ฤทธิ์เดชของพระคริสต์
ในปี 2013 มีผู้คนประมาณ 600 คนในสถานที่จริงที่คอยชมนักกายกรรม นิค วัลเล็นดา เดินไต่เชือกข้ามช่องเขากว้างราว 427 เมตรใกล้ๆแกรนด์แคนยอน วัลเล็นดาก้าวออกไปบนเชือกเคเบิลหนา 2 นิ้วและขอบคุณพระเยซูสำหรับภาพที่เขามองเห็นขณะที่กล้องติดศีรษะของเขาหันไปทางหุบเขาเบื้องล่าง เขาอธิษฐานและขอบคุณพระเยซูขณะเดินข้ามช่องเขานั้นไปอย่างสงบราวกับกำลังเดินเล่นอยู่บนทางเท้า เวลาที่ลมพัดแรงเขาจะหยุดและย่อตัวลง แล้วจึงยืดตัวยืนขึ้นปรับสมดุลร่างกายใหม่ และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ “เชือกนิ่ง” ในแต่ละย่างก้าวบนเชือกนั้น เขาสำแดงถึงการพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมถึงทุกคนที่ดูอยู่ในเวลานี้ทางวีดิโอที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
เมื่อลมพายุทำให้เกิดคลื่นซัดใส่เหล่าสาวกในทะเลกาลิลี พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัว (มก.4:35-38) หลังจากพระเยซูทรงห้ามพายุแล้ว พวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมลมและทุกสิ่งทุกอย่าง (ข้อ 39-41) พวกเขาได้ค่อยๆเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระองค์ ประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาสามารถช่วยให้ผู้อื่นรู้จักฤทธิ์อำนาจที่ไม่ธรรมดาของพระเยซูและรู้ว่าทรงพร้อมที่จะช่วยเราเสมอ
ขณะที่เราเผชิญกับมรสุมแห่งชีวิต หรือไต่ไปตามเชือกแห่งความไว้วางใจที่พาดอยู่เหนือหุบเขาสูงชันแห่งความทุกข์ เราสามารถแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในฤทธิ์เดชของพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงใช้การดำเนินในความเชื่อของเราเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมีความหวังในพระองค์
พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อเป็นนิตย์
เมื่อซาเวียร์ยังเป็นเด็กประถมฉันขับรถไปรับส่งเขาที่โรงเรียน วันหนึ่งมีเรื่องที่ไม่เป็นตามแผนเกิดขึ้น ฉันไปรับเขาสาย เมื่อจอดรถฉันก็อธิษฐานอย่างลนลานขณะวิ่งไปที่ห้องเรียนของเขา ฉันพบเขากอดเป้และนั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆครู “แม่ขอโทษนะมิโจ ลูกไม่เป็นอะไรนะ” ลูกชายถอนหายใจ “ผมไม่เป็นไรครับ แต่ผมโกรธที่แม่มาสาย” ฉันจะว่าเขาได้อย่างไรในเมื่อฉันก็โกรธตัวเองเหมือนกัน ฉันรักลูกแต่ฉันรู้ว่ามีหลายครั้งทีเดียวที่ฉันทำให้เขาผิดหวัง และฉันรู้ด้วยว่าวันหนึ่งเขาอาจรู้สึกผิดหวังในพระเจ้าด้วย ดังนั้นฉันจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะสอนเขาว่า พระเจ้าไม่เคยผิดสัญญาและพระองค์จะไม่มีวันผิดสัญญา
สดุดี 33 หนุนใจเราให้เฉลิมฉลองความสัตย์ซื่อของพระเจ้าด้วยการสรรเสริญเปรมปรีดิ์ (ข้อ 1-3) เพราะ “พระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม และพระราชกิจของพระองค์ก็สำเร็จด้วยความซื่อสัตย์” (ข้อ 4) ผู้เขียนใช้โลกนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นหลักฐานอันชัดเจนถึงฤทธิ์อำนาจและความน่าเชื่อถือของพระองค์ (ข้อ 5-7) และเรียกร้องให้เราผู้เป็น “บรรดาชาวพิภพทั้งปวง” นมัสการพระเจ้า (ข้อ 8)
เมื่อแผนการเกิดผิดพลาดหรือมีคนทำให้เราผิดหวัง เราอาจถูกล่อลวงให้รู้สึกผิดหวังในพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เราสามารถวางใจในความน่าไว้วางใจของพระเจ้าเพราะแผนการพระองค์ “ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์” (ข้อ 11) เราสรรเสริญพระเจ้าได้แม้ในเวลาที่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะพระผู้สร้างผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักนั้นทรงค้ำชูทุกๆอย่างและทุกๆคน พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเป็นนิตย์
ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ
ขณะที่เราตกแต่งสถานที่สำหรับจัดงานพิเศษที่คริสตจักร ผู้หญิงที่เป็นแม่งานก็บ่นไม่หยุดเรื่องที่ฉันไม่มีประสบการณ์ หลังจากที่เธอเดินออกไป ผู้หญิงอีกคนก็เดินเข้ามาหาฉันและพูดว่า “อย่าไปสนใจเธอเลย เธอคือบุคคลที่เราเรียกว่า E.G.R - Extra Grace Required (ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ)”
ฉันหัวเราะ จากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มใช้ฉายาดังกล่าวกับใครก็ตามที่ฉันมีปัญหาด้วย หลายปีต่อมาฉันได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ E.G.R. ผู้นี้ที่คริสตจักรแห่งเดิม ศิษยาภิบาลเล่าว่าเธอเป็นคนที่รับใช้พระเจ้าอยู่เบื้องหลังและมีจิตใจโอบอ้อมอารี ฉันขอพระเจ้ายกโทษที่ไปตัดสินและนินทาเธอ รวมถึงใครก็ตามในอดีตที่ฉันเคยเรียกเขาว่า E.G.R ทั้งๆที่ตัวฉันเองนั่นแหละที่ต้องการพระคุณเป็นพิเศษมากพอๆกับผู้เชื่อคนอื่นๆ
ในเอเฟซัส 2 อัครทูตเปาโลกล่าวว่าผู้เชื่อทุกคน “ตามสันดาน...เป็นคนควรแก่พระอาชญา” (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงประทานของประทานแห่งความรอดแก่เราทั้งหลายทั้งๆที่เราไม่สมควรได้รับ เป็นของประทานที่เราไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อจะได้มา “เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” (ข้อ 9) แม้แต่คนเดียว
เมื่อเรายอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของการเดินทางแห่งชีวิตที่ยาวนาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยของเรา เพื่อเราจะสามารถสะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนต้องการพระคุณเป็นพิเศษ แต่เราสามารถขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่มีเพียงพออยู่เสมอ (2 คร.12:9)
เลียนแบบพระเยซู
“เจ้าแห่งการปลอมแปลง” อาศัยอยู่ในน่านน้ำของอินโดนีเซียและในแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ หมึกสายเลียนแบบนั้นเป็นเหมือนปลาหมึกอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนสีของมันให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดนี้ยังเปลี่ยนแปลงรูปร่าง รูปแบบการเคลื่อนไหว และพฤติกรรมของมันเมื่อถูกคุกคาม โดยจะเลียนแบบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ปลาสิงโตมีพิษ และแม้แต่งูทะเลที่อันตรายถึงชีวิต
แต่ผู้เชื่อในพระเยซูนั้นไม่เหมือนกับหมึกสายเลียนแบบ เราต้องโดดเด่นในโลกที่รายล้อมเรา เราอาจรู้สึกถูกคุกคามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราและถูกทดลองให้ทำตัวกลมกลืน เพื่อเราจะไม่ถูกจดจำได้ว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจให้ถวายตัวของเราเป็น “เครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (รม.12:1) เพื่อเป็นตัวแทนของพระเยซูในทุกแง่มุมของชีวิตเรา
เพื่อนๆหรือคนในครอบครัวอาจพยายามกดดันให้เราประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” (ข้อ 2) แต่เราแสดงให้เห็นได้ว่าเรารับใช้ใคร โดยปรับชีวิตเราให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราบอกว่าเราเชื่อในฐานะบุตรของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อฟังพระคัมภีร์และสะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความรักของพระองค์ ชีวิตของเราจะแสดงให้เห็นได้ว่า รางวัลของการเชื่อฟังนั้นยิ่งใหญ่กว่าการสูญเสียใดๆเสมอ วันนี้คุณจะเลียนแบบพระเยซูอย่างไร
ทีละก้าว
ผู้เล่นสิบสองทีมที่แต่ละทีมมีผู้เล่นสามคนยืนไหล่ชิดกันเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันวิ่งสี่ขา คนที่อยู่ด้านข้างถูกมัดข้อเท้าและเข่ากับคนที่อยู่ตรงกลางด้วยผ้าสีสดใส ทั้งสามต่างจับจ้องไปที่เส้นชัย เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ทั้งสามเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นส่วนใหญ่ล้มและพยายามลุกขึ้นเดินใหม่ บางกลุ่มเลือกที่จะกระโดดแทนการเดิน บางคนยอมแพ้ แต่ทีมหนึ่งออกตัวช้า ทำตามแผน และสื่อสารกันในระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้า พวกเขาสะดุดระหว่างการเดินแต่ก็มุ่งมั่นจนไม่นานก็สามารถแซงทุกทีมไปได้ ความเต็มใจให้ความร่วมมือของพวกเขาในการก้าวไปทีละก้าว ทำให้พวกเขาเข้าสู่เส้นชัยด้วยกัน
การใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้าในท่ามกลางผู้เชื่อพระเยซูบางครั้งอาจรู้สึกหงุดหงิดเหมือนเช่นการพยายามก้าวไปข้างหน้าในการแข่งเดินสี่ขา เรามักจะสะดุดล้มเวลาต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเราเปโตรพูดถึงการอธิษฐาน การต้อนรับขับสู้ และการใช้ของประทานของเราเพื่อเชื่อมโยงให้เข้ากับผู้อื่นได้เพื่อชีวิตในอนาคต ท่านเรียกร้องให้ผู้เชื่อในพระเยซู “รักซึ่งกันและกันให้มาก” (1ปต.4:8) เพื่อจะต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น และเพื่อ “ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (ข้อ 10) เมื่อเราทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราในการสื่อสารและร่วมมือกัน เราก็สามารถเป็นผู้นำในการแข่งขันเพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงการชื่นชมยินดีในความแตกต่าง และการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้
อยู่ในเอื้อมพระหัตถ์พระเจ้า
เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นตัวเสร็จฉันก็เดินเข้าไปในเรือนจำเขต ลงชื่อผู้เข้าเยี่ยม และนั่งลงในห้องรับรองที่แน่นขนัด ฉันอธิษฐานอย่างเงียบๆ มองดูพวกผู้ใหญ่ที่กระสับกระส่ายและถอนหายใจขณะที่เด็กๆบ่นเรื่องการรอ ผ่านไปชั่วโมงกว่าเจ้าหน้าที่ติดอาวุธขานรายชื่อซึ่งมีชื่อของฉันด้วย เขาพากลุ่มของเราเข้าไปในห้องและชี้ให้นั่งเก้าอี้ที่กำหนดไว้ เมื่อลูกเลี้ยงชายของฉันนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งของบานกระจกหนาและหยิบหูฟังโทรศัพท์ขึ้นมา ความสิ้นหวังอย่างที่สุดก็ท่วมท้นตัวฉัน แต่ขณะที่ร้องไห้ พระเจ้าทรงยืนยันกับฉันว่าลูกเลี้ยงของฉันยังคงอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์
ในสดุดี 139 ดาวิดทูลพระเจ้าว่า “พระองค์...ทรงรู้จักข้าพระองค์...ทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ (ข้อ 1-3) คำประกาศถึงพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูของดาวิดนำไปสู่การเฉลิมฉลองถึงการทรงดูแลและปกป้องอย่างใกล้ชิดของพระองค์ (ข้อ 5) พระปัญญาอันกว้างใหญ่ไพศาลและการทรงสัมผัสอย่างลึกซึ้งของพระเจ้าท่วมท้นท่าน ดาวิดถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบสองข้อ “ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 7)
เมื่อตัวเราหรือคนที่เรารักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง พระหัตถ์ของพระเจ้ายังคงเข้มแข็งและมั่นคง แม้ขณะที่เราคิดว่าเราหลงไปไกลจากการทรงไถ่ด้วยความรักของพระองค์ แต่เรายังอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์เสมอ
พระเจ้าทรงมองเห็น เข้าใจ และห่วงใย
บางครั้งการอยู่กับโรคอ่อนเพลียเรื้อรังทำให้ต้องแยกตัวอยู่บ้านและรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันมักรู้สึกว่าถูกพระเจ้าและคนอื่นมองข้ามบ่อยๆ ฉันเผชิญกับความรู้สึกนั้นขณะเดินอธิษฐานตอนเช้ากับสุนัขบริการของฉัน ฉันสังเกตเห็นลูกบอลลูนอยู่ไกลๆ คนที่อยู่ในกระเช้าบอลลูนนั้นสามารถชื่นชมหมู่บ้านอันเงียบสงบของเราผ่านมุมสูงได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นฉัน ฉันถอนหายใจขณะที่เดินผ่านบ้านของพวกเพื่อนบ้าน จะมีกี่คนด้านหลังประตูที่ปิดเหล่านั้นที่รู้สึกถูกมองข้ามและไม่สำคัญ เมื่อฉันเดินเสร็จ ฉันทูลขอพระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้บอกเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้รู้ว่าฉันมองเห็นและห่วงใยพวกเขา และพระองค์ก็เช่นกัน
พระเจ้าทรงกำหนดจำนวนของดวงดาวที่พระองค์ได้ตรัสสั่งให้เกิดมีขึ้น พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง (สดด.147:4) ซึ่งเป็นการกระทำอันละเอียดอ่อนที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่ใจรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด พระกำลังซึ่งรวมถึงพระปัญญา ความเข้าใจและความรอบรู้ของพระองค์นั้น “วัดไม่ได้” ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ข้อ 5)
พระเจ้าทรงได้ยินทุกเสียงร้องไห้อันสิ้นหวังและมองเห็นน้ำตาทุกหยดที่หลั่งรินอย่างเงียบๆได้ชัดเจนเหมือนที่พระองค์ทรงมองเห็นทุกความสุขและการหัวเราะสุดเสียง พระองค์ทรงเห็นทั้งตอนที่เราสะดุดล้มและยืนหยัดด้วยชัยชนะ พระองค์ทรงเข้าใจความกลัวที่ลึกที่สุด ความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน และความฝันที่สุดขั้วของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าเราผ่านอะไรมาและเรากำลังจะไปไหน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามองเห็น ได้ยิน และรักเพื่อนบ้านของเรา เราก็วางใจได้ว่าพระองค์จะมองเห็น เข้าใจ และห่วงใยเราเช่นเดียวกัน
รักอย่างพระเยซู
ขณะกำลังรอรถไฟที่สถานีในแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตติดกระดุมนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ขณะที่เขากำลังมีปัญหากับการผูกเน็คไท หญิงสูงวัยคนหนึ่งบอกให้สามีของเธอช่วยเขา เมื่อชายสูงวัยค้อมตัวลงและเริ่มสอนชายหนุ่มผูกเน็คไท มีคนถ่ายรูปทั้งสามคนไว้ เมื่อรูปนี้ว่อนไปในอินเตอร์เน็ต มีผู้ชมมากมายแสดงความเห็นเกี่ยวกับพลังของการแสดงความเมตตา
สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การมีใจกรุณาต่อผู้อื่นสะท้อนถึงความห่วงใยอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่พระองค์ทรงสำแดงแก่คนอย่างเราทั้งหลาย นี่เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้สาวกของพระองค์สำแดงออกในการใช้ชีวิต คือ “ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” (1ยน.3:11) ยอห์นเปรียบการเกลียดชังพี่น้องเท่ากับการฆ่าคน (ข้อ 15) แล้วท่านก็ยกพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ (ข้อ 16)
ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงการเสียสละจนมากเกินควร แต่เพียงแค่เรายอมรับในคุณค่าของทุกคนที่ดำรงพระฉายของพระเจ้าโดยการให้ความสำคัญในความจำเป็นของพวกเขาก่อนของตัวเราเอง... ทุกๆวัน เมื่อเรามีความรักเป็นแรงผลักดัน เราจะสำแดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวออกมาในโอกาสต่างๆที่ดูเหมือนธรรมดา ในเวลาที่เราห่วงใยคนอื่นมากพอจนสังเกตเห็นความจำเป็นของเขาและช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้ เมื่อเรามองออกไปนอกพื้นที่ส่วนตัวของเรา และก้าวออกไปนอกพื้นที่ปลอดภัยของเราเพื่อรับใช้ผู้อื่นและเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ นั่นแหละคือการที่เรากำลังรักแบบพระเยซู
น้ำตาแห่งการสรรเสริญ
เมื่อหลายปีก่อนฉันต้องดูแลแม่ที่สถานพักฟื้น ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาสี่เดือนที่ทรงอนุญาตให้ฉันได้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลของแม่ และฉันทูลขอพระเจ้าทรงช่วยฉันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉันมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสรรเสริญพระเจ้าขณะที่ต้องปล้ำสู้กับอารมณ์ที่แปรปรวน แต่ขณะที่แม่ของฉันกำลังสิ้นลม ฉันร้องไห้ฟูมฟายและกระซิบว่า “ฮาเลลูยา” ฉันรู้สึกผิดตลอดหลายปีหลังจากนั้นที่สรรเสริญพระเจ้าในช่วงเวลาของการสูญเสีย จนกระทั่งฉันได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งในพระธรรมสดุดีบทที่ 30
ในบทเพลงของกษัตริย์ดาวิด “เพื่อถวายพระวิหาร” พระองค์นมัสการถึงความสัตย์ซื่อและพระเมตตาของพระเจ้า (ข้อ 1-3) และหนุนใจผู้อื่นให้ “สรรเสริญพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 4)จากนั้นดาวิดพิเคราะห์ถึงการที่พระเจ้าทรงผูกโยงความยากลำบากกับความหวังเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท (ข้อ 5) พระองค์รับรู้ถึงช่วงเวลาของความเศร้าและความยินดี เวลาที่รู้สึกปลอดภัยและท้อใจ (ข้อ 6-7) คำร้องทูลขอให้ทรงช่วยก็ยังคงตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในพระเจ้า (ข้อ 7-10) เสียงสะท้อนแห่งคำสรรเสริญของดาวิดถักทอผ่านช่วงเวลาของการร่ำไห้และเต้นรำ ผ่านความทุกข์และความยินดี (ข้อ 11) ในท่ามกลางความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของความทุกข์ลำบากที่ดาวิดต้องอดทนฟันฝ่าและรอคอยความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ประกาศว่าจะทรงถวายโมทนาแด่พระเจ้าเป็นนิตย์ (ข้อ 12)
เราร้องเหมือนดาวิดได้ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์” (ข้อ 12) ไม่ว่าเราจะมีความสุขหรือกำลังเจ็บปวด พระเจ้าช่วยให้เราประกาศถึงความไว้วางใจที่เรามีในพระองค์ได้ และนำเราให้นมัสการพระองค์ด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี และน้ำตาแห่งการสรรเสริญ