พระเจ้าทรงได้ยินเรา
นักเรียนชั้นป.1 โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ 911 “ผมต้องการความช่วยเหลือ” เด็กชายบอก “ผมต้องทำโจทย์ลบเลข” เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งได้ยินเสียงผู้หญิงเข้ามาในห้องและพูดว่า “จอห์นนี่ ลูกทำอะไร” จอห์นนี่อธิบายว่าเขาทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้ เขาจึงทำตามที่แม่สอนไว้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ โดยโทรหา 911 สำหรับจอห์นนี่แล้ว ความต้องการของเขาขณะนั้นคือเรื่องฉุกเฉิน และสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้มีเมตตา การช่วยเด็กชายทำการบ้านเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ณ เวลานั้น
เมื่อดาวิดผู้เขียนสดุดีต้องการความช่วยเหลือ ท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร” (สดด.39:4) ท่านพูดว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ใน” พระเจ้า (ข้อ 7) ท่านร้องขอให้พระเจ้าทรงรับฟังและตอบ “การร้องทูล” ของท่าน (ข้อ 12) น่าแปลกที่จากนั้นท่านขอให้พระเจ้าทรง “เมินพระพักตร์จาก” ท่าน (ข้อ 13) แม้ความต้องการของดาวิดไม่ได้ถูกเปิดเผย แต่ในตลอดพระคัมภีร์นั้นท่านประกาศว่าพระเจ้าจะสถิตกับท่าน สดับฟัง และตอบคำอธิษฐานของท่านเสมอ
ความมั่นใจที่เรามีในพระเจ้าผู้ทรงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์ที่แปรปรวนได้ ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าไม่มีคำทูลขอใดที่เล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับพระองค์ผู้ไม่เคยเปลี่ยนไป พระองค์ทรงได้ยินเรา ทรงห่วงใย และตอบทุกคำร้องทูลอธิษฐานของเรา
ดูเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น
พระเจ้าทรงออกแบบให้นกฮูกเทาใหญ่เป็นเจ้าแห่งการพรางตัว ขนสีเทาเงินของมันมีรูปแบบของกลุ่มสีที่ช่วยให้มันกลมกลืนไปกับเปลือกไม้เวลาเกาะอยู่บนต้นไม้ เวลาที่นกฮูกไม่ต้องการให้ใครเห็น มันจะซ่อนตัวขณะอยู่ในที่โล่งโดยใช้การอำพรางตัวด้วยขนที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
คนของพระเจ้ามักจะทำตัวเป็นเหมือนนกฮูกสีเทามากจนเกินไป เราสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับโลกได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ คือคนเหล่านั้นที่พระบิดาประทานแก่พระองค์ “จากมวลมนุษย์โลก” ผู้ “ปฏิบัติตาม” พระวจนะของพระองค์ (ยน.17:6) พระเจ้าพระบุตรทูลขอพระเจ้าพระบิดาให้ทรงปกป้องและเสริมกำลังพวกเขาในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และยังคงชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์จากไป (ข้อ 7-13) พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” (ข้อ 15) พระเยซูทรงทราบว่าสาวกของพระองค์จำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกแยกไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ที่พระองค์ทรงใช้ให้พวกเขามาทำให้สำเร็จ (ข้อ 16-19)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถช่วยเราจากการถูกล่อลวงให้กลายเป็นเจ้าแห่งการพรางตัวเพื่อจะกลมกลืนกับโลก เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ในทุกวัน เราก็จะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตในความรักและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พระองค์จะทรงนำผู้อื่นมาถึงพระคริสต์โดยพระสิริทั้งสิ้นของพระองค์
รักด้วยการกระทำ
แม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้อาศัยอยู่ข้างบ้านของสุภาพบุรุษชรามานานกว่าห้าปีแล้ว วันหนึ่งเขากดกริ่งประตูบ้านด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเธอ “ผมไม่เห็นคุณมาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว” เขากล่าว “ผมแค่มาดูว่าคุณสบายดีไหม” การที่เขามา “ถามไถ่เรื่องสุขภาพ” นั้นช่วยหนุนใจเธอ หลังจากที่สูญเสียพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งที่มีชายใจดีคอยดูแลเธอและครอบครัว
เมื่อของขวัญแห่งความเมตตาที่ให้โดยไม่คิดมูลค่าและประเมินค่าไม่ได้นี้เป็นมากยิ่งกว่าแค่การเป็นคนดี แต่คือการที่เรากำลังรับใช้ผู้อื่นด้วยการแบ่งปันความรักของพระคริสต์กับพวกเขา ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า ผู้เชื่อในพระเยซูควร “ถวายการสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยทางพระเยซูตลอดไป คือถวายผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวยอมรับพระนามของพระองค์” (ฮบ.13:15 TNCV) จากนั้นผู้เขียนมอบหมายให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามความเชื่อ โดยกล่าวว่า “อย่าลืมที่จะทำความดีและแบ่งปันร่วมกับผู้อื่น เพราะพระเจ้าพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้” (ข้อ 16 TNCV)
การนมัสการพระเยซูโดยการประกาศพระนามของพระองค์นั้นเป็นความปีติยินดีและสิทธิพิเศษ เมื่อเรารักเหมือนพระเยซูเราก็ได้แสดงความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า เราสามารถทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะให้เราตระหนักถึงโอกาสและเสริมกำลังให้เรารักสมาชิกในครัวเรือนของเรารวมถึงคนอื่นๆด้วย ในช่วงเวลาแห่งการทำพันธกิจรับใช้เหล่านั้น เราก็กำลังประกาศถึงพระเยซูผ่านข้อความที่ทรงพลังนั่นคือความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ
ยัติภังค์ที่มีความหมาย
ขณะเตรียมการสำหรับพิธีฉลองเพื่อรำลึกถึงชีวิตแห่งการรับใช้ของคุณแม่ ฉันอธิษฐานขอถ้อยคำที่เหมาะสมเพื่อจะบรรยายถึง “ปียัติภังค์ (-)” คือช่วงปีที่อยู่ระหว่างการเกิด - การเสียชีวิตของท่าน ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ดีและไม่ค่อยดีนักในความสัมพันธ์ของเรา ฉันสรรเสริญพระเจ้าในวันที่แม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดหลังจากที่ได้เห็นพระองค์ทรง “เปลี่ยนแปลง” ฉัน ฉันขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยให้เราเติบโตในความเชื่อด้วยกัน และสำหรับผู้คนที่แบ่งปันว่าแม่ได้หนุนใจและอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วยความเมตตาอย่างไร แม่ที่ไม่สมบูรณ์แบบของฉันมีความสุขกับยัติภังค์ที่มีความหมาย คือช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตอย่างดีเพื่อพระเยซู
ไม่มีผู้เชื่อพระเยซูคนใดที่สมบูรณ์แบบ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถทำให้เรา “ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์” (คส.1:10) ตามที่อัครทูตเปาโลบอก คริสตจักรในโคโลสีเป็นที่รู้จักในเรื่องความเชื่อและความรัก (ข้อ 3-6) พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทาน “ปัญญาและ...ความเข้าใจ” และเสริมกำลังพวกเขาให้ “เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า” (ข้อ 9-10) ในขณะที่เปาโลอธิษฐานเผื่อและชื่นชมผู้เชื่อเหล่านั้น ท่านก็ได้ประกาศพระนามของพระเยซูผู้ที่ “ในพระบุตรนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลายของเรา” (ข้อ 14)
เมื่อเรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเองก็สามารถเติบโตขึ้นได้ในความรู้ถึงพระเจ้า ในการรักพระองค์และผู้อื่น ในการประกาศข่าวประเสริฐ และชื่นชมยินดีกับยัติภังค์ที่มีความหมาย คือช่วงเวลาที่เราดำเนินชีวิตอย่างดีเพื่อพระเยซู
ของประทานแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ฉันกล่าวทักทายกลุ่มเยาวชนขณะที่สามีฉันแจกพระคัมภีร์ให้กับพวกเขา ฉันบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าจะใช้ของขวัญอันล้ำค่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกคุณ” คืนนั้นมีนักเรียนสองสามคนตั้งใจว่าจะอ่านพระกิตติคุณยอห์นด้วยกัน และระหว่างที่สอนเด็กกลุ่มนี้ในการประชุมประจำสัปดาห์ เรายังได้หนุนใจให้พวกเขากลับไปอ่านพระคัมภีร์ที่บ้าน อีกสิบกว่าปีต่อมา ฉันพบนักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มนี้ เธอบอกฉันว่า “หนูยังคงใช้พระคัมภีร์ที่คุณให้มา” โดยฉันเห็นหลักฐานนั้นจากชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อของเธอ
พระเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยประชากรของพระองค์ให้สามารถอ่าน ท่องจำ และจดจำพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนได้ แต่ยังช่วยให้เราสามารถ “รักษาทางของตนให้บริสุทธิ์” โดยการดำเนินชีวิต “ตาม” พระวจนะของพระองค์ (สดด.119:9) พระเจ้าต้องการให้เราแสวงหาและเชื่อฟังพระองค์ขณะที่ทรงใช้ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและเปลี่ยนแปลงเรา (ข้อ 10-11) เราสามารถทูลขอพระเจ้าในทุกวันให้ช่วยเราได้รู้จักพระองค์และเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสในพระคัมภีร์ (ข้อ 12-13)
เมื่อเราตระหนักถึงคุณค่าของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า เราจะ “ปีติยินดี” ในคำสั่งสอนของพระองค์ “มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น” (ข้อ 14-15) เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี เราสามารถร้องว่า “ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์” (ข้อ 16) เมื่อเราทูลขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กับเรา
ทุกนาทีมีค่า
เมื่อเรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1912 ศิษยาภิบาลจอห์น ฮาร์เปอร์เก็บที่นั่งอันจำกัดในเรือชูชีพไว้ที่หนึ่งให้ลูกสาววัยหกขวบ เขาเอาเสื้อชูชีพของตนให้เพื่อนผู้โดยสารคนหนึ่งและประกาศข่าวประเสริฐให้กับทุกคนที่ยอมฟัง ขณะที่เรือจมลงและผู้คนนับร้อยรอคอยโอกาสอันน้อยนิดที่จะมีคนมาช่วย ฮาร์เปอร์ได้ว่ายน้ำจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่งและบอกว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้” (กจ.16:31)
ในระหว่างการประชุมสำหรับผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกที่เมืองออนทาริโอ ประเทศแคนาดา มีชายคนหนึ่งเรียกตนเองว่าเป็น “ผู้กลับใจคนสุดท้ายของจอห์น ฮาร์เปอร์” เขาปฏิเสธคำเชิญครั้งแรกของฮาร์เปอร์ และต้อนรับพระคริสต์เมื่อนักเทศน์ผู้นี้ได้ถามเขาอีกครั้ง เขามองดูขณะที่ฮาร์เปอร์ทุ่มเทช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตในการพูดเรื่องพระเยซูก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำและจมลงใต้พื้นน้ำอันเย็นยะเยือก
ในคำกำชับถึงทิโมธีนั้น เปาโลได้หนุนใจเขาคล้ายๆกันนี้ถึงความเร่งด่วนและการอุทิศตนในการประกาศโดยไม่เห็นแก่ตนเอง เปาโลยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาของพระเจ้าและการที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน ท่านกำชับให้ทิโมธีประกาศพระวจนะด้วยความอดทนและอย่างถูกต้องแม่นยำ (2 ทธ.4:1-2) ท่านเตือนนักประกาศหนุ่มผู้นี้ให้หนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ แม้บางคนจะปฏิเสธพระเยซู (ข้อ 3-5)
วันเวลาของเรามีจำกัด ดังนั้นทุกนาทีจึงมีค่า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาทรงเตรียมที่ในสวรรค์ไว้ให้เราแล้วในขณะที่เราประกาศว่า “พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด!”
วันที่ 6 – พระคุณสำหรับวันนี้ | พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก
พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก
เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยพระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”
“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ
พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท่วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้
พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว เพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา
เขียนโดย โซชิลท์ ดิกซัน
คิดใคร่ครวญ :
คุณพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรไว้จากพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นหรือทุกข์ใจกับพระเจ้า
อธิษฐาน :
พระบิดาผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณที่ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์มีความรู้สึกและจำเป็นต้องจัดการกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้
เชื่อฟังด้วยความรัก
ในพิธีแต่งงานของเรา ผู้ประกอบพิธีกล่าวกับฉันว่า “คุณสัญญาว่าจะรัก ให้เกียรติและเชื่อฟังสามีของคุณ จนกว่าความตายจะแยกจากกันไหม” ฉันชำเลืองมองคู่หมั้น แล้วกระซิบว่า “เชื่อฟังเหรอ” เราสร้างความสัมพันธ์ของเราด้วยความรักและความเคารพ ไม่ใช่การเชื่อฟังอย่างมืดบอดตามที่คำปฏิญาณดูเหมือนจะบอกเป็นนัย พ่อของสามีถ่ายรูปตอนฉันเบิกตากว้างขณะประมวลผลคำว่า เชื่อฟัง แล้วตอบว่า “ฉันสัญญา”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าเปิดเผยว่า การที่ฉันต่อต้านคำว่า เชื่อฟัง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งระหว่างสามีกับภรรยา ฉันเข้าใจว่า เชื่อฟัง หมายถึง “ถูกบีบคั้น” หรือ “ยอมเพราะถูกบังคับ” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์สนับสนุน ตรงกันข้ามคำว่า เชื่อฟัง ในพระคัมภีร์แสดงถึงวิธีต่างๆ ที่เราจะรักพระเจ้าได้ เมื่อฉันกับสามีฉลองครบรอบแต่งงานสามสิบปี เรายังคงเรียนรู้ที่จะรักพระเยซูและรักกันและกันโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยน.14:15) ทรงแสดงให้เราเห็นว่าการเชื่อฟังพระคัมภีร์นั้นเป็นผลลัพธ์ที่มาจากความรักและความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ (ข้อ 16-21)
ความรักของพระเยซูนั้นไม่คำนึงถึงตัวเอง ไม่มีเงื่อนไขและไม่เคยบังคับหรือกดขี่ เมื่อเราติดตามและถวายเกียรติแด่พระองค์ในความสัมพันธ์ทั้งหมดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้เราเห็นว่า การเชื่อฟังพระองค์เป็นการแสดงถึงความไว้วางใจและการนมัสการที่กอปรด้วยปัญญาและเปี่ยมด้วยความรัก
ไม่มีทางชนะพระเจ้าในเรื่องความรัก
ตอนที่ฮาเวียร์ลูกชายของฉันซึ่งตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอยู่อนุบาล เขากางแขนออกกว้างและพูดว่า “ผมรักแม่มากขนาดนี้” ฉันยืดแขนที่ยาวกว่าออกและพูดว่า “แม่รักลูกมากขนาดนี้” เขายืนกำหมัดเท้าเอวและพูดว่า “ผมรักแม่ก่อน” ฉันส่ายหน้า “แม่รักลูกก่อนตั้งแต่พระเจ้าส่งลูกมาอยู่ในท้องของแม่” ดวงตาของฮาเวียร์เบิกกว้าง “แม่ชนะ” ฉันตอบว่า “เราชนะทั้งคู่ เพราะพระเยซูทรงรักเราทั้งคู่ก่อน”
ขณะที่ฮาเวียร์เตรียมพร้อมสำหรับลูกคนแรกของเขาที่กำลังจะถือกำเนิดนั้น ฉันอธิษฐานที่เขาจะมีความสุขกับการแข่งกันแสดงความรักกับลูกชายของเขาขณะที่พวกเขาสร้างความทรงจำที่ดี แต่ในระหว่างที่เตรียมตัวเป็นคุณย่า ฉันรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ฉันรักหลานชายมากตั้งแต่วินาทีที่ฮาเวียร์และภรรยาของเขาบอกว่ากำลังจะมีลูก
อัครสาวกยอห์นยืนยันว่า ความรักที่พระเยซูทรงมีต่อเราทำให้เราสามารถรักตอบพระองค์และรักผู้อื่นได้ (1ยน.4:19) การรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย และทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ข้อ 15-17) เมื่อเราตระหนักถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์ทรงมีต่อเรา (ข้อ 19) เราก็จะสามารถเติบโตขึ้นในการรักพระองค์และแสดงความรักออกมาในความสัมพันธ์อื่นๆ (ข้อ 20) พระเยซูไม่เพียงทรงให้กำลังเราที่จะรักผู้อื่น แต่พระองค์ยังทรงสั่งให้เรารักด้วย “พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย” (ข้อ 21) เมื่อใดที่มีการพูดถึงเรื่องความรัก พระเจ้าจะทรงชนะเสมอ ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถชนะพระเจ้าได้ในเรื่องความรัก