ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

ฤทธิ์อำนาจแห่งพระวจนะ

ในวันคริสต์มาสอีฟปี 1968 นักบินอวกาศอพอลโล 8 ซึ่งได้แก่ แฟรงค์ บอร์-แมน, จิม โลเวลล์ และบิล แอนเดอส์ ได้กลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ ขณะที่พวกเขาโคจรรอบดวงจันทร์ 10 รอบนั้น พวกเขาได้ส่งภาพดวงจันทร์และโลกกลับมา พวกเขาได้ผลัดกันอ่านปฐมกาลบทที่ 1 ในระหว่างการถ่ายทอดสด ที่งานฉลองครบรอบ 40 ปีบอร์แมนกล่าวว่า “เราได้รับแจ้งว่าในวันคริสต์มาสอีฟนั้นจะมีผู้ชมที่คอยรับฟังเสียงของมนุษย์จำนวนมากที่สุด และคำแนะนำเดียวที่เราได้รับจากนาซ่าคือ จงทำสิ่งที่เหมาะสม” ข้อพระคัมภีร์ที่นักบินอวกาศอพอลโล 8 อ่าน ยังคงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความจริงลงไปในใจของผู้ที่เปิดใจรับฟังบันทึกแห่งประวัติศาสตร์นี้

พระเจ้าตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต” (อสย.55:3) พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราหันกลับจากบาปและรับพระเมตตาและการอภัยจากพระองค์ ผ่านข้อเสนอเรื่องการช่วยให้รอดที่ให้กับเราเปล่าๆ (ข้อ 6-7) พระองค์ทรงประกาศถึงสิทธิอำนาจแห่งพระดำริและพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งมโหฬารเกินกว่าเราจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง (ข้อ 8-9) กระนั้นพระเจ้ายังคงประทานโอกาสให้เราแบ่งปันพระวจนะของพระองค์ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต โดยชี้ไปที่พระเยซู และยืนยันว่าพระองค์จะรับผิดชอบต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณของประชากรของพระองค์ (ข้อ 10-13)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยเราในการแบ่งปันพระกิตติคุณ ในขณะที่พระบิดาทรงทำให้พระสัญญาทั้งสิ้นสำเร็จลงตามแผนการและจังหวะเวลาอันสมบูรณ์ของพระองค์

หนุนใจซึ่งกันและกัน

หลังจากอีกสัปดาห์หนึ่งที่ฉันรู้สึกถูกคุกคามหนักจากปัญหาสุขภาพที่มีเข้ามาอีก ฉันทรุดตัวลงบนโซฟา ไม่อยากคิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากคุยกับใคร แม้แต่อธิษฐานก็ทำไม่ได้ ขณะที่เปิดทีวีดู ความท้อใจและความสงสัยทำให้ฉันหดหู่มาก ฉันดูโฆษณาหนึ่งที่มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆกำลังคุยกับน้องชายว่า “น้องเก่งที่สุด” ขณะที่เธอยังคงชมน้องชายต่อไปเรื่อยๆเขาก็เริ่มยิ้มออก และฉันก็เช่นเดียวกัน

คนของพระเจ้ามักจะต่อสู้กับความท้อใจและความสงสัยอยู่เสมอ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูอ้างอิงจากพระธรรมสดุดี 95 ที่ยืนยันว่า เราได้ยินเสียงของพระเจ้าได้ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเตือนผู้เชื่อในพระเยซูไม่ให้ทำผิดพลาดเหมือนชาวอิสราเอลขณะเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (ฮบ.3:7-11) ท่านเขียนว่า “ดูก่อน ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ คือใจซึ่งพาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน” (ข้อ 12-13)

ด้วยความช่วยเหลือแห่งความหวังที่มั่นคงปลอดภัยในพระคริสต์ เราจะได้สัมผัสกับแหล่งพลังงานสำรองที่ให้กำลังเพื่อช่วยเราอดทนฟันฝ่าไปได้ คือการหนุนใจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มผู้เชื่อ (ข้อ 13) เมื่อผู้เชื่อคนหนึ่งสงสัย ผู้เชื่ออีกคนสามารถยืนยันถึงความจริงและถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ในขณะที่พระเจ้าทรงเสริมกำลังเราผู้เป็นคนของพระองค์ เราเองก็สามารถมอบกำลังแห่งการหนุนใจให้แก่กันและกันได้

ความหวังที่ยั่งยืน

แพทย์วินิจฉัยว่าโซโลม่อนวัย 4 ขวบป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมชนิดร้ายแรง หนึ่งปีต่อมาคณะแพทย์หารือกับครอบครัวเรื่องการใช้รถเข็น แต่โซโลม่อนคัดค้านว่าเขาไม่ต้องการใช้มัน ครอบครัวและเพื่อนๆอธิษฐานเผื่อและระดมทุนสำหรับจัดหาสุนัขบริการที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อช่วยชะลอการนั่งรถเข็นของเขาออกไปให้นานที่สุด องค์กรชื่อเทลส์ฟอร์ไลฟ์ที่ฝึกแคลลี่สุนัขบริการของฉัน กำลังจัดเตรียมเจ้าวาฟเฟิ้ลเพื่อช่วยโซโลม่อน

แม้ว่าโซโลม่อนจะยอมรับการรักษา แต่บางวันก็ยากมากที่จะผ่านไปได้ เขาจึงมักระบายออกมาเป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในวันที่ยากลำบากวันหนึ่ง โซโลม่อนกอดแม่ไว้และพูดว่า “ผมมีความสุขที่บนสวรรค์ไม่มีโรคดูเชน”

ความเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ แต่เช่นเดียวกับโซโลม่อนเรามีความหวังที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถเสริมกำลังความเชื่อมั่นของเราในวันอันยากลำบากที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าจะทรงประทาน “ท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (วว.21:1) พระผู้สร้างและพระผู้ช่วยของเราจะ “ทรงสถิต” ท่ามกลางเราโดยให้เราได้อยู่ในบ้านของพระองค์ (ข้อ 3) พระองค์จะทรง “เช็ดน้ำตาทุกหยด” จากตาของเรา “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป” (ข้อ 4) เมื่อเรารู้สึกว่าการรอคอยนั้น “ยากเกินไป” หรือ “นานเกินไป” เรามีสันติสุขได้เพราะพระสัญญาของพระเจ้าจะสำเร็จอย่างแน่นอน

เติบโตไปด้วยกัน

มารีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงาน เธอแทบไม่เคยขาดการไปคริสตจักรหรือศึกษาพระคัมภีร์ ทุกอาทิตย์เธอจะนั่งรถประจำทางไปกลับคริสตจักรกับลูกทั้งห้าคน ทั้งยังช่วยจัดเตรียมและทำความสะอาดสถานที่

ในวันอาทิตย์หนึ่ง ศิษยาภิบาลบอกมารีว่ามีสมาชิกบางคนได้ถวายของขวัญเพื่อครอบครัวของเธอ สามีภรรยาคู่หนึ่งจัดเตรียมบ้านโดยลดค่าเช่าให้ อีกคู่หนึ่งเสนองานพร้อมสวัสดิการที่ร้านกาแฟของพวกเขา ชายหนุ่มอีกคนมอบรถคันเก่าที่เขาซ่อมขึ้นใหม่และสัญญาว่าจะเป็นช่างซ่อมรถประจำตัวให้เธอ มารีขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชื่นชมยินดีที่ได้อยู่ในชุมชนที่อุทิศตนในการรับใช้พระเจ้าและรับใช้ซึ่งกันและกัน

แม้เราทุกคนจะไม่สามารถหยิบยื่นน้ำใจได้เท่าครอบครัวคริสตจักรของมารี แต่ประชากรของพระเจ้าถูกกำหนดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณบรรยายถึงผู้เชื่อในพระเยซูว่า “ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม” (กจ.2:42) เมื่อนำสิ่งต่างๆที่มีมารวมกัน เราก็ร่วมกันช่วยเหลือผู้คนที่ขัดสนเหมือนที่ผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรกทำ (ข้อ 44-45) เราดูแลซึ่งกันและกันได้เมื่อเรายิ่งติดสนิทกับพระเจ้าและสนิทสนมกับผู้อื่น การได้เห็นความรักของพระเจ้าสำแดงผ่านสิ่งที่ประชากรของพระองค์ทำนั้นจะนำผู้อื่นมาถึงความสัมพันธ์แห่งความรอดในพระเยซู (ข้อ 46-47)

เรารับใช้ผู้อื่นได้ด้วยรอยยิ้มและการทำดี เรามอบความช่วยเหลือทางการเงินและคำอธิษฐานได้ ขณะที่พระเจ้าทรงทำงานภายในเราและผ่านทางเรา เราก็จะเติบโตไปด้วยกัน

เหตุผลมากมายที่จะชื่นชมยินดี

เมื่อเกล็นด้าเดินเข้าไปในพื้นที่ส่วนกลางของคริสตจักร ความชื่นชมยินดีของเธอที่สัมผัสได้ก็เต็มห้องนั้น เธอเพิ่งฟื้นตัวจากขั้นตอนการรักษาที่ยากลำบาก เมื่อเธอเข้ามาหาฉันเพื่อทักทายตามปกติหลังเลิกคริสตจักร ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับช่วงเวลาหลายปีที่เธอร้องไห้ไปกับฉัน เตือนฉันอย่างอ่อนโยนและให้กำลังใจ แม้กระทั่งการขอให้ฉันยกโทษเมื่อเธอคิดว่าได้ทำร้ายความรู้สึกของฉัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เธอมักชวนฉันให้เล่าถึงปัญหาที่มีอย่างตรงไปตรงมา และเตือนฉันว่าเรามีเหตุผลมากมายที่จะสรรเสริญพระเจ้า

มาม่าเกล็นด้า (ตามที่เธอให้ฉันเรียก) กอดฉันอย่างอ่อนโยน “สวัสดีลูก” เธอกล่าว เราสนุกกับการสนทนาสั้นๆและอธิษฐานด้วยกัน จากนั้นเธอก็แยกไปโดยฮัมเพลงเบาๆ เช่นทุกครั้ง และมองหาที่จะเป็นพรแก่คนอื่นๆ

ในสดุดี 64 ดาวิดเข้าหาพระเจ้าอย่างกล้าหาญด้วยการร้องทุกข์และความกังวล (ข้อ 1) ท่านแสดงความไม่พอใจเนื่องด้วยความชั่วร้ายที่เห็นอยู่รอบตัว (ข้อ 2-6) ท่านไม่ได้สูญเสียความเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าหรือในพระสัญญาที่ไว้วางใจได้ของพระองค์ (ข้อ 7-9) ท่านรู้ว่าวันหนึ่ง “คนชอบธรรม[จะ]เปรมปรีดิ์ในพระเจ้า และลี้ภัยอยู่ในพระองค์ ...คนที่เที่ยงธรรมในจิตใจ[จะ]อวดอ้างพระองค์” (ข้อ 10)

ขณะที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูนั้น เราจะได้เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เราจะมีเหตุผลเสมอในการชื่นชมยินดีกับทุกๆวันที่พระเจ้าทรงสร้าง

โศกเศร้าและขอบพระคุณ

หลังจากที่แม่ฉันเสียชีวิต หนึ่งในเพื่อนคนไข้โรคมะเร็งของเธอเข้ามาหาฉันและพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่เธอดีกับฉันมาก ฉันเสียใจที่เธอตาย...แทนที่จะเป็นฉัน”

ฉันตอบไปว่า “แม่ของฉันรักคุณนะ พวกเราอธิษฐานขอพระเจ้าให้คุณได้เห็นลูกชายคุณเติบโต” ฉันจับมือเธอไว้ ร้องไห้กับเธอและขอให้พระเจ้าช่วยให้เธอเสียใจอย่างสงบ และฉันขอบคุณพระองค์สำหรับอาการทุเลาของเธอที่ทำให้เธอได้มอบความรักให้สามีและลูกๆที่กำลังเติบโตต่อไป

พระคัมภีร์เผยให้เห็นความซับซ้อนของความโศกเศร้าเมื่อโยบสูญเสียเกือบทุกอย่าง รวมทั้งลูกทุกคนของท่าน โยบโศกเศร้าและ “กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ1:20) ท่านกล่าวด้วยหัวใจแตกสลาย การยอมจำนนด้วยความหวัง และการขอบพระคุณว่า “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21) แม้ในภายหลังโยบอาจต้องต่อสู้อย่างหนักในความเศร้าโศกเสียใจและในการที่พระเจ้าสร้างชีวิตท่านขึ้นใหม่ แต่ในชั่วขณะนี้ท่านยอมรับและยังชื่นชมยินดีในสิทธิอำนาจของพระเจ้าเหนือสถานการณ์ทั้งดีและร้าย

พระเจ้าทรงเข้าใจหลากหลายวิธีที่เราใช้จัดการและต่อสู้กับอารมณ์ของเรา พระองค์เชื้อเชิญให้เราโศกเศร้าอย่างจริงใจด้วยความอ่อนแอ แม้ในเวลาที่ความเศร้าโศกดูไม่มีที่สิ้นสุดและเกินจะรับไหว พระเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนและจะไม่เปลี่ยนไป โดยพระสัญญานี้ พระเจ้าทรงปลอบประโลมเราและเสริมกำลังให้เรามีใจขอบพระคุณสำหรับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์

พบกันอีกในสวรรค์

ขณะที่กำลังเขียนคำประกาศข่าวมรณกรรมของแม่ ฉันรู้สึกว่าคำว่า ตาย ดูเป็นจุดจบมากเกินไปเมื่อเทียบกับความหวังที่ฉันมีในพระสัญญาที่ว่าเราจะพบกันอีกในสวรรค์ ดังนั้นฉันจึงเขียนว่า “แม่ได้รับการต้อนรับสู่อ้อมแขนของพระเยซู” แต่ในบางวันฉันยังรู้สึกเศร้าเมื่อดูรูปครอบครัวในปัจจุบันที่ไม่มีแม่อยู่ด้วย กระนั้นเมื่อไม่นานมานี้ฉันพบจิตรกรคนหนึ่งที่สร้างสรรค์ภาพครอบครัวโดยรวมผู้ที่เราสูญเสียไว้ในภาพ ศิลปินใช้รูปของคนที่คุณรักซึ่งจากไปแล้วและวาดภาพพวกเขาไว้ในภาพครอบครัว ด้วยฝีแปรงจากปลายพู่กันศิลปินได้แสดงให้เห็นถึงพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องการพบกันอีกในสวรรค์ ฉันหลั่งน้ำตาด้วยความปีติเมื่อคิดถึงการได้เห็นแม่ยิ้มอยู่เคียงข้างฉันอีกครั้ง

อัครทูตเปาโลยืนยันว่าผู้เชื่อในพระเยซูไม่ต้องเป็นทุกข์โศกเศร้า “อย่างคนอื่นๆ” (1 ธส.4:13) “เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้นพระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์” (ข้อ 14) ท่านรับรองการเสด็จมาครั้งที่สองและประกาศว่าผู้เชื่อทุกคนจะพบกับพระเยซูอีก (ข้อ 17)

พระสัญญาของพระเจ้าถึงการพบกันอีกในสวรรค์ช่วยปลอบโยนเราได้ เมื่อเราทุกข์โศกกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักผู้ซึ่งวางใจในพระเยซู พระสัญญาถึงอนาคตที่เราจะได้อยู่กับองค์กษัตริย์ผู้ฟื้นพระชนม์ยังได้ให้ความหวังอันถาวรเป็นนิตย์เมื่อเราได้เผชิญกับความเป็นอมตะของเรา จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูเสด็จมาหรือทรงเรียกเรากลับบ้าน

หยั่งรากในความรัก

ฉันมาถึงศูนย์ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อทำหน้าที่ดูแลแม่ที่รักษาตัวอยู่ ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและกลัว ฉันได้ทิ้งครอบครัวและกลุ่มคนที่คอยให้ความช่วยเหลือไว้เบื้องหลังไกลกว่า 1,200 กิโลเมตร ทว่าก่อนที่ฉันจะยกกระเป๋าเดินทางไปเก็บ แฟรงค์ผู้มีรอยยิ้มกว้างก็เสนอตัวที่จะช่วย เมื่อเรามาถึงชั้นหกฉันก็ตั้งใจไปพบลอรี่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นผู้คอยดูแลในระหว่างที่เขารับการรักษา ไม่ช้าทั้งคู่ก็กลายเป็นเหมือนคนในครอบครัวเมื่อเราพึ่งพาพระเจ้าและพึ่งพากันและกัน เราหัวเราะ ระบายความรู้สึก ร้องไห้และอธิษฐานด้วยกัน แม้เราต่างรู้สึกแปลกที่แปลกทาง แต่ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าและต่อกันและกัน ทำให้เราหยั่งรากในความรักเมื่อเราช่วยเหลือกัน

เมื่อรูธให้คำมั่นว่าจะดูแลนาโอมีแม่สามี เธอได้ละทิ้งความคุ้นเคยที่มั่นคงปลอดภัยไว้เบื้องหลัง รูธ “ออกเดินตามหลังคนเกี่ยวเพื่อคอยเก็บข้าวตก” (นรธ.2:3) คนใช้ผู้คอยควบคุมบอกโบอาสเจ้าของที่ดินว่านางรูธ “เข้าไปในทุ่งนา” และ “ยังคง” ทำงาน “เว้นแต่ได้พักหน่อยหนึ่งที่เรือน” (ข้อ 7) รูธได้พบสถานที่ปลอดภัยซึ่งมีผู้คนที่เต็มใจจะดูแลเธอในขณะที่เธอดูแลนาโอมี (ข้อ 8-9) และพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่นางรูธและนาโอมีผ่านความเอื้อเฟื้อของโบอาส (ข้อ 14-16)

สถานการณ์ชีวิตอาจเตรียมทางไปสู่สถานที่ที่เราไม่คาดคิดซึ่งห่างไกลจากพื้นที่ปลอดภัยของเรา เมื่อเรายังคงความสัมพันธ์กับพระเจ้าและต่อกันและกัน พระองค์จะทรงช่วยเราให้หยั่งรากลึกในความรักเมื่อเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

คนพเนจรที่ส่องสว่าง

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิปี 2020 นักเล่นกระดานโต้คลื่นได้โต้คลื่นที่เรืองแสงไปตามชายฝั่งของเมืองซานดิเอโก การแสดงแสงสีเหล่านี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่าแพลงก์ตอนพืช ซึ่งมาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า “คนเร่ร่อน” หรือ “คนพเนจร” ในช่วงกลางวันสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะทำให้กระแสน้ำเป็นสีแดง และมันจะดูดจับแสงอาทิตย์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานเคมี เมื่อถูกรบกวนในความมืดมันจะสร้างแสงสีน้ำเงินขึ้น

ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นพลเมืองสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับสาหร่ายสีแดง คือใช้ชีวิตเหมือนคนที่ร่อนเร่พเนจรไปในโลก เมื่อสถานการณ์ที่ยากลำบากเข้ามากระทบแผนที่วางไว้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานอำนาจให้เราตอบสนองเช่นเดียวกับพระเยซูผู้เป็นแสงสว่างของโลก เพื่อเราจะสะท้อนพระลักษณะของพระองค์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่าความสนิทสนมที่เรามีกับพระคริสต์และความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระองค์ (ฟป.3:8-9) ชีวิตของเปาโลพิสูจน์ให้เห็นว่าการรู้จักพระเยซูและฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นคืนพระชนม์นั้นจะเปลี่ยนแปลงเรา และส่งผลต่อวิธีการดำเนินชีวิตและการตอบสนองของเราเมื่อมีการทดลองเข้ามา (ข้อ 10-16)

เมื่อเราใช้เวลากับพระบุตรของพระเจ้าทุกวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความจริงที่จำเป็นให้กับเรา เพื่อเราจะเผชิญความท้าทายทุกอย่างในโลกนี้ได้ด้วยท่าทีที่สะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ (ข้อ 17-21) เราสามารถเป็นไฟนำทางแห่งความรักและความหวังของพระเจ้าที่ตัดผ่านความมืด จนถึงวันที่พระองค์ทรงเรียกเรากลับบ้านหรือวันที่ทรงเสด็จกลับมาอีกครั้ง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา