พระเจ้าทรงมองเห็น เข้าใจ และห่วงใย
บางครั้งการอยู่กับโรคอ่อนเพลียเรื้อรังทำให้ต้องแยกตัวอยู่บ้านและรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันมักรู้สึกว่าถูกพระเจ้าและคนอื่นมองข้ามบ่อยๆ ฉันเผชิญกับความรู้สึกนั้นขณะเดินอธิษฐานตอนเช้ากับสุนัขบริการของฉัน ฉันสังเกตเห็นลูกบอลลูนอยู่ไกลๆ คนที่อยู่ในกระเช้าบอลลูนนั้นสามารถชื่นชมหมู่บ้านอันเงียบสงบของเราผ่านมุมสูงได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นฉัน ฉันถอนหายใจขณะที่เดินผ่านบ้านของพวกเพื่อนบ้าน จะมีกี่คนด้านหลังประตูที่ปิดเหล่านั้นที่รู้สึกถูกมองข้ามและไม่สำคัญ เมื่อฉันเดินเสร็จ ฉันทูลขอพระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้บอกเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้รู้ว่าฉันมองเห็นและห่วงใยพวกเขา และพระองค์ก็เช่นกัน
พระเจ้าทรงกำหนดจำนวนของดวงดาวที่พระองค์ได้ตรัสสั่งให้เกิดมีขึ้น พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง (สดด.147:4) ซึ่งเป็นการกระทำอันละเอียดอ่อนที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่ใจรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด พระกำลังซึ่งรวมถึงพระปัญญา ความเข้าใจและความรอบรู้ของพระองค์นั้น “วัดไม่ได้” ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ข้อ 5)
พระเจ้าทรงได้ยินทุกเสียงร้องไห้อันสิ้นหวังและมองเห็นน้ำตาทุกหยดที่หลั่งรินอย่างเงียบๆได้ชัดเจนเหมือนที่พระองค์ทรงมองเห็นทุกความสุขและการหัวเราะสุดเสียง พระองค์ทรงเห็นทั้งตอนที่เราสะดุดล้มและยืนหยัดด้วยชัยชนะ พระองค์ทรงเข้าใจความกลัวที่ลึกที่สุด ความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน และความฝันที่สุดขั้วของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าเราผ่านอะไรมาและเรากำลังจะไปไหน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามองเห็น ได้ยิน และรักเพื่อนบ้านของเรา เราก็วางใจได้ว่าพระองค์จะมองเห็น เข้าใจ และห่วงใยเราเช่นเดียวกัน
รักอย่างพระเยซู
ขณะกำลังรอรถไฟที่สถานีในแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตติดกระดุมนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ขณะที่เขากำลังมีปัญหากับการผูกเน็คไท หญิงสูงวัยคนหนึ่งบอกให้สามีของเธอช่วยเขา เมื่อชายสูงวัยค้อมตัวลงและเริ่มสอนชายหนุ่มผูกเน็คไท มีคนถ่ายรูปทั้งสามคนไว้ เมื่อรูปนี้ว่อนไปในอินเตอร์เน็ต มีผู้ชมมากมายแสดงความเห็นเกี่ยวกับพลังของการแสดงความเมตตา
สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การมีใจกรุณาต่อผู้อื่นสะท้อนถึงความห่วงใยอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่พระองค์ทรงสำแดงแก่คนอย่างเราทั้งหลาย นี่เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้สาวกของพระองค์สำแดงออกในการใช้ชีวิต คือ “ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” (1ยน.3:11) ยอห์นเปรียบการเกลียดชังพี่น้องเท่ากับการฆ่าคน (ข้อ 15) แล้วท่านก็ยกพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ (ข้อ 16)
ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงการเสียสละจนมากเกินควร แต่เพียงแค่เรายอมรับในคุณค่าของทุกคนที่ดำรงพระฉายของพระเจ้าโดยการให้ความสำคัญในความจำเป็นของพวกเขาก่อนของตัวเราเอง... ทุกๆวัน เมื่อเรามีความรักเป็นแรงผลักดัน เราจะสำแดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวออกมาในโอกาสต่างๆที่ดูเหมือนธรรมดา ในเวลาที่เราห่วงใยคนอื่นมากพอจนสังเกตเห็นความจำเป็นของเขาและช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้ เมื่อเรามองออกไปนอกพื้นที่ส่วนตัวของเรา และก้าวออกไปนอกพื้นที่ปลอดภัยของเราเพื่อรับใช้ผู้อื่นและเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ นั่นแหละคือการที่เรากำลังรักแบบพระเยซู
น้ำตาแห่งการสรรเสริญ
เมื่อหลายปีก่อนฉันต้องดูแลแม่ที่สถานพักฟื้น ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาสี่เดือนที่ทรงอนุญาตให้ฉันได้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลของแม่ และฉันทูลขอพระเจ้าทรงช่วยฉันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉันมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสรรเสริญพระเจ้าขณะที่ต้องปล้ำสู้กับอารมณ์ที่แปรปรวน แต่ขณะที่แม่ของฉันกำลังสิ้นลม ฉันร้องไห้ฟูมฟายและกระซิบว่า “ฮาเลลูยา” ฉันรู้สึกผิดตลอดหลายปีหลังจากนั้นที่สรรเสริญพระเจ้าในช่วงเวลาของการสูญเสีย จนกระทั่งฉันได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งในพระธรรมสดุดีบทที่ 30
ในบทเพลงของกษัตริย์ดาวิด “เพื่อถวายพระวิหาร” พระองค์นมัสการถึงความสัตย์ซื่อและพระเมตตาของพระเจ้า (ข้อ 1-3) และหนุนใจผู้อื่นให้ “สรรเสริญพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 4)จากนั้นดาวิดพิเคราะห์ถึงการที่พระเจ้าทรงผูกโยงความยากลำบากกับความหวังเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท (ข้อ 5) พระองค์รับรู้ถึงช่วงเวลาของความเศร้าและความยินดี เวลาที่รู้สึกปลอดภัยและท้อใจ (ข้อ 6-7) คำร้องทูลขอให้ทรงช่วยก็ยังคงตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในพระเจ้า (ข้อ 7-10) เสียงสะท้อนแห่งคำสรรเสริญของดาวิดถักทอผ่านช่วงเวลาของการร่ำไห้และเต้นรำ ผ่านความทุกข์และความยินดี (ข้อ 11) ในท่ามกลางความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของความทุกข์ลำบากที่ดาวิดต้องอดทนฟันฝ่าและรอคอยความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ประกาศว่าจะทรงถวายโมทนาแด่พระเจ้าเป็นนิตย์ (ข้อ 12)
เราร้องเหมือนดาวิดได้ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์” (ข้อ 12) ไม่ว่าเราจะมีความสุขหรือกำลังเจ็บปวด พระเจ้าช่วยให้เราประกาศถึงความไว้วางใจที่เรามีในพระองค์ได้ และนำเราให้นมัสการพระองค์ด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี และน้ำตาแห่งการสรรเสริญ
รู้จักเสียงของพระเจ้า
ภายหลังการวิจัยเป็นเวลาหลายปี นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ว่าสุนัขป่ามีเสียงจำเพาะที่ช่วยให้พวกมันสื่อสารระหว่างกัน นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้รหัสการวิเคราะห์เสียงพิเศษ ทำให้เธอตระหนักว่าเสียงหอนของสุนัขป่าที่ความดังและระดับเสียงต่างๆ ช่วยให้เธอระบุได้อย่างเจาะจงว่าเป็นสุนัขป่าตัวไหนด้วยความแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์
พระคัมภีร์ให้ตัวอย่างมากมายของการที่พระเจ้าทรงรู้จักเสียงจำเพาะของสรรพสิ่งทรงสร้างอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกชื่อโมเสสและตรัสกับท่านโดยตรง (อพย.3:4-6) ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสดุดีประกาศว่า “ข้าพระองค์ร้องทูลพระเจ้า และพระองค์ตรัสตอบข้าพระองค์จากภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์” (สดด.3:4) และอัครทูตเปาโลยังเน้นถึงคุณค่าของการที่คนของพระเจ้ารู้จักเสียงของพระองค์
เมื่อเชิญบรรดาผู้ปกครองชาวเอเฟซัสมา เปาโลกล่าวว่า บัดนี้พระวิญญาณ “พันผูก” ท่าน จึงจำเป็นต้องไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ท่านยืนยันคำมั่นว่าจะทำตามพระสุรเสียงของพระเจ้า แม้ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อท่านไปถึง (กจ. 20:22) อัครทูตเตือนว่าจะมี “สุนัขป่าอันร้าย” ที่จะ “เข้ามา...กล่าวผันแปรความจริง” แม้กระทั่งจากภายในคริสตจักร (ข้อ 29-30) จากนั้นท่านได้หนุนใจบรรดาผู้ปกครองให้พากเพียรในการแยกแยะและรู้จักความจริงของพระเจ้า (ข้อ 31)
ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนมีสิทธิพิเศษที่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงฟังและตอบเรา อีกทั้งเรายังมีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงช่วยเราให้รู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยคำในพระคัมภีร์เสมอ
ถอนรากความบาป
เมื่อฉันสังเกตเห็นกิ่งก้านเล็กๆแตกหน่ออยู่ข้างท่อน้ำในสวนข้างระเบียง ฉันเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ที่ดูไม่เป็นอันตราย วัชพืชเล็กๆจะทำอันตรายสนามหญ้าของเราได้อย่างไร แต่หลายสัปดาห์ต่อมา สิ่งรบกวนนี้ก็เติบใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าพุ่มไม้เล็กๆ และเริ่มเข้ามายึดครองสนามหญ้าของเรา กิ่งก้านของมันพันเลื้อยโค้งขึ้นไปเหนือทางเดินของเราและแตกแขนงในพื้นที่อื่นๆ ฉันต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของมันเป็นอันตราย ฉันจึงขอให้สามีช่วยขุดรากถอนโคนวัชพืชป่านี้ แล้วก็ปกป้องสวนของเราด้วยยาฆ่าวัชพืช
เมื่อเราเพิกเฉยหรือปฏิเสธการมีอยู่ของบาป บาปก็จะรุกคืบเข้าสู่ชีวิตของเราได้เหมือนกิ่งไม้ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนี้ที่เจริญเติบโตมากเกินไป และทำให้พื้นที่ส่วนตัวของเรามืดมน พระเจ้าของเราผู้ทรงปราศจากบาปนั้นไม่ทรงมีความมืดในพระองค์...เลย ในฐานะบุตรของพระองค์ เราได้รับการตระเตรียมและมอบหมายให้ต่อต้านบาปตรงหน้าเพื่อที่เราจะสามารถ “ดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง” (1 ยน.1:7) โดยการสารภาพบาปและกลับใจใหม่ เราก็ได้รับการอภัยและเป็นอิสระจากบาป (ข้อ 8-10) เพราะเรามีผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซู (2:1) ผู้ทรงเต็มพระทัยจ่ายราคาสูงสุดเพื่อบาปของเรา คือด้วยพระโลหิตของพระองค์ และ “ไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย” (ข้อ 2)
เมื่อพระเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นบาปนั้น เราอาจเลือกที่จะปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้ แต่เมื่อเราสารภาพและกลับใจใหม่ พระองค์จะทรงถอนรากความบาปที่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และผู้อื่นไปเสีย
การ์ดคำอธิษฐาน
ระหว่างงานประชุมด้านการเขียนซึ่งฉันรับหน้าที่เป็นหนึ่งในวิทยากร แทมมี่ยื่นโปสการ์ดซึ่งเขียนคำอธิษฐานด้วยลายมือไว้ด้านหลังให้กับฉัน เธออธิบายว่าได้อ่านประวัติวิทยากรทุกคนแล้วจึงเขียนคำอธิษฐานที่เจาะจงลงบนการ์ดแต่ละใบ เธออธิษฐานไปด้วยขณะมอบการ์ดเหล่านั้นให้เรา ฉันประทับใจรายละเอียดในข้อความส่วนตัวที่เธอเขียนให้ฉันและขอบคุณพระเจ้าที่หนุนใจฉันผ่านการกระทำของแทมมี่ จากนั้นฉันก็อธิษฐานเผื่อเธอกลับไป เมื่อฉันต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าระหว่างประชุม ฉันจะเอาโปสการ์ดออกมา พระเจ้าทรงฟื้นจิตวิญญาณของฉันขณะอ่านข้อความของแทมมี่อีกครั้ง
อัครทูตเปาโลตระหนักว่าคำอธิษฐานเพื่อผู้อื่นนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิต ท่านเตือนผู้เชื่อให้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ “กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ” (อฟ.6:12) ท่านหนุนใจให้อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและเจาะจง ขณะเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแทรกแซงเพื่อกันและกันด้วยสิ่งที่เราเรียกว่าการอธิษฐานวิงวอน เปาโลยังขอให้อธิษฐานอย่างกล้าหาญเพื่อท่านด้วย “อธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้ เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่อยู่” (ข้อ 19-20)
ขณะที่เราอธิษฐานเผื่อกันและกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงปลอบประโลมและเสริมความเชื่อมั่นให้แก่เรา พระองค์ยืนยันว่าเราต้องการพระองค์และกันและกัน ทรงรับรองกับเราว่าพระองค์ได้ยินทุกคำอธิษฐาน ไม่ว่าจะอธิษฐานอย่างเงียบๆ ออกเสียง หรือเขียนลงบนการ์ดอธิษฐาน และพระองค์ทรงตอบตามน้ำพระทัยอันดีเลิศของพระองค์
ฉันทำได้แค่จินตนาการ
ฉันนั่งลงบนม้านั่งในโบสถ์ข้างหลังผู้หญิงคนหนึ่งขณะที่ทีมนมัสการเริ่มบรรเลงเพลง “ฉันทำได้แค่จินตนาการ (I Can Only Imagine)” ฉันยกมือขึ้นสรรเสริญพระเจ้าขณะที่เสียงโซปราโนอันไพเราะของผู้หญิงประสานกับเสียงของฉัน หลังจากที่เธอบอกฉันเรื่องปัญหาสุขภาพ เราตัดสินใจที่จะอธิษฐานด้วยกันในระหว่างขั้นตอนการรักษามะเร็งที่กำลังจะมาถึง
ไม่กี่เดือนต่อมา หลุยส์บอกฉันว่าเธอกลัวการตาย ฉันเอนตัวลงที่เตียงของเธอในโรงพยาบาล วางศีรษะลงข้างๆเธอ กระซิบคำอธิษฐานและร้องเพลงของเราเบาๆ ฉันทำได้แค่จินตนาการว่าหลุยส์รู้สึกอย่างไรเมื่อเธอได้ไปนมัสการพระเยซูหน้าต่อหน้าในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น
อัครทูตเปาโลให้ความมั่นใจซึ่งปลอบประโลมใจต่อผู้อ่านของท่านที่กำลังเผชิญกับความตาย (2 คร.5:1) ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในอีกด้านของชีวิตนิรันดร์คือในโลกนี้อาจทำให้เกิดการคร่ำครวญ แต่ความหวังของเราในการมีชีวิตบนสวรรค์อยู่เป็นนิรันดร์กับพระเยซูยังคงมั่นคง (ข้อ 2-4) แม้พระเจ้าจะสร้างเราให้ปรารถนาการมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ (ข้อ 5-6) แต่พระสัญญาของพระองค์นั้นมีไว้เพื่อนำเราในการดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ในตอนนี้ด้วย (ข้อ 7-10)
เมื่อเราใช้ชีวิตเพื่อทำให้พระเยซูทรงพอพระทัย ในขณะที่รอคอยให้พระองค์เสด็จกลับมาหรือเรียกเรากลับบ้าน เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีในสันติสุขจากการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ได้ เราจะมีประสบการณ์อย่างไรเมื่อต้องจากร่างกายฝ่ายโลกนี้ไปอยู่กับพระเยซูในนิรันดร์กาลนั้น เราคงทำได้แค่จินตนาการ!
มีชัยเหลือล้น
ตอนที่สามีฉันเป็นโค้ชให้ทีมเบสบอลชื่อลิตเติ้ล ลีคของลูกชายเรา เขาให้รางวัลผู้เล่นด้วยการจัดงานเลี้ยงส่งท้ายปี และแสดงความขอบคุณสำหรับพัฒนาการของพวกเขาในฤดูกาลที่ผ่านมา ดัสตินหนึ่งในผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดเข้ามาหาฉันในระหว่างงานเลี้ยง ถามว่า
“วันนี้เราไม่ได้แพ้การแข่งขันหรือครับ”
“ใช่” ฉันตอบ “แต่พวกเราภูมิใจในตัวเธอที่เล่นอย่างเต็มที่”
“ผมรู้” เขาพูด “แต่เราก็แพ้ ใช่ไหมครับ” ฉันพยักหน้า
“แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าผมชนะ” ดัสตินถาม
ฉันยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะเธอคือผู้ชนะไง”
ดัสตินเคยคิดว่าการแพ้การแข่งขันหมายความว่าเขาล้มเหลวแม้เขาจะทำดีที่สุดแล้วก็ตาม ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู การต่อสู้ของเราไม่ได้จำกัดอยู่ในสนามกีฬา ถึงกระนั้นเรามักจะถูกล่อลวงให้มองช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตว่าเป็นภาพสะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราเอง
อัครสาวกเปาโลยืนยันว่าความทุกข์ในปัจจุบันของเรามีความเชื่อมโยงกับสง่าราศีในอนาคตของเราในฐานะลูกของพระเจ้า เมื่อพระเยซูได้ประทานพระองค์เองเพื่อเราแล้ว พระองค์ยังทรงต่อสู้ในนามของเราในสงครามกับบาปที่ยังคงดำเนินต่อไป และเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระองค์ (รม.8:31-32) แม้เราทั้งหลายจะต้องพบเจอกับความยากลำบากและการข่มเหง ความรักอันไม่สั่นคลอนของพระเจ้าจะช่วยเราบากบั่นมุ่งไป (ข้อ 33-34)
ในฐานะลูกของพระเจ้า เราอาจถูกลวงและยอมให้ปัญหามากำหนดคุณค่าของตัวเรา อย่างไรก็ตาม ชัยชนะสูงสุดของเราได้รับการรับรองไว้แล้ว ในระหว่างทางเราอาจสะดุดล้ม แต่เราจะ “มีชัยเหลือล้น” เสมอ (ข้อ 35-39)
ภารกิจช่วยชีวิต
อาสาสมัครขององค์กรช่วยเหลือปศุสัตว์ในออสเตรเลียพบแกะหลงทางตัวหนึ่งที่ต้องแบกรับขนสกปรกขมวดเป็นก้อนน้ำหนักมากกว่า 34 กิโลกรัม นักกู้ภัยสงสัยว่ามันน่าจะถูกลืมและหลงอยู่ในป่าอย่างน้อยห้าปี อาสาสมัครต้องปลอบมันตลอดขั้นตอนอันทุลักทุเลเพื่อตัดขนที่หนักอึ้งของมันออกไป เมื่อหลุดพ้นจากการแบกภาระหนัก บารัคก็กินอาหารได้ ขาของมันแข็งแรงขึ้น มันเริ่มมีความมั่นใจและมีความสุขมากขึ้นเวลาอยู่กับผู้ที่ช่วยชีวิตของมันและสัตว์อื่นๆในสถานพักพิงแห่งนั้น
ดาวิดผู้เขียนพระธรรมสดุดีเข้าใจถึงความเจ็บปวดของการต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง การถูกลืมและหลงทาง และปรารถนาการช่วยกู้ ในสดุดี 38 ดาวิดร้องทูลต่อพระเจ้า ท่านเผชิญความโดดเดี่ยว การถูกทรยศ และอับจนหนทาง (ข้อ 11-14) กระนั้นท่านอธิษฐานด้วยความมั่นใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพระองค์รอคอยพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ คือพระองค์ผู้ที่จะตรัสตอบข้าพระองค์” (ข้อ 15) ดาวิดไม่ได้ปฏิเสธความยากลำบากของตน หรือกลบเกลื่อนความทุกข์ภายในใจและความเจ็บป่วยทางกาย (ข้อ 16-20) แต่ท่านวางใจว่าพระเจ้าจะทรงอยู่ใกล้และตรัสตอบในเวลาและวิธีการที่เหมาะสม (ข้อ 21-22)
เมื่อเรารู้สึกหนักใจด้วยภาระด้านร่างกาย จิตใจ หรืออารมณ์ พระเจ้าทรงพร้อมอยู่เสมอที่จะช่วยกู้เราตามแผนการที่ได้วางไว้ในวันที่ทรงสร้างเรา เราวางใจในการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ได้เมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด” (ข้อ 22)