจรรย์
คุณครูโดเนแลนเป็นนักอ่านมาตลอด จนวันหนึ่งเธอก็ได้ค่าตอบแทนจากสิ่งนี้ เธอกำลังวางแผนเดินทางและอ่านนโยบายประกันการเดินทางอันยาวเหยียด เมื่อถึงหน้า 7 เธอพบรางวัลแสนมหัศจรรย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน “จ่ายเมื่ออ่าน” บริษัทจะมอบเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้คนแรกที่อ่านสัญญามาจนถึงหน้านี้ พวกเขายังบริจาคเงินหลายพันดอลลาร์ให้โรงเรียนในชุมชนของโดเนแลน เพื่อการอ่านของเด็กๆ เธอเล่าว่า “ฉันเป็นหนอนหนังสือที่อ่านสัญญาเสมอ ฉันจึงแปลกใจมากกว่าใคร”
ผู้เขียนสดุดีปรารถนาให้ดวงตาของท่านเปิดเพื่อจะ “เห็นสิ่งมหัศจรรย์” ของพระเจ้า (สดด.119:8) ท่านมีความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงต้องการเป็นที่รู้จัก ท่านจึงปรารถนาจะใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น ท่านอยากรู้มากขึ้นว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นไร พระองค์ได้ประทานสิ่งใดมาแล้วบ้าง และจะติดตามพระองค์ใกล้ชิดขึ้นได้อย่างไร (ข้อ 24, 98) ท่านเขียนว่า “แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ” (ข้อ 97)
เราเองก็มีสิทธิพิเศษที่จะใช้เวลาครุ่นคิดถึงพระเจ้า พระลักษณะ และพระบัญญัติของพระองค์ เพื่อเรียนรู้และเติบโตใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น พระเจ้าทรงปรารถนาจะสอนเรา นำเราและเปิดใจของเราให้รู้จักพระองค์ เมื่อเราแสวงหาพระองค์ พระองค์ประทานรางวัลที่ทำให้เราประหลาดใจยิ่งขึ้นถึงสิ่งที่พระองค์เป็น และประทานความชื่นชมยินดีในการสถิตอยู่ของพระองค์