สู้ไปด้วยกัน
เคลลี่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งสมองในตอนที่เกิดวิกฤตการณ์โควิด 19 เมื่อของเหลวเพิ่มปริมาณขึ้นรอบๆหัวใจและปอด เธอจึงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง ครอบครัวไม่สามารถไปเยี่ยมเธอได้เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด เดฟสามีของเธอจึงตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรบางอย่าง
เดฟได้รวบรวมญาติและเพื่อนสนิทมาพร้อมหน้ากัน โดยขอให้พวกเขาทำป้ายข้อความขนาดใหญ่ แล้วพวกเขาก็มา ทั้ง 20 คนยืนโดยสวมหน้ากากอยู่ข้างถนนนอกโรงพยาบาลพร้อมถือป้ายต่างๆที่เขียนว่า “สุดยอดคุณแม่!” “รักนะ” “เราจะอยู่เคียงข้างกัน” ด้วยความช่วยเหลือของพยาบาล เคลลี่จึงได้มาที่หน้าต่างของชั้นสี่ “เราเห็นเพียงหน้ากากและมือที่โบกมา” สามีของเธอโพสต์ไว้ในโซเชียลมีเดีย “แต่ก็เป็นหน้ากากและมือที่งดงาม”
ช่วงท้ายชีวิตของอัครทูตเปาโล ท่านรู้สึกโดดเดี่ยวขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่กรุงโรม ท่านเขียนถึงทิโมธีว่า “ท่านจงพยายามมาให้ถึงก่อนฤดูหนาว” (2 ทธ.4:21) แต่เปาโลไม่ได้อยู่ลำพังเสียทีเดียว ท่านกล่าวว่า “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ข้าพเจ้า และได้ทรงประทานกำลังให้ข้าพเจ้า” (ข้อ 17) และยังเห็นได้ชัดว่าท่านได้รับการติดต่อที่ช่วยหนุนใจจากผู้เชื่อคนอื่นด้วย ท่านบอกกับทิโมธีว่า “ยูบูลัส ปูเดนส์ ลีนัส คลาวเดีย และพี่น้องทั้งหลายฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย” (ข้อ 21)
เราถูกสร้างมาเพื่อชุมชน และเรารู้สึกเช่นนั้นได้ดีที่สุดเมื่อเราอยู่ในวิกฤตคุณจะทำอะไรได้บ้างให้กับคนที่อาจรู้สึกโดดเดี่ยวในวันนี้
พระเจ้าแห่งสวนเอเดน
เมื่อหลายปีก่อน โจนี่ มิทเชลล์เขียนเพลงชื่อ “วู้ดสต๊อก” ซึ่งเธอบรรยายถึงมนุษยชาติที่ติดกับดักของการ “ต่อรอง” กับวิญญาณชั่ว เธอเรียกร้องให้ผู้ฟังของเธอแสวงหาการดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายและสงบสุข โดยการร้องถึงการกลับไปยัง “สวน” มิทเชลล์ได้พูดแทนคนรุ่นหนึ่งที่ปรารถนาอยากมีเป้าหมายและความหมาย
คำว่า “สวน” ของมิทเชลล์คือสวนเอเดนนั่นเอง เอเดนเป็นสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างให้เราในปฐมกาล ในสวนนี้ อาดัมและเอวาพบกับพระเจ้าเป็นประจำ จนวันหนึ่งที่พวกเขาต่อรองกับมาร (ดู ปฐก.3:6-7) วันนั้นไม่เหมือนเดิม “เวลาเย็นวันนั้นเขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า” (ข้อ 8)
เมื่อพระเจ้าตรัสถามว่าพวกเขาทำอะไรลงไป อาดัมและเอวาต่างโทษกันไปมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ยอมรับผิด พระเจ้าไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่แบบนั้น พระองค์ “ทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมกับเอวาสวมปกปิดกาย” (ข้อ 21) เป็นการบอกเป็นนัยถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อไถ่โทษบาปของเรา
พระเจ้าไม่ได้ประทานหนทางให้เราย้อนกลับไปยังสวนเอเดน แต่พระองค์ประทานหนทางไปข้างหน้าสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระองค์ เราไม่สามารถย้อนกลับไปสวนเอเดนแต่เราสามารถกลับไปหาพระเจ้าแห่งสวนเอเดนได้
การเปลี่ยนแปลงใหญ่
คันธนูและลูกธนูอันวิจิตรงดงามสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษถูกแขวนบนผนังบ้านของเราในมิชิแกนมาหลายปี ผมได้รับตกทอดมาจากพ่อที่ซื้อมันเป็นของที่ระลึกขณะที่เรารับใช้เป็นมิชชันนารีอยู่ในประเทศกาน่า
วันหนึ่งเพื่อนชาวกาน่ามาเยี่ยมเรา เมื่อเห็นธนูเขาทำหน้าแปลกๆ เขาพูดขณะชี้ไปที่สิ่งของเล็กๆที่มัดติดอยู่กับธนูนั้นว่า “นั่นเป็นเครื่องรางของขลัง ผมรู้ว่ามันไม่มีอำนาจอะไร แต่ผมจะไม่เก็บมันไว้ในบ้านของผม” เรารีบตัดเครื่องรางออกจากธนูแล้วทิ้งไป เราไม่ต้องการให้บ้านเรามีสิ่งของที่ใช้นมัสการพระอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้า
โยสิยาห์ กษัตริย์ผู้ครอบครองในเยรูซาเล็มทรงเติบโตขึ้นด้วยความรู้เพียงน้อยนิดในเรื่องความคาดหวังที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ เมื่อมหาปุโรหิตค้นพบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน (2 พกษ.22:8) โยสิยาห์ทรงอยากสดับฟัง ทันทีที่พระองค์รู้ว่าพระเจ้าตรัสไว้อย่างไรเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพ พระองค์ทรงออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อให้ยูดาห์ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ยิ่งกว่าการตัดเครื่องรางออกจากคันธนูมากนัก (ดู 2 พกษ.23:3-7)
ผู้เชื่อในปัจจุบันนี้มีหลายสิ่งมากยิ่งกว่าที่โยสิยาห์มี เรามีพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่จะสอนเรา เรามีเพี่อนผู้เชื่อ และเรามีการเต็มล้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงนำสิ่งต่างๆมาสู่ความสว่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กหรือใหญ่ที่เราอาจมองข้ามไป
ปฏิเสธการแก้ตัว
ตำรวจในเมืองแอตแลนต้าถามคนขับว่าเธอรู้สาเหตุที่เขาเรียกให้หยุดรถไหม เธอตอบอย่าง งงๆว่า “ไม่รู้เลย!” เจ้าหน้าที่บอกเธออย่างสุภาพ “คุณผู้หญิง คุณส่งข้อความขณะขับรถ” “ไม่นะ!” เธอท้วงโดยชูโทรศัพท์มือถือเป็นหลักฐาน “มันคืออีเมล”
การใช้มือถือเพื่อส่งอีเมลไม่ได้ทำให้เราใช้ช่องโหว่จากกฎหมายห้ามส่งข้อความขณะขับรถได้! ประเด็นของกฎหมายไม่ใช่เพื่อป้องกันการส่งข้อความ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เสียสมาธิในการขับรถ
พระเยซูกล่าวโทษผู้นำศาสนาในสมัยของพระองค์ว่าได้สร้างช่องโหว่ที่เลวร้ายยิ่งกว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า” ทรงยกธรรมบัญญัติว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” เป็นข้อพิสูจน์ (มก.7:9-10) ภายใต้เสื้อคลุมแห่งความหน้าซื่อใจคดของการอุทิศตนทางศาสนา ผู้นำที่ร่ำรวยเหล่านี้ละเลยครอบครัวของตน โดยประกาศง่ายๆว่าเงินของพวกเขาเป็น “ของถวายแด่พระเจ้า” และนั่นจึงไม่จำเป็นต้องช่วยบิดามารดาในวัยชรา พระเยซูเข้าใจต้นเหตุของปัญหาในทันที ทรงตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันไป ด้วยคำสอนที่พวกเจ้ารับมาจากบรรพบุรุษ” (ข้อ 13) พวกเขาไม่ได้ให้เกียรติพระเจ้าด้วยการที่ไม่ให้เกียรติบิดามารดาของตน
การแก้ตัวอาจเป็นเรื่องที่ดูออกได้ยาก เราใช้คำแก้ตัวนี้เพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ อธิบายให้ตัวเราพ้นจากพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวและปฏิเสธพระบัญชาโดยตรง หากนั่นอธิบายพฤติกรรมของเรา แสดงว่าเรากำลังหลอกตัวเอง พระเยซูให้โอกาสเราเปลี่ยนแนวโน้มที่เห็นแก่ตัวเพื่อรับการทรงนำจากพระวิญญาณผู้อยู่เบื้องหลังคำสอนที่ดีของพระบิดา
ความผิดพลาดของผู้พยากรณ์
เที่ยงของวันที่ 21 กันยายน 1938 ชาร์ล เพียร์ซนักอุตุนิยมวิทยาหนุ่มเตือนถึงแนวปะทะอากาศที่จะก่อให้เกิดเฮอร์ริเคนขึ้นใกล้นิวอิงแลนด์ แต่หัวหน้าหัวเราะเยาะการพยากรณ์นั้น พายุโซนร้อนจะไม่เกิดขึ้นทางตอนเหนือ
สองชั่วโมงต่อมาพายุเฮอร์ริเคนขึ้นฝั่งที่เกาะลองไอร์แลนด์ และมาถึงนิวอิงแลนด์ตอนสี่โมงเย็น ซัดเรือเข้าฝั่งและหอบบ้านเรือนลงในทะเล มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหกร้อยคน หากพวกเขาได้รับคำเตือนจากเพียร์ซ ซึ่งมาจากฐานข้อมูลที่ชัดเจนและแผนที่อันละเอียด พวกเขาคงรอดชีวิต
แนวคิดของการเรียนรู้ว่าต้องฟังเสียงของใครนั้นมีความสำคัญในพระคัมภีร์ ในสมัยเยเรมีย์พระเจ้าเตือนให้ระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ โดยตรัสว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยให้ท่านฟัง กระทำให้ท่านเต็มด้วยความหวังลมๆแล้งๆเขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเองมิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (ยรม.23:16) พระองค์ตรัสถึงคนเหล่านั้นว่า “แต่ถ้าเขาทั้งหลายได้ยืนอยู่ในการประชุมของเราแล้ว เขาคงจะได้ป่าวร้องถ้อยคำของเราต่อประชากรของเรา” (ข้อ 22)
“ผู้พยากรณ์เท็จ” ยังคงมีอยู่ คือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่แนะนำโดยละเลยพระเจ้าหรือบิดเบือนพระวจนะให้เข้ากับจุดประสงค์ของตนเอง แต่โดยพระคำและพระวิญญาณของพระเจ้า พระองค์ได้ประทานสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะแยกแยะความเท็จออกจากความจริง เมื่อเราประเมินทุกสิ่งด้วยความจริงแห่งพระวจนะแล้ว คำพูดและชีวิตของเราจะสะท้อนความจริงนั้นไปสู่ผู้อื่น
เข้ามาแทรกแซงจักรวาล
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 นักดาราศาสตร์ชื่อดังผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า “การตีความข้อเท็จจริงตามสามัญสำนึกแสดงให้เห็นว่า มีผู้ทรงปัญญายิ่งยวดได้เข้ามาแทรกแซงสสารและพลังงาน องค์ประกอบทางเคมี และสิ่งมีชีวิตต่างๆ” ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์คนนี้ มีหลักฐานที่แสดงว่ามีบางอย่างได้ออกแบบทุกสิ่งที่เรามองเห็นในจักรวาล เขาเสริมว่า “ไม่มีพลังหรืออำนาจอันไร้ที่มาในธรรมชาติ” พูดอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งที่เรามองเห็นดูเหมือนจะถูกวางแผนโดยใครสักคน แต่กระนั้นนักดาราศาสตร์คนนี้ก็ยังคงไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า
สามพันปีที่แล้ว ชายผู้มีสติปัญญาอีกคนหนึ่งมองไปบนท้องฟ้าและได้ข้อสรุปที่ต่างออกไป “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา” ดาวิดสงสัย (สดด.8:3-4)
แต่พระเจ้ายังทรงห่วงใยเราอย่างสุดซึ้ง จักรวาลแสดงให้เราเห็นถึงผู้ออกแบบ เป็น “ผู้ทรงพระปัญญายิ่งยวด” ที่สร้างความคิดให้เรา ผู้สร้างความคิดให้เรา และให้เราอยู่ในโลกเพื่อใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์ เรารู้จักพระเจ้าได้ผ่านทางพระเยซูและสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เปาโลบันทึกไว้ว่า “[พระคริสต์]ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก” (คส.1:15-16)
แท้ที่จริงแล้วจักรวาลได้ถูก “แทรกแซง” อัตลักษณ์ขององค์ผู้ออกแบบที่ทรงพระปัญญานี้จะถูกค้นพบได้โดยทุกคนที่เต็มใจจะค้นหา
ไม่เป็นเช่นนั้น
“ผมอยากทำให้มันไม่เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มอาลัยเมื่อรำลึกถึงเพื่อนที่จากไปเมื่ออายุยังน้อย ถ้อยคำของเขาสะท้อนถึงความรวดร้าวใจของมนุษยชาติทุกยุคทุกสมัย ความตายทำให้เราตะลึงงันและสร้างบาดแผลให้กับเรา เราปรารถนาจะเปลี่ยนสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้
ความปรารถนาที่จะ “ทำให้มันไม่เป็นเช่นนั้น” อาจเป็นความรู้สึกของผู้ติดตามพระเยซูหลังพระองค์สิ้นพระชนม์ พระกิตติคุณบอกเล่าเรื่องราวในชั่วโมงอันเลวร้ายนั้นไม่มากนัก แต่ได้บันทึกถึงเรื่องราวของเพื่อนผู้สัตย์ซื่อบางคน
โยเซฟผู้นำทางศาสนาที่เชื่อพระเยซูอย่างลับๆ (ดู ยน.19:38) อยู่ดีๆก็กล้าขอพระศพของพระเยซูจากปีลาต (ลก.23:52) ลองใคร่ครวญดูว่าการย้ายพระศพลงจากการตรึงกางเขนอันน่าสยดสยองและเตรียมสำหรับฝังอย่างระมัดระวังต้องทำอย่างไรบ้าง (ข้อ 53) พิจารณาดูด้วยเช่นกันถึงความศรัทธาและกล้าหาญของพวกผู้หญิงที่อยู่กับพระเยซูไปตลอดทางในทุกย่างก้าวจนถึงอุโมงค์ (ข้อ 55)
ผู้เชื่อเหล่านี้ไม่ได้คาดว่าพระเยซูจะทรงคืนพระชนม์ พวกเขาทำใจด้วยความโศกเศร้า บทนี้จบลงอย่างไม่มีหวังและมืดมน “แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ” (ข้อ 56)
พวกเขาไม่รู้ว่าการหยุดพักในวันสะบาโตนั้นได้ถูกกำหนดไว้สำหรับฉากที่อัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ พระเยซูกำลังจะทำสิ่งที่เกินกว่าเราจะคาดคิดได้ พระองค์จะทำให้ความตาย “ไม่เป็นเช่นนั้น”
“ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน”
นวนิยายเรื่องคืนดับที่เขียนโดย อิไล วีเซล ได้ตีแผ่เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากประสบการณ์ของเขาเองในค่ายมรณะของนาซี เรื่องราวของวีเซลพลิกเรื่องราวการอพยพในพระคัมภีร์กลับด้าน ขณะที่โมเสสและชนชาติอิสราเอลรอดพ้นจากการเป็นทาสในเทศกาลปัสกาครั้งแรก (อพย.12) วีเซลเล่าว่านาซีได้จับกุมผู้นำชาวยิวหลังจากเทศกาลปัสกา
เพื่อไม่ให้เราวิจารณ์วีเซลและคำเย้ยหยันอันมืดมนของเขา ลองพิจารณาดูว่าพระคัมภีร์ก็มีเรื่องพลิกกลับด้านที่คล้ายคลึงกัน ในคืนฉลองเทศกาลปัสกา พระเยซูผู้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้ปลดปล่อยชนชาติของพระเจ้าให้เป็นอิสระจากความยากลำบาก กลับทรงยอมถูกจับโดยคนที่จะฆ่าพระองค์
ยอห์นนำเราเข้าสู่ฉากศักดิ์สิทธิ์ก่อนพระเยซูจะถูกจับกุม “ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย” ถึงสิ่งที่รอคอยพระองค์อยู่ ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูทรงทำนายถึงการถูกทรยศ (ยน.13:21) จากนั้นทรงทำสิ่งที่พวกเรายากจะเข้าใจ พระคริสต์ทรงยื่นขนมปังให้ผู้ที่ทรยศ พระคัมภีร์บันทึกว่า “เมื่อยูดาสรับอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน” (ข้อ 30) ความอยุติธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้น แต่พระเยซูกลับประกาศว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์” (ข้อ 31) ภายในไม่กี่ชั่วโมงเหล่าสาวกได้พบกับความหวาดกลัว ความพ่ายแพ้และความเศร้าสลด แต่พระเยซูทรงเห็นแผนการของพระเจ้าดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น
เมื่อดูเหมือนว่าความมืดกำลังจะชนะ เราระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเผชิญกับค่ำคืนอันมืดมนของพระองค์และทรงมีชัยชนะ พระองค์ทรงเดินเคียงข้างเรา มันจะไม่เป็นกลางคืนตลอดไป
หายไปกับอดีต
กษัตริย์ยองโจแห่งเกาหลี (ค.ศ.1694-1776) ทรงไม่พอพระทัยกับการทุจริตและความหรูหราฟุ่มเฟือยที่แพร่กระจายไปในแผ่นดินของพระองค์ จึงทรงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหลายสิ่ง มีกรณีตัวอย่างที่พระองค์ทรงกำจัดสิ่งไม่ดีไปพร้อมๆกับสิ่งที่ดีคือ การสั่งห้ามทำงานศิลปะปักด้ายทองแบบโบราณโดยถือเป็นความฟุ่มเฟือยเกินเหตุ ในไม่ช้า ความรู้เรื่องขั้นตอนอันซับซ้อนของงานศิลปะดังกล่าวก็สูญหายไปกับกาลเวลา
ในปี 2011 ศาสตราจารย์ซิม ยอนอ๊กต้องการฟื้นฟูศิลปะโบราณนั้น จากการสันนิษฐานว่าแผ่นทองคำเปลวถูกติดไว้บนกระดาษสาแล้วตัดเป็นเส้นเรียวด้วยมือ เธอจึงสร้างกระบวนการนั้นขึ้นได้อีกครั้ง เป็นการฟื้นฟูศิลปะโบราณขึ้นใหม่
ในหนังสืออพยพ เราได้เรียนรู้ถึงแบบการสร้างพลับพลาอันหรูหรางดงาม รวมถึงการนำเส้นทองคำมาทำเสื้อของปุโรหิตอาโรน ช่างผู้เชี่ยวชาญ “ตีทองใบแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆแล้วตัดเป็นเส้นๆเพื่อจะทอเข้ากับด้ายสีฟ้า เข้ากับด้ายสีม่วง เข้ากับด้ายสีแดงเข้ม และเข้ากับเส้นป่านอย่างดี” (อพย.39:3) เกิดอะไรขึ้นกับงานฝีมือประณีตวิจิตรเหล่านั้น เสื้อผ้าเหล่านั้นเก่าและชำรุดไปหรือ หรือถูกปล้นเอาไปในภายหลัง มันหมดประโยชน์ไร้ค่าหรือ ไม่ใช่เลย! ความพยายามทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าประทานคำสั่งอย่างเฉพาะเจาะจง
พระเจ้าประทานให้เราแต่ละคนมีสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน อาจเป็นการแสดงความเมตตาแบบง่ายๆ เพื่อตอบแทนพระองค์ในขณะที่เรารับใช้กันและกัน เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความพยายามของเราในท้ายที่สุด (1 คร.15:58) การงานใดๆที่เราทำเพื่อพระบิดาจะกลายเป็นเส้นด้ายที่ทอดยาวไปถึงนิรันดร์กาล