ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

เติบโตไปด้วยกัน

มารีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงาน เธอแทบไม่เคยขาดการไปคริสตจักรหรือศึกษาพระคัมภีร์ ทุกอาทิตย์เธอจะนั่งรถประจำทางไปกลับคริสตจักรกับลูกทั้งห้าคน ทั้งยังช่วยจัดเตรียมและทำความสะอาดสถานที่

ในวันอาทิตย์หนึ่ง ศิษยาภิบาลบอกมารีว่ามีสมาชิกบางคนได้ถวายของขวัญเพื่อครอบครัวของเธอ สามีภรรยาคู่หนึ่งจัดเตรียมบ้านโดยลดค่าเช่าให้ อีกคู่หนึ่งเสนองานพร้อมสวัสดิการที่ร้านกาแฟของพวกเขา ชายหนุ่มอีกคนมอบรถคันเก่าที่เขาซ่อมขึ้นใหม่และสัญญาว่าจะเป็นช่างซ่อมรถประจำตัวให้เธอ มารีขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชื่นชมยินดีที่ได้อยู่ในชุมชนที่อุทิศตนในการรับใช้พระเจ้าและรับใช้ซึ่งกันและกัน

แม้เราทุกคนจะไม่สามารถหยิบยื่นน้ำใจได้เท่าครอบครัวคริสตจักรของมารี แต่ประชากรของพระเจ้าถูกกำหนดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณบรรยายถึงผู้เชื่อในพระเยซูว่า “ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม” (กจ.2:42) เมื่อนำสิ่งต่างๆที่มีมารวมกัน เราก็ร่วมกันช่วยเหลือผู้คนที่ขัดสนเหมือนที่ผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรกทำ (ข้อ 44-45) เราดูแลซึ่งกันและกันได้เมื่อเรายิ่งติดสนิทกับพระเจ้าและสนิทสนมกับผู้อื่น การได้เห็นความรักของพระเจ้าสำแดงผ่านสิ่งที่ประชากรของพระองค์ทำนั้นจะนำผู้อื่นมาถึงความสัมพันธ์แห่งความรอดในพระเยซู (ข้อ 46-47)

เรารับใช้ผู้อื่นได้ด้วยรอยยิ้มและการทำดี เรามอบความช่วยเหลือทางการเงินและคำอธิษฐานได้ ขณะที่พระเจ้าทรงทำงานภายในเราและผ่านทางเรา เราก็จะเติบโตไปด้วยกัน

เหตุผลมากมายที่จะชื่นชมยินดี

เมื่อเกล็นด้าเดินเข้าไปในพื้นที่ส่วนกลางของคริสตจักร ความชื่นชมยินดีของเธอที่สัมผัสได้ก็เต็มห้องนั้น เธอเพิ่งฟื้นตัวจากขั้นตอนการรักษาที่ยากลำบาก เมื่อเธอเข้ามาหาฉันเพื่อทักทายตามปกติหลังเลิกคริสตจักร ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับช่วงเวลาหลายปีที่เธอร้องไห้ไปกับฉัน เตือนฉันอย่างอ่อนโยนและให้กำลังใจ แม้กระทั่งการขอให้ฉันยกโทษเมื่อเธอคิดว่าได้ทำร้ายความรู้สึกของฉัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เธอมักชวนฉันให้เล่าถึงปัญหาที่มีอย่างตรงไปตรงมา และเตือนฉันว่าเรามีเหตุผลมากมายที่จะสรรเสริญพระเจ้า

มาม่าเกล็นด้า (ตามที่เธอให้ฉันเรียก) กอดฉันอย่างอ่อนโยน “สวัสดีลูก” เธอกล่าว เราสนุกกับการสนทนาสั้นๆและอธิษฐานด้วยกัน จากนั้นเธอก็แยกไปโดยฮัมเพลงเบาๆ เช่นทุกครั้ง และมองหาที่จะเป็นพรแก่คนอื่นๆ

ในสดุดี 64 ดาวิดเข้าหาพระเจ้าอย่างกล้าหาญด้วยการร้องทุกข์และความกังวล (ข้อ 1) ท่านแสดงความไม่พอใจเนื่องด้วยความชั่วร้ายที่เห็นอยู่รอบตัว (ข้อ 2-6) ท่านไม่ได้สูญเสียความเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าหรือในพระสัญญาที่ไว้วางใจได้ของพระองค์ (ข้อ 7-9) ท่านรู้ว่าวันหนึ่ง “คนชอบธรรม[จะ]เปรมปรีดิ์ในพระเจ้า และลี้ภัยอยู่ในพระองค์ ...คนที่เที่ยงธรรมในจิตใจ[จะ]อวดอ้างพระองค์” (ข้อ 10)

ขณะที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูนั้น เราจะได้เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เราจะมีเหตุผลเสมอในการชื่นชมยินดีกับทุกๆวันที่พระเจ้าทรงสร้าง

โศกเศร้าและขอบพระคุณ

หลังจากที่แม่ฉันเสียชีวิต หนึ่งในเพื่อนคนไข้โรคมะเร็งของเธอเข้ามาหาฉันและพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่เธอดีกับฉันมาก ฉันเสียใจที่เธอตาย...แทนที่จะเป็นฉัน”

ฉันตอบไปว่า “แม่ของฉันรักคุณนะ พวกเราอธิษฐานขอพระเจ้าให้คุณได้เห็นลูกชายคุณเติบโต” ฉันจับมือเธอไว้ ร้องไห้กับเธอและขอให้พระเจ้าช่วยให้เธอเสียใจอย่างสงบ และฉันขอบคุณพระองค์สำหรับอาการทุเลาของเธอที่ทำให้เธอได้มอบความรักให้สามีและลูกๆที่กำลังเติบโตต่อไป

พระคัมภีร์เผยให้เห็นความซับซ้อนของความโศกเศร้าเมื่อโยบสูญเสียเกือบทุกอย่าง รวมทั้งลูกทุกคนของท่าน โยบโศกเศร้าและ “กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ1:20) ท่านกล่าวด้วยหัวใจแตกสลาย การยอมจำนนด้วยความหวัง และการขอบพระคุณว่า “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21) แม้ในภายหลังโยบอาจต้องต่อสู้อย่างหนักในความเศร้าโศกเสียใจและในการที่พระเจ้าสร้างชีวิตท่านขึ้นใหม่ แต่ในชั่วขณะนี้ท่านยอมรับและยังชื่นชมยินดีในสิทธิอำนาจของพระเจ้าเหนือสถานการณ์ทั้งดีและร้าย

พระเจ้าทรงเข้าใจหลากหลายวิธีที่เราใช้จัดการและต่อสู้กับอารมณ์ของเรา พระองค์เชื้อเชิญให้เราโศกเศร้าอย่างจริงใจด้วยความอ่อนแอ แม้ในเวลาที่ความเศร้าโศกดูไม่มีที่สิ้นสุดและเกินจะรับไหว พระเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนและจะไม่เปลี่ยนไป โดยพระสัญญานี้ พระเจ้าทรงปลอบประโลมเราและเสริมกำลังให้เรามีใจขอบพระคุณสำหรับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์

พบกันอีกในสวรรค์

ขณะที่กำลังเขียนคำประกาศข่าวมรณกรรมของแม่ ฉันรู้สึกว่าคำว่า ตาย ดูเป็นจุดจบมากเกินไปเมื่อเทียบกับความหวังที่ฉันมีในพระสัญญาที่ว่าเราจะพบกันอีกในสวรรค์ ดังนั้นฉันจึงเขียนว่า “แม่ได้รับการต้อนรับสู่อ้อมแขนของพระเยซู” แต่ในบางวันฉันยังรู้สึกเศร้าเมื่อดูรูปครอบครัวในปัจจุบันที่ไม่มีแม่อยู่ด้วย กระนั้นเมื่อไม่นานมานี้ฉันพบจิตรกรคนหนึ่งที่สร้างสรรค์ภาพครอบครัวโดยรวมผู้ที่เราสูญเสียไว้ในภาพ ศิลปินใช้รูปของคนที่คุณรักซึ่งจากไปแล้วและวาดภาพพวกเขาไว้ในภาพครอบครัว ด้วยฝีแปรงจากปลายพู่กันศิลปินได้แสดงให้เห็นถึงพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องการพบกันอีกในสวรรค์ ฉันหลั่งน้ำตาด้วยความปีติเมื่อคิดถึงการได้เห็นแม่ยิ้มอยู่เคียงข้างฉันอีกครั้ง

อัครทูตเปาโลยืนยันว่าผู้เชื่อในพระเยซูไม่ต้องเป็นทุกข์โศกเศร้า “อย่างคนอื่นๆ” (1 ธส.4:13) “เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้นพระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์” (ข้อ 14) ท่านรับรองการเสด็จมาครั้งที่สองและประกาศว่าผู้เชื่อทุกคนจะพบกับพระเยซูอีก (ข้อ 17)

พระสัญญาของพระเจ้าถึงการพบกันอีกในสวรรค์ช่วยปลอบโยนเราได้ เมื่อเราทุกข์โศกกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักผู้ซึ่งวางใจในพระเยซู พระสัญญาถึงอนาคตที่เราจะได้อยู่กับองค์กษัตริย์ผู้ฟื้นพระชนม์ยังได้ให้ความหวังอันถาวรเป็นนิตย์เมื่อเราได้เผชิญกับความเป็นอมตะของเรา จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูเสด็จมาหรือทรงเรียกเรากลับบ้าน

หยั่งรากในความรัก

ฉันมาถึงศูนย์ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อทำหน้าที่ดูแลแม่ที่รักษาตัวอยู่ ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและกลัว ฉันได้ทิ้งครอบครัวและกลุ่มคนที่คอยให้ความช่วยเหลือไว้เบื้องหลังไกลกว่า 1,200 กิโลเมตร ทว่าก่อนที่ฉันจะยกกระเป๋าเดินทางไปเก็บ แฟรงค์ผู้มีรอยยิ้มกว้างก็เสนอตัวที่จะช่วย เมื่อเรามาถึงชั้นหกฉันก็ตั้งใจไปพบลอรี่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นผู้คอยดูแลในระหว่างที่เขารับการรักษา ไม่ช้าทั้งคู่ก็กลายเป็นเหมือนคนในครอบครัวเมื่อเราพึ่งพาพระเจ้าและพึ่งพากันและกัน เราหัวเราะ ระบายความรู้สึก ร้องไห้และอธิษฐานด้วยกัน แม้เราต่างรู้สึกแปลกที่แปลกทาง แต่ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าและต่อกันและกัน ทำให้เราหยั่งรากในความรักเมื่อเราช่วยเหลือกัน

เมื่อรูธให้คำมั่นว่าจะดูแลนาโอมีแม่สามี เธอได้ละทิ้งความคุ้นเคยที่มั่นคงปลอดภัยไว้เบื้องหลัง รูธ “ออกเดินตามหลังคนเกี่ยวเพื่อคอยเก็บข้าวตก” (นรธ.2:3) คนใช้ผู้คอยควบคุมบอกโบอาสเจ้าของที่ดินว่านางรูธ “เข้าไปในทุ่งนา” และ “ยังคง” ทำงาน “เว้นแต่ได้พักหน่อยหนึ่งที่เรือน” (ข้อ 7) รูธได้พบสถานที่ปลอดภัยซึ่งมีผู้คนที่เต็มใจจะดูแลเธอในขณะที่เธอดูแลนาโอมี (ข้อ 8-9) และพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่นางรูธและนาโอมีผ่านความเอื้อเฟื้อของโบอาส (ข้อ 14-16)

สถานการณ์ชีวิตอาจเตรียมทางไปสู่สถานที่ที่เราไม่คาดคิดซึ่งห่างไกลจากพื้นที่ปลอดภัยของเรา เมื่อเรายังคงความสัมพันธ์กับพระเจ้าและต่อกันและกัน พระองค์จะทรงช่วยเราให้หยั่งรากลึกในความรักเมื่อเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

คนพเนจรที่ส่องสว่าง

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิปี 2020 นักเล่นกระดานโต้คลื่นได้โต้คลื่นที่เรืองแสงไปตามชายฝั่งของเมืองซานดิเอโก การแสดงแสงสีเหล่านี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่าแพลงก์ตอนพืช ซึ่งมาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า “คนเร่ร่อน” หรือ “คนพเนจร” ในช่วงกลางวันสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะทำให้กระแสน้ำเป็นสีแดง และมันจะดูดจับแสงอาทิตย์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานเคมี เมื่อถูกรบกวนในความมืดมันจะสร้างแสงสีน้ำเงินขึ้น

ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นพลเมืองสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับสาหร่ายสีแดง คือใช้ชีวิตเหมือนคนที่ร่อนเร่พเนจรไปในโลก เมื่อสถานการณ์ที่ยากลำบากเข้ามากระทบแผนที่วางไว้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานอำนาจให้เราตอบสนองเช่นเดียวกับพระเยซูผู้เป็นแสงสว่างของโลก เพื่อเราจะสะท้อนพระลักษณะของพระองค์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่าความสนิทสนมที่เรามีกับพระคริสต์และความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระองค์ (ฟป.3:8-9) ชีวิตของเปาโลพิสูจน์ให้เห็นว่าการรู้จักพระเยซูและฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นคืนพระชนม์นั้นจะเปลี่ยนแปลงเรา และส่งผลต่อวิธีการดำเนินชีวิตและการตอบสนองของเราเมื่อมีการทดลองเข้ามา (ข้อ 10-16)

เมื่อเราใช้เวลากับพระบุตรของพระเจ้าทุกวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความจริงที่จำเป็นให้กับเรา เพื่อเราจะเผชิญความท้าทายทุกอย่างในโลกนี้ได้ด้วยท่าทีที่สะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ (ข้อ 17-21) เราสามารถเป็นไฟนำทางแห่งความรักและความหวังของพระเจ้าที่ตัดผ่านความมืด จนถึงวันที่พระองค์ทรงเรียกเรากลับบ้านหรือวันที่ทรงเสด็จกลับมาอีกครั้ง

สิทธิพิเศษในการเป็นผู้ดูแล

ในระหว่างที่ไปพักร้อน ฉันกับสามีเดินไปตามชายหาดและสังเกตเห็นผืนทรายที่ล้อมรั้วชั่วคราวไว้เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ชายหนุ่มคนหนึ่งอธิบายว่าเขากับทีมอาสาสมัครทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อจะปกป้องรังไข่ของเต่าทะเลทุกรัง เมื่อลูกเต่าโผล่ออกจากรัง ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ที่นั่นจะเป็นอันตรายต่อลูกเต่าและลดโอกาสในการอยู่รอดของพวกมัน เขาบอกว่า “แม้เราพยายามถึงขนาดนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่ามีลูกเต่าที่ฟักออกมาเพียงหนึ่งในห้าพันตัวที่จะเติบโตไปจนเป็นตัวเต็มวัย” แต่ตัวเลขที่แสดงความหวังอันริบหรี่นี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ท้อแท้ ความร้อนรนที่จะทุ่มเทเพื่อช่วยเหลือลูกเต่านี้ ทำให้ฉันรู้สึกอยากที่จะให้ความสำคัญและปกป้องเต่าทะเลมากขึ้น ตอนนี้ฉันสวมจี้รูปเต่าทะเลที่เตือนฉันถึงความรับผิดชอบที่พระเจ้ามอบให้ฉันดูแลสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ได้จัดเตรียมที่อยู่ให้สัตว์แต่ละชนิดได้อาศัยและเติบโตอย่างสมบูรณ์ (ปฐมกาล 1:20-25) เมื่อพระเจ้าทรงสร้างผู้ที่ผดุงพระฉายของพระองค์นั้น พระองค์มีพระประสงค์ให้เรา “ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ข้อ 26) พระองค์ทรงช่วยให้เรารับใช้พระองค์ในฐานะผู้ดูแลที่มีความรับผิดชอบ โดยใช้สิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้ในการดูแลสิ่งทรงสร้างอันมากมายมหาศาล

เบ่งกล้ามแห่งความเชื่อ

ระหว่างเที่ยวชมสวนสัตว์ ฉันหยุดพักอยู่ใกล้กับจุดแสดงสลอธ เจ้าสัตว์ตัวนี้ห้อยตัวกลับหัว มันดูพอใจที่จะอยู่นิ่งๆ ฉันถอนหายใจเพราะปัญหาสุขภาพทำให้ฉันทนทุกข์กับการต้องอยู่นิ่งๆ และปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำบางสิ่ง อะไรก็ได้ ฉันหงุดหงิดกับข้อจำกัดของตัวเองและรอคอยที่จะได้หลุดพ้นจากความรู้สึกอ่อนแอนี้ แต่ขณะที่เฝ้ามองเจ้าสลอธ ฉันสังเกตว่ามันเหยียดแขนข้างหนึ่งไปจับกิ่งไม้ใกล้ๆแล้วก็หยุดอีกครั้ง การอยู่นิ่งก็ต้องใช้พลัง หากฉันต้องการจะพึงพอใจกับการเคลื่อนไหวช้าๆ หรือการอยู่นิ่งเหมือนสลอธ ฉันจำเป็นต้องใช้มากกว่าพละกำลังอันน่าทึ่งของกล้ามเนื้อ ฉันจำเป็นต้องใช้พลังที่เหนือธรรมชาติ เพื่อจะวางใจพระเจ้าในทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าในชีวิต

ในสดุดี 46 ผู้เขียนประกาศว่าพระเจ้าไม่เพียงประทานกำลังแก่เรา พระองค์ทรงเป็นกำลังของเราด้วย (ข้อ 1) ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นรอบกายเรา “พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย” (ข้อ 7) ผู้เขียนสดุดีย้ำความจริงนี้ด้วยความมั่นใจ (ข้อ 11)

เช่นเดียวกับสลอธ การผจญภัยในแต่ละวันของเรามักจำเป็นต้องก้าวอย่างช้าๆ และมีช่วงเวลาที่ต้องนิ่งสงบแม้จะดูเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราวางใจในพระลักษณะอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า เราก็สามารถพึ่งพาในพระกำลังของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะทรงกำหนดแผนการหรือจังหวะก้าวเดินเช่นไรให้แก่เรา

แม้เราอาจยังต้องต่อสู้กับความทุกข์ยากหรือทนทุกข์กับการรอคอยต่อไป แต่พระเจ้ายังคงสถิตอยู่ด้วยอย่างสัตย์ซื่อ แม้ขณะที่เราไม่รู้สึกถึงความเข้มแข็ง พระองค์จะทรงช่วยเราเบ่งกล้ามแห่งความเชื่อของเรา

มหาสนิทในห้วงอวกาศ

เมื่อยานอีเกิลซึ่งเป็นยานสำหรับลงจอดดวงจันทร์ลูกของยานอะพอลโล 11 ได้ลงจอดเทียบที่ทะเลแห่งความเงียบสงบบนดวงจันทร์ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 นักบินอวกาศต้องใช้เวลาปรับสภาพจากการบินก่อนจะออกไปเหยียบผิวดวงจันทร์ นักบินอวกาศบัซซ์ อัลดริน ได้รับอนุญาตให้นำขนมปังกับน้ำองุ่นไปทำพิธีมหาสนิทด้วย หลังจากอ่านพระคัมภีร์ เขาได้ลิ้มรสอาหารมื้อแรกซึ่งเคยเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ต่อมาเขาเขียนว่า “ผมเทน้ำองุ่นลงในจอกที่โบสถ์ของผมให้มา ด้วยแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าโลกหกเท่า ทำให้น้ำองุ่นค่อยๆ ม้วนตัวไปตามขอบถ้วยอย่างงดงาม” ขณะที่อัลดรินชื่นชมยินดีกับมหาสนิทในห้วงอวกาศ สิ่งที่เขาทำประกาศถึงความเชื่อในการสละพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขนและยืนยันถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์

อัครทูตเปาโลหนุนใจเราให้ระลึกถึงครั้งที่พระเยซูทรงร่วมโต๊ะกับเหล่าสาวก “ในคืนที่เขาอายัดพระเยซูเจ้านั้น” (1 คร.11:23) พระคริสต์ทรงเปรียบพระกายซึ่งจะถูกปลงพระชนม์ในไม่ช้ากับขนมปัง (ข้อ 24) พระองค์ตรัสว่าน้ำองุ่นเล็งถึง “พันธสัญญาใหม่” ซึ่งรับรองถึงการอภัยและความรอดโดยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกบนกางเขน (ข้อ 25) ไม่ว่าเราจะรับมหาสนิทที่ใดหรือเวลาใด เราก็กำลังประกาศถึงความเชื่อวางใจในการสละพระชนม์ของพระเยซู และความหวังที่เรามีต่อพระสัญญาในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ (ข้อ 26)

ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด เราสามารถเฉลิมฉลองความเชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้ช่วยให้รอดแต่ผู้เดียวที่ทรงฟื้นคืนพระชนม์และจะเสด็จกลับมา ด้วยความมั่นใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา