ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Winn Collier

ความปีติยินดีในเมือง

เมื่อฝรั่งเศสพบอาร์เจนตินาในรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2022 นั้น การแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อทำให้หลายคนตั้งให้เป็น “เกมการแข่งฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อเวลานับถอยหลังเข้าสู่ช่วงทดเวลา คะแนนเสมอกันอยู่ที่ 3-3 ทำให้สองฝ่ายต้องยิงลูกโทษ เมื่ออาร์เจนตินายิงประตูชนะได้ ประชาชนแห่แหนกันออกมาเฉลิมฉลอง ชาวอาร์เจนตินากว่าหนึ่งล้านคนเนืองแน่นอยู่ในตัวเมืองบัวโนสไอเรส ภาพจากโดรนที่ปรากฏบนโลกโซเชียลแสดง
ให้เห็นความอึกทึกเปี่ยมสุขนี้ รายงานข่าวจากช่องวันบีบีซีบรรยายถึงเมืองที่สั่นสะเทือนไปด้วย “ความปีติยินดีอย่างล้นหลาม”

ความปีติยินดีเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงการที่บ้านเมืองและประชาชนจะมีความปีติยินดีที่ลึกซึ้งและคงอยู่นานกว่านั้น “เมื่อคนชอบธรรมเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองก็ปีติยินดี” (11:10 TNCV) เมื่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตตามแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นอย่างแท้จริงได้เริ่มส่งอิทธิพลในชุมชน นั่นเป็นสัญญาณแห่งข่าวดี เพราะหมายความว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากำลังครอบครองอยู่ ความโลภถูกทำลาย คนขัดสนได้พบการช่วยเหลือ และคนที่ถูกกดขี่ได้รับการปกป้อง เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามแบบของพระเจ้าทวีคูณขึ้น เมื่อนั้นบ้านเมืองก็มีความปีติยินดีและมี “พระพร” ในเมืองนั้น (ข้อ 11)

หากเราดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน วิธีที่เราใช้ชีวิตจะทำให้ชุมชนรอบตัวเราดีขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเข้ามามีส่วนในงานของพระองค์ที่จะเยียวยาโลกนี้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำความปีติยินดีมาสู่บ้านเมือง

ลืมความรู้พื้นฐาน

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่แมคโดนัลด์เป็นเจ้าแห่งอาหารจานด่วนจากเมนูเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสี่ปอนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ธุรกิจคู่แข่งเกิดความคิดที่จะโค่นบริษัทที่มีโลโก้ซุ้มโค้งสีทองนี้ลง เอแอนด์ดับบลิวเสนอเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสามปอนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของแมคโดนัลด์แต่ขายในราคาเท่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นเบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิว ยังเอาชนะการทดสอบรสชาติหลายต่อหลายครั้ง แต่เบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิวกลับขายไม่ออก จนในที่สุดพวกเขาต้องถอดจากเมนู ผลวิจัยเปิดเผยว่าลูกค้าเข้าใจผิดทางคณิตศาสตร์โดยคิดว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสามมีขนาดเล็กกว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสี่ ความคิดอันยิ่งใหญ่ล้มเหลวเพราะผู้คนลืมความรู้พื้นฐาน

พระเยซูเตือนว่าการลืมความรู้พื้นฐานนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก พวกผู้นำศาสนาวางแผนร้ายที่จะจับผิดและทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียงในระหว่างสัปดาห์ก่อนจะทรงถูกตรึงที่กางเขน พวกเขาถามถึงสถานการณ์สมมุติแปลกๆเกี่ยวกับหญิงที่เป็นม่ายถึงเจ็ดครั้ง (มธ.22:23-28) พระเยซูทรงตอบโดยยืนยันว่าภาวะยุ่งเหยิงนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการที่พวกเขาไม่ “รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ข้อ 29) พระเยซูทรงย้ำว่าพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้เพื่อตอบปัญหาเชิงตรรกะหรือปรัชญาตั้งแต่แรก แต่เป้าหมายหลักคือนำเราให้รู้จักและรักพระเยซู และให้เรา “มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.5:39) นี่คือความรู้พื้นฐานที่พวกผู้นำหลงลืมไป

เราเองก็มักจะลืมความรู้พื้นฐานเช่นกัน เป้าหมายหลักของพระคัมภีร์คือการได้พบกับพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ คงน่าเสียใจอย่างยิ่งหากเราหลงลืมไป

วางใจอย่างเป็นสุข

ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยรูดี้จากศูนย์พักพิงสัตว์ไม่กี่วันก่อนที่มันจะถูกทำการุณ-ยฆาต สุนัขตัวนี้จึงกลายมาเป็นเพื่อนคู่หูของเธอ เป็นเวลาสิบปีที่รูดี้นอนหลับอย่างสงบข้างเตียงของลินดา แต่จู่ๆมันกลับเริ่มกระโดดอยู่ข้างๆ และเลียหน้าของเธอ ลินดาดุมัน แต่มันกลับทำเหมือนเดิมทุกคืน “ไม่นานมันก็กระโดดมาบนตักแล้วเลียหน้าทุกครั้งที่ฉันนั่งลง” ลินดาบอก

ขณะวางแผนจะพารูดี้ไปศูนย์ฝึกสุนัข เธอเริ่มเอะใจที่รูดี้รบเร้าและมักจะเลียที่จุดเดิมบนกรามของเธอเสมอ ลินดาจึงไปพบแพทย์ด้วยความประหม่าและตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็ก (มะเร็งกระดูก) แพทย์บอกลินดาว่าถ้ารอนานกว่านี้เธออาจเสียชีวิตได้ ลินดาจึงเชื่อในสัญชาตญาณของรูดี้ และเธอมีความสุขที่ทำเช่นนั้น

พระคัมภีร์ย้ำกับเราบ่อยครั้งว่าการวางใจพระเจ้านำไปสู่ชีวิตและความชื่นชมยินดี “คนใดที่วางใจในพระเจ้าก็เป็นสุข” ผู้เขียนสดุดีกล่าว (40:4) พระคัมภีร์บางฉบับแปลชัดเจนตรงตัวว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 4 TNCV) ความสุขในพระธรรมสดุดีสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้นที่ปะทุออกมา

เมื่อเราวางใจในพระเจ้า ผลลัพธ์สูงสุดคือความสุขอันลึกซึ้งและแท้จริง ความวางใจนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและผลลัพธ์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่หากเราวางใจในพระเจ้า เราจะมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำเช่นนั้น

ใช้สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรา

ศาลาว่าการเมืองบริสเบนในออสเตรเลียเป็นโครงการอันน่าทึ่งที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1920 บันไดสีขาวปูด้วยหินอ่อนจากเหมืองหินแห่งเดียวกับที่ไมเคิล แองเจโลใช้สร้างรูปปั้นดาวิดของเขา อาคารหลังนี้เป็นภาพสะท้อนของมหาวิหารเซนต์มาร์กในเมืองเวนิส และเพดานโดมทองแดงก็ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ ผู้สร้างตั้งใจให้มีรูปปั้นทูตแห่งสันติภาพขนาดใหญ่ประดับอยู่บนยอดอาคาร แต่ปัญหาคือเงินหมด ช่างประปาที่ชื่อเฟรด จอห์นสันจึงเข้ามาแก้ปัญหา โดยการนำถังเก็บน้ำในห้องน้ำ เสาไฟเก่า และเศษโลหะมาสร้างเป็นลูกโลกที่ประดับอยู่บนหอนาฬิกาของอาคารหลังนี้มาเป็นเวลาเกือบร้อยปี

เช่นเดียวกับที่เฟรด จอห์นสันใช้สิ่งที่เขามีอยู่ เราก็สามารถร่วมงานกับพระเจ้าได้ด้วยทุกสิ่งที่เรามี ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เมื่อพระองค์ขอให้โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสทักท้วงว่า “แล้วถ้าพวกเขาไม่...ฟังเสียงของข้าพระองค์ (อพย.4:1) พระเจ้าทรงตอบท่านด้วยคำถามง่ายๆว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” (ข้อ 2) โมเสสถือไม้เท้าธรรมดาอยู่ พระเจ้าบอกให้ท่านโยนไม้เท้าลงบนพื้น “แล้วมันก็กลายเป็นงู” (ข้อ 3) จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้โมเสสจับงูนั้น แล้วมันก็กลับเป็นไม้เท้า พระเจ้าอธิบายว่าสิ่งเดียวที่โมเสสต้องทำคือ ถือไม้เท้าและวางใจให้พระองค์จัดการส่วนที่เหลือ พระองค์ทรงใช้ไม้เท้าในมือของโมเสสเพื่อช่วยกู้อิสราเอลจากชาวอียิปต์อย่างน่าอัศจรรย์ (7:10-12; 17:5-7)

เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีไม่มาก แต่สำหรับพระเจ้า สิ่งที่เรามีนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เพียงพอแล้ว พระองค์จะนำทรัพยากรที่แสนธรรมดาของเราไปใช้ในงานของพระองค์

รวมกันดีกว่า

ซอเรน ซอลเกียใช้เวลาหลายปีในการถ่ายภาพนกสตาร์ลิ่ง(วงศ์นกขนาดเล็ก มีหลายสายพันธุ์) และปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของพวกมัน นั่นคือการบินรวมฝูงของสตาร์ลิ่งนับแสนตัวที่เคลื่อนที่อย่างลื่นไหลบนท้องฟ้า การชมสิ่งมหัศจรรย์นี้เปรียบเสมือนการนั่งอยู่ใต้คลื่นที่หมุนวนหรือภายใต้พู่กันสีเข้มขนาดใหญ่ที่ตวัดอย่างลื่นไหลเป็นลวดลายละลานตาบนฟ้า ในประเทศเดนมาร์กพวกเขาเรียกปรากฏการณ์อันน่าทึ่งนี้ว่า ดวงอาทิตย์สีดำ (Black Sun ซึ่งเป็นชื่อหนังสือภาพถ่ายอันน่าทึ่งของซอลเกีย) สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือวิธีที่ฝูงนกบินโดยใช้สัญชาตญาณตามเพื่อนตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดไป พวกมันบินใกล้กันมากจนหากตัวใดพลาดจังหวะ ทั้งหมดจะต้องเจอหายนะครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามนกสตาร์ลิ่งใช้การบินรวมฝูงเพื่อปกป้องกันและกัน เมื่อเหยี่ยวโฉบลงมา สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นขบวนที่แน่นหนาและเคลื่อนที่ไปเป็นกลุ่ม โดยไล่ต้อนผู้ล่าซึ่งปกติแล้วจะจู่โจมพวกมันได้อย่างง่ายดายหากพวกมันอยู่ตามลำพัง

เราอยู่รวมกันดีกว่าอยู่คนเดียว ปัญญาจารย์กล่าวว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว...ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น...อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น” (4:9-11) การอยู่คนเดียว ทำให้เราโดดเดี่ยวและเป็นเหยื่อได้ง่าย เราจะตกเป็นเป้าโจมตีโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการปกป้องจากผู้อื่น

แต่หากมีมิตรสหายเราต่างก็ได้ให้และรับความช่วยเหลือจากกันและกัน ปัญญาจารย์​กล่าว​ว่า “แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้” (ข้อ 12) เราอยู่รวมกันดีกว่าตามที่พระเจ้าทรงนำเรา

จากเศษเล็กเศษน้อยสู่ความงดงาม

มิสกาภรรยาของผมมีสร้อยคอและต่างหูแบบห่วงจากประเทศเอธิโอเปีย ความเรียบหรูของมันเผยให้เห็นงานศิลป์ที่แท้จริง แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับเครื่องประดับเหล่านี้คือเรื่องราวของมัน เนื่องด้วยความขัดแย้งรุนแรงหลายทศวรรษและสงครามกลางเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่ ภูมิประเทศของเอธิโอเปียจึงเกลื่อนไปด้วยปลอกกระสุนปืนและกระสุนปืนใหญ่ที่ใช้แล้ว ด้วยความหวังที่มี ชาวเอธิโอเปียจึงขุดคุ้ยดินที่มอดไหม้ เอาเศษซากมาทำความสะอาด ช่างฝีมือเอาชิ้นส่วนที่เหลือและปลอกกระสุนปืนมาทำเครื่องประดับ

เมื่อผมได้ฟังเรื่องนี้ ผมได้ยินเสียงสะท้อนที่มีคาห์ประกาศคำสัญญาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ วันหนึ่งผู้เผยพระวจนะประกาศว่า ผู้คนจะ “ตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด” (4:3) โดยพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เครื่องมือที่มีไว้เพื่อฆ่าและทำร้ายจึงถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือที่ใช้เลี้ยงชีพ ผู้เผยพระวจนะยืนยันว่า ในวันที่พระเจ้าจะเสด็จมา “ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป” (ข้อ 3)

คำประกาศของมีคาห์นั้นไม่ยากเกินจินตนาการทั้งในสมัยของท่านและในสมัยของเรา เช่นเดียวกับอิสราเอลในสมัยโบราณ เราเองก็เผชิญกับความรุนแรงและสงคราม และดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกจะเปลี่ยนได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าด้วยพระเมตตาและการรักษาของพระองค์ วันอันน่าประหลาดใจนี้กำลังจะมาถึง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือเริ่มดำเนินชีวิตตามความจริงนี้เดี๋ยวนี้ แม้ในเวลานี้พระเจ้าก็ยังทรงช่วยให้เราทำงานของพระองค์ โดยการเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่งดงาม

เพ่งมองที่พระเจ้า

ครั้งหนึ่งศิษยาภิบาลชาวสก๊อตในศตวรรษที่สิบเก้าชื่อ โธมัส ชาลเมอส์ ได้เล่าถึงตอนที่เขานั่งรถม้าไปในแถบที่ราบสูง ขณะที่รถไต่ไปตามเชิงผาแคบๆ ม้าตัวหนึ่งมีอาการตื่นกลัว และคนบังคับรถม้ากลัวว่าพวกเขาจะตกลงไปตาย จึงได้ตวัดแส้ซ้ำหลายๆครั้ง เมื่อพ้นจากอันตรายมาได้ ชาลเมอส์ถามคนบังคับรถม้าว่าทำไมเขาจึงหวดแส้อย่างรุนแรงเช่นนั้น “ผมต้องทำให้ม้าคิดถึงอย่างอื่น” เขากล่าว “ผมต้องให้พวกมันสนใจผม”

ในโลกที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามและอันตรายรอบตัว เราทุกคนต้องการบางอย่างที่ดึงความสนใจของเรา อย่างไรก็ตาม เราต้องการมากกว่าแค่สิ่งที่เบี่ยงเบนความคิดเราโดยใช้เทคนิควิธีทางจิตวิทยา สิ่งที่จำเป็นสำหรับเรามากที่สุดคือการตรึงความคิดของเราไว้กับความเป็นจริงที่ทรงพลังยิ่งกว่าความกลัวทั้งสิ้นที่เรามี ดังที่อิสยาห์กล่าวแก่ประชากรของพระเจ้าในยูดาห์ว่าสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงคือการจดจ่อความคิดของเราที่พระเจ้า ท่านสัญญาว่า “พระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อสย.26:3) และเราสามารถ “วางใจในพระเจ้าเป็นนิตย์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลานิรันดร์” (ข้อ 4)

ศานติภาพ คือของขวัญสำหรับทุกคนที่เพ่งมองที่พระเจ้า และสันติสุขของพระองค์ให้เรามากกว่าแค่วิธียับยั้งความคิดที่แย่ที่สุดของเรา สำหรับผู้ที่ยอมจำนนโดยมอบอนาคต ความหวัง และความวิตกกังวลของพวกเขาให้พระองค์ พระวิญญาณจะประทานให้เขาเหล่านั้นมีวิถีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง

นักบุญนิค

บุคคลที่เรารู้จักกันในนามนักบุญนิโคลัส(นักบุญนิค)นี้เกิดราวปีค.ศ. 270 ในครอบครัวชาวกรีกที่ร่ำรวย น่าเศร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขาจึงไปอาศัยอยู่กับลุงที่รักและสอนให้เขาติดตามพระเจ้า เมื่อนิโคลัสยังหนุ่มมีเรื่องเล่าขานกันว่า เขาได้ยินเรื่องของสามสาวพี่น้องที่ไม่มีสินสอดสำหรับแต่งงานและใกล้จะสิ้นเนื้อประดาตัว ด้วยต้องการทำตามคำสอนของพระเยซูเรื่องการให้แก่ผู้ที่ขัดสน เขาจึงมอบถุงใส่เหรียญทองจากมรดกของตนให้กับพี่น้องทั้งสามคนละถุง หลายปีต่อมานิโคลัสใช้เงินที่เหลือเลี้ยงคนยากจนและดูแลผู้อื่น ในศตวรรษต่อมานิโคลัสได้รับการยกย่องเพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเขา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครที่เรารู้จักกันในชื่อซานตาคลอส

ในขณะที่การโฆษณาและความมีเสน่ห์ดึงดูดใจของเทศกาลนี้อาจทำลายการเฉลิมฉลองของเรา แต่ประเพณีในการให้ของขวัญนั้นสืบเนื่องมาจากนิโคลัสและความเอื้อเฟื้อของเขามีพื้นฐานมาจากการอุทิศชีวิตเพื่อพระเยซู นิโคลัสรู้ว่าพระคริสต์ทรงสำแดงพระกรุณาที่เกินจะจินตนาการได้ โดยเป็นผู้มอบของขวัญอันล้ำค่าที่สุดคือ พระเจ้า พระเยซูเป็น “พระเจ้า [ผู้]ทรงอยู่กับเรา” (มธ.1:23) และพระองค์ได้ประทานของขวัญแห่งชีวิตแก่เรา ในโลกแห่งความตายพระองค์ทรง “ช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (ข้อ 21)

เมื่อเราเชื่อพระเยซู การเสียสละด้วยใจกว้างขวางก็สำแดงออกมา เราจึงใส่ใจในความต้องการของผู้อื่นและยินดีจัดหาสิ่งเหล่านั้นให้พวกเขาเหมือนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เรา นี่คือเรื่องราวของนักบุญนิค แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็คือเรื่องราวของพระเจ้า

รู้จักเสียงพระผู้เลี้ยง

ตอนผมเป็นเด็กอาศัยอยู่ที่ฟาร์มในรัฐเทนเนสซี่ ผมใช้เวลาช่วงบ่ายอันสดใสเดินเตร่ไปกับเพื่อนสนิท เรามักจะเข้าไปในป่า ขี่ลูกม้า ไปดูสนามแข่งม้า และแอบเข้าไปในคอกม้าเพื่อดูคาวบอยฝึกม้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ยินเสียงผิวปากของพ่อที่ดังชัดเจนผ่านสายลมและเสียงพูดคุยอื่นๆ ผมจะทิ้งทุกอย่างที่กำลังทำอยู่และกลับบ้าน สัญญาณนั้นชัดเจนและผมรู้ว่าพ่อกำลังเรียกผม หลายสิบปีต่อมาผมก็ยังจำเสียงนั้นได้

พระเยซูทรงบอกกับสาวกว่าพระองค์เป็นผู้เลี้ยง และผู้ที่ติดตามพระองค์คือแกะ “แกะย่อมฟังเสียงของ[ผู้เลี้ยง]” พระองค์ตรัส “ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป” (ยน.10:3) ในช่วงเวลาที่ผู้นำและผู้สอนหลายคนพยายามจะทำให้สาวกของพระคริสต์สับสนโดยการอ้างถึงอำนาจของตน พระเยซูตรัสว่าเสียงแห่งความรักของพระองค์ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน และแตกต่างจากเสียงอื่น “แกะก็ตาม (ผู้เลี้ยง) ไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ข้อ 4)

ให้เราระมัดระวังในการฟังเสียงของพระเยซูและไม่เพิกเฉยต่อเสียงนั้นด้วยความโง่เขลา เพราะความจริงที่สำคัญยังคงอยู่ คือ พระผู้เลี้ยงทรงเรียกอย่างชัดเจน และแกะของพระองค์ฟังเสียงพระองค์ พระเยซูได้ตรัสแล้ว บางครั้งอาจโดยผ่านทางข้อพระคัมภีร์ จากคำพูดของเพื่อนผู้เชื่อ หรือการเร้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเราได้ยินเสียงนั้นชัดเจนแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา