เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
ยาโลสลาฟ เพลิแกนอาจารย์มหาวิทยาลัยเยลนับว่าเป็น “ผู้มีอิทธิพลอย่างสูงด้านประวัติศาสตร์คริสเตียนในยุคสมัยของเขา” ท่านมีชื่อเสียงจากงานด้านวิชาการอันแพร่หลาย ตีพิมพ์หนังสือมากกว่า 30 เล่ม และได้รับรางวัลคลูกี้อันทรงเกียรติจากชีวิตที่อุทิศให้งานเขียนจำนวนมาก นักเรียนของท่านคนหนึ่งกล่าวถึงถ้อยคำซึ่งเขาคิดว่าเป็นถ้อยคำสำคัญที่สุดของอาจารย์ที่กล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่า “ถ้าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตาย อะไรอย่างอื่นก็ไม่สำคัญ และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่สำคัญ”
เพลิแกนกล่าวเช่นเดียวกับที่เปาโลกล่าวว่า “ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย” (1 คร.15:14) เปาโลกล่าวได้อย่างอาจหาญเช่นนี้เพราะท่านรู้ว่าการคืนพระชนม์ไม่ใช่เป็นแค่หนึ่งในการอัศจรรย์ แต่เป็นหัวใจของพันธกิจการทรงไถ่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ พระสัญญาเรื่องการคืนพระชนม์ไม่ใช่เพียงการยืนยันว่าพระคริสต์จะเป็นขึ้นจากความตาย แต่เป็นการรับรองว่าสิ่งที่ต้องตายและแตกสลายอื่นๆ (ชีวิต สังคม ความสัมพันธ์) วันหนึ่งจะถูกทำให้มีชีวิตอีกครั้งผ่านทางพระคริสต์ แต่หากไม่มีการคืนพระชนม์ เปาโลก็รู้ว่าเราเจอปัญหาใหญ่แน่ ถ้าไม่มีการคืนพระชนม์ ความตายและการทำลายล้างก็ได้รับชัยชนะ
แน่นอนว่า “พระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” (ข้อ 20) ความตายพ่ายแพ้เพราะถูกทำลายโดยองค์ผู้มีชัย พระเยซูทรงเป็น “ผลแรก” ของชีวิตอื่นๆที่จะตามมา พระองค์มีชัยชนะเหนือความชั่วร้ายและความตายเพื่อให้เรามีชีวิตอย่างกล้าหาญและอิสระ การคืนพระชนม์นี้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
ชีวิตแห่งความสัตย์ซื่อ
อาเบล มูไต นักวิ่งชาวเคนย่าเข้าแข่งขันในการวิ่งข้ามทุ่งระดับนานาชาติอันแสนทรหด เขาวิ่งนำทิ้งระยะห่างและอยู่ใกล้เส้นชัยเพียงไม่กี่เมตร แต่ด้วยความสับสนกับป้ายในสนามและคิดว่าเขาเข้าเส้นชัยแล้ว มูไตจึงหยุดวิ่ง นักวิ่งชาวสเปน อีวาน เฟอร์นันเดซ อนายา ซึ่งมาเป็นที่สองเห็นความผิดพลาดของมูไต แต่แทนที่จะฉวยโอกาสและพุ่งแซงเพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะ เขาวิ่งมาทันมูไต และยื่นมือเพื่อดันมูไตให้ไปข้างหน้าจนเข้าสู่เส้นชัยเพื่อคว้าเหรียญทอง เมื่อนักข่าวถามอนายาว่าทำไมเขาจึงจงใจแพ้การแข่งขัน เขายืนยันว่ามูไตสมควรได้รับชัยชนะไม่ใช่ตัวเขา “ถ้าผมชนะแล้วจะมีประโยชน์อะไร เหรียญนั้นจะเป็นเกียรติอย่างไร แม่ของผมจะคิดอย่างไร” รายงานข่าวชิ้นหนึ่งกล่าวว่า “อนายาเลือกความซื่อสัตย์เหนือชัยชนะ”
พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่าผู้ที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งต้องการให้ชีวิตของตนสำแดงความสัตย์ซื่อและความถูกต้อง จะตัดสินใจบนความถูกต้องจริงแท้มากกว่าผลประโยชน์ “ความสัตย์ซื่อของคนที่เที่ยงธรรมย่อมนำเขา” (11:3) การอุทิศทุ่มเทเพื่อความสัตย์ซื่อนี้ไม่ใช่เป็นเพียงวิธีที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต แต่ยังจะทำให้มีชีวิตที่ดีกว่า สุภาษิตกล่าวต่อไปว่า “แต่ความคดโกงของคนทรยศย่อมทำลายเขา” (ข้อ 3) ความไม่สัตย์ซื่อไม่เป็นคุณในระยะยาว
หากเราละทิ้งความสัตย์ซื่อ “ชัยชนะ” ที่ได้มาในระยะเวลาสั้นๆแท้จริงแล้วจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ แต่เมื่อความสัตย์ซื่อและความจริงหล่อหลอมเราในฤทธิ์เดชของพระเจ้า เราจะค่อยๆกลายเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่ดีพร้อม ผู้ซึ่งจะดำเนินชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง
ความสุขแห่งข่าวดี
เย็นวันหนึ่งในปีค.ศ. 1964 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในรัฐอลาสก้าสร้างความตื่นตระหนกและสั่นสะเทือนนานกว่าสี่นาทีด้วยความแรง 9.2 แมกนิจูด ทั้งช่วงตึกของเมืองแองเคอเรจหายไปเหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่และเศษซากปรักหักพัง ท่ามกลางความมืดและน่ากลัวยามค่ำคืน ผู้สื่อข่าวจีนี่ แชนส์ยืนถือไมโครโฟนเพื่อส่งข่าวสารไปถึงประชาชนผู้สิ้นหวังที่นั่งอยู่ข้างวิทยุของพวกเขา สามีที่ทำงานอยู่ในเขตห่างไกลได้ยินว่าภรรยายังมีชีวิตอยู่ หลายครอบครัวที่ว้าวุ่นใจได้ยินว่าลูกชายของเขาที่ไปค่ายลูกเสือปลอดภัยดี คู่สามีภรรยาได้ยินว่ามีคนพบลูกๆของพวกเขาแล้ว วิทยุกระจายเสียงแจ้งถึงข่าวดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือความสุขที่แท้จริงท่ามกลางซากปรักหักพัง
ชนชาติอิสราเอลคงรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “พระเจ้าทรงเจิมข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ” (61:1) ขณะที่มองไปยังความรกร้างของชีวิตที่พังพินาศและอนาคตที่มืดมนของพวกเขา เสียงที่ชัดเจนของอิสยาห์ได้นำข่าวดีมาในเวลาที่ดูเหมือนว่ากำลังจะสูญเสียทุกสิ่งไป พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะ “เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจและร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย...สร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะซ่อมเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (ข้อ 1,4) ท่ามกลางความหวาดกลัวของพวกเขา ประชากรได้ยินถึงพระสัญญาอันมั่นคงของพระเจ้า นี่คือข่าวดีของพระองค์
สำหรับพวกเราในวันนี้เราได้ยินข่าวดีของพระเจ้าในพระเยซู นี่คือความหมายของคำว่าพระกิตติคุณ ในความกลัว ความเจ็บปวดและความล้มเหลวของเรา พระเจ้าทรงนำข่าวดีมา และความสุขได้เข้ามาแทนที่ความทุกข์ใจของเรา
พลังแห่งความรัก
คู่รักที่อายุราว 80 ปีคู่หนึ่งเป็นคู่ที่น่าเหลือเชื่อ คนหนึ่งมาจากเยอรมนีและอีกคนมาจากเดนมาร์ก ทั้งคู่เคยมีชีวิตสมรสที่มีความสุขมา 60 ปีก่อนจะเป็นม่าย แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ห่างกันเพียง 15 นาทีแต่บ้านของพวกเขาก็อยู่คนละประเทศ กระนั้นพวกเขาก็ตกหลุมรักกัน ทั้งคู่มักจะทำอาหารและใช้เวลาร่วมกันเป็นประจำ น่าเศร้าที่ในปี 2020 รัฐบาลเดนมาร์กระงับการข้ามพรมแดนเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ถึงอย่างนั้นในเวลา 15.00 น. ของทุกวัน ทั้งคู่จะมาพบกันบนถนนชนบทอันเงียบสงบที่พรมแดน นั่งปิกนิกบนฝั่งของตนโดยไม่มีใครห้ามได้ “เรามาที่นี่เพราะความรัก” ฝ่ายชายอธิบาย ความรักของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าพรมแดนและมีพลังยิ่งกว่าโรคระบาด
เพลงซาโลมอนถ่ายทอดพลังแห่งความรักอันมั่นคงได้อย่างน่าประทับใจ ซาโลมอนยืนยันว่า “ความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย” (8:6) ไม่มีใครหนีความตายพ้น มันมาพร้อมกับวาระสุดท้ายอันแข็งกล้าซึ่งเราไม่อาจทำลาย แต่ผู้เขียนบอกว่าความรักก็เข้มแข็งไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้น ความรัก “คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง” (ข้อ 6) คุณเคยมองดูไฟที่ปะทุอย่างเกรี้ยวกราดหรือไม่ ความรักก็เป็นเหมือนไฟที่ไม่อาจยับยั้งได้ “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้” แม้แต่แม่น้ำที่เชี่ยวกรากก็ไม่อาจพัดพาความรักไปได้ (ข้อ 7)
ความรักของมนุษย์ที่จริงแท้และไม่เห็นแก่ตัวจะสะท้อนถึงคุณลักษณะเหล่านี้ แต่มีเพียงความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่มีพลังแข็งกล้า ลึกซึ้งไม่สิ้นสุดและมั่นคงเช่นนี้ และสิ่งที่น่าทึ่งคือ พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคนด้วยความรักที่ไม่มีวันดับสูญนี้
ความไม่จีรังและความถ่อมใจ
เจอโรมและเทอร์ทูลเลียนนักวิชาการสมัยโบราณ อ้างถึงเรื่องราวของกรุงโรมในยุคโบราณ ที่หลังจากแม่ทัพได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ เขาจะถูกแห่บนรถม้าศึกที่งดงามไปตามถนนใจกลางเมืองตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ฝูงชนจะโห่ร้อง แม่ทัพจะท่วมท้นไปด้วยความยินดีที่ได้รับการยกย่องด้วยเกียรติอันสูงสุดของชีวิต อย่างไรก็ตามมีตำนานเล่าว่า คนรับใช้คนหนึ่งจะยืนอยู่ข้างหลังแม่ทัพตลอดทั้งวัน คอยกระซิบข้างหูว่า เมเมนโท โมริ (“อย่าลืมว่าวันหนึ่งท่านจะตาย”) เมื่ออยู่ท่ามกลางการยกย่องสรรเสริญ แม่ทัพต้องการความถ่อมใจอย่างยิ่งเพื่อย้ำเตือนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ต้องตาย
ยากอบเขียนถึงชุมชนที่แปดเปื้อนด้วยความปรารถนาอันเย่อหยิ่งและทะนงตนจากการพึ่งพาตนเอง เมื่อเผชิญหน้ากับความยโสของพวกเขา ท่านกล่าวถ้อยคำเสียดแทงใจว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณ แก่คนที่ใจถ่อม” (ยก.4:6) สิ่งที่พวกเขาต้องมีคือการ “ถ่อมใจ [ของเขา] ลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 10) แล้วพวกเขาจะมีใจถ่อมได้อย่างไร เช่นเดียวกับแม่ทัพโรมัน พวกเขาจำเป็นต้องระลึกว่าพวกเขาต้องตาย “ท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้” ยากอบย้ำ “ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป” (ข้อ 14) ความอ่อนแอทำให้พวกเขาต้องหนีมาอาศัยอยู่ภายใต้ความมั่นคงเข้มแข็งแห่ง “พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (TNCV) แทนความพยายามอันสูญเปล่าของตน (ข้อ 15)
เมื่อเราลืมไปว่าวันเวลาของเราถูกกำหนดไว้แล้ว ก็อาจนำไปสู่ความหยิ่งผยองได้ แต่เมื่อเราถ่อมใจลงโดยตระหนักถึงความไม่จีรังของเรา เราจะมองว่าทุกลมหายใจและทุกช่วงเวลาคือพระคุณ เมเมนโท โมริ
การลงทุนที่น่าขบขัน
ในปีค.ศ. 1929 เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาล่มสลาย ประชาชนนับล้านสูญเสียทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ฟลอยด์ ออดลัม ขณะที่ทุกคนตื่นตระหนกและเทขายหุ้นในราคาต่ำ ออดลัมกระโจนเข้าซื้อหุ้นเหล่านั้นอย่างโง่เขลาเช่นเดียวกับอนาคตของประเทศที่กำลังพังทลาย แต่มุมมองที่ “โง่เขลา” ของออดลัมให้ผลตอบแทนเป็นการลงทุนที่มั่นคงซึ่งอยู่รอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี
พระเจ้าทรงบอกให้เยเรมีย์ทำสิ่งที่ดูเหมือนการลงทุนที่น่าขบขัน “จงซื้อนา...ซึ่งอยู่ที่อานาโธทในแผ่นดินเบนยามิน” (ยรม.32:8) แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะซื้อนา เพราะว่าประเทศใกล้จะถูกปล้น “กองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่” (ข้อ 2) และนาที่เยเรมีย์ซื้อจะตกเป็นของบาบิโลนเร็วๆนี้ ใครจะโง่ลงทุนเมื่อรู้ว่าจะต้องสูญเสียทุกสิ่งในไม่ช้า
แต่ผู้ที่ฟังเสียงของพระเจ้าผู้ทรงมีแผนการสำหรับอนาคตที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ “เพราะพระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า บ้านเรือนและไร่นาและสวนองุ่นจะมีการซื้อขายกันอีกในแผ่นดินนี้” (ข้อ 15) พระเจ้าทรงเห็นไกลกว่าการล่มสลาย พระองค์ทรงสัญญาว่าจะนำการทรงไถ่ การรักษา และการฟื้นฟูมา การลงทุนที่น่าขบขันในความสัมพันธ์หรืองานรับใช้ สำหรับพระเจ้าแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องโง่เขลา แต่เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดเมื่อพระเจ้าทรงนำเราให้ทำเช่นนั้น (และที่สำคัญคือเราจะต้องอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าให้รู้ว่าทรงอยู่เบื้องหลังขั้นตอนเหล่านั้น) การลงทุนที่ “โง่เขลา” ในผู้อื่นตามที่พระเจ้าทรงนำนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากที่สุดในโลก
การช่วยกู้จากศัตรูที่เข้มแข็ง
เมื่อปี 2010 จอร์จ วูจโนวิชในวัย 94 ปีได้รับเหรียญบรอนซ์สตาร์สำหรับสิ่งที่นิวยอร์กไทมส์เรียกว่า “หนึ่งในการช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2” วูจโนวิชเป็นลูกชายของผู้ลี้ภัยชาวเซอร์เบียในอเมริกาที่ได้เข้าร่วมกองทัพสหรัฐ เมื่อข่าวมาถึงว่าทหารอากาศอเมริกันที่เครื่องบินตกได้รับการช่วยเหลือโดยกบฏในยูโกสลาเวีย วูจโนวิชจึงกลับไปบ้านเกิดของเขา กระโดดร่มลงไปในป่าเพื่อค้นหานักบิน เขาแบ่งทหารเป็นกลุ่มเล็กๆ สอนพวกเขาให้ทำตัวกลมกลืนกับชาวเซิร์บ (ใส่เสื้อผ้าและทานอาหารของคนเซอร์เบีย) จากนั้นในช่วงระยะหลายเดือน เขาพาทหารทีละกลุ่มไปยังเครื่องบินขนย้าย C-47 ที่จอดรออยู่ตรงลานบินที่พวกเขาได้แผ้วถางไว้ วูจโนวิชช่วยชีวิตทหารที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี 512 นาย
ดาวิดบรรยายถึงความปีติยินดีที่ได้รับการช่วยกู้โดยพระเจ้า จากศัตรูที่ล้อมไม่ให้ท่านหนีไปได้ พระเจ้าทรง “เอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า” ดาวิดกล่าว “พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย” (2 ซมอ.22:17) กษัตริย์ซาอูลผู้คับแค้นใจด้วยความอิจฉาตามล่าดาวิด โดยต้องการฆ่าท่านอย่างไม่ปรานีแต่พระเจ้าทรงมีแผนการอื่น “พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากศัตรูที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า” ดาวิดบรรยาย “จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีอานุภาพเกินกว่าข้าพเจ้า” (ข้อ 18)
พระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิดจากซาอูล ทรงช่วยกู้อิสราเอลจากอียิปต์ และโดยพระเยซู พระเจ้าเสด็จมาช่วยกู้เราทุกคน พระเยซูทรงช่วยกู้เราจากความบาป ความชั่วร้ายและความตาย พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าศัตรูที่เข้มแข็งทั้งหลาย
ความสว่างยิ่งใหญ่
ปี 2018 เด็กชายชาวไทยสิบสองคนกับครูฝึกฟุตบอลเข้าไปในถ้ำที่เหมือนเขาวงกตเพื่อสนุกกับการผจญภัยยามบ่าย แต่ด้วยกระแสน้ำที่สูงขึ้นกะทันหันบีบให้พวกเขาต้องเข้าไปในถ้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาสองสัปดาห์ครึ่งกว่าที่หน่วยกู้ภัยจะช่วยพวกเขาออกมาได้ น้ำที่ขึ้นสูงขัดขวางทีมนักดำน้ำที่พยายามช่วยเหลือเด็กๆซึ่งนั่งอยู่บนชั้นหินเล็กๆ และมีไฟฉายริบหรี่แค่หกอัน พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในความมืด เฝ้าหวังว่าความสว่างและความช่วยเหลือจะมาถึง
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายถึงโลกที่ปกคลุมด้วยความมืดซึ่งถูกครอบงำด้วยความรุนแรงและความโลภ ถูกทำลายด้วยการกบฏและความกลัดกลุ้ม (อสย.8:22) ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความพินาศ เทียนแห่งความหวังริบหรี่ลงเรื่อยๆ ก่อนจะยอมแพ้แก่ความว่างเปล่าอันมืดมิด กระนั้น อิสยาห์ยืนยันว่าความสิ้นหวังอันริบหรี่นี้ไม่ใช่จุดจบ ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า ในไม่ช้า “เมืองนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม” (9:1) พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์ในเงาของความพินาศ ผู้เผยพระวจนะประกาศความหวังแก่ผู้คนและบอกถึงเวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาขจัดสิ่งที่เกิดจากความบาปอันมืดมิด
พระเยซูเสด็จมาแล้ว และตอนนี้เราได้ยินถ้อยคำของอิสยาห์ในความหมายใหม่ “ชนชาติที่ดำเนินในความมืดจะได้ เห็นความสว่างยิ่งใหญ่” อิสยาห์กล่าว “บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช สว่างจะได้ส่องมาบนเขา” (ข้อ 2)
ไม่ว่าค่ำคืนจะมืดมิดแค่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์จะสิ้นหวังเพียงใด เราจะไม่มีวันถูกทอดทิ้งในความมืด พระเยซูทรงอยู่ที่นี่ ความสว่างยิ่งใหญ่ส่องแสงอยู่
ทรงพลังและเปี่ยมด้วยความรัก
ในปี 2020 ภูเขาไฟซานเกย์ในเอกวาดอร์ได้ปะทุขึ้น สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า “เถ้าถ่านสีดำพุ่งขึ้นสูงกว่า 12,000 เมตร การปลดปล่อยพลังนี้ทำให้เกิดขี้เถ้าสีเทาและเขม่าปกคลุมพื้นที่สี่จังหวัด (ราว 801 ตร.กม.) ท้องฟ้ามืดครึ้มและน่ากลัว อากาศเต็มไปด้วยฝุ่นทำให้หายใจลำบาก เกษตรกรเฟลิซิอาโน อิงกา อธิบายภาพที่น่าตกใจนี้กับหนังสือพิมพ์เอล คอมเมอร์ซิโอ ว่า “พวกเราไม่รู้ว่าฝุ่นเหล่านี้มาจากไหน...เราเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มลงและเริ่มหวาดกลัว”
ชนชาติอิสราเอลประสบกับความกลัวที่คล้ายกันที่เชิงเขาซีนาย ขณะพวกเขา “ยืนอยู่ที่เชิงภูเขาและภูเขานั้นมีเพลิงลุกขึ้นถึงท้องฟ้า มีความมืด เมฆ และความมืดคลุ้มคลุมอยู่” (ฉธบ.4:11) เสียงของพระเจ้าดังสนั่นและประชาชนตัวสั่นเทา เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจกลัว เป็นประสบการณ์ที่น่ายำเกรงจนต้องคุกเข่าลงเมื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
“แล้วพระเจ้าตรัส” และพวกเขา “ได้ยินสำเนียงพระวจนะแต่ไม่เห็นรูปสัณฐาน” (ข้อ 12) เสียงซึ่งทำให้กระดูกพวกเขาสั่นสะท้านนั้นได้มอบชีวิตและความหวัง พระเจ้าทรงประทานบัญญัติสิบประการแก่อิสราเอลและรื้อฟื้นพันธ-สัญญากับพวกเขาอีกครั้ง เสียงจากความมืดซึ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านนั้นก็ได้ปลอบประโลมและสำแดงความรักต่อพวกเขาอย่างหนักแน่นมั่นคงเช่นกัน (อพย.34:6-7)
พระเจ้าทรงฤทธานุภาพเกินที่เราจะคาดคิดอย่างน่าประหลาดใจ แต่กระนั้นพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักและทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยเราเสมอ พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และเปี่ยมด้วยรัก คือพระเจ้าที่เราต้องการเป็นอย่างยิ่ง