หยิบยื่นความรักของพระเจ้า
วันหนึ่งในฤดูหนาวที่รัฐมิชิแกน พนักงานส่งของเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังขุดหิมะออกจากทางเดินรถของเธอ เขาจึงหยุดและโน้มน้าวหญิงวัยแปดสิบเอ็ดปีที่จะยอมให้เขาช่วยขุดหิมะต่อให้เสร็จ ด้วยความกังวลว่าเขาจะไปส่งของล่าช้า หญิงชราจึงหยิบพลั่วอีกอันหนึ่งออกมา เพื่อนบ้านมองเห็นทั้งสองคนทำงานเคียงข้างกันเกือบสิบห้านาทีจากระยะไกล “ขอบคุณจริงๆที่มาช่วยฉัน” หญิงชราพูด “คุณคือคนที่พระเจ้าทรงส่งมา”
ในระหว่างการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติ พระเยซูได้ทรงให้นิยามใหม่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการรักเพื่อนบ้าน(ลก.10:25-37)เมื่อพระเยซูทรงขอให้เขาอธิบายธรรมบัญญัติที่เขารู้จักดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ข้อ 27)
จากนั้นพระเยซูทรงเล่าเรื่องผู้นำทางศาสนาสองคนที่เมินเฉยเหยื่อที่ถูกปล้น แต่ชาวสะมาเรียที่ผู้นำของชาวยิวในยุคนั้นถือว่าเป็นชนชั้นต่ำ ได้ยอมเสียสละเข้าช่วยชายที่บาดเจ็บ (ข้อ 30-35) เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติได้ตระหนักว่า ชายผู้มีเมตตาต่อเหยื่อคือผู้ที่ได้แสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน พระเยซูจึงหนุนใจเขาให้ทำแบบเดียวกัน (ข้อ 36-37)
การแสดงความรักต่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่ายในทุกครั้ง แต่เมื่อพระเยซูทรงเติมเราให้เต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยให้เรารักเพื่อนบ้านได้เหมือนกับชาวสะมาเรียใจดีนั้น
ต่ำต้อยแต่เป็นที่รักของพระเจ้า
วันหนึ่งฉันทักทายครอบครัวที่มาเยี่ยมคริสตจักรของเรา ฉันคุกเข่าข้างรถเข็นวีลแชร์ของลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา แนะนำให้เธอรู้จักกับแคลลี่สุนัขช่วยเหลือของฉัน และชมแว่นตากับรองเท้าบูทสีชมพูแสนสวยของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มของเธอบอกฉันว่าเธอชอบการสนทนาของเรา เด็กหญิงตัวเล็กอีกคนหนึ่งเข้ามาใกล้โดยไม่ยอมสบตากับเธอ และกระซิบว่า “บอกเธอว่าหนูชอบชุดของเธอ” ฉันพูดว่า “หนูบอกเธอสิ เธอใจดีเหมือนกับหนูเลยนะ” ฉันอธิบายว่าการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ของเรานั้นง่ายมากถึงแม้ว่าเธอจะสื่อสารแตกต่างออกไป อีกทั้งการมองและการยิ้มจะช่วยให้เธอรู้สึกเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักได้
ในพระคัมภีร์และในโลกนี้ ผู้คนมักถูกกันออกไปเพราะพวกเขาถูกมองว่า แตกต่าง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราทรงยกย่องความแตกต่างของเราและเชิญชวนให้เราเข้าสู่สัมพันธภาพกับพระองค์และครอบครัวของพระองค์ ในสดุดี 138 ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ต่อหน้าบรรดาพระ” (ข้อ 1) ท่านกล่าวด้วยว่า “ถึงแม้พระเจ้านั้นสูงยิ่ง” แต่พระองค์ “ทรงเห็นแก่คนต่ำต้อย” (ข้อ 6)
พระเจ้าผู้สูงส่งและบริสุทธิ์ทอดพระเนตรด้วยพระเมตตามาที่เรา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง โดยเฉพาะเมื่อเราถ่อมตัวลง ขณะที่เราขอให้พระองค์ทรงช่วยให้เรามองและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเมตตา เราสามารถขอบคุณพระองค์ที่ทรงยืนยันว่าแม้เราต่ำต้อยแต่ก็เป็นที่รัก!
ดีกว่าชีวิต
หลังจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดอีกครั้ง ฉันได้ไปพักผ่อนที่ภูเขากับสามีและคนอื่นๆ ฉันเดินขึ้นบันไดไม้ที่นำไปสู่โบสถ์เล็กๆบนยอดเขาอย่างเหน็ดเหนื่อย ฉันหยุดพักบนขั้นบันไดที่หักเพียงลำพังในความมืด “พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วย” ฉันกระซิบขณะที่เสียงดนตรีเริ่มขึ้น ฉันเดินอย่างช้าๆจนไปถึงห้องเล็กๆ ฉันสูดลมหายใจผ่านความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงได้ยินเราในถิ่นทุรกันดารที่ยากลำบาก!
ช่วงเวลาแห่งการนมัสการพระเจ้าที่ลึกซึ้งที่สุดหลายครั้งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์นั้นเกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดาร ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ที่ทะเลทรายยูดาห์และอาจกำลังวิ่งหนีจากบุตรชายของตนเอง คือ อับซาโลม กษัตริย์ดาวิดทรงร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์” (สดด.63:1) ดาวิดมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจและในพระสิริของพระเจ้า พระองค์จึงบอกว่าความรักของพระเจ้า “ดีกว่าชีวิต” (ข้อ 3) และนั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงอุทิศทั้งชีวิตในการนมัสการ แม้ในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 2-6) ดาวิดตรัสว่า “เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 7-8)
ดังเช่นดาวิดที่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรหรือสิ่งที่ต่อต้านเราจะรุนแรงแค่ไหน เราก็สามารถแสดงความมั่นใจในพระเจ้าได้โดยการสรรเสริญพระองค์ (ข้อ 11) แม้ว่าเราจะทุกข์ยาก และบางครั้งไม่ได้มาจากความผิดของเรา เรายังคงวางใจได้ว่าความรักของพระเจ้านั้นดีกว่าชีวิตเสมอ
คืนให้กับพระเจ้า
ในปีหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรเชิญชวนให้เราถวายเพิ่มจากการถวายประจำแต่ละสัปดาห์ เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการสร้างโรงยิมซึ่งเราจะสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวในชุมชนได้ หลังจากที่ไตร่ตรองด้วยการอธิษฐานโดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่มีผู้พิการ ฉันถามสามีว่า “คุณแน่ใจหรือว่าเราทำสิ่งนี้ได้” เขาพยักหน้าและพูดว่า “เราไม่ได้ให้อะไรกับพระเจ้านอกจากสิ่งที่เป็นของพระองค์อยู่แล้ว” เขาพูด “พระองค์จะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น” และพระองค์ทำจริงๆ! สิบกว่าปีต่อมาคริสตจักรของเรายังคงมีโอกาสได้รับใช้พระเยซูด้วยการรับใช้ผู้คนในโรงยิมนั้น
ใน 1 พงศาวดาร 29 กษัตริย์ดาวิดทรงแสดงให้พวกผู้นำของอิสราเอลเห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนซาโลมอนโอรสของพระองค์ในฐานะที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้สืบทอดและผู้ที่จะสร้างพระวิหาร (ข้อ 1-5) ทุกคนตอบรับตามนั้นโดย “ถวายด้วยความเต็มใจ” และ “เปรมปรีดิ์” (ข้อ 6,9) ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าและประกาศว่า “บรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก” เป็นของพระองค์ (ข้อ 11) พระองค์ทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ของมากมายเหล่านี้ทั้งสิ้นซึ่งข้าพระองค์จัดหาเพื่อสร้างพระนิเวศถวายแด่พระองค์ เพื่อพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์มาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น” (ข้อ 16)
เมื่อเราพิจารณาดูทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำและมอบให้กับเรา โดยเฉพาะของขวัญแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู ขอให้เรานมัสการและแสดงความขอบคุณและความรักโดยการถวายคืนให้กับพระเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งดีทั้งปวง!
ความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ตอนที่เซเวียร์ยังเด็ก ฉันอ่านนิทานกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่ต่อต้านครู ด้วยการตั้งชื่อเพื่อใช้เรียกปากกา นักเรียนคนนี้โน้มน้าวเพื่อนร่วมชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้ใช้ชื่อใหม่ที่เขาตั้งขึ้นสำหรับปากกา ข่าวเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ใช้แทนนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ในที่สุดผู้คนทั่วประเทศก็เปลี่ยนวิธีเรียกชื่อปากกา เพียงเพราะคนอื่นๆยอมรับความจริงที่เด็กชายคนหนึ่งแต่งขึ้นว่าเป็นความจริงสากล
ในตลอดประวัติศาสตร์ มนุษย์ที่มีข้อบกพร่องได้ยอมรับรูปแบบของความจริงที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาหรือยอมรับความเป็นจริงตามที่ตัวเองเห็นชอบเพื่อให้เหมาะกับความปรารถนาของตน อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นความจริงหนึ่งเดียว คือพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และทางเดียวที่นำไปสู่ความรอดคือโดยทางพระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่ง “เผยพระสิริของพระเจ้า” (อสย.40:5) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ยืนยันว่ามนุษย์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้าง คือเป็นสิ่งชั่วคราว ผิดพลาดได้ และไม่สามารถพึ่งพาได้ (ข้อ 6-7) ท่านกล่าวว่า “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 8)
คำพยากรณ์ของอิสยาห์ในเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้วางรากฐานที่เชื่อถือได้ เป็นที่ลี้ภัยอันปลอดภัยและความหวังอันมั่นคง เราไว้วางใจในพระดำรัสของพระเจ้าได้เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระวาทะนั้น (ยน.1:1) พระเยซูทรงเป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พระบิดาผู้ทรงไว้วางใจได้
เซเวียร์ลูกชายของฉันที่สูง 190 เซนติเมตร ได้ยกตัวเซเรียนลูกวัยหัดเดินอารมณ์ดีของเขาชูขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย เขาใช้มืออันใหญ่โตนั้นจับเท้าเล็กๆของลูกชายไว้ ทำให้สองเท้ามั่นคงอยู่ในฝ่ามือของเขา เขาเหยียดแขนออกและบอกให้ลูกชายทรงตัวด้วยตัวเองโดยมืออีกข้างที่ว่างอยู่คอยเตรียมพร้อมรอรับ เซเรียนยืดขาออกและยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างและแขนสองข้างปล่อยลงข้างตัว ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สายตาของพ่อ
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงข้อดีของการจดจ่อที่พระบิดาของเราในสวรรค์ “ใจแน่วแน่นั้นพระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อสย.26:3) ท่านหนุนใจให้คนของพระเจ้าทุ่มเทที่จะแสวงหาพระองค์จากพระคัมภีร์ และติดสนิทกับพระองค์ผ่านคำอธิษฐานและการนมัส-การ คนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อจะมีความไว้วางใจอันมั่นคงที่ถูกสร้างผ่านความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระบิดา
ในฐานะลูกที่รักของพระเจ้า เราป่าวร้องด้วยความกล้าหาญได้ว่า “จงวางใจในพระเจ้าเป็นนิตย์เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลานิรันดร์” (ข้อ 4) เพราะพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงไว้วางใจได้ พระองค์และพระคำของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระบิดาในสวรรค์ของเรา พระองค์จะทรงให้เท้าของเราตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงรัก สัตย์ซื่อ และดีต่อเราตลอดไป!
พระเจ้าทรงใช้เรื่องราวของเรา
ฉันเปิดกล่องความทรงจำแล้วดึงเข็มกลัดสีเงินอันเล็กๆซึ่งมีขนาดและรูปร่างเท่ากับเท้าของทารกในครรภ์อายุ 10 สัปดาห์ออกมา ขณะที่สัมผัสนิ้วเท้าเล็กๆทั้งสิบนิ้ว ฉันนึกถึงตอนที่ต้องสูญเสียลูกในครรภ์คนแรกไป และคนที่บอกว่าฉัน “โชคดี” ที่ไม่ได้อุ้มท้อง “ไปนานกว่านั้น” ฉันโศกเศร้าเมื่อรู้ว่าเท้าของลูกนั้นเหมือนกับหัวใจดวงน้อยที่เคยเต้นอยู่ในครรภ์ของฉันจริงๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยปลดปล่อยฉันจากภาวะซึมเศร้าและใช้เรื่องราวนี้เพื่อปลอบโยนคนที่ต้องเสียใจจากการสูญเสียลูก เป็นเวลากว่า 20 ปีหลังจากที่ฉันแท้งลูก ฉันและสามีได้ตั้งชื่อลูกที่เสียไปว่า ไค ซึ่งในบางภาษาแปลว่า “ชื่นชมยินดี” แม้ว่าฉันยังคงเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเยียวยาหัวใจและใช้เรื่องราวของฉันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ผู้เขียนสดุดี 107 ชื่นชมยินดีในพระลักษณะของพระเจ้าและร้องสรรเสริญ “จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (ข้อ 1) พระองค์ทรงเรียกร้องให้ “ผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้” เล่าเรื่องราวของพวกเขา (ข้อ 2) “ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (ข้อ 8) พระองค์ทรงหยิบยื่นความหวังพร้อมกับพระสัญญาที่บอกว่า พระเจ้าผู้เดียวที่ “ทรงให้เขาอิ่ม และผู้ที่หิว พระองค์ทรงให้เขาหนำใจด้วยของดี” (ข้อ 9)
ไม่มีใครหลีกหนีความเศร้าโศกหรือความทุกข์ใจได้ แม้แต่คนที่ได้รับการไถ่ผ่านการสละพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ แต่เราสามารถสัมผัสถึงพระเมตตาของพระเจ้าได้เมื่อพระองค์์ทรงใช้เรื่องราวของเรา เพื่อนำผู้อื่นมาถึงความรักแห่งการทรงไถ่ของพระองค์
พระเจ้าทรงได้ยินเรา
นักเรียนชั้นป.1 โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ 911 “ผมต้องการความช่วยเหลือ” เด็กชายบอก “ผมต้องทำโจทย์ลบเลข” เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งได้ยินเสียงผู้หญิงเข้ามาในห้องและพูดว่า “จอห์นนี่ ลูกทำอะไร” จอห์นนี่อธิบายว่าเขาทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้ เขาจึงทำตามที่แม่สอนไว้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ โดยโทรหา 911 สำหรับจอห์นนี่แล้ว ความต้องการของเขาขณะนั้นคือเรื่องฉุกเฉิน และสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้มีเมตตา การช่วยเด็กชายทำการบ้านเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ณ เวลานั้น
เมื่อดาวิดผู้เขียนสดุดีต้องการความช่วยเหลือ ท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร” (สดด.39:4) ท่านพูดว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ใน” พระเจ้า (ข้อ 7) ท่านร้องขอให้พระเจ้าทรงรับฟังและตอบ “การร้องทูล” ของท่าน (ข้อ 12) น่าแปลกที่จากนั้นท่านขอให้พระเจ้าทรง “เมินพระพักตร์จาก” ท่าน (ข้อ 13) แม้ความต้องการของดาวิดไม่ได้ถูกเปิดเผย แต่ในตลอดพระคัมภีร์นั้นท่านประกาศว่าพระเจ้าจะสถิตกับท่าน สดับฟัง และตอบคำอธิษฐานของท่านเสมอ
ความมั่นใจที่เรามีในพระเจ้าผู้ทรงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์ที่แปรปรวนได้ ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าไม่มีคำทูลขอใดที่เล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับพระองค์ผู้ไม่เคยเปลี่ยนไป พระองค์ทรงได้ยินเรา ทรงห่วงใย และตอบทุกคำร้องทูลอธิษฐานของเรา
ดูเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น
พระเจ้าทรงออกแบบให้นกฮูกเทาใหญ่เป็นเจ้าแห่งการพรางตัว ขนสีเทาเงินของมันมีรูปแบบของกลุ่มสีที่ช่วยให้มันกลมกลืนไปกับเปลือกไม้เวลาเกาะอยู่บนต้นไม้ เวลาที่นกฮูกไม่ต้องการให้ใครเห็น มันจะซ่อนตัวขณะอยู่ในที่โล่งโดยใช้การอำพรางตัวด้วยขนที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
คนของพระเจ้ามักจะทำตัวเป็นเหมือนนกฮูกสีเทามากจนเกินไป เราสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับโลกได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ คือคนเหล่านั้นที่พระบิดาประทานแก่พระองค์ “จากมวลมนุษย์โลก” ผู้ “ปฏิบัติตาม” พระวจนะของพระองค์ (ยน.17:6) พระเจ้าพระบุตรทูลขอพระเจ้าพระบิดาให้ทรงปกป้องและเสริมกำลังพวกเขาในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และยังคงชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์จากไป (ข้อ 7-13) พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” (ข้อ 15) พระเยซูทรงทราบว่าสาวกของพระองค์จำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกแยกไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ที่พระองค์ทรงใช้ให้พวกเขามาทำให้สำเร็จ (ข้อ 16-19)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถช่วยเราจากการถูกล่อลวงให้กลายเป็นเจ้าแห่งการพรางตัวเพื่อจะกลมกลืนกับโลก เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ในทุกวัน เราก็จะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตในความรักและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พระองค์จะทรงนำผู้อื่นมาถึงพระคริสต์โดยพระสิริทั้งสิ้นของพระองค์