ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

วันที่ 6 – พระคุณสำหรับวันนี้ | พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยพระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ

พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท่วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้

พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว เพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา

เขียนโดย โซชิลท์ ดิกซัน

คิดใคร่ครวญ :
คุณพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรไว้จากพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นหรือทุกข์ใจกับพระเจ้า

อธิษฐาน :
พระบิดาผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณที่ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์มีความรู้สึกและจำเป็นต้องจัดการกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้

วันที่ 6 - พระคุณสำหรับวันนี้ | พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยพระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ

พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท่วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้

พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว เพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา

เขียนโดย โซชิลท์ ดิกซัน

คิดใคร่ครวญ :
คุณพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรไว้จากพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นหรือทุกข์ใจกับพระเจ้า

อธิษฐาน :
พระบิดาผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณที่ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์มีความรู้สึกและจำเป็นต้องจัดการกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้

เชื่อฟังด้วยความรัก

ในพิธีแต่งงานของเรา ผู้ประกอบพิธีกล่าวกับฉันว่า “คุณสัญญาว่าจะรัก ให้เกียรติและเชื่อฟังสามีของคุณ จนกว่าความตายจะแยกจากกันไหม” ฉันชำเลืองมองคู่หมั้น แล้วกระซิบว่า “เชื่อฟังเหรอ” เราสร้างความสัมพันธ์ของเราด้วยความรักและความเคารพ ไม่ใช่การเชื่อฟังอย่างมืดบอดตามที่คำปฏิญาณดูเหมือนจะบอกเป็นนัย พ่อของสามีถ่ายรูปตอนฉันเบิกตากว้างขณะประมวลผลคำว่า เชื่อฟัง แล้วตอบว่า “ฉันสัญญา”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าเปิดเผยว่า การที่ฉันต่อต้านคำว่า เชื่อฟัง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งระหว่างสามีกับภรรยา ฉันเข้าใจว่า เชื่อฟัง หมายถึง “ถูกบีบคั้น” หรือ “ยอมเพราะถูกบังคับ” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์สนับสนุน ตรงกันข้ามคำว่า เชื่อฟัง ในพระคัมภีร์แสดงถึงวิธีต่างๆ ที่เราจะรักพระเจ้าได้ เมื่อฉันกับสามีฉลองครบรอบแต่งงานสามสิบปี เรายังคงเรียนรู้ที่จะรักพระเยซูและรักกันและกันโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยน.14:15) ทรงแสดงให้เราเห็นว่าการเชื่อฟังพระคัมภีร์นั้นเป็นผลลัพธ์ที่มาจากความรักและความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ (ข้อ 16-21)

ความรักของพระเยซูนั้นไม่คำนึงถึงตัวเอง ไม่มีเงื่อนไขและไม่เคยบังคับหรือกดขี่ เมื่อเราติดตามและถวายเกียรติแด่พระองค์ในความสัมพันธ์ทั้งหมดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้เราเห็นว่า การเชื่อฟังพระองค์เป็นการแสดงถึงความไว้วางใจและการนมัสการที่กอปรด้วยปัญญาและเปี่ยมด้วยความรัก

ไม่มีทางชนะพระเจ้าในเรื่องความรัก

ตอนที่ฮาเวียร์ลูกชายของฉันซึ่งตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอยู่อนุบาล เขากางแขนออกกว้างและพูดว่า “ผมรักแม่มากขนาดนี้” ฉันยืดแขนที่ยาวกว่าออกและพูดว่า “แม่รักลูกมากขนาดนี้” เขายืนกำหมัดเท้าเอวและพูดว่า “ผมรักแม่ก่อน” ฉันส่ายหน้า “แม่รักลูกก่อนตั้งแต่พระเจ้าส่งลูกมาอยู่ในท้องของแม่” ดวงตาของฮาเวียร์เบิกกว้าง “แม่ชนะ” ฉันตอบว่า “เราชนะทั้งคู่ เพราะพระเยซูทรงรักเราทั้งคู่ก่อน”

ขณะที่ฮาเวียร์เตรียมพร้อมสำหรับลูกคนแรกของเขาที่กำลังจะถือกำเนิดนั้น ฉันอธิษฐานที่เขาจะมีความสุขกับการแข่งกันแสดงความรักกับลูกชายของเขาขณะที่พวกเขาสร้างความทรงจำที่ดี แต่ในระหว่างที่เตรียมตัวเป็นคุณย่า ฉันรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ฉันรักหลานชายมากตั้งแต่วินาทีที่ฮาเวียร์และภรรยาของเขาบอกว่ากำลังจะมีลูก

อัครสาวกยอห์นยืนยันว่า ความรักที่พระเยซูทรงมีต่อเราทำให้เราสามารถรักตอบพระองค์และรักผู้อื่นได้ (1ยน.4:19) การรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย และทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ข้อ 15-17) เมื่อเราตระหนักถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์ทรงมีต่อเรา (ข้อ 19) เราก็จะสามารถเติบโตขึ้นในการรักพระองค์และแสดงความรักออกมาในความสัมพันธ์อื่นๆ (ข้อ 20) พระเยซูไม่เพียงทรงให้กำลังเราที่จะรักผู้อื่น แต่พระองค์ยังทรงสั่งให้เรารักด้วย “พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย” (ข้อ 21) เมื่อใดที่มีการพูดถึงเรื่องความรัก พระเจ้าจะทรงชนะเสมอ ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถชนะพระเจ้าได้ในเรื่องความรัก

พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์

ทารกน้อยเกรแฮมร้องโวยวายและดิ้นไปมาขณะที่แม่จับเขาวางไว้บนตักเพื่อให้หมอใส่เครื่องช่วยฟังเครื่องแรกให้กับเขา เมื่อหมอเปิดเครื่องช่วยฟัง เกรแฮมหยุดร้องไห้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และเขายิ้ม เขาได้ยินเสียงแม่กำลังปลอบโยน ให้กำลังใจและเรียกชื่อของเขา

ทารกน้อยเกรแฮมได้ยินเสียงแม่พูด แต่เขาต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้ที่จะจดจำเสียงของแม่และเข้าใจความหมายที่แม่พูด พระเยซูทรงเชิญชวนให้คนเข้ามาสู่กระบวนการเรียนรู้ที่คล้ายกันนี้ เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว เราก็กลายเป็นลูกแกะที่พระองค์ทรงรู้จักอย่างใกล้ชิดและทรงนำเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (ยน.10:3) เราจะวางใจและเชื่อฟังพระองค์มากขึ้นเมื่อเราฝึกที่จะฟังและจดจ่อกับเสียงของพระองค์ (ข้อ 4)

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนังทรงตรัสกับประชากรโดยตรง ในปัจจุบัน ผู้เชื่อในพระเยซูเข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พระองค์ช่วยให้เราเข้าใจและเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าที่พระองค์ทรงดลใจและบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราสามารถสื่อสารกับพระเยซูได้โดยตรงผ่านการอธิษฐาน ในขณะที่พระองค์ทรงตรัสกับเราผ่านพระวจนะและผ่านคนของพระองค์ เมื่อเราเริ่มรู้จักเสียงของพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับพระคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เสมอนั้น เราก็จะสามารถร้องสรรเสริญด้วยใจขอบพระคุณได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์!”

ผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า

เมื่อฉันเข้าร่วมกลุ่มผู้เขียนหนังสือคริสเตียนสำหรับเด็ก ซึ่งอธิษฐานเผื่อและช่วยประชาสัมพันธ์หนังสือของกันและกัน มีบางคนบอกว่าพวกเรา “โง่เขลาที่ทำงานกับคู่แข่ง” แต่กลุ่มของเรายึดในหลักการภาวะผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และส่งเสริมชุมชน ไม่ใช่แข่งขันกัน เรามีเป้าหมายเดียวกันคือเผยแพร่พระกิตติคุณ เรารับใช้กษัตริย์องค์เดียวกันคือพระเยซู เมื่อร่วมมือกันเราจะเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์

เมื่อพระเจ้าบอกให้โมเสสเลือกผู้อาวุโสในอิสราเอลซึ่งมีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำมาเจ็ดสิบคน พระองค์ตรัสว่า “เราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง” (กดว.11:16-17) ต่อมาโยชูวาเห็นผู้อาวุโสสองคนกำลังเผยพระวจนะ จึงมาแจ้งโมเสสให้ห้ามพวกเขา โมเสสกล่าวว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนเราหรือ เราใคร่ให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และใคร่ให้พระเจ้าทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนเขาเหล่านั้น” (ข้อ 29)

เมื่อใดก็ตามที่เราจดจ่อกับการแข่งขันหรือการเปรียบเทียบซึ่งขัดขวางเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถประทานกำลังให้เราหลีกเลี่ยงการทดลองนั้น เมื่อเราทูลขอพระเจ้าให้ทรงบ่มเพาะเราที่จะมีภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงเผยแพร่พระกิตติคุณออกไปได้ทั่วโลก และยังสามารถแบ่งเบาภาระของเราเมื่อเรารับใช้พระองค์ร่วมกัน

พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง

ฮาเวียร์ลูกชายวัยสามขวบบีบมือฉันแน่นขณะที่เราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมอนเทอรี่ เบย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย “มันใหญ่มาก!” เขาพูดขณะที่ชี้ไปยังรูปปั้นวาฬหลังค่อมขนาดเท่าตัวจริงที่ห้อยลงมาจากเพดาน ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างอย่างมีความสุขขณะที่เราเดินสำรวจไปตามส่วนจัดแสดงต่างๆเราหัวเราะขณะที่ตัวนากพ่นน้ำใส่คนที่ป้อนอาหารให้กับมัน เรายืนดูอยู่เงียบๆหน้าตู้ปลาขนาดใหญ่ และตื่นตาตื่นใจไปกับแมงกะพรุนสีน้ำตาลทองที่เต้นระบำอยู่ในน้ำสีฟ้าสดใส ฉันบอกลูกว่า “พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในมหาสมุทร เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างแม่และลูก” ฮาเวียร์กระซิบเบาๆว่า “ว้าว”

ในสดุดีบทที่ 104 ผู้เขียนสดุดีรับรู้ถึงพระราชกิจอันมากมายของพระเจ้าและร้องบทเพลงว่า “พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด” (ข้อ 24) พระเจ้าตรัสว่ามี “ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่” (ข้อ 25) ผู้เขียนประกาศถึงการจัดเตรียมอย่างเหลือเฟือของพระเจ้าที่ทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นอิ่มหนำ (ข้อ 27-28) และยังยืนยันด้วยว่า พระเจ้าเป็นผู้กำหนดวันเวลาแห่งการดำรงอยู่ของแต่ละชีวิต (ข้อ 29-30)

เราสามารถร้องประกาศไปพร้อมกับผู้เขียนสดุดีว่า “ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า” (ข้อ 33) สัตว์ทุกตัวที่ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สามารถนำเราไปสู่การสรรเสริญได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างพวกมันทั้งหมด

ในพระหัตถ์แห่งรักของพระเจ้า

หลังจากมีปัญหาด้านสุขภาพอีกครั้ง ฉันรู้สึกกลัวในสิ่งที่ไม่รู้และควบคุมไม่ได้ วันหนึ่งขณะอ่านบทความในนิตยสารฟอร์บส์ ฉันจึงรู้ว่านักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถึง “อัตราความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก” ที่เพิ่มขึ้นและประกาศว่าโลก “โคลงเคลง” และ “หมุนเร็วขึ้น” พวกเขากล่าวว่าเรา “อาจจะต้อง ‘ลบวินาที’ ออกเป็นครั้งแรก คือการลบวินาทีออกจากเวลามาตรฐานโลกอย่างเป็นทางการ” แม้ว่าเสี้ยววินาทีจะดูเหมือนไม่ได้สูญเสียมากนัก แต่ความรู้ที่ว่าการหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงได้นั้นเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉัน แม้แต่ความไม่มั่นคงเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ความเชื่อของฉันโอนเอนได้ อย่างไรก็ตามการรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ช่วยให้ฉันวางใจในพระองค์ไม่ว่าสิ่งที่เราไม่รู้จะน่ากลัวแค่ไหนหรือสถานการณ์ของเราจะดูสั่นคลอนเพียงใด

ในสดุดีบทที่ 90 โมเสสกล่าวว่า “ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” (ข้อ 2) โมเสสยอมรับในอำนาจ การควบคุมและความรอบรู้อันไม่จำกัดของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ท่านจึงประกาศว่าเวลาไม่อาจจำกัดพระเจ้าได้ (ข้อ 3-6)

เมื่อเราแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้าและโลกอันอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงสร้างมากขึ้น เราจะพบว่าพระองค์ยังทรงบริหารจัดการเวลาและสรรพสิ่งทรงสร้างอย่างสมบูรณ์แบบ เราไว้วางใจพระเจ้าได้ในทุกสิ่งทั้งที่ไม่รู้และที่เพิ่งค้นพบในชีวิตของเราได้ สิ่งทรงสร้างทั้งสิ้นยังคงปลอดภัยในพระหัตถ์แห่งความรักของพระเจ้า

วงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระเจ้า

ในฐานะผู้เชื่อใหม่ในพระเยซูในวัย 30 ปี ฉันมีคำถามมากมายหลังจากมอบชีวิตให้พระองค์ เมื่อฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ฉันก็ยิ่งมีคำถามมากขึ้น ฉันจึงขอคำปรึกษาจากเพื่อนว่า “ฉันจะเชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดของพระเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเช้านี้ฉันเพิ่งจะตะคอกใส่สามี!”

“ขอให้อ่านพระคัมภีร์ต่อไป” เธอบอก “และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เธอรักเหมือนที่พระเยซูรักเธอ”

หลังจากใช้ชีวิตในฐานะลูกของพระเจ้ามากว่ายี่สิบปี ความจริงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนั้นยังคงช่วยให้ฉัน ยอมรับสามขั้นตอนในวงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระองค์ ประการแรก อัครทูตเปาโลยืนยันว่าความรักนั้นเป็นศูนย์กลางในชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซู ประการที่สอง ผู้ติดตามพระคริสต์จะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง โดยการจ่ายหนี้ “ความรักซึ่งมีต่อกัน” อยู่เสมอ “เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามบัญญัติครบถ้วนแล้ว” (รม.13:8) ประการสุดท้าย เราได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน เพราะ “ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย” (ข้อ 10)

เมื่อเราได้สัมผัสถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา ซึ่งสำแดงให้เราเห็นได้ดีที่สุดผ่านการเสียสละของพระคริสต์บนกางเขน ทำให้เราตอบสนองโดยการขอบพระคุณด้วยใจกตัญญูได้ การถวายตัวด้วยใจขอบพระคุณพระเยซูนั้นนำเราไปสู่การรักผู้อื่นด้วยคำพูด การกระทำและทัศนคติของเรา ความรักที่แท้จริงนั้นหลั่งไหลมาจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงเป็นความรัก (1ยน.4:16, 19)

ข้าแต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก โปรดช่วยเราทั้งหลายที่จะมีส่วนในวงจรความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา