พระผู้ช่วยที่ช่วยอย่างเต็มใจ
ขณะขับรถในยามดึก นิโคลัสเห็นบ้านหลังหนึ่งไฟไหม้ เขาจึงจอดรถตรงทางเข้าแล้วรีบเข้าไปในบ้านที่ไฟลุกท่วม และพาเด็กสี่คนออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นวัยรุ่นรู้ว่ายังมีเด็กอีกหนึ่งคนอยู่ข้างใน เธอจึงบอกนิโคลัส และเขาก็ไม่ลังเล ที่จะรีบกลับเข้าไปในกองเพลิงนั้น เมื่อติดอยู่บนชั้นสองกับเด็กหญิงอายุหกขวบ เขาจึงทุบหน้าต่างและกระโดดลงมายังที่ปลอดภัยโดยมีเด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทีมกู้ภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ นิโคลัสเลือกที่จะเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วยการช่วยชีวิตเด็กๆทุกคน
นิโคลัสแสดงความกล้าหาญโดยเต็มใจจะเสียสละความปลอดภัยของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น การแสดงความรักอันทรงพลังนี้สะท้อนถึงความรักที่เสียสละแบบเดียวกันที่สำแดงโดยองค์พระผู้ช่วยผู้เต็มใจมอบชีวิตของพระองค์เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและความตาย คือองค์พระเยซู “ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม” (รม.5:6) อัครสาวกเปาโลเน้นว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในสภาพเนื้อหนังและทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ได้ทรงเลือกที่จะสละชีวิตของพระองค์และจ่ายราคาเพื่อบาปของเรา ซึ่งเป็นราคาที่เราไม่มีวันจะจ่ายได้ด้วยตัวเอง “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8)
เมื่อเราขอบพระคุณและวางใจในพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ช่วยเราอย่างเต็มใจนั้น พระองค์ก็จะมอบกำลังให้เรารักผู้อื่นได้อย่างเสียสละทั้งโดยทางคำพูดและการกระทำของเรา
มองเห็นความหวัง
นักสมุทรศาสตร์ซิลเวีย เอิร์ลได้เห็นความเสื่อมโทรมของแนวปะการังด้วยตัวของเธอเอง เธอจึงได้ก่อตั้งองค์กรชื่อว่ามิชชั่นบลู ที่อุทิศตนเพื่อสร้าง “โฮปสปอต” หรือพื้นที่แห่งความหวังขึ้น พื้นที่พิเศษนี้มีอยู่ทั่วโลกและ “สำคัญต่อสภาพความสมบูรณ์ของมหาสมุทร” ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของเราบนโลกนี้ เมื่อพื้นที่เหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างดี นักวิทยาศาสตร์จึงได้เห็นความสัมพันธ์ของโลกใต้น้ำได้รับการฟื้นฟูและสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธ์ก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้
ในสดุดี 33 ผู้เขียนยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ตรัสให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นและทรงรับรองว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นตั้งมั่นคง (ข้อ 6-9) ขณะที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือชนทุกชั่วชาติพันธุ์ (ข้อ 11-19) พระองค์เท่านั้นทรงเป็นผู้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ เป็นผู้ช่วยชีวิต และทำให้ความหวังมีพลัง ถึงกระนั้นพระเจ้าได้ทรงเชิญให้เรามาร่วมกับพระองค์ในการดูแลเอาใจใส่โลกและผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง
ทุกครั้งที่เราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสายรุ้งบางเบาที่พาดผ่านท้องฟ้าสีเทาที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆ หรือคลื่นระยิบระยับของมหาสมุทรที่โหมซัดโขดหิน เราก็สามารถประกาศถึง “ความรักมั่นคง” และการทรงสถิตของพระองค์ เมื่อเรา “หวังใจ” ในพระองค์ (ข้อ 22)
ในยามที่เราถูกทดลองให้รู้สึกท้อแท้หรือเกิดความกลัวเมื่อคิดถึงสภาพปัจจุบันของโลกนี้ เราอาจเริ่มเชื่อว่าเราไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่เมื่อเราในฐานะสมาชิกทีมรักษ์โลกของพระเจ้าทำในส่วนของเรา เราก็จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าในฐานะองค์พระผู้สร้าง และช่วยให้ผู้อื่นมองเห็นความหวังเมื่อเขามอบความไว้วางใจให้พระเยซู
แสงแห่งความหวัง
ไม้กางเขนสีแดงเงางามของแม่น่าจะแขวนอยู่ข้างเตียงท่านที่ศูนย์ผู้ป่วยมะเร็ง และฉันควรจะเตรียมตัวในช่วงวันหยุดไปเยี่ยมแม่ตามกำหนดการรักษา ทั้งหมดที่ฉันต้องการในวันคริสต์มาสคือการได้อยู่กับแม่อีกวันหนึ่ง แต่ฉันกลับได้อยู่บ้าน...และแขวนกางเขนของท่านไว้บนต้นไม้เทียม
เมื่อฮาเวียร์ลูกชายของฉันเสียบปลั๊กไฟ ฉันกระซิบว่า “ขอบใจจ้ะ” เขาตอบว่า “ครับแม่” ลูกชายไม่รู้ว่าฉันกำลังขอบคุณพระเจ้าที่ทรงใช้หลอดไฟริบหรี่นี้เพื่อหันสายตาของฉันไปยังผู้เป็นแสงแห่งความหวังที่ดำรงอยู่นิรันดร์คือพระเยซู
ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงความรู้สึกที่ไม่ได้แต่งเติมต่อพระเจ้า (ข้อ 1-4) ท่านยอมรับว่าตนมีจิตวิญญาณที่ “หดหู่” และ “กระสับกระส่าย” ก่อนที่จะหนุนใจผู้อ่านว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 5) แม้ว่าท่านจะถูกคลื่นแห่งความโศกเศร้าและความทุกข์ครอบงำ แต่ความหวังของผู้เขียนสดุดีได้ส่องประกายโดยการระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในอดีต (ข้อ 6-10) ท่านสรุปจบด้วยการตั้งคำถามถึงความคลางแคลงใจของตนและยืนยันถึงความสามารถในการกลับสู่ความเชื่ออันบริสุทธิ์ของตน “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11)
สำหรับเราหลายคนนั้นเทศกาลคริสต์มาสนำมาซึ่งทั้งความสุขและความเศร้า แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แม้แต่ความรู้สึกซึ่งผสมปนเปกันเหล่านี้ก็สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน และได้รับการไถ่โดยทางพระสัญญาที่ตรัสถึงพระเยซูผู้เป็นแสงแห่งความหวังที่แท้จริง
พระสัญญาที่อบอุ่นใจของพระเจ้า
หลายปีก่อนครอบครัวของเราไปเยือนโฟว์คอร์เนอร์ สถานที่เดียวในสหรัฐอเมริกาที่สี่รัฐมาบรรจบกันในจุดเดียว สามีของฉันยืนอยู่ในพื้นที่ของรัฐแอริโซน่า เอ.เจ.ลูกชายคนโตของเรากระโดดไปยืนบนรัฐยูทาห์ ฮาเวียร์ลูกชายคนเล็กจับมือฉันขณะที่เราก้าวไปยืนที่รัฐโคโลราโด เมื่อฉันขยับเข้าไปในรัฐนิวเม็กซิโก ฮาเวียร์พูดว่า “แม่ครับ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าแม่ทิ้งผมไว้ที่โคโลราโด!” พวกเราอยู่ด้วยกันแต่อยู่กันคนละที่ในขณะที่เสียงหัวเราะของเราดังขึ้นในทั้งสี่รัฐนั้น ตอนนี้พวกลูกชายต่างเติบโตและจากบ้านกันไปแล้ว ฉันยิ่งซาบซึ้งในพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงอยู่ใกล้ประชากรของพระองค์ทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด
หลังจากที่โมเสสสิ้นชีวิต พระเจ้าทรงเรียกโยชูวาให้เป็นผู้นำและรับรองว่าจะทรงสถิตอยู่ด้วยขณะที่ทรงขยายเขตแดนของชนชาติอิสราเอล (ยชว.1:1-4) พระเจ้าตรัสว่า “เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย” (ข้อ 5) ทรงรู้ว่าโยชูวาจะต้องต่อสู้กับความสงสัยและความกลัวในฐานะผู้นำคนใหม่ของประชากรของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงวางรากฐานแห่งความหวังไว้บนพระดำรัสเหล่านี้ “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า” (ข้อ 9)
ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนำเราหรือคนที่เรารักไปที่ใด แม้ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก พระสัญญาที่อบอุ่นใจที่สุดของพระองค์ให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์จะทรงอยู่ด้วยเสมอ
สะท้อนแสงแห่งพระบุตร
หลังจากที่ฉันมีปัญหาขัดแย้งกับแม่ ในที่สุดเธอก็ยอมมาพบฉันในที่ซึ่งห่างจากบ้านฉันไปกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อไปถึง ฉันก็พบว่าเธอกลับไปก่อน แล้ว ด้วยความโกรธฉันจึงได้เขียนข้อความถึงเธอ แต่ฉันแก้ไขข้อความนั้นเมื่อรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเตือนให้ฉันตอบสนองด้วยความรัก หลังจากที่แม่อ่านข้อความที่ฉันแก้ไขแล้ว เธอโทรมาและพูดว่า “ลูกเปลี่ยนไปนะ” พระเจ้าทรงใช้ข้อความของฉันนำให้แม่ถามเกี่ยวกับพระเยซู และในที่สุดเธอได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ในมัทธิวบทที่ 5 พระเยซูยืนยันว่าสาวกของพระองค์เป็นความสว่างของโลก (ข้อ 14) พระองค์ตรัสว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16) เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราเพื่อที่เราจะเป็นพยานที่ส่องสว่างถึงความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกที่ที่เราไป
ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเป็นแสงสว่างแห่งความหวังและสันติสุขที่เปี่ยมด้วยความยินดีและเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวันได้ สิ่งดีทุกอย่างที่เราทำจะกลายเป็นการนมัสการด้วยใจขอบพระคุณ ซึ่งจะดึงดูดผู้อื่นและเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นความเชื่อที่เปี่ยมด้วยพลัง เมื่อเรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะถวายเกียรติแด่พระบิดาได้โดยการสะท้อนแสงแห่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู
โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ
ในปี 2001 มีเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดชื่อคริสโตเฟอร์ ดัฟลีย์ ได้ทำให้ทีมแพทย์ประหลาดใจเพราะเขารอดชีวิต เมื่ออายุได้ห้าเดือน เขาได้เข้าสู่ระบบครอบครัวอุปถัมภ์ จนกระทั่งครอบครัวของป้ารับเลี้ยงเขา ครูคนหนึ่งพบว่าคริสโตเฟอร์วัยสี่ขวบ ที่แม้จะตาบอดและมีภาวะของออทิสติก แต่กลับสามารถระบุเสียงโน้ตดนตรีได้อย่างสมบูรณ์แบบ หกปีต่อมาที่คริสตจักร คริสโตเฟอร์อยู่บนเวทีและร้องเพลง “โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ” วิดีโอนี้เข้าถึงคนนับล้านทางออนไลน์ ในปี 2020 คริสโตเฟอร์ได้แบ่งปันถึงเป้าหมายของเขาในการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์ผู้พิการ เขายังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดเมื่อดวงตาในหัวใจเขาเปิดออกต่อแผนการของพระเจ้า
เปาโลชมเชยคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสในความเชื่ออันกล้าหาญของพวกเขา (อฟ.1:15-16) ท่านขอพระเจ้าให้ประทาน “จิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้ง” เพื่อให้พวกเขา “รู้ถึงพระองค์” (ข้อ 17) ท่านอธิษฐานให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” หรือเปิดออก เพื่อพวกเขาจะเข้าใจถึงความหวังและมรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับคนของพระองค์ (ข้อ 18)
เมื่อเราขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองกับเรา เราจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นและสามารถประกาศพระนาม ฤทธานุภาพและอำนาจของพระองค์ด้วยความมั่นใจ (ข้อ 19-23) ด้วยความเชื่อในพระเยซูและความรักต่อคนของพระเจ้า เราสามารถดำเนินชีวิตในแบบที่พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของพระองค์เมื่อเราขอให้พระองค์ทำให้ดวงตาในหัวใจของเราเปิดอยู่เสมอ
ผมเห็นพ่อแล้ว!
นักทัศนมาตรได้ช่วยหนูน้อยแอนเดรียสวัยสามขวบปรับแว่นตาคู่แรกของเขา เธอบอกแอนเดรียสว่า “ส่องกระจกสิคะ” แอนเดรียสมองไปที่เงาสะท้อนของตนในกระจก จากนั้นเขาหันไปหาพ่อด้วยรอยยิ้มแห่งความรักและความดีใจ แล้วพ่อของแอนเดรียสก็ค่อยๆเช็ดน้ำตาที่แก้มของลูกชายและถามว่า “ร้องไห้ทำไมลูก” แอนเดรียสโอบแขนรอบคอของพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว” เขาถอยออกมา เอียงคอและจ้องไปที่ตาพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว!”
ขณะที่เราศึกษาพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานดวงตาที่เราจะมองเห็นพระเยซูผู้ “ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” (คส.1:15) อย่างไรก็ตาม แม้การมองเห็นของเราจะชัดเจนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เราเติบโตในความรู้ผ่านทางพระคัมภีร์ เรายังคงเห็นได้เพียงชั่วขณะเดียวของความยิ่งใหญ่อันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าก่อนที่จะถึงนิรันดร์กาล เมื่อเวลาในโลกนี้ของเราสิ้นสุดลงหรือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาตามพระสัญญา เราจะเห็นพระองค์อย่างชัดเจน (1 คร.13:12)
เราจะไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีนั้น เมื่อเราเห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้าและรู้จักพระองค์เหมือนที่ทรงรู้จักเราแต่ละคน ผู้เป็นสมาชิกในพระกายของพระคริสต์ที่พระองค์ทรงรัก คือคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมเราด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรักที่เราจำเป็นต้องมี เพื่อที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคงจนกว่าเราจะได้จ้องมองไปที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดที่รักและทรงพระชนม์อยู่ และกล่าวว่า “ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว พระเยซูเจ้าข้า ข้าพระองค์เห็นแล้ว!”
หัวใจแห่งผู้ให้
ในวันสุดท้ายของเราในวิสคอนซิน เพื่อนของฉันได้พาคินส์ลีลูกสาววัยสี่ขวบของเธอมากล่าวคำอำลา “หนูไม่อยากให้คุณย้าย” คินส์ลีบอก ฉันกอดเธอและมอบพัดที่มีภาพวาดด้วยมือซึ่งเป็นของสะสมของฉันกับเธอ “เมื่อหนูคิดถึงฉัน ใช้พัดนี้นะและจำไว้ว่าฉันรักหนู” คินส์ลีถามว่าเธอจะขอพัดเล่มอื่นได้ไหม เป็นพัดกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าของฉัน “เล่มนั้นพังแล้ว” ฉันบอก “ฉันอยากให้หนูได้รับพัดที่ดีที่สุด ของฉัน” ฉันไม่เสียใจที่ให้พัดเล่มโปรดของฉันกับคินส์ลี การได้เห็นเธอมีความสุขทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า หลังจากนั้นคินส์ลีบอกแม่ของเธอว่าเธอรู้สึกเศร้าเพราะฉันเก็บพัดที่พังไว้ พวกเขาจึงส่งพัดสีม่วงแฟนซีเล่มใหม่เอี่ยมมาให้ฉัน คินส์ลีรู้สึกมีความสุขอีกครั้งหลังจากมอบให้ฉันด้วยใจกว้างขวาง ฉันเองก็เช่นกัน
ในโลกที่ส่งเสริมความพึงพอใจในตนเองและการปกป้องตัวเองนี้ อาจทำให้เราถูกทดลองที่จะเก็บสะสมแทนที่จะใช้ชีวิตด้วยหัวใจแห่งการให้ อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์กล่าวว่าบุคคล “ยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง” (สภษ.11:24) วัฒนธรรมของเรานิยามความเจริญรุ่งเรืองว่าคือการมีมากขึ้นและมากขึ้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า “บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง” และ “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะได้รับการรดน้ำ” (ข้อ 25)
ความรักและพระเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่จำกัดของพระเจ้าจะเติมพลังใหม่ให้กับเราอย่างไม่ขาดสาย เราแต่ละคนจึงมีหัวใจของผู้ให้และสร้างวงจรการให้ที่ไม่รู้จักจบสิ้นได้ เพราะเรารู้จักพระเจ้าผู้ประทานสิ่งดีทุกอย่าง ผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการจัดเตรียมให้กับเราอย่างเหลือล้น
เป็นเหมือนพระเยซู
ในปี 2014 นักชีววิทยาจับม้าน้ำแคระสีส้มได้คู่หนึ่งในฟิลิปปินส์ พวกเขานำสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลนี้พร้อมกับส่วนหนึ่งของกัลปังหาสีส้มที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน กลับมายังสถาบันวิทยาศาสตร์แคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก นักวิทยาศาสตร์ต้องการรู้ว่าม้าน้ำแคระเกิดมาโดยมีสีที่เหมือนกับพ่อแม่หรือมีสีตามสภาพแวดล้อมของมัน เมื่อลูกม้าน้ำแคระถือกำเนิดจะมีสีน้ำตาลหม่น นักวิทยาศาสตร์ก็วางกัลปังหาสีม่วงไว้ในถังกักน้ำ ลูกน้อยที่พ่อแม่เป็นสีส้มก็เปลี่ยนสีตนเองเพื่อให้เข้ากับกัลปังหาสีม่วง เนื่องจากธรรมชาติของพวกมันเปราะบาง การอยู่รอดจึงขึ้นอยู่กับความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ในการปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
การปรับตัวให้กลมกลืนเป็นกลไกการป้องกันตัวที่มีประโยชน์ในธรรมชาติ แต่พระเจ้าทรงเชื้อเชิญให้ทุกคนรับความรอดและโดดเด่นอยู่ในโลกนี้ด้วยการดำเนินชีวิตของเรา อัครทูตเปาโลเรียกร้องให้ผู้เชื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆ ด้านของชีวิต และนมัสการพระองค์โดยถวายตัวของเราเป็น “เครื่องบูชาที่มีชีวิต” (รม.12:1) เนื่องด้วยความอ่อนแอของเราในฐานะมนุษย์ที่รับผลจากบาป สุขภาพฝ่ายวิญญาณของเราในฐานะผู้เชื่อจึงขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรง “เปลี่ยนแปลง” จิตใจของเราใหม่ และประทานกำลังแก่เราที่จะหลีกเลี่ยงการประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” ที่ปฏิเสธพระเจ้าและยกย่องความบาป (ข้อ 2)
การปรับตัวให้กลมกลืนกับโลกหมายถึงการดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามกับพระคัมภีร์ แต่โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงมีท่าทีและสำแดงความรักได้เหมือนอย่างพระเยซู!