วันที่ 4 - ไม่เคยถูกทอดทิ้ง

มัทธิว 27:46
ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า... “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
ขณะคุณปู่ของผมกำลังจะเสียชีวิต ผมไปยังสถานพยาบาลของท่านเพื่อบอกลา ทางเดินว่างเปล่า ห้องได้รับการฆ่าเชื้อ แสงนีออนสว่าง พื้นปูลามิเนต มีต้นไม้กระถางหนึ่ง และรูปครอบครัวใบหนึ่ง ทั้งสถานที่มีแต่กลิ่นน้ำส้มสายชูและมะนาว ผมไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตมาก่อน แต่ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดแห่งวาระสุดท้ายและเห็นดวงตาของท่านที่ลึกโหลลงไป ผมอยากบอกลา อยากบอกให้ท่านรู้ว่า (แม้ผมไม่คิดว่าท่านรู้สึกตัว) แม้ในสถานที่อันหม่นหมองแห่งนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง
อะไรจะเลวร้ายไปกว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด พระเยซูทรงรู้สึกถึงความทุกข์ระทมนี้อย่างแท้จริง จากไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46) พระองค์ไม่เพียงแสดงความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งออกมา แต่ยังสะท้อนความเจ็บปวดของโลกด้วย พระคริสต์ไม่ได้ตรัสตามอารมณ์ขณะนั้น แต่พระองค์กำลังตรัสคำอธิษฐานของอิสราเอล (สดุดี 22:1) พระองค์ทรงสะท้อนความกลัวของอิสราเอลที่ว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งพวกเขา และพระองค์กำลังอธิษฐานร่วมกับเรา ทรงตรัสถึงความกลัวเดียวกันนี้ที่เราแต่ละคนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ในยามที่เราสูญเสียลูก หรือการแต่งงานล้มเหลว เรากลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความโดดเดี่ยวของพระเยซูบนไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ที่จะตามมานี่เอง ที่ให้คำตอบแก่เราในยามทุกข์ใจ เราอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แม้ในหุบเขาเงามัจจุราช เราไม่เคยถูกทอดทิ้ง
วินน์ โคลิเออร์
ใคร่ครวญ : คุณเคยรู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างไรบ้าง พระเจ้าทรงมาพบคุณในสถานที่ที่คุณรู้สึกถูกทอดทิ้งนั้นอย่างไร
อธิษฐาน :พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เข้าใจความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง…
วันที่ 4 - ไม่เคยถูกทอดทิ้ง

มัทธิว 27:46
ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า... “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
ขณะคุณปู่ของผมกำลังจะเสียชีวิต ผมไปยังสถานพยาบาลของท่านเพื่อบอกลา ทางเดินว่างเปล่า ห้องได้รับการฆ่าเชื้อ แสงนีออนสว่าง พื้นปูลามิเนต มีต้นไม้กระถางหนึ่ง และรูปครอบครัวใบหนึ่ง ทั้งสถานที่มีแต่กลิ่นน้ำส้มสายชูและมะนาว ผมไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตมาก่อน แต่ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดแห่งวาระสุดท้ายและเห็นดวงตาของท่านที่ลึกโหลลงไป ผมอยากบอกลา อยากบอกให้ท่านรู้ว่า (แม้ผมไม่คิดว่าท่านรู้สึกตัว) แม้ในสถานที่อันหม่นหมองแห่งนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง
อะไรจะเลวร้ายไปกว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด พระเยซูทรงรู้สึกถึงความทุกข์ระทมนี้อย่างแท้จริง จากไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46) พระองค์ไม่เพียงแสดงความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งออกมา แต่ยังสะท้อนความเจ็บปวดของโลกด้วย พระคริสต์ไม่ได้ตรัสตามอารมณ์ขณะนั้น แต่พระองค์กำลังตรัสคำอธิษฐานของอิสราเอล (สดุดี 22:1) พระองค์ทรงสะท้อนความกลัวของอิสราเอลที่ว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งพวกเขา และพระองค์กำลังอธิษฐานร่วมกับเรา ทรงตรัสถึงความกลัวเดียวกันนี้ที่เราแต่ละคนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ในยามที่เราสูญเสียลูก หรือการแต่งงานล้มเหลว เรากลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความโดดเดี่ยวของพระเยซูบนไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ที่จะตามมานี่เอง ที่ให้คำตอบแก่เราในยามทุกข์ใจ เราอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แม้ในหุบเขาเงามัจจุราช เราไม่เคยถูกทอดทิ้ง
วินน์ โคลิเออร์
ใคร่ครวญ : คุณเคยรู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างไรบ้าง พระเจ้าทรงมาพบคุณในสถานที่ที่คุณรู้สึกถูกทอดทิ้งนั้นอย่างไร
อธิษฐาน :พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เข้าใจความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง…
สะท้อนพระเมตตาของพระเจ้า
ในสงครามฤดูหนาวสามเดือนกับรัสเซีย (ค.ศ.1939-1940) ทหารฟินแลนด์นายหนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ในสนามรบ ทหารรัสเซียเดินตรงมาทางเขาพร้อมกับเล็งปืนไรเฟิลมา ทหารฟินแลนด์แน่ใจว่าชีวิตเขาคงจะจบสิ้นแล้ว แต่ทหารรัสเซียกลับมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วจากไป น่าแปลกที่ต่อมาทหารฟินแลนด์นายนี้พบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกันอีกครั้ง เพียงแต่สลับบทบาท เขาพบทหารรัสเซียนอนบาดเจ็บอย่างหมดหนทางในสนามรบ เขาจึงมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วเดินจากไป
พระเยซูประทานหลักการสำคัญที่เป็นแนวทางสำหรับชีวิตของเราคือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” (มธ.7:12) คุณนึกภาพออกไหมว่าโลกจะต่างไปจากนี้เพียงใดหากผู้เชื่อทำตามหลักการง่ายๆข้อนี้ เราคาดการณ์ได้ไหมว่าการกดขี่จะลดลงเพียงใดหากเราร่วมใจกันเชื่อฟังสติปัญญาจากพระเยซู ถ้าเพียงแต่เราจะทำตามที่พระองค์ทรงสอนเรา โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาต่อผู้อื่นซึ่งเราหวังว่าจะได้รับเช่นกัน ขณะที่เรา “ให้ของดี” แก่ผู้อื่น เราก็สะท้อนพระทัยของ “พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ [ผู้ประทาน]ของดีแก่ผู้ที่” พระองค์ทรงรัก (ข้อ 11)
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองว่าผู้อื่นเป็นศัตรู คนแปลกหน้า หรือผู้คนที่เราแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรหรือโอกาส แต่ควรมองว่าพวกเขาต้องการความเมตตาและน้ำใจเช่นเดียวกับที่เราต้องการ เมื่อทำเช่นนั้นท่าทีและมุมมองของเราก็จะเปลี่ยนไป และโดยการจัดเตรียมของพระเจ้า เราก็จะเต็มใจมอบความรักที่พระองค์ทรงเต็มพระทัยประทานแก่เราให้กับพวกเขา
จดจำพระเจ้า
ผมบินไปอินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่เคยไปมาก่อน และมาถึงสนามบินเบงกาลูรูหลังเที่ยงคืน แม้จะได้มีการติดต่อกันทางอีเมลมาก่อน แต่ผมไม่รู้ว่าใครจะมารับผมหรือว่าผมควรไปพบคนๆนั้นที่ไหน ผมเดินตามมวลมหาชนที่หลั่งไหลไปยังจุดรับกระเป๋าและด่านศุลกากร จากนั้นก็ออกไปสู่ค่ำคืนที่ร้อนชื้นพยายามมองหาสายตาที่เป็นมิตรท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก ผมเดินไปเดินมาอยู่หน้ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นชั่วโมงและหวังว่าจะมีคนจำผมได้ ในที่สุดชายใจดีก็เข้ามาหาและถามว่า “คุณวินน์ใช่ไหมครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมคิดว่าจะจำคุณได้ และคุณเดินอยู่ข้างหน้าผมตลอด แต่คุณดูไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย”
พวกเรามักจะสับสนเป็นประจำและไม่รู้จักบุคคลหรือสถานที่ที่เราควรรู้ แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมวิธีที่เราจะจำพระองค์ได้อย่างไม่ผิดพลาด พระองค์เสด็จมาในโลกของเราในฐานะพระเยซูผู้ทรง “เป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์” (ฮบ.1:3) พระคริสต์ทรงเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระเจ้า เมื่อเราเห็นพระองค์ เรามั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าเราได้เห็นพระเจ้า
ถ้าเราอยากรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร พระองค์จะตรัสอะไร และจะทรงแสดงความรักอย่างไร เราก็เพียงแค่ดูและฟังพระเยซูเท่านั้น เรากำลังได้ยินสิ่งที่ “[พระเจ้า]ได้ตรัส” (ข้อ 2) ผ่านทางพระบุตรจริงหรือไม่ เรากำลังติดตามความจริงของพระองค์อยู่แน่หรือ การที่เราจะแน่ใจได้ว่าเราจดจำพระเจ้าได้คือ ให้เราเพ่งมองไปที่พระบุตรและเรียนรู้จากพระองค์
พระสัญญาเหนือความพังทลาย
เมื่อพายุเฮอริเคนลอร่าพัดกระหน่ำผ่านอ่าวเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่แนวชายฝั่งทะเลของรัฐหลุยเซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเตือนภัยถึงระดับความรุนแรงเนื่องด้วยกระแสลมที่พัดแรง 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายอำเภอคนหนึ่งจึงประกาศเตือนด้วยข้อความที่น่าตกใจว่า “กรุณาออกจากพื้นที่ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่และเราไม่สามารถเข้าถึงคุณได้ กรุณาเขียนชื่อ ที่อยู่ เลขประกันสังคม และชื่อญาติสนิท ใส่ไว้ในถุงซิปล็อกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงของคุณ และอธิษฐานขอให้ไม่ต้องใช้มัน” ทีมกู้ภัยรู้ว่าเมื่อพายุลอร่ามาถึงฝั่ง พวกเขาทำได้แค่เพียงมองดูเส้นทางการทำลายล้างของพายุโดยไม่อาจช่วยอะไรได้
เมื่อใดก็ตามที่ประชากรของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือในฝ่ายวิญญาณ พระดำรัสของพระองค์นั้นมั่นคงและเปี่ยมด้วยความหวังมากยิ่งกว่า โดยทรงสัญญาถึงการสถิตอยู่ด้วยแม้ในภาวะที่ถูกทำลายนั้น พระองค์ตรัสว่าจะทรง “เล้าโลมที่ทิ้งร้างทั้งสิ้นของเธอ และจะทำถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดน” (อสย.51:3) และยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าทรงยืนยันกับคนของพระองค์เสมอถึงการช่วยกู้และการรักษาที่จะมาถึงหากพวกเขาวางใจในพระองค์ แม้ว่า “ฟ้าสวรรค์จะศูนย์สิ้นไปเหมือนควัน” พระองค์ตรัส “ความรอดของ[พระองค์]จะอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 6) ไม่ว่าความเสียหายจะเป็นเช่นไร ก็จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นความเลิศประเสริฐของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ได้เลย
พระเจ้าไม่ได้กันเราจากความยากลำบาก แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าการฟื้นฟูรักษาของพระองค์นั้นจะมากยิ่งกว่าความพังทลายทั้งปวง
ความรักเข้มแข็งอย่างความตาย
หากคุณได้เดินเล่นไปตามกำแพงอิฐเก่าที่ทอดยาวกั้นระหว่างสุสานโปรเตส-แตนต์และสุสานคาทอลิกในเมืองโรมอนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ คุณจะพบภาพหนึ่งที่น่าสนใจ คือภาพแผ่นหินจารึกหน้าหลุมศพที่สูงตระหง่านสองแผ่นวางติดกำแพงสองฝั่ง แผ่นหนึ่งสำหรับสามีโปรเตสแตนต์ และอีกแผ่นหนึ่งสำหรับภรรยาคาทอลิก ธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงศตวรรษที่ 19 กำหนดว่าพวกเขาจะต้องฝังในสุสานที่แยกจากกัน แต่พวกเขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น แผ่นหินหน้าหลุมศพที่ไม่ธรรมดานี้จึงสูงเหนือกำแพงที่เป็นรั้วกั้น เพื่อว่าที่ด้านบนสุดจะมีช่องว่างเพียงประมาณหนึ่งหรือสองฟุตเท่านั้นที่แยกพวกเขาออกจากกัน ที่ด้านบนสุดของแผ่นหินทั้งสอง มีการแกะสลักเป็นรูปแขนที่ยื่นออกไปจับมือกันไว้ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะแยกจากกันแม้ในความตาย
เพลงซาโลมอนอธิบายถึงพลังแห่งความรัก ซาโลมอนกล่าวว่า “เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย” (8:6) รักแท้นั้นทรงพลังและรุนแรง “ประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง” (ข้อ 6) รักแท้ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่นิ่งเงียบ และไม่อาจถูกทำลายได้ ซาโลมอนได้เขียนไว้ว่า “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ อุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้” (ข้อ 7)
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:16) ความรักที่แข็งแกร่งที่สุดของเราเป็นเพียงภาพสะท้อนถึงเศษเสี้ยวของความรักอันทรงพลังที่พระองค์มีต่อเรา พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาทั้งหมดของความรักที่แท้จริงและมั่นคง
เวลาที่ถูกใช้อย่างคุ้มค่า
วันที่ 14 มีนาคม 2019 จรวดของนาซ่าถูกจุดระเบิดขึ้นเพื่อส่งนักบินอวกาศคริสติน่า คอชขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ คอชจะไม่กลับมาที่โลกเป็นเวลา 328 วัน นี่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีสถิติการบินในอวกาศเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุด ทุกวันเธอใช้ชีวิตอยู่เหนือจากพื้นโลกประมาณ 408 กิโลเมตร มีหน้าจอคอยจับเวลาของนักบินอวกาศทุกห้านาที เธอมีรายการที่ต้องทำมากมาย(ตั้งแต่กินข้าวไปจนถึงการทดลอง) แต่ละชั่วโมงผ่านไป เส้นสีแดงขยับทีละนิดบนหน้าจอเพื่อแสดงว่าคอชกำลังนำหน้าหรือตามหลังตารางงาน ไม่มีการเสียเวลาเลย
แน่นอนว่าอัครทูตเปาโลไม่แนะนำให้มีสิ่งที่รุกล้ำชีวิตเหมือนกับเส้นสีแดงนี้ที่กำหนดชีวิตเรา แต่ท่านก็หนุนใจให้เราใช้เวลาอันมีค่าที่มีอย่างจำกัดด้วยความระมัดระวัง “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี” ท่านเขียน “อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว” (อฟ.5:15-16) พระปัญญาของพระเจ้าชี้แนะให้เราใช้แต่ละวันด้วยความตั้งใจและระมัดระวัง เพื่อฝึกฝนที่จะเชื่อฟังพระองค์ ที่จะรักเพื่อนบ้าน และเพื่อจะมีส่วนร่วมในพันธกิจแห่งการทรงไถ่ของพระเยซูที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องบนโลกนี้ แต่น่าเศร้าใจที่เรามีแนวโน้มที่จะละเลยคำแนะนำแห่งสติปัญญาและใช้เวลาอย่างโง่เขลา (ข้อ 17) โดยการเสียเวลาไปกับการไล่ตามสิ่งที่เห็นแก่ตัวและไม่เป็นผลดี
ประเด็นสำคัญไม่ใช่การกระวนกระวายอยู่กับเรื่องเวลา แต่คือการติดตามพระเจ้าด้วยความเชื่อฟังและไว้วางใจ พระองค์จะช่วยให้เราใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่า
อาหารสำหรับผู้ที่หิว
เป็นเวลาหลายปีที่กลุ่มประเทศทางภาคตะวันออกในบริเวณที่เรียกว่าจะงอยแอฟริกาต้องทนทุกข์จากภัยแล้งอันโหดร้ายซึ่งทำลายพืชผล ทำให้ปศุสัตว์ล้มตาย และทำให้คนนับล้านตกอยู่ในอันตราย สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกในท่ามกลางประชากรที่อ่อนแอที่สุด เช่นผู้คนในค่ายผู้ลี้ภัยคาคูมาของเคนย่าที่หนีจากสงครามและการกดขี่ข่มเหง รายงานล่าสุดบรรยายถึงคุณแม่ยังสาวที่พาลูกน้อยไปหาเจ้าหน้าที่ค่าย ทารกน้อยทุกข์ทรมานจากภาวะขาดสารอาหารจนทำให้ “ผมและผิวหนังของเธอ...แห้งและเปราะ” เธอไม่ยิ้มและไม่ยอมกินอะไร ร่างเล็กๆของเธอกำลังจะหมดลม ผู้เชี่ยวชาญจึงเข้าช่วยเหลือทันที ยังดีที่แม้ว่าความต้องการยังคงมีมหาศาล แต่ก็ได้มีการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานขึ้นเพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยชีวิต
สถานที่สิ้นหวังเหล่านี้เป็นที่ที่คนของพระเจ้าถูกเรียกให้ฉายแสงและสำแดงความรักของพระองค์ (อสย.58:8) เมื่อผู้คนอดอยาก เจ็บป่วย หรือถูกคุกคาม พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้เป็นคนแรกที่จัดเตรียมอาหาร ยา และความปลอดภัยทั้งสิ้นในพระนามพระเยซู อิสยาห์ตำหนิคนอิสราเอลในอดีตที่คิดว่าพวกเขาสัตย์ซื่อกับการอดอาหารและอธิษฐาน แต่ละเลยการกระทำที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจเมื่อเกิดวิกฤติ เช่น การแบ่งปัน “อาหารของเจ้าให้กับผู้หิว” นำ “คนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้าน” และคลุมกาย “คนเปลือยกาย” (ข้อ 7)
พระเจ้าทรงปรารถนาให้ผู้ที่หิวได้รับอาหารทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ และพระองค์จะทรงทำงานในเราและผ่านทางเราในขณะที่พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการของคนเหล่านั้น
ชีวิตที่ผ่านการฝึกจากพระเจ้า
เดือนมิถุนายนปี 2016 ในระหว่างงานพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ 90 ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธ พระองค์ทรงประทับบนรถม้าพร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชน ขณะที่รถม้าวิ่งผ่านทหารในเครื่องแบบสีแดงซึ่งยืนเรียงกันเป็นแถวยาวด้วยอาการสงบนิ่ง วันนั้นเป็นวันที่อากาศอบอุ่นในประเทศอังกฤษ และทหารองครักษ์สวมเครื่องแบบสำหรับพระราชพิธีที่ตัดเย็บจากผ้าขนแกะกางเกงสีดำ เสื้อแขนยาวที่ติดกระดุมสูงจรดคางและหมวกยอดประดับพู่ใบใหญ่ขณะที่ทหารยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้แสงอาทิตย์ ทหารองครักษ์คนหนึ่งมีอาการหน้ามืด เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามควบคุมการทรงตัวเอาไว้อย่างเคร่งครัดก่อนจะล้มฟาดลงไปข้างหน้า ตัวของเขายังคงตรงราวกับไม้กระดานขณะที่หน้าของเขาคว่ำลงบนพื้นกรวด เขานอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นในท่าที่ตัวยังคงเหยียดตรงอยู่
ทหารองครักษ์คนนี้ต้องใช้เวลาหลายปีในการฝึกวินัยเพื่อเรียนรู้การควบคุมตนเองและร่างกายให้ได้แม้ในยามที่เขาล้มหมดสติ อัครทูตเปาโลบรรยายถึงการฝึกฝนเช่นนี้ว่า “แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ” (1 คร.9:27) เปาโลยอมรับว่า “นักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ” (ข้อ 25)
แม้ว่าพระคุณของพระเจ้า (ไม่ใช่ความพยายามของเรา) จะช่วยค้ำจุนทุกสิ่งที่เราทำ แต่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็สมควรได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามีวินัยทั้งทางความคิด จิตใจ และร่างกาย เราจะเรียนรู้ที่จะจดจ่ออยู่ที่พระองค์ แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับการทดลองหรือสิ่งรบกวน