ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Winn Collier

สิ่งที่พระวิญญาณเท่านั้นทรงทำได้

ระหว่างการพูดคุยถึงหนังสือเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เขียนโดย เจอร์เก้น โมลต์มานน์ นักศาสนศาสตร์ชาวเยอรมันวัยเก้าสิบสี่ปี ผู้สัมภาษณ์ถามเขาว่า “คุณกระตุ้นพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร กินยาเม็ดหรือ หรือบริษัทผลิตยา [ส่งพระวิญญาณ] มาใช่ไหม” โมลต์มานน์เลิกคิ้วที่ดกหนาขึ้น เขาส่ายศีรษะ ยิ้มกว้างและตอบด้วยสำเนียงอังกฤษว่า “ผมจะทำอะไรได้ อย่าทำอะไรเลย จงรอคอยพระวิญญาณ แล้วพระวิญญาณจะเสด็จมา”

โมลต์มานน์เน้นให้เห็นถึงความเชื่อผิดๆของเรา ที่เชื่อว่ากำลังและความเชี่ยวชาญของเราทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น พระธรรมกิจการเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น ในยุคการเริ่มต้นของคริสตจักร กลยุทธ์หรือความเป็นผู้นำอันน่าประทับใจของมนุษย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ตรงกันข้ามพระวิญญาณเสด็จมา “เหมือนเสียงพายุกล้า” สั่นก้องทั่วตึกที่สาวกผู้หวาดกลัว หมดหนทาง และงุนงงนั่งอยู่ (2:2) ต่อมาพระวิญญาณได้ทำลายความเหนือกว่าทางชาติพันธุ์ทั้งหมด ด้วยการรวบรวมผู้คนที่แตกต่างกันมาร่วมกันเป็นชุมชนใหม่ เหล่าสาวกตกตะลึงเช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำภายในตัวพวกเขา พวกเขาไม่ได้ทำให้อะไรเกิดขึ้น แต่พวกเขาตั้งต้นพูด “ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” (ข้อ 4)

คริสตจักรและการร่วมมือกันของเราในโลกนี้ไม่ได้ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราทำได้ เราต้องพึ่งพาในสิ่งที่พระวิญญาณเท่านั้นทรงทำได้ สิ่งนี้ทำให้เราทั้งกล้าหาญและสงบนิ่ง ดังนั้นในวันนี้เมื่อเราเฉลิมฉลองเทศกาลเพ็นเทคอสต์ขอให้เรารอคอยและตอบสนองต่อพระวิญญาณ

ฉันเป็นใคร

ในปีค.ศ. 1859 โจชัว อับราฮัม นอร์ตันประกาศตนเป็นจักรพรรดิแห่งสหรัฐอเมริกา นอร์ตันได้สร้างความมั่งคั่งและสูญเสียมันไปจากการขนส่งในซานฟรานซิสโก ทว่าเขาต้องการอัตลักษณ์ใหม่ คือเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโก อีฟนิ่ง บูลเลทินตีพิมพ์คำประกาศของ “จักรพรรดิ” นอร์ตัน ผู้อ่านส่วนใหญ่หัวเราะ นอร์ตันออกแถลงการณ์ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความเจ็บป่วยของสังคม เขาพิมพ์สกุลเงินของตนเอง และถึงกับเขียนจดหมายไปหาสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียเพื่อขอแต่งงานและรวมอาณาจักรเข้าด้วยกัน เขาสวมเครื่องแบบทหารหลวงที่ออกแบบโดยช่างตัดเสื้อท้องถิ่น ผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า นอร์ตันดูเหมือน “พระราชาทุกตารางนิ้ว” แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ เราสร้างตัวตนที่เราเป็นขึ้นมาเองไม่ได้

พวกเราส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายปีเพื่อค้นหาว่าเราเป็นใคร และสงสัยว่าเรามีคุณค่าอะไร เราเสาะหา พยายามตั้งชื่อหรือนิยามตนเอง แต่พระเจ้าเท่านั้นที่บอกความจริงได้ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นใคร และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเรียกเราว่าบุตรชายหญิงของพระองค์ เมื่อเรารับเอาความรอดในพระเยซูองค์พระบุตร ยอห์นกล่าวว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์…พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1:12) และอัตลักษณ์ทั้งสิ้นนี้เป็นของประทาน เราเป็นที่รักของพระองค์ “ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” (ข้อ 13)

พระเจ้าประทานชื่อและอัตลักษณ์ของเราในพระคริสต์ เราจึงหยุดที่จะดิ้นรนและเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นได้ เพราะพระองค์ทรงบอกว่าเราเป็นใคร

ที่บ้านในพระเยซู

หลายปีก่อน เรารับเลี้ยงแมวดำโตเต็มวัยชื่อจูโน่จากศูนย์พักพิงสัตว์ท้องถิ่น ความจริงแล้วผมต้องการเพียงตัวช่วยกำจัดหนู แต่คนอื่นๆในครอบครัวต้องการสัตว์เลี้ยง ศูนย์พักพิงสัตว์ได้ให้คำแนะนำที่เข้มงวดในการสร้างกิจวัตรการให้อาหารในสัปดาห์แรก เพื่อให้จูโน่เรียนรู้ว่าบ้านของเราเป็นบ้านของมัน บ้านที่มันเป็นเจ้าของ ที่ซึ่งมันจะมีอาหารและความปลอดภัยเสมอ ด้วยวิธีนี้แม้จูโน่จะออกไปตะลอนข้างนอก มันก็จะกลับบ้านเสมอ

หากเราไม่รู้จักบ้านที่แท้จริงของเรา เราจะถูกล่อลวงให้ตระเวนไปทั่วโดยไร้ประโยชน์ เพื่อแสวงหาความดีงาม ความรัก และความหมายอยู่เสมออย่างไรก็ตามหากเราต้องการค้นพบชีวิตที่แท้จริงนั้น พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา” (ยน.15:4) นักวิชาการพระคัมภีร์เฟรเดอริก เดล บรูเนอร์เน้นว่า การเข้าสนิท (มีความหมายเดียวกับคำว่า บ้าน) ปลุกเร้าความรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวและบ้าน ดังนั้นบรูเนอร์จึงแปลความคำตรัสของพระเยซูว่า “จงอยู่ที่บ้านในเรา”

เพื่อขยายความเรื่องบ้าน พระเยซูทรงอธิบายด้วยภาพของแขนงที่ติดอยู่กับเถาองุ่น หากกิ่งหรือแขนงต้องการมีชีวิตรอด มันต้องอยู่ที่บ้าน ยึดติดอย่างเหนียวแน่น (เข้าสนิท) ในที่ที่เป็นของมัน

มีเสียงมากมายที่เชื้อเชิญเราพร้อมด้วยสัญญาที่ว่างเปล่าว่าจะแก้ปัญหาของเรา หรือให้ “สติปัญญา” ใหม่ๆหรืออนาคตที่สดใส แต่หากเราต้องการมีชีวิตที่แท้จริงแล้ว เราต้องยึดมั่นในพระเยซู เราต้องอยู่ที่บ้านของเราในพระองค์

พระเจ้าทรงรู้จักเรา

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เห็นภาพถ่ายของประติมากรรมรูป โมเสส โดยไมเคิลแองเจโล เมื่อดูภาพระยะใกล้จะเห็นกล้ามเนื้อนูนออกมาบนแขนขวาของโมเสส กล้ามเนื้อนี้คือกล้ามเนื้อที่ยึดข้อต่อสองข้อ และการหดตัวจะปรากฏให้เห็นเมื่อกระดกนิ้วก้อยเท่านั้น ไมเคิลแองเจโลเป็นยอดในเรื่องรายละเอียดที่ซับซ้อน เขาใส่ใจในรายละเอียดของร่างกายมนุษย์ที่เขาแกะสลัก และเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ไมเคิลแองเจโลรู้จักร่างกายของมนุษย์ในแบบที่ประติมากรน้อยคนจะรู้ แต่รายละเอียดที่เขาแกะสลักลงบนก้อนหินนั้นเป็นความตั้งใจของเขาที่จะเปิดเผยถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้ง นั่นคือจิตวิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่อยู่ภายในมนุษย์ และแน่นอนไมเคิลแองเจโลไม่เคยทำได้สำเร็จ

มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้จักความเป็นจริงที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของมนุษย์สิ่งใดก็ตามที่เราเห็นในตัวของกันและกัน ไม่ว่าจะพินิจดูด้วยความตั้งใจหรือใส่ใจเพียงใด ก็เป็นเพียงเงาอันเลือนลางของความจริง แต่พระเจ้าทรงมองเห็นได้ลึกกว่าเงานั้น “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์” ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าว “พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์” (ยรม.12:3) ความรู้ที่พระเจ้ามีเกี่ยวกับตัวเรานั้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีหรือความรู้ในสมอง พระองค์ไม่ได้เฝ้าดูเราจากระยะไกล แต่ทรงเพ่งดูความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวตนของเรา พระเจ้าทรงรู้จักความล้ำลึกของชีวิตภายในตัวเรา แม้ในสิ่งที่ตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจ

ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร หรือมีเรื่องใดอยู่ในใจ พระเจ้าทรงเห็นและทรงรู้จักเราอย่างแท้จริง

พระพรในน้ำตา

ผมได้รับอีเมลจากชายหนุ่มคนหนึ่งในประเทศอังกฤษ ในฐานะบุตรชาย เขาเขียนมาอธิบายว่าพ่อของเขา (ซึ่งอายุเพียง 63 ปี) อยู่ในโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส พยายามต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตรอด แม้เราจะไม่เคยพบกัน แต่สายงานของพ่อเขากับผมมีความเกี่ยวข้องกันหลายอย่าง บุตรชายผู้พยายาม ให้กำลังใจพ่อได้ขอให้ผมส่งวิดีโอพร้อมข้อความหนุนใจและคำอธิษฐานไปให้ผมรู้สึกสะเทือนใจจึงอัดข้อความสั้นๆและคำอธิษฐานเพื่อการรักษา ผมได้ยินว่าพ่อของเขาดูวิดีโอและยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นใจ น่าเศร้าที่อีกสองวันหลังจากนั้น ผมได้รับอีเมลอีกฉบับบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เขาจับมือภรรยาไว้ขณะที่หายใจเฮือกสุดท้าย

หัวใจผมแตกสลาย ช่างเป็นเรื่องราวของความรักและการสูญสลายอะไรเช่นนี้ ครอบครัวนี้สูญเสียสามีและพ่อเร็วเกินไป แต่กระนั้นก็น่าประหลาดใจที่ได้ยินพระเยซูทรงยืนยันว่า ผู้โศกเศร้าเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับการอวยพร “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข” พระเยซูตรัส (มธ.5:4) พระองค์ไม่ได้หมายความว่าความทุกข์และการเศร้าโศกเป็นสิ่งดี แต่ทรงหมายความว่าพระเมตตากรุณาของพระเจ้าจะเทลงมาเหนือผู้ที่ต้องการมากที่สุด คนเหล่านั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้าเพราะความตายหรือความบาปของพวกเขาเองคือผู้ที่ต้องการการเอาใจใส่และการปลอบประโลมจากพระเจ้ามากที่สุด และพระเยซูทรงสัญญาว่า “เขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” (ข้อ 4)

พระเจ้าทรงเข้ามาใกล้เราผู้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ (ข้อ 9) พระองค์ทรงอวยพรเราในท่ามกลางน้ำตา

รักเหมือนประกายเพลิง

กวี จิตรกรและผู้พิมพ์ภาพ วิลเลี่ยม เบล็กมีความสุขในชีวิตแต่งงาน 45 ปีกับแคทเธอรีนภรรยา นับจากวันแต่งงานจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1827 พวกเขาทำงานเคียงข้างกัน แคทเธอรีนเติมสีให้กับภาพร่างของวิลเลี่ยม และการอุทิศตัวต่อกันของพวกเขานั้นยืนหยัดผ่านช่วงปีที่ยากไร้และอุปสรรคอื่นๆ แม้ในสัปดาห์ท้ายๆ ที่สุขภาพของเขาอ่อนแอ เบล็กก็ยังคงทำงานศิลปะ และภาพร่างชิ้นสุดท้ายของเขาคือใบหน้าของภรรยา สี่ปีต่อมาแคทเธอรีนเสียชีวิตโดยที่กำดินสอของสามีไว้ในมือ

ความรักที่มีชีวิตชีวาของครอบครัวเบล็กสะท้อนถึงความรักที่พบในเพลงซาโลมอน และแม้ว่าการพรรณนาความรักของพระธรรมเล่มนี้มีความหมายถึงชีวิตแต่งงาน แต่ผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรกก็เชื่อเช่นกันว่านี่คือการบอกถึงความรักที่ไม่มีวันมอดดับลงของพระเยซูต่อทุกคนที่ติดตามพระองค์ บทเพลงนี้พรรณนาถึงความรักที่ “เข้มแข็งอย่างความตาย” ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยที่พิเศษ เนื่องจากความตายนั้นคือความเป็นจริงสุดท้ายและไม่อาจหลีกเลี่ยงเท่าที่มนุษย์จะเคยรู้จัก (8:6) ความรักอันแรงกล้านี้ “ก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง” (ข้อ 6) และไม่เหมือนกับเปลวไฟที่เราคุ้นเคย ประกายเพลิงนี้ไม่อาจดับได้แม้โดยน้ำที่ไหลท่วมบ่า บทเพลงนี้ยืนยันว่า “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้” (ข้อ 7)

ในหมู่พวกเรามีใครบ้างที่ไม่ปรารถนาความรักแท้ บทเพลงนี้เตือนใจเราว่าเมื่อใดก็ตามที่เราพบความรักที่แท้จริง พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของความรักนั้น และในพระเยซูเราแต่ละคนสามารถรู้จักความรักอันลึกซึ้งและไม่มีวันตายได้ คือความรักที่เหมือนประกายเพลิงที่แสนรุนแรง

จบลงอย่างสวยงาม

มาน ควอร์ในวัย 103 ปี เป็นนักกีฬาหญิงที่อายุมากที่สุดของอินเดียซึ่งลงแข่งขันในการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกปี 2019 ที่ประเทศโปแลนด์ เป็นเรื่องน่าทึ่งที่ควอร์ได้เหรียญทองถึง 4 รายการ คือ พุ่งหลาว ทุ่มน้ำหนัก วิ่ง 60 เมตร และ 200 เมตร แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เธอวิ่งได้เร็วกว่าสถิติที่เธอเคยทำไว้ในการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกปี 2017 คุณยายทวดผู้ซึ่งกำลังย่างเข้าสู่ศตวรรษที่สองของชีวิต ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการจบลงอย่างสวยงาม

อัครทูต​เปาโล​เขียน​ถึงทิโมธีสาวก​ที่​อายุ​น้อย ​เล่าว่าท่าน​ได้เข้า​สู่ช่วง​สุด​ท้ายของชีวิตอย่างไรโดยบอกว่า “ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไป” (2 ทธ.4:6) เมื่อใคร่ครวญดูชีวิตของท่าน ท่านเชื่อมั่นว่าท่านจะปิดฉากลงอย่างสวยงาม “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง” เปาโลกล่าว “ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด” (ข้อ 7) ท่านไม่ได้มั่นใจเพราะท่านประเมินจากตัวเลขความสำเร็จอันน่าประทับใจหรือจากการสำรวจอิทธิพลที่ท่านมีในวงกว้าง (ถึงแม้มันจะมีมากมายก็ตาม) แต่ท่านรู้ตัวว่าได้ “รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (ข้อ 7) เปาโลยังคงจงรักภักดีต่อพระเยซูและติดตามพระองค์ผู้ทรงช่วยกู้ท่านจากความพินาศผ่านความทุกข์โศกและความยินดี ท่านรู้ว่าพระเยซูทรงยืนเตรียมพร้อมที่จะมอบ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ซึ่งเป็นตอนจบอันน่ายินดีสำหรับชีวิตที่สัตย์ซื่อของท่าน (ข้อ 8)

เปาโลยืนยันว่ามงกุฎนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับคนชั้นสูงเพียงไม่กี่คน แต่สำหรับ “คนทั้งปวงที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์” (ข้อ 8) เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ให้เราระลึกว่าพระเยซูทรงปรารถนาที่จะสวมมงกุฎให้กับทุกคนที่รักพระองค์ และขอให้เราใช้ชีวิตเพื่อจะจบลงอย่างสวยงาม

มอบอนาคตไว้กับพระเจ้า

ในปี 2010 ลาสโล ฮันเยคซ์ซื้อของด้วยบิตคอยน์เป็นครั้งแรก (เงินดิจิตอลสกุลหนึ่งที่มีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินปกติในเวลานั้น) โดยต้องจ่าย 10,000 บิตคอยน์สำหรับพิซซ่าสองถาด (ราคา 25 ดอลล่าร์) ในปี 2021 บิตคอยน์เหล่านั้นมีมูลค่าสูงสุดถึงกว่า 500 ล้านดอลล่าร์ ย้อนกลับไปก่อนที่มูลค่าจะพุ่งขึ้น เขาจ่ายค่าพิซซ่าไปแล้วถึง 100,000 บิตคอยน์ ถ้าหากเขาเก็บบิตคอยน์เหล่านั้นไว้ มูลค่าของมันคงทำให้เขาได้เป็นมหาเศรษฐีในทำเนียบการจัดอันดับของฟอร์บส์ในปี 2021 ถ้าเพียงแต่เขารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แน่นอนว่าฮันเยคซ์ไม่มีทางจะรู้ได้ ไม่มีใครทำได้ แม้ว่าเราจะพยายามเข้าใจและควบคุมอนาคต ปัญญาจารย์ได้บอกความจริงว่า “มนุษย์หารู้ไม่ว่าเหตุอันใดจะบังเกิดขึ้น” (10:14) เราบางคนหลอกตัวเองให้คิดว่าเรารู้มากกว่าที่ตัวเองรู้ หรือแย่กว่านั้นคือคิดว่าเราสามารถหยั่งรู้ถึงชีวิตหรืออนาคตของคนอื่นด้วย แต่ปัญญาจารย์บอกอย่างชัดเจน “ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงไป” (ข้อ 14) ไม่มี เลย

พระคัมภีร์เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างคนฉลาดกับคนโง่ นั่นคือความเจียมตัวเกี่ยวกับอนาคต (สภษ.27:1) คนฉลาดตระหนักดีว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้อย่างแน่ชัดว่าจะเกิดอะไรเมื่อเขาตัดสินใจ แต่คนโง่ทึกทักเอาจากความไม่รู้ของตัวเอง ขอให้เรามีสติปัญญาโดยมอบอนาคตของเราไว้กับพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

นึกภาพอนาคตที่ต่างออกไป

นักเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย 300 คนในเมืองเล็กๆชื่อนิโอเดอชา รัฐแคนซัส เรียงแถวกันเข้าร่วมการประชุมของโรงเรียน พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความไม่เชื่อ เมื่อได้ยินว่าสามีภรรยาที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองของพวกเขา ตัดสินใจจะจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยให้นักเรียนนิโอเดอชาทุกคนเป็นเวลา 25 ปี นักเรียนทุกคนตะลึงงัน เปี่ยมไปด้วยความสุขและน้ำตา 

นิโอเดอชาได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งหมายความว่าหลายครอบครัวกังวลว่าจะจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ของขวัญนี้เปลี่ยนชีวิตคนหลายช่วงอายุ ผู้บริจาคหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยหลายครอบครัวได้ในทันทีและยังเป็นการจูงใจให้คนอื่นย้ายมาเมืองนิโอเดอชาด้วย พวกเขานึกภาพว่าความมีน้ำใจของพวกเขาจะสร้างงานใหม่ ความมีชีวิตชีวาใหม่ และอนาคตที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงให้กับเมืองนี้

พระเจ้าปรารถนาให้คนของพระองค์มีใจกว้าง ไม่ใช่แค่ตอบสนองความต้องการของตน ณ เวลานั้น แต่โดยการนึกถึงอนาคตใหม่ของเพื่อนบ้านที่กำลังลำบาก คำสั่งของพระเจ้าชัดเจน “หากพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจนลงไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เจ้าจงช่วยเหลือเขา” (ลนต.25:35 TNCV) ความมีน้ำใจไม่ใช่แค่การให้สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย แต่คือการนึกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อใช้ชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนในอนาคต พระเจ้าตรัสว่า “จงช่วยเหลือเขา...เพื่อเขาจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าต่อไปได้” (ข้อ 35 TNCV)

การให้ที่ลึกซึ้งที่สุดนั้นให้ภาพของอนาคตที่ต่างออกไป ความเมตตาอันยิ่งใหญ่และสร้างสรรค์ของพระเจ้าหนุนใจให้เรานึกถึงวันนั้นที่เราทุกคนจะอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวและสมบูรณ์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา