ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

ในพระหัตถ์แห่งรักของพระเจ้า

หลังจากมีปัญหาด้านสุขภาพอีกครั้ง ฉันรู้สึกกลัวในสิ่งที่ไม่รู้และควบคุมไม่ได้ วันหนึ่งขณะอ่านบทความในนิตยสารฟอร์บส์ ฉันจึงรู้ว่านักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถึง “อัตราความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก” ที่เพิ่มขึ้นและประกาศว่าโลก “โคลงเคลง” และ “หมุนเร็วขึ้น” พวกเขากล่าวว่าเรา “อาจจะต้อง ‘ลบวินาที’ ออกเป็นครั้งแรก คือการลบวินาทีออกจากเวลามาตรฐานโลกอย่างเป็นทางการ” แม้ว่าเสี้ยววินาทีจะดูเหมือนไม่ได้สูญเสียมากนัก แต่ความรู้ที่ว่าการหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงได้นั้นเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉัน แม้แต่ความไม่มั่นคงเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ความเชื่อของฉันโอนเอนได้ อย่างไรก็ตามการรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ช่วยให้ฉันวางใจในพระองค์ไม่ว่าสิ่งที่เราไม่รู้จะน่ากลัวแค่ไหนหรือสถานการณ์ของเราจะดูสั่นคลอนเพียงใด

ในสดุดีบทที่ 90 โมเสสกล่าวว่า “ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” (ข้อ 2) โมเสสยอมรับในอำนาจ การควบคุมและความรอบรู้อันไม่จำกัดของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ท่านจึงประกาศว่าเวลาไม่อาจจำกัดพระเจ้าได้ (ข้อ 3-6)

เมื่อเราแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้าและโลกอันอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงสร้างมากขึ้น เราจะพบว่าพระองค์ยังทรงบริหารจัดการเวลาและสรรพสิ่งทรงสร้างอย่างสมบูรณ์แบบ เราไว้วางใจพระเจ้าได้ในทุกสิ่งทั้งที่ไม่รู้และที่เพิ่งค้นพบในชีวิตของเราได้ สิ่งทรงสร้างทั้งสิ้นยังคงปลอดภัยในพระหัตถ์แห่งความรักของพระเจ้า

วงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระเจ้า

ในฐานะผู้เชื่อใหม่ในพระเยซูในวัย 30 ปี ฉันมีคำถามมากมายหลังจากมอบชีวิตให้พระองค์ เมื่อฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ฉันก็ยิ่งมีคำถามมากขึ้น ฉันจึงขอคำปรึกษาจากเพื่อนว่า “ฉันจะเชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดของพระเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเช้านี้ฉันเพิ่งจะตะคอกใส่สามี!”

“ขอให้อ่านพระคัมภีร์ต่อไป” เธอบอก “และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เธอรักเหมือนที่พระเยซูรักเธอ”

หลังจากใช้ชีวิตในฐานะลูกของพระเจ้ามากว่ายี่สิบปี ความจริงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนั้นยังคงช่วยให้ฉัน ยอมรับสามขั้นตอนในวงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระองค์ ประการแรก อัครทูตเปาโลยืนยันว่าความรักนั้นเป็นศูนย์กลางในชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซู ประการที่สอง ผู้ติดตามพระคริสต์จะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง โดยการจ่ายหนี้ “ความรักซึ่งมีต่อกัน” อยู่เสมอ “เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามบัญญัติครบถ้วนแล้ว” (รม.13:8) ประการสุดท้าย เราได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน เพราะ “ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย” (ข้อ 10)

เมื่อเราได้สัมผัสถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา ซึ่งสำแดงให้เราเห็นได้ดีที่สุดผ่านการเสียสละของพระคริสต์บนกางเขน ทำให้เราตอบสนองโดยการขอบพระคุณด้วยใจกตัญญูได้ การถวายตัวด้วยใจขอบพระคุณพระเยซูนั้นนำเราไปสู่การรักผู้อื่นด้วยคำพูด การกระทำและทัศนคติของเรา ความรักที่แท้จริงนั้นหลั่งไหลมาจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงเป็นความรัก (1ยน.4:16, 19)

ข้าแต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก โปรดช่วยเราทั้งหลายที่จะมีส่วนในวงจรความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์!

พระผู้ช่วยที่ช่วยอย่างเต็มใจ

ขณะขับรถในยามดึก นิโคลัสเห็นบ้านหลังหนึ่งไฟไหม้ เขาจึงจอดรถตรงทางเข้าแล้วรีบเข้าไปในบ้านที่ไฟลุกท่วม และพาเด็กสี่คนออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นวัยรุ่นรู้ว่ายังมีเด็กอีกหนึ่งคนอยู่ข้างใน เธอจึงบอกนิโคลัส และเขาก็ไม่ลังเล ที่จะรีบกลับเข้าไปในกองเพลิงนั้น เมื่อติดอยู่บนชั้นสองกับเด็กหญิงอายุหกขวบ เขาจึงทุบหน้าต่างและกระโดดลงมายังที่ปลอดภัยโดยมีเด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทีมกู้ภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ นิโคลัสเลือกที่จะเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วยการช่วยชีวิตเด็กๆทุกคน

นิโคลัสแสดงความกล้าหาญโดยเต็มใจจะเสียสละความปลอดภัยของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น การแสดงความรักอันทรงพลังนี้สะท้อนถึงความรักที่เสียสละแบบเดียวกันที่สำแดงโดยองค์พระผู้ช่วยผู้เต็มใจมอบชีวิตของพระองค์เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและความตาย คือองค์พระเยซู “ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม” (รม.5:6) อัครสาวกเปาโลเน้นว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในสภาพเนื้อหนังและทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ได้ทรงเลือกที่จะสละชีวิตของพระองค์และจ่ายราคาเพื่อบาปของเรา ซึ่งเป็นราคาที่เราไม่มีวันจะจ่ายได้ด้วยตัวเอง “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8)

เมื่อเราขอบพระคุณและวางใจในพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ช่วยเราอย่างเต็มใจนั้น พระองค์ก็จะมอบกำลังให้เรารักผู้อื่นได้อย่างเสียสละทั้งโดยทางคำพูดและการกระทำของเรา

มองเห็นความหวัง

นักสมุทรศาสตร์ซิลเวีย เอิร์ลได้เห็นความเสื่อมโทรมของแนวปะการังด้วยตัวของเธอเอง เธอจึงได้ก่อตั้งองค์กรชื่อว่ามิชชั่นบลู ที่อุทิศตนเพื่อสร้าง “โฮปสปอต” หรือพื้นที่แห่งความหวังขึ้น พื้นที่พิเศษนี้มีอยู่ทั่วโลกและ “สำคัญต่อสภาพความสมบูรณ์ของมหาสมุทร” ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของเราบนโลกนี้ เมื่อพื้นที่เหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างดี นักวิทยาศาสตร์จึงได้เห็นความสัมพันธ์ของโลกใต้น้ำได้รับการฟื้นฟูและสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธ์ก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้

ในสดุดี 33 ผู้เขียนยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้ตรัสให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นและทรงรับรองว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นตั้งมั่นคง (ข้อ 6-9) ขณะที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือชนทุกชั่วชาติพันธุ์ (ข้อ 11-19) พระองค์เท่านั้นทรงเป็นผู้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ เป็นผู้ช่วยชีวิต และทำให้ความหวังมีพลัง ถึงกระนั้นพระเจ้าได้ทรงเชิญให้เรามาร่วมกับพระองค์ในการดูแลเอาใจใส่โลกและผู้คนที่พระองค์ทรงสร้าง

ทุกครั้งที่เราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสายรุ้งบางเบาที่พาดผ่านท้องฟ้าสีเทาที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆ หรือคลื่นระยิบระยับของมหาสมุทรที่โหมซัดโขดหิน เราก็สามารถประกาศถึง “ความรักมั่นคง” และการทรงสถิตของพระองค์ เมื่อเรา “หวังใจ” ในพระองค์ (ข้อ 22)

ในยามที่เราถูกทดลองให้รู้สึกท้อแท้หรือเกิดความกลัวเมื่อคิดถึงสภาพปัจจุบันของโลกนี้ เราอาจเริ่มเชื่อว่าเราไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่เมื่อเราในฐานะสมาชิกทีมรักษ์โลกของพระเจ้าทำในส่วนของเรา เราก็จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าในฐานะองค์พระผู้สร้าง และช่วยให้ผู้อื่นมองเห็นความหวังเมื่อเขามอบความไว้วางใจให้พระเยซู

แสงแห่งความหวัง

ไม้กางเขนสีแดงเงางามของแม่น่าจะแขวนอยู่ข้างเตียงท่านที่ศูนย์ผู้ป่วยมะเร็ง และฉันควรจะเตรียมตัวในช่วงวันหยุดไปเยี่ยมแม่ตามกำหนดการรักษา ทั้งหมดที่ฉันต้องการในวันคริสต์มาสคือการได้อยู่กับแม่อีกวันหนึ่ง แต่ฉันกลับได้อยู่บ้าน...และแขวนกางเขนของท่านไว้บนต้นไม้เทียม

เมื่อฮาเวียร์ลูกชายของฉันเสียบปลั๊กไฟ ฉันกระซิบว่า “ขอบใจจ้ะ” เขาตอบว่า “ครับแม่” ลูกชายไม่รู้ว่าฉันกำลังขอบคุณพระเจ้าที่ทรงใช้หลอดไฟริบหรี่นี้เพื่อหันสายตาของฉันไปยังผู้เป็นแสงแห่งความหวังที่ดำรงอยู่นิรันดร์คือพระเยซู

ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงความรู้สึกที่ไม่ได้แต่งเติมต่อพระเจ้า (ข้อ 1-4) ท่านยอมรับว่าตนมีจิตวิญญาณที่ “หดหู่” และ “กระสับกระส่าย” ก่อนที่จะหนุนใจผู้อ่านว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 5) แม้ว่าท่านจะถูกคลื่นแห่งความโศกเศร้าและความทุกข์ครอบงำ แต่ความหวังของผู้เขียนสดุดีได้ส่องประกายโดยการระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในอดีต (ข้อ 6-10) ท่านสรุปจบด้วยการตั้งคำถามถึงความคลางแคลงใจของตนและยืนยันถึงความสามารถในการกลับสู่ความเชื่ออันบริสุทธิ์ของตน “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11)

สำหรับเราหลายคนนั้นเทศกาลคริสต์มาสนำมาซึ่งทั้งความสุขและความเศร้า แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แม้แต่ความรู้สึกซึ่งผสมปนเปกันเหล่านี้ก็สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน และได้รับการไถ่โดยทางพระสัญญาที่ตรัสถึงพระเยซูผู้เป็นแสงแห่งความหวังที่แท้จริง

พระสัญญาที่อบอุ่นใจของพระเจ้า

หลายปีก่อนครอบครัวของเราไปเยือนโฟว์คอร์เนอร์ สถานที่เดียวในสหรัฐอเมริกาที่สี่รัฐมาบรรจบกันในจุดเดียว สามีของฉันยืนอยู่ในพื้นที่ของรัฐแอริโซน่า เอ.เจ.ลูกชายคนโตของเรากระโดดไปยืนบนรัฐยูทาห์ ฮาเวียร์ลูกชายคนเล็กจับมือฉันขณะที่เราก้าวไปยืนที่รัฐโคโลราโด เมื่อฉันขยับเข้าไปในรัฐนิวเม็กซิโก ฮาเวียร์พูดว่า “แม่ครับ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าแม่ทิ้งผมไว้ที่โคโลราโด!” พวกเราอยู่ด้วยกันแต่อยู่กันคนละที่ในขณะที่เสียงหัวเราะของเราดังขึ้นในทั้งสี่รัฐนั้น ตอนนี้พวกลูกชายต่างเติบโตและจากบ้านกันไปแล้ว ฉันยิ่งซาบซึ้งในพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงอยู่ใกล้ประชากรของพระองค์ทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด

หลังจากที่โมเสสสิ้นชีวิต พระเจ้าทรงเรียกโยชูวาให้เป็นผู้นำและรับรองว่าจะทรงสถิตอยู่ด้วยขณะที่ทรงขยายเขตแดนของชนชาติอิสราเอล (ยชว.1:1-4) พระเจ้าตรัสว่า “เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย” (ข้อ 5) ทรงรู้ว่าโยชูวาจะต้องต่อสู้กับความสงสัยและความกลัวในฐานะผู้นำคนใหม่ของประชากรของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงวางรากฐานแห่งความหวังไว้บนพระดำรัสเหล่านี้ “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า” (ข้อ 9)

ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงนำเราหรือคนที่เรารักไปที่ใด แม้ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก พระสัญญาที่อบอุ่นใจที่สุดของพระองค์ให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์จะทรงอยู่ด้วยเสมอ

สะท้อนแสงแห่งพระบุตร

หลังจากที่ฉันมีปัญหาขัดแย้งกับแม่ ในที่สุดเธอก็ยอมมาพบฉันในที่ซึ่งห่างจากบ้านฉันไปกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อไปถึง ฉันก็พบว่าเธอกลับไปก่อน แล้ว ด้วยความโกรธฉันจึงได้เขียนข้อความถึงเธอ แต่ฉันแก้ไขข้อความนั้นเมื่อรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเตือนให้ฉันตอบสนองด้วยความรัก หลังจากที่แม่อ่านข้อความที่ฉันแก้ไขแล้ว เธอโทรมาและพูดว่า “ลูกเปลี่ยนไปนะ” พระเจ้าทรงใช้ข้อความของฉันนำให้แม่ถามเกี่ยวกับพระเยซู และในที่สุดเธอได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ในมัทธิวบทที่ 5 พระเยซูยืนยันว่าสาวกของพระองค์เป็นความสว่างของโลก (ข้อ 14) พระองค์ตรัสว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16) เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราเพื่อที่เราจะเป็นพยานที่ส่องสว่างถึงความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกที่ที่เราไป

ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเป็นแสงสว่างแห่งความหวังและสันติสุขที่เปี่ยมด้วยความยินดีและเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวันได้ สิ่งดีทุกอย่างที่เราทำจะกลายเป็นการนมัสการด้วยใจขอบพระคุณ ซึ่งจะดึงดูดผู้อื่นและเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นความเชื่อที่เปี่ยมด้วยพลัง เมื่อเรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะถวายเกียรติแด่พระบิดาได้โดยการสะท้อนแสงแห่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู

โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ

ในปี 2001 มีเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดชื่อคริสโตเฟอร์ ดัฟลีย์ ได้ทำให้ทีมแพทย์ประหลาดใจเพราะเขารอดชีวิต เมื่ออายุได้ห้าเดือน เขาได้เข้าสู่ระบบครอบครัวอุปถัมภ์ จนกระทั่งครอบครัวของป้ารับเลี้ยงเขา ครูคนหนึ่งพบว่าคริสโตเฟอร์วัยสี่ขวบ ที่แม้จะตาบอดและมีภาวะของออทิสติก แต่กลับสามารถระบุเสียงโน้ตดนตรีได้อย่างสมบูรณ์แบบ หกปีต่อมาที่คริสตจักร คริสโตเฟอร์อยู่บนเวทีและร้องเพลง “โปรดเปิดดวงตาในหัวใจ” วิดีโอนี้เข้าถึงคนนับล้านทางออนไลน์ ในปี 2020 คริสโตเฟอร์ได้แบ่งปันถึงเป้าหมายของเขาในการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์ผู้พิการ เขายังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดเมื่อดวงตาในหัวใจเขาเปิดออกต่อแผนการของพระเจ้า

เปาโลชมเชยคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสในความเชื่ออันกล้าหาญของพวกเขา (อฟ.1:15-16) ท่านขอพระเจ้าให้ประทาน “จิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้ง” เพื่อให้พวกเขา “รู้ถึงพระองค์” (ข้อ 17) ท่านอธิษฐานให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” หรือเปิดออก เพื่อพวกเขาจะเข้าใจถึงความหวังและมรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับคนของพระองค์ (ข้อ 18)

เมื่อเราขอให้พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองกับเรา เราจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นและสามารถประกาศพระนาม ฤทธานุภาพและอำนาจของพระองค์ด้วยความมั่นใจ (ข้อ 19-23) ด้วยความเชื่อในพระเยซูและความรักต่อคนของพระเจ้า เราสามารถดำเนินชีวิตในแบบที่พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของพระองค์เมื่อเราขอให้พระองค์ทำให้ดวงตาในหัวใจของเราเปิดอยู่เสมอ

ผมเห็นพ่อแล้ว!

นักทัศนมาตรได้ช่วยหนูน้อยแอนเดรียสวัยสามขวบปรับแว่นตาคู่แรกของเขา เธอบอกแอนเดรียสว่า “ส่องกระจกสิคะ” แอนเดรียสมองไปที่เงาสะท้อนของตนในกระจก จากนั้นเขาหันไปหาพ่อด้วยรอยยิ้มแห่งความรักและความดีใจ แล้วพ่อของแอนเดรียสก็ค่อยๆเช็ดน้ำตาที่แก้มของลูกชายและถามว่า “ร้องไห้ทำไมลูก” แอนเดรียสโอบแขนรอบคอของพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว” เขาถอยออกมา เอียงคอและจ้องไปที่ตาพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว!”

ขณะที่เราศึกษาพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานดวงตาที่เราจะมองเห็นพระเยซูผู้ “ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” (คส.1:15) อย่างไรก็ตาม แม้การมองเห็นของเราจะชัดเจนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เราเติบโตในความรู้ผ่านทางพระคัมภีร์ เรายังคงเห็นได้เพียงชั่วขณะเดียวของความยิ่งใหญ่อันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าก่อนที่จะถึงนิรันดร์กาล เมื่อเวลาในโลกนี้ของเราสิ้นสุดลงหรือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาตามพระสัญญา เราจะเห็นพระองค์อย่างชัดเจน (1 คร.13:12)

เราจะไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีนั้น เมื่อเราเห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้าและรู้จักพระองค์เหมือนที่ทรงรู้จักเราแต่ละคน ผู้เป็นสมาชิกในพระกายของพระคริสต์ที่พระองค์ทรงรัก คือคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมเราด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรักที่เราจำเป็นต้องมี เพื่อที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคงจนกว่าเราจะได้จ้องมองไปที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดที่รักและทรงพระชนม์อยู่ และกล่าวว่า “ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว พระเยซูเจ้าข้า ข้าพระองค์เห็นแล้ว!”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา