การทดสอบ
ครั้งแรกที่ผมพาพวกลูกชายของผมไปปีนเขาโคโรลาโดฟอร์ทีนเนอร์ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงไม่น้อยกว่า 14,000 ฟุต พวกเขารู้สึกกังวล พวกเขาจะทำสำเร็จไหม พวกเขาพร้อมสำหรับความท้าทายนี้หรือยัง ลูกคนสุดท้องหยุดพักบ่อยๆตลอดทาง “พ่อ ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว” เขาพูดซ้ำๆ แต่ผมเชื่อว่าการทดสอบนี้ดีสำหรับพวกเขา และผมอยากให้เขาวางใจผม ราว 1.6 กิโลเมตรก่อนถึงยอดเขา ลูกคนที่ยืนกรานว่าไปต่อไม่ไหวรวบรวมพลังอีกครั้งและแซงหน้าพวกเราไปถึงจุดสูงสุด เขาดีใจมากที่วางใจผมแม้จะมีความกลัว
ผมประหลาดใจในความวางใจของอิสอัคที่มีต่อบิดาขณะที่พวกเขาเดินขึ้นเขา ยิ่งกว่านั้นผมพ่ายแพ้ให้กับความวางใจในพระเจ้าของอับราฮัมขณะที่ท่านยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชาย (ปฐก.22:10) แม้จิตใจจะสับสนและว้าวุ่นแต่อับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้า โดยพระเมตตาทูตสวรรค์ได้หยุดยั้งท่านไว้ “อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย” ทูตของพระเจ้าพูด (ข้อ 12) พระเจ้าไม่เคยมีพระประสงค์ให้อิสอัคตาย
เมื่อเปรียบเทียบเรื่องราวที่พิเศษนี้กับชีวิตของเราด้วยการไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตประโยคแรกให้ดี “พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม” (ข้อ 1) จากการทดสอบอับราฮัมได้เรียนรู้ว่าท่านไว้วางใจพระเจ้ามากเพียงไร ท่านค้นพบหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า และการจัดเตรียมที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์
ในท่ามกลางความสับสน ความมืดมิดและการทดสอบของเรา เราได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเราและพระเจ้าของเรา และเราอาจพบว่าการทดสอบนำเราไปสู่ความวางใจในพระเจ้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ความจริง คำโกหก และการตัดสินผู้อื่น
ในฤดูกาลแข่งขันเบสบอลปี 2018 โค้ชทีมชิคาโก คับส์อยากจะให้ลูกเบสบอลแก่เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งติดกับที่นั่งนักกีฬา แต่เมื่อโค้ชโยนลูกบอลไปทางเด็กคนนั้น ชายคนหนึ่งคว้าลูกบอลนั้นไปแทน คลิปเหตุการณ์นี้ถูกส่งต่ออย่างกว้างขวาง สำนักข่าวและสื่อโซเชียลรุมโจมตีชายคนนั้น แต่คนที่เห็นคลิปไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด ก่อนหน้านั้นชายคนนี้ได้ช่วยเด็กชายเก็บลูกบอลที่ตีเสียและพวกเขาตกลงกันว่าจะแบ่งลูกบอลกัน น่าเศร้าที่กว่าเรื่องจริงจะปรากฏในอีก24 ชั่วโมงต่อมา ฝูงชนก็ได้สร้างความเสียหายโดยปรักปรำชายผู้บริสุทธิ์ให้กลายเป็นคนชั่วไปเสียแล้ว
บ่อยครั้งที่เราคิดว่าเรารู้ความจริงทั้งหมดทั้งที่เรารู้แค่เพียงบางส่วน ในวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ชอบจับผิด คลิปภาพสั้นๆกับข้อความยั่วยุในทวิตเตอร์ทำให้คนเราประณามกันได้ง่ายๆโดยไม่ต้องฟังความให้ครบถ้วน แต่พระวจนะเตือนเราว่า “อย่านำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆกัน” (อพย.23:1) เราต้องทำทุกทางเพื่อยืนยันความจริงก่อนจะกล่าวหาอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีส่วนในการโกหก เราควรระมัดระวังเวลาที่วิญญาณแห่งการตัดสินผู้อื่นเข้าครอบงำ หรือเมื่อใดก็ตามที่โทสะปะทุขึ้นและคลื่นแห่งการตัดสินผู้อื่นถาโถม เราต้องป้องกันตนเองจากการ “ทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมาก” (ข้อ 2)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ขอพระเจ้าทรงช่วยเราไม่ให้เผยแพร่ความเท็จ ขอพระองค์ประทานสิ่งจำเป็นเพื่อเราจะแสดงออกถึงสติปัญญาและทำให้แน่ใจว่าคำพูดของเราเป็นความจริง
ปัญหาที่ดี
เมื่อจอห์น ลูอิสสมาชิกรัฐสภาอเมริกันและผู้นำด้านสิทธิพลเมืองเสียชีวิตใน ปี 2020 ผู้คนจากหลากหลายความเชื่อทางการเมืองต่างโศกเศร้า ในปี 1965 ลูอิสเดินขบวนร่วมกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์เพื่อเรียกร้องสิทธิ์การออกเสียงเลือกตั้งให้กับประชาชนผิวดำ เหตุการณ์ขณะเดินขบวนทำให้ลูอิสกะโหลกร้าวซึ่งทิ้งรอยแผลเป็นไว้กับเขาตลอดชีวิต “เมื่อคุณเห็นบางสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค” ลูอิสกล่าว “คุณมีหน้าที่อันชอบธรรมที่จะพูดและทำบางสิ่ง” เขากล่าวเสริมว่า “จงอย่ากลัวที่จะส่งเสียงและยอมมีปัญหาในเรื่องที่ดีและจำเป็น”
ลูอิสเรียนรู้ก่อนหน้านั้นว่าการทำสิ่งที่ถูกต้อง และการสัตย์ซื่อต่อความจริงนั้น จำเป็นจะต้องยอมสร้างปัญหาที่ “ดี” เขาจำเป็นต้องพูดสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม ผู้เผยพระวจนะอาโมสรู้ถึงสิ่งนี้เช่นกัน เมื่อเห็นความบาปและความอยุติธรรมในอิสราเอล ท่านไม่สามารถทนเงียบอยู่ได้ อาโมสประณามเหล่าผู้มีอำนาจว่ากดขี่ “คนชอบธรรม...รับสินบนและขับไล่คนขัดสนออกไปเสียจากประตูเมือง” ขณะที่พวกเขาสร้าง “ตึก” และ “สวนองุ่นที่ร่มรื่น” (อมส.5:11-12) แทนที่จะอยู่อย่างปลอดภัย สะดวกสบายและหลีกเลี่ยงอันตราย อาโมสกลับออกมาประณามความชั่วร้าย ผู้เผยพระวจนะได้ยอมสร้างปัญหาที่ดีและจำเป็น
แต่ปัญหานี้มีเป้าหมายเพื่อบางสิ่งที่ดี คือความยุติธรรมสำหรับทุกคน “แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลอย่างน้ำ” อาโมสประกาศ (ข้อ 24) เมื่อเรายอมเข้าไปในปัญหาที่ดี (ที่ชอบธรรม และไร้ความรุนแรง) เป้าหมายนั้นคือเพื่อความดีงามและการเยียวยาเสมอ
ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
เมื่อพรรคนาซีเกณฑ์ ฟรานซ์ เยเกอร์สแตทเตอร์ ให้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาสำเร็จการฝึกทหารชั้นต้นแล้วแต่ปฏิเสธที่จะปฏิญาณตนแสดงความภักดีต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ฟรานซ์กลับไปที่ฟาร์ม แต่ต่อมากลับเรียกเขาเข้าประจำการ เมื่อเห็นอุดมการณ์ของนาซีอย่างใกล้ชิดและรู้ถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิว เขาเลือกที่จะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าซึ่งแปลว่าเขาไม่สามารถต่อสู้เพื่อนาซี เขาถูกจับกุมและประหารชีวิต ทิ้งภรรยาและลูกสาวสามคนไว้เบื้องหลัง
หลายต่อหลายปีที่ผู้เชื่อในพระเยซูมากมายต้องเสี่ยงชีวิตเพราะพวกเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นเมื่อถูกสั่งห้ามไม่ให้เชื่อฟังพระเจ้า เรื่องของดาเนียลคือหนึ่งในนั้น เมื่อมีราชโองการข่มขู่ว่าใครก็ตามที่ “ทูลขอต่อพระหรือมนุษย์นอกเหนือ [พระราชา]” (ดนล.6:12) ผู้นั้นจะถูกโยนลงในถ้ำสิงห์ ดาเนียลไม่ห่วงความปลอดภัยของตนและยังคงสัตย์ซื่อ “ท่านก็คุกเข่าลงวันละสามครั้งอธิษฐาน และโมทนาพระคุณต่อพระเจ้าของท่าน ดังที่ท่านได้เคยกระทำมาแต่ก่อน” (ข้อ 10) ผู้เผยพระวจนะคุกเข่าต่อพระเจ้า และเพียงพระเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรก็ตาม
บางครั้งทางเลือกของเราก็ชัดเจน แม้ทุกคนรอบตัวจะขอร้องให้เราเห็นด้วยกับความคิดส่วนใหญ่ แม้จะกระทบต่อชื่อเสียงและความเป็นอยู่ของเราขอให้เราอย่าหันไปจากการเชื่อฟังพระเจ้า แม้บางครั้งต้องสูญเสียมหาศาล แต่ทั้งหมดที่เราทำได้คือการปฏิเสธอย่างหนักแน่น
การช่วยกู้จากพระเจ้า
หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดี เจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถไปตามทางรถไฟพร้อมส่องไฟฉายแรงสูงไปในความมืดจนมองเห็นรถคันหนึ่งจอดคร่อมรางรถไฟอยู่ กล้องติดรถยนต์จับภาพเหตุการณ์ระทึกใจที่รถไฟกำลังแล่นมาทางรถยนต์คันนั้น นายตำรวจนั้นพูดว่า “รถไฟเคลื่อนมาด้วยความเร็วราวแปดสิบถึงร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง” เขาไม่ลังเลที่จะรีบดึงชายหมดสติออกจากรถเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่รถไฟจะพุ่งเข้าชน
พระคัมภีร์เปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยกู้ที่ทันเวลา เมื่ออิสราเอลติดอยู่ในอียิปต์และถูกกดขี่อย่างหนัก พวกเขามองไม่เห็นทางรอด แต่ในพระธรรมอพยพ เราพบว่าพระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำที่ดังกึกก้องไปด้วยความหวังว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา...เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา” (3:7) พระองค์ไม่เพียง เห็น แต่ทรงกระทำกิจด้วย “เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด” (ข้อ 8) พระเจ้าทรงนำชนอิสราเอลออกจากพันธนาการ นี่คือการช่วยกู้จากพระเจ้า
การทรงช่วยกู้อิสราเอลทำให้เราเห็นพระทัยของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ที่ทรงช่วยเราทุกคนที่มีปัญหา พระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเราที่ถูกกำหนดไว้ให้พินาศเว้นแต่พระเจ้าจะมาช่วยเรา แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราอาจเลวร้ายหรือไร้ทางออก เราสามารถเงยหน้าและยกใจของเราขึ้นและรอคอยพระเจ้าผู้ทรงรักที่จะช่วยกู้เรา
ความยุติธรรมสมบูรณ์แบบ
เมื่อปี 1983 วัยรุ่นสามคนถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อวัยสิบสี่ปี ข่าวรายงานว่าเด็กหนุ่มถูก “ยิง...เพราะเสื้อกีฬาของเขา” ทั้งสามถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และใช้เวลาสามสิบหกปีอยู่ในคุก ก่อนจะพบหลักฐานว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ชายอีกคนยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือ ก่อนที่ผู้พิพากษาจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ ท่านได้ออกประกาศคำขอโทษ
ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน (และไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะทำดีแค่ไหน) ความยุติธรรมของมนุษย์มักบกพร่อง เราไม่มีทางรู้ข้อมูลทุกอย่าง บางครั้งคนที่ไม่ซื่อสัตย์ก็บิดเบือนข้อเท็จจริง บางครั้งเราก็คิดผิด และบ่อยครั้งที่ความชั่วร้ายใช้เวลานานกว่าจะได้รับการแก้ไข หรืออาจไม่ถูกคลี่คลายเลยตลอดชีวิตของเรา ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เหมือนมนุษย์ แต่ทรงมีความยุติธรรมอันสมบูรณ์ โมเสสกล่าวว่า “พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็ยุติธรรม” (ฉธบ.32:4) พระเจ้าทรงมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่มันเป็นจริงๆ ในไม่ช้าเมื่อเราทำสิ่งเลวร้ายจนถึงที่สุด พระเจ้าจะทรงนำมาซึ่งวาระสุดท้ายอันเป็นความยุติธรรมสูงสุด แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เรามั่นใจได้เพราะเรารับใช้ “พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความผิด พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง” (ข้อ 4)
เราอาจไม่แน่ใจว่าอะไรถูกหรือผิด เราอาจกลัวว่าความอยุติธรรมที่เกิดกับเราหรือคนที่เรารักจะไม่ได้รับการแก้ไข แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าแห่งความยุติธรรมได้ ว่าพระองค์จะประกาศความยุติธรรมให้แก่เราไม่ในชีวิตนี้ก็ชีวิตหน้า
แหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์
ในออสเตรเลียมีรายงานเกี่ยวกับ “เรื่องราวที่น่ากลัว” ของความร้อนความแห้งแล้งและไฟป่าที่รุนแรง รายงานระบุว่าเป็นปีที่น่าสยดสยองด้วยปริมาณน้ำฝนเพียงเล็กน้อยทำให้พุ่มไม้แห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ไฟเผาผลาญหมู่บ้านในชนบท ปลาตายและพืชก็ไม่เกิดผล ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่มีทรัพยากรธรรมดาที่เรามักมองข้าม นั่นคือน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
อิสราเอลพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและน่ากลัว ขณะที่ผู้คนตั้งค่ายอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง เราก็อ่านพบประโยคที่น่าตกใจคือ “ไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม” (อพย.17:1) ประชาชนรู้สึกหวาดหวั่น คอของพวกเขาแห้ง ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ลูกๆของพวกเขาหิวน้ำ ด้วยความหวาดกลัว ประชาชนจึง “กล่าวหาว่าเป็นความผิดของโมเสส” และร้องขอน้ำจากท่าน (ข้อ 2) แต่โมเสสจะทำอะไรได้นอกจากไปหาพระเจ้าเท่านั้น
พระเจ้าทรงประทานคำสั่งที่ประหลาดคือให้โมเสส “ถือไม้เท้า...ตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม” (ข้อ 5-6) โมเสสจึงเอาไม้เท้าตีหินและน้ำก็ไหลออกมาราวกับแม่น้ำให้ประชาชนและฝูงสัตว์ของพวกเขา วันนั้นอิสราเอลตระหนักว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาและทรงจัดเตรียมน้ำให้อย่างอุดมสมบูรณ์
หากคุณกำลังประสบกับความแห้งแล้งหรือถิ่นทุรกันดารในชีวิต จงรู้เถิดว่าพระเจ้าทรงทราบและทรงสถิตอยู่ด้วยกับคุณ ไม่ว่าคุณจะต้องการหรือขาดแคลนสิ่งใด ขอให้คุณพบความหวังและความสดชื่นในแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์
มุมมองใหม่
ในวีดีโอเกมหนึ่งซึ่งได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมไปแล้วนั้นกำหนดให้ผู้เล่นร้อยคนอยู่บนเกาะเสมือนจริงเพื่อแข่งขันกันจนเหลือคนสุดท้าย เมื่อมีผู้เล่นกำจัดคุณออกไป คุณจะยังดูเกมนั้นต่อได้ผ่านมุมมองของผู้เล่นคนนั้น นักข่าวคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อคุณก้าวเข้าไปในสถานะของผู้เล่นอีกคนและมองด้วยมุมมองของเขา อารมณ์ความรู้สึกของคุณ...เคลื่อนจากการปกป้องตนเองไปสู่...การร่วมเป็นทีมเดียวกับเขา...คุณจะรู้สึกมีส่วนร่วมไปกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเอาชนะคุณ”
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเปิดใจที่จะมองประสบการณ์ของคนอื่น มองไปให้ไกลกว่ามุมมองของเราเพื่อจะเห็นความเจ็บปวด ความกลัว หรือความหวังของผู้อื่น เมื่อเราทำตามแบบอย่างของพระเยซูคือ “อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี” แต่ “จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว” เมื่อนั้นเราจะเห็นสิ่งที่เราอาจเคยมองพลาดไป (ฟป.2:3) ความห่วงใยของเราจะขยายออก เราจะถามคำถามที่ต่างไป แทนที่จะสาละวนอยู่แต่กับเรื่องของตนเอง เราจะทุ่มเทเพื่อสวัสดิภาพของผู้อื่น แทนที่จะ “เห็นแก่ประโยชน์ของตน” เราจะ “เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น” (ข้อ 4) แทนที่จะปกป้องสิ่งที่เราคิดว่าเราต้องมีเพื่อจะประสบความสำเร็จ เราจะยินดีไขว่คว้าในสิ่งที่ช่วยให้ผู้อื่นจำเริญขึ้น
ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปนี้ เราจะมีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น เราจะค้นพบวิธีใหม่ในการรักครอบครัว เราอาจเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรได้ด้วย!
ความรักควบคุมเราไว้
เด็กหนุ่มชาวซามัวส่วนใหญ่มักจะสักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความรับผิดชอบต่อคนในเผ่าและหัวหน้าเผ่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทีมรักบี้ชายชาวซามัวจะมีรอยสักเต็มแขน ในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นที่ซึ่งการสักมีความหมายไปในด้านลบ ทีมซามัวรู้ว่ารอยสักนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับเจ้าภาพ พวกเขาจึงสวมปลอกแขนสีเดียวกับผิวปิดบังรอยสักไว้เพื่อแสดงถึงมิตรไมตรี “เราเคารพและให้ความใส่ใจ...ในวิถีของคนญี่ปุ่น” กัปตันทีมอธิบาย “เราจะต้องแน่ใจว่าสิ่งที่เราแสดงออกนั้นเหมาะสม”
ในยุคนี้ที่เน้นการแสดงออกส่วนบุคคล การจำกัดขอบเขตของตนเองจึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เปาโลเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือโรมว่าบางครั้งความรักทำให้เราสละสิทธิ์ของตนเพื่อผู้อื่น แทนที่จะดึงดันเสรีภาพไปจนสุดขอบ บางครั้งความรักก็ควบคุมเราไว้ ท่านอธิบายว่าบางคนในคริสตจักรเชื่อว่ามีอิสระที่จะ “กินอะไรอะไรก็ได้” แต่บางคนกิน “ผักเท่านั้น” (รม.14:2) สิ่งนี้อาจดูเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเรา แต่ในศตวรรษแรกการยึดถือกฎเรื่องอาหารในพระคัมภีร์เดิมสร้างความขัดแย้ง เปาโลสอนทุกคนว่า “อย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย” (ข้อ 13) ก่อนจบด้วยคำกล่าวถึงผู้ที่กินอะไรก็ได้ว่า “เป็นการดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือเหล้าองุ่นหรือทำสิ่งใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด” (ข้อ 21)
ในบางครั้งการรักผู้อื่นหมายถึงการจำกัดเสรีภาพของตัวเราเอง เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างตามที่เรามีเสรีภาพที่จะทำ ในบางครั้งความรักก็จะคอยควบคุมเราเอาไว้