ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Winn Collier

ขาดความยับยั้งและสะเพร่า

ลินดิสฟาร์นหรือที่รู้จักกันในชื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์ เป็นเกาะในอังกฤษที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยถนนแคบๆซึ่งจะปรากฏตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง น้ำทะเลจะขึ้นสูงท่วมทางนั้นวันละสองครั้ง มีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวถึงอันตรายจากการข้ามทางในช่วงน้ำขึ้น แต่นักท่องเที่ยวมักเพิกเฉยต่อคำเตือน และมักจะลงเอยด้วยการนั่งบนหลังคารถที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือว่ายน้ำไปที่กระท่อมหลบภัยบนที่สูงเพื่อรอรับการช่วยเหลือ กระแสน้ำเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้เหมือนกับการที่ดวงอาทิตย์ขึ้น และมีคำเตือนอยู่ทั่วทุกแห่งซึ่งไม่มีทางที่คุณจะมองไม่เห็น ดังที่นักเขียนคนหนึ่งบรรยายไว้ว่า ลินดิสฟาร์นเป็น “ที่ซึ่งคนไม่ยั้งคิดพยายามจะเอาชนะกระแสน้ำ”

พระธรรมสุภาษิตบอกเราว่าการ “ขาดความยับยั้งและสะเพร่า” เป็นเรื่องโง่เขลา (14:16) คนที่ขาดความยับยั้งจะไม่สนใจสติปัญญาหรือคำแนะนำของคนฉลาด และไม่สนใจหรือไม่ระวังในการกระทำสิ่งต่างๆ (ข้อ 7-8) แต่ทว่าสติปัญญาจะทำให้เราช้าลงเพื่อที่จะฟังและไตร่ตรอง เพื่อเราจะไม่ถูกอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรือความคิดครึ่งๆกลางๆนำพาไป (ข้อ 16) ปัญญาสอนให้เราตั้งคำถามที่เหมาะสมและพิจารณาผลจากการกระทำของเรา ในขณะที่คนขาดความยับยั้งจะพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์หรือผลที่ตามมา หรือแม้กระทั่ง ความจริง “คนหยั่งรู้มองดูว่าเขากำลังจะไปทางไหน” (ข้อ 15)

แม้ว่าบางครั้งเราจะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดหรือรวดเร็ว แต่เราไม่จำเป็นต้องทำโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ เมื่อเรารับเอาสติปัญญาจากพระเจ้าและนำมาปฏิบัตินั้น พระองค์จะประทานการทรงนำที่จำเป็นให้ในยามที่เราต้องการ

คำสารภาพซึ่งชำระให้สะอาด

ชายคนหนึ่งถูกว่าจ้างโดยผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต ให้ไปร่วมงานศพและเปิดเผยความลับที่พวกเขาไม่เคยบอกใครขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายคนนั้นได้ขัดจังหวะช่วงการกล่าวยกย่องผู้ตาย เขาขอให้คนจัดงานในพิธีที่ตกตะลึงนั่งลงเมื่อคนเหล่านั้นเริ่มจะขัดขวาง ทันทีที่ลุกขึ้นเขาก็บรรยายว่าชายในโลงศพนั้นถูกรางวัลลอตเตอรี่แต่ไม่เคยบอกใคร และแสร้งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมานานหลายสิบปี มีหลายครั้งที่ชายผู้ถูกจ้างมานี้ต้องสารภาพเรื่องการนอกใจกับคู่สมรสของผู้ตาย อาจมีคนตั้งคำถามว่าการกระทำเหล่านี้เกิดจากความตั้งใจดีหรือเป็นการหาประโยชน์จากสถานการณ์กันแน่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความหิวกระหายของผู้คนที่จะได้รับการยกโทษจากบาปในอดีต

การมีคนอื่นสารภาพบาปแทนเรา (โดยเฉพาะหลังจากที่เราตายไปแล้ว) เป็นวิธีที่ไร้ประโยชน์และเสี่ยงในการจัดการกับความลับ แต่เรื่องราวเหล่านี้เผยให้เห็นความจริงอันลึกซึ้ง นั่นคือ เราจำเป็นต้องสารภาพบาปเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกของตัวเอง การสารภาพชำระเราจากบาปที่เราซ่อนไว้ซึ่งทำให้ทุกข์ระทม ยากอบกล่าวว่า “จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย” (5:16) การสารภาพบาปปลดปล่อยเราจากภาระที่ผูกมัดเราไว้ ให้อิสระแก่เราที่จะพูดคุยกับพระเจ้าได้อย่างสนิทสนม โดยการอธิษฐานเปิดใจกับพระองค์และกับชุมชนแห่งความเชื่อของเรา คำสารภาพนั้นทำให้เกิดการเยียวยารักษา

ยากอบเชื้อเชิญให้เราใช้ชีวิตที่เปิดเผย โดยสารภาพต่อพระเจ้าและคนใกล้ชิดที่สุดถึงความเจ็บปวดและความล้มเหลวที่เราอยากจะฝังเอาไว้ เราไม่จำเป็นต้องแบกภาระเหล่านี้เพียงลำพัง การสารภาพเป็นของขวัญสำหรับเราที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อชำระจิตใจของเราให้สะอาดและปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ

เวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง

คริสตจักรเดิมของเราในรัฐเวอร์จิเนียจะประกอบพิธีบัพติศมาในแม่น้ำริวานน่าซึ่งมักจะมีแสงแดดอันอบอุ่นแต่ทว่าน้ำกลับเย็นจัด หลังจบการนมัสการในวันอาทิตย์ พวกเราจะพากันขึ้นรถและเดินทางไปยังสวนสาธารณะของเมืองที่พวกเพื่อนบ้านชอบมาเล่นจานร่อน และเด็กๆไปรวมตัวกันที่สนามเด็กเล่น ภาพของพวกเราที่เดินไปริมแม่น้ำค่อนข้างดึงดูดความสนใจ ขณะยืนอยู่ในน้ำที่เย็นเยือก ผมจะกล่าวข้อพระคัมภีร์และจุ่มตัวผู้ที่กำลังจะรับบัพติศมาลงในน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความรักของพระเจ้า เมื่อพวกเขาโผล่ขึ้นจากน้ำ โดยเปียกโชกไปทั้งตัวนั้น เสียงแสดงความยินดีและเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อนๆ และครอบครัวจะโอบกอดผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมาไว้จนทุกคนเปียกไปตามๆกัน เรารับประทานเค้ก เครื่องดื่ม และของว่างด้วยกัน เพื่อนบ้านที่มองมาไม่ได้เข้าใจทุกครั้งไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้ว่านี่คือการเฉลิมฉลอง

ในลูกา 15 เรื่องของบุตรน้อยหลงหายที่พระเยซูตรัส (ข้อ 11-32) เปิดเผยว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนกลับมาหาพระเจ้าก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเฉลิมฉลอง ทุกครั้งที่มีคนตอบรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นคือเวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง เมื่อบุตรชายที่ละทิ้งบิดาไปหวนกลับมา ผู้เป็นบิดารีบสั่งการให้แต่งตัวเขาด้วยเสื้อคลุมอย่างดี แหวนที่ส่องประกายแวววาว และรองเท้าคู่ใหม่ “จงเอาลูกวัวอ้วนพีมา” เขาสั่ง “จง...เลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด” (ข้อ 23) งานเลี้ยงใหญ่ที่ครึกครื้นซึ่งทุกคนสามารถมาร่วมสนุกได้ คือวิธีที่เหมาะสมสำหรับการมาร่วม “เฉลิมฉลองกัน” (ข้อ 24)

พระเจ้าแห่งอิสรภาพ

ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ประกาศการเลิกทาสไปแล้วเป็นเวลานานถึงสองปีครึ่ง โดยที่ฝ่ายสมาพันธรัฐได้ยอมจำนนแล้ว แต่รัฐเท็กซัสยังคงไม่ยอมรับในเสรีภาพของพวกทาส อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1865 นายพลกอร์ดอน เกรนเจอร์แห่งกองทัพสหภาพได้ขี่ม้าไปยังเมืองกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส และเรียกร้องให้ปล่อยทาสทั้งหมด ลองจินตนาการถึงความตกใจและความยินดีเมื่อโซ่ตรวนหลุดออกและผู้ที่ถูกพันธนาการได้ยินเสียงประกาศอิสรภาพ

พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นผู้ที่ถูกกดขี่ และในที่สุดพระองค์จะทรงประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความอยุติธรรม เรื่องนี้เป็นจริงในปัจจุบันเช่นเดียวกับในสมัยของโมเสส พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านจากพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชนพร้อมกับตรัสสิ่งที่สำคัญเร่งด่วนว่า “เรา​เห็น​ความ​ทุกข์​ของ​ประชากร​ของ​เรา​ที่​อยู่​ใน​ประเทศ​อียิปต์​แล้ว” (อพย.3:7) พระองค์ไม่เพียงเห็นความโหดร้ายที่ชาวอียิปต์กระทำต่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังทรงมีแผนการที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย พระเจ้าทรงประกาศว่า “เรา​ลง​มา​เพื่อ​จะ​ช่วย​เขา​ให้​รอด...และ​นำ​เขา​...ไป​ยัง​แผ่นดิน​ที่​อุดม​กว้างขวาง” (ข้อ 8) พระองค์ทรงมีเป้าหมายที่จะประกาศอิสรภาพแก่อิสราเอล และโมเสสคือผู้ที่จะเป็นกระบอกเสียง พระเจ้าตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “เรา​จะ​ใช้​เจ้า​ไป​เฝ้า​ฟาโรห์ เพื่อ​จะ​ได้​พา​ประชากร​ของ​เรา​คือ​ชน​ชาติ​อิสราเอล​ออก​จาก​อียิปต์” (ข้อ 10)

แม้เวลาของพระเจ้าอาจไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เราคาดหวัง แต่วันหนึ่งพระองค์จะทรงปลดปล่อยเราจากพันธนาการและความอยุติธรรมทั้งสิ้น พระองค์จะประทานความหวังและการปลดปล่อยมาถึงทุกคนที่ถูกกดขี่

ทะเลทรายที่ผลิดอกบาน

ศตวรรษก่อน ป่าที่เขียวขจีได้ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 40%ของประเทศเอธิโอเปีย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ราว 4% การถางพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่อาจพิทักษ์ป่าไว้ได้นำไปสู่วิกฤตด้านนิเวศน์วิทยา พื้นที่สีเขียวขนาดเล็กที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองจากคริสตจักร เป็นเวลาหลายศตวรรษที่คริสตจักรออร์โธดอกซ์ท้องถิ่นเทวาฮิโดแห่งเอธิโอเปียได้ทะนุบำรุงพื้นที่สีเขียวหรือแหล่งน้ำท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง หากคุณดูภาพถ่ายทางอากาศ คุณจะเห็นพื้นที่สีเขียวโดดเดี่ยวล้อมรอบด้วยทรายสีน้ำตาล ผู้นำคริสตจักรยืนยันว่าการดูแลต้นไม้คือส่วนหนึ่งของการเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้อารักขาสิ่งทรงสร้างของพระองค์

อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะเขียนถึงคนอิสราเอลผู้ซึ่งอาศัยในดินแดนแห้งแล้ง เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างและถูกคุกคามด้วยฤดูแล้งอันโหดร้าย และท่านบรรยายถึงอนาคตตามพระประสงค์ของพระเจ้าว่า “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก” (อสย.35:1) พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะรักษาประชากรของพระองค์ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะรักษาโลกด้วย พระองค์จะ “สร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (65:17) ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่นั้น “[ทะเลทราย]จะออกดอกอุดม” (35:2)

การที่พระเจ้าทรงดูแลสิ่งทรงสร้างรวมถึงประชากรของพระองค์ ดลใจให้เราดูแลสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วย เราสามารถดำเนินชีวิตร่วมในแผนการสูงสุดของพระเจ้า เพื่อโลกที่ได้รับการเยียวยารักษานี้ได้ โดยเป็นผู้ดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เราร่วมมือกับพระเจ้าได้ที่จะทำให้ความแห้งแล้งทุกชนิดอุดมไปด้วยชีวิตและความงดงาม

พระเยซู ผู้สร้างสันติที่แท้จริง

ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1862 สงครามกลางเมืองในสหรัฐฯลุกลามอย่างรวดเร็ว กองกำลังฝ่ายสหภาพและฝ่ายสมาพันธรัฐตั้งค่ายห่างกัน 640 เมตรอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสโตนส์ในรัฐเทนเนสซี ขณะที่พวกเขาผิงไฟอยู่รอบกองไฟ ทหารฝ่ายสหภาพหยิบไวโอลินและฮาร์โมนิก้าขึ้นมาและเริ่มบรรเลงเพลง “แยงกี้ดูเดิ้ล” ทหารฝ่ายสมาพันธรัฐเล่นตอบกลับมาด้วยเพลง “ดิ๊กซี่” ที่พิเศษคือทั้งสองฝ่ายร่วมกันบรรเลงเพลง“บ้านอันแสนอบอุ่น” อย่างพร้อมเพรียงในตอนท้าย ศัตรูคู่อาฆาตบรรเลงดนตรีร่วมกันในค่ำคืนอันมืดมิด เป็นภาพเพียงชั่วขณะของสันติภาพที่เกินจินตนาการ แต่การพักรบด้วยดนตรีไพเราะนั้นสั้นนัก เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาวางไวโอลินลงและหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมา มีทหารเสียชีวิต 24,645 นาย

ความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสันติภาพลดน้อยลงอย่างเลี่ยงไม่พ้น ความเป็นปรปักษ์ยุติในที่แห่งหนึ่งเพื่อไปปะทุขึ้นในที่อีกแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วก็ไม่พ้นต้องพบกับความเสียใจอีกในเวลาต่อมา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าคือผู้สร้างสันติภาพเพียงผู้เดียวที่เราไว้ใจได้ พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า “ท่านจะได้มีสันติสุขในเรา” (ยน.16:33) เรามีสันติสุขได้ในพระเยซู ในขณะที่เราร่วมในภารกิจการสร้างสันติภาพของพระองค์ แต่สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้โดย การคืนดีและการบังเกิดใหม่ในพระเจ้าเท่านั้น

พระคริสต์บอกว่าเราไม่สามารถหลีกหนีความขัดแย้งได้ พระองค์ตรัสว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก” ความขัดแย้งมีอยู่มากมาย พระองค์ยังตรัสอีกว่า “แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” (ข้อ 33) ในขณะที่ความพยายามของเรามักจะไร้ผล พระเจ้าผู้ทรงรักเรา (ข้อ 27) ได้ทรงสร้างสันติภาพในโลกที่วุ่นวายนี้

ความปีติยินดีในเมือง

เมื่อฝรั่งเศสพบอาร์เจนตินาในรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2022 นั้น การแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อทำให้หลายคนตั้งให้เป็น “เกมการแข่งฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อเวลานับถอยหลังเข้าสู่ช่วงทดเวลา คะแนนเสมอกันอยู่ที่ 3-3 ทำให้สองฝ่ายต้องยิงลูกโทษ เมื่ออาร์เจนตินายิงประตูชนะได้ ประชาชนแห่แหนกันออกมาเฉลิมฉลอง ชาวอาร์เจนตินากว่าหนึ่งล้านคนเนืองแน่นอยู่ในตัวเมืองบัวโนสไอเรส ภาพจากโดรนที่ปรากฏบนโลกโซเชียลแสดง
ให้เห็นความอึกทึกเปี่ยมสุขนี้ รายงานข่าวจากช่องวันบีบีซีบรรยายถึงเมืองที่สั่นสะเทือนไปด้วย “ความปีติยินดีอย่างล้นหลาม”

ความปีติยินดีเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงการที่บ้านเมืองและประชาชนจะมีความปีติยินดีที่ลึกซึ้งและคงอยู่นานกว่านั้น “เมื่อคนชอบธรรมเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองก็ปีติยินดี” (11:10 TNCV) เมื่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตตามแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นอย่างแท้จริงได้เริ่มส่งอิทธิพลในชุมชน นั่นเป็นสัญญาณแห่งข่าวดี เพราะหมายความว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากำลังครอบครองอยู่ ความโลภถูกทำลาย คนขัดสนได้พบการช่วยเหลือ และคนที่ถูกกดขี่ได้รับการปกป้อง เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามแบบของพระเจ้าทวีคูณขึ้น เมื่อนั้นบ้านเมืองก็มีความปีติยินดีและมี “พระพร” ในเมืองนั้น (ข้อ 11)

หากเราดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน วิธีที่เราใช้ชีวิตจะทำให้ชุมชนรอบตัวเราดีขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเข้ามามีส่วนในงานของพระองค์ที่จะเยียวยาโลกนี้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำความปีติยินดีมาสู่บ้านเมือง

ลืมความรู้พื้นฐาน

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่แมคโดนัลด์เป็นเจ้าแห่งอาหารจานด่วนจากเมนูเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสี่ปอนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ธุรกิจคู่แข่งเกิดความคิดที่จะโค่นบริษัทที่มีโลโก้ซุ้มโค้งสีทองนี้ลง เอแอนด์ดับบลิวเสนอเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสามปอนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของแมคโดนัลด์แต่ขายในราคาเท่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นเบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิว ยังเอาชนะการทดสอบรสชาติหลายต่อหลายครั้ง แต่เบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิวกลับขายไม่ออก จนในที่สุดพวกเขาต้องถอดจากเมนู ผลวิจัยเปิดเผยว่าลูกค้าเข้าใจผิดทางคณิตศาสตร์โดยคิดว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสามมีขนาดเล็กกว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสี่ ความคิดอันยิ่งใหญ่ล้มเหลวเพราะผู้คนลืมความรู้พื้นฐาน

พระเยซูเตือนว่าการลืมความรู้พื้นฐานนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก พวกผู้นำศาสนาวางแผนร้ายที่จะจับผิดและทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียงในระหว่างสัปดาห์ก่อนจะทรงถูกตรึงที่กางเขน พวกเขาถามถึงสถานการณ์สมมุติแปลกๆเกี่ยวกับหญิงที่เป็นม่ายถึงเจ็ดครั้ง (มธ.22:23-28) พระเยซูทรงตอบโดยยืนยันว่าภาวะยุ่งเหยิงนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการที่พวกเขาไม่ “รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ข้อ 29) พระเยซูทรงย้ำว่าพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้เพื่อตอบปัญหาเชิงตรรกะหรือปรัชญาตั้งแต่แรก แต่เป้าหมายหลักคือนำเราให้รู้จักและรักพระเยซู และให้เรา “มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.5:39) นี่คือความรู้พื้นฐานที่พวกผู้นำหลงลืมไป

เราเองก็มักจะลืมความรู้พื้นฐานเช่นกัน เป้าหมายหลักของพระคัมภีร์คือการได้พบกับพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ คงน่าเสียใจอย่างยิ่งหากเราหลงลืมไป

วางใจอย่างเป็นสุข

ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยรูดี้จากศูนย์พักพิงสัตว์ไม่กี่วันก่อนที่มันจะถูกทำการุณ-ยฆาต สุนัขตัวนี้จึงกลายมาเป็นเพื่อนคู่หูของเธอ เป็นเวลาสิบปีที่รูดี้นอนหลับอย่างสงบข้างเตียงของลินดา แต่จู่ๆมันกลับเริ่มกระโดดอยู่ข้างๆ และเลียหน้าของเธอ ลินดาดุมัน แต่มันกลับทำเหมือนเดิมทุกคืน “ไม่นานมันก็กระโดดมาบนตักแล้วเลียหน้าทุกครั้งที่ฉันนั่งลง” ลินดาบอก

ขณะวางแผนจะพารูดี้ไปศูนย์ฝึกสุนัข เธอเริ่มเอะใจที่รูดี้รบเร้าและมักจะเลียที่จุดเดิมบนกรามของเธอเสมอ ลินดาจึงไปพบแพทย์ด้วยความประหม่าและตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็ก (มะเร็งกระดูก) แพทย์บอกลินดาว่าถ้ารอนานกว่านี้เธออาจเสียชีวิตได้ ลินดาจึงเชื่อในสัญชาตญาณของรูดี้ และเธอมีความสุขที่ทำเช่นนั้น

พระคัมภีร์ย้ำกับเราบ่อยครั้งว่าการวางใจพระเจ้านำไปสู่ชีวิตและความชื่นชมยินดี “คนใดที่วางใจในพระเจ้าก็เป็นสุข” ผู้เขียนสดุดีกล่าว (40:4) พระคัมภีร์บางฉบับแปลชัดเจนตรงตัวว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 4 TNCV) ความสุขในพระธรรมสดุดีสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้นที่ปะทุออกมา

เมื่อเราวางใจในพระเจ้า ผลลัพธ์สูงสุดคือความสุขอันลึกซึ้งและแท้จริง ความวางใจนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและผลลัพธ์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่หากเราวางใจในพระเจ้า เราจะมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำเช่นนั้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา