ความผิดพลาดของผู้พยากรณ์
เที่ยงของวันที่ 21 กันยายน 1938 ชาร์ล เพียร์ซนักอุตุนิยมวิทยาหนุ่มเตือนถึงแนวปะทะอากาศที่จะก่อให้เกิดเฮอร์ริเคนขึ้นใกล้นิวอิงแลนด์ แต่หัวหน้าหัวเราะเยาะการพยากรณ์นั้น พายุโซนร้อนจะไม่เกิดขึ้นทางตอนเหนือ
สองชั่วโมงต่อมาพายุเฮอร์ริเคนขึ้นฝั่งที่เกาะลองไอร์แลนด์ และมาถึงนิวอิงแลนด์ตอนสี่โมงเย็น ซัดเรือเข้าฝั่งและหอบบ้านเรือนลงในทะเล มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหกร้อยคน หากพวกเขาได้รับคำเตือนจากเพียร์ซ ซึ่งมาจากฐานข้อมูลที่ชัดเจนและแผนที่อันละเอียด พวกเขาคงรอดชีวิต
แนวคิดของการเรียนรู้ว่าต้องฟังเสียงของใครนั้นมีความสำคัญในพระคัมภีร์ ในสมัยเยเรมีย์พระเจ้าเตือนให้ระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ โดยตรัสว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยให้ท่านฟัง กระทำให้ท่านเต็มด้วยความหวังลมๆแล้งๆเขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเองมิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (ยรม.23:16) พระองค์ตรัสถึงคนเหล่านั้นว่า “แต่ถ้าเขาทั้งหลายได้ยืนอยู่ในการประชุมของเราแล้ว เขาคงจะได้ป่าวร้องถ้อยคำของเราต่อประชากรของเรา” (ข้อ 22)
“ผู้พยากรณ์เท็จ” ยังคงมีอยู่ คือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่แนะนำโดยละเลยพระเจ้าหรือบิดเบือนพระวจนะให้เข้ากับจุดประสงค์ของตนเอง แต่โดยพระคำและพระวิญญาณของพระเจ้า พระองค์ได้ประทานสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะแยกแยะความเท็จออกจากความจริง เมื่อเราประเมินทุกสิ่งด้วยความจริงแห่งพระวจนะแล้ว คำพูดและชีวิตของเราจะสะท้อนความจริงนั้นไปสู่ผู้อื่น
เข้ามาแทรกแซงจักรวาล
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 นักดาราศาสตร์ชื่อดังผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า “การตีความข้อเท็จจริงตามสามัญสำนึกแสดงให้เห็นว่า มีผู้ทรงปัญญายิ่งยวดได้เข้ามาแทรกแซงสสารและพลังงาน องค์ประกอบทางเคมี และสิ่งมีชีวิตต่างๆ” ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์คนนี้ มีหลักฐานที่แสดงว่ามีบางอย่างได้ออกแบบทุกสิ่งที่เรามองเห็นในจักรวาล เขาเสริมว่า “ไม่มีพลังหรืออำนาจอันไร้ที่มาในธรรมชาติ” พูดอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งที่เรามองเห็นดูเหมือนจะถูกวางแผนโดยใครสักคน แต่กระนั้นนักดาราศาสตร์คนนี้ก็ยังคงไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า
สามพันปีที่แล้ว ชายผู้มีสติปัญญาอีกคนหนึ่งมองไปบนท้องฟ้าและได้ข้อสรุปที่ต่างออกไป “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา” ดาวิดสงสัย (สดด.8:3-4)
แต่พระเจ้ายังทรงห่วงใยเราอย่างสุดซึ้ง จักรวาลแสดงให้เราเห็นถึงผู้ออกแบบ เป็น “ผู้ทรงพระปัญญายิ่งยวด” ที่สร้างความคิดให้เรา ผู้สร้างความคิดให้เรา และให้เราอยู่ในโลกเพื่อใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์ เรารู้จักพระเจ้าได้ผ่านทางพระเยซูและสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เปาโลบันทึกไว้ว่า “[พระคริสต์]ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก” (คส.1:15-16)
แท้ที่จริงแล้วจักรวาลได้ถูก “แทรกแซง” อัตลักษณ์ขององค์ผู้ออกแบบที่ทรงพระปัญญานี้จะถูกค้นพบได้โดยทุกคนที่เต็มใจจะค้นหา
ไม่เป็นเช่นนั้น
“ผมอยากทำให้มันไม่เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มอาลัยเมื่อรำลึกถึงเพื่อนที่จากไปเมื่ออายุยังน้อย ถ้อยคำของเขาสะท้อนถึงความรวดร้าวใจของมนุษยชาติทุกยุคทุกสมัย ความตายทำให้เราตะลึงงันและสร้างบาดแผลให้กับเรา เราปรารถนาจะเปลี่ยนสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้
ความปรารถนาที่จะ “ทำให้มันไม่เป็นเช่นนั้น” อาจเป็นความรู้สึกของผู้ติดตามพระเยซูหลังพระองค์สิ้นพระชนม์ พระกิตติคุณบอกเล่าเรื่องราวในชั่วโมงอันเลวร้ายนั้นไม่มากนัก แต่ได้บันทึกถึงเรื่องราวของเพื่อนผู้สัตย์ซื่อบางคน
โยเซฟผู้นำทางศาสนาที่เชื่อพระเยซูอย่างลับๆ (ดู ยน.19:38) อยู่ดีๆก็กล้าขอพระศพของพระเยซูจากปีลาต (ลก.23:52) ลองใคร่ครวญดูว่าการย้ายพระศพลงจากการตรึงกางเขนอันน่าสยดสยองและเตรียมสำหรับฝังอย่างระมัดระวังต้องทำอย่างไรบ้าง (ข้อ 53) พิจารณาดูด้วยเช่นกันถึงความศรัทธาและกล้าหาญของพวกผู้หญิงที่อยู่กับพระเยซูไปตลอดทางในทุกย่างก้าวจนถึงอุโมงค์ (ข้อ 55)
ผู้เชื่อเหล่านี้ไม่ได้คาดว่าพระเยซูจะทรงคืนพระชนม์ พวกเขาทำใจด้วยความโศกเศร้า บทนี้จบลงอย่างไม่มีหวังและมืดมน “แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ” (ข้อ 56)
พวกเขาไม่รู้ว่าการหยุดพักในวันสะบาโตนั้นได้ถูกกำหนดไว้สำหรับฉากที่อัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ พระเยซูกำลังจะทำสิ่งที่เกินกว่าเราจะคาดคิดได้ พระองค์จะทำให้ความตาย “ไม่เป็นเช่นนั้น”
“ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน”
นวนิยายเรื่องคืนดับที่เขียนโดย อิไล วีเซล ได้ตีแผ่เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากประสบการณ์ของเขาเองในค่ายมรณะของนาซี เรื่องราวของวีเซลพลิกเรื่องราวการอพยพในพระคัมภีร์กลับด้าน ขณะที่โมเสสและชนชาติอิสราเอลรอดพ้นจากการเป็นทาสในเทศกาลปัสกาครั้งแรก (อพย.12) วีเซลเล่าว่านาซีได้จับกุมผู้นำชาวยิวหลังจากเทศกาลปัสกา
เพื่อไม่ให้เราวิจารณ์วีเซลและคำเย้ยหยันอันมืดมนของเขา ลองพิจารณาดูว่าพระคัมภีร์ก็มีเรื่องพลิกกลับด้านที่คล้ายคลึงกัน ในคืนฉลองเทศกาลปัสกา พระเยซูผู้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้ปลดปล่อยชนชาติของพระเจ้าให้เป็นอิสระจากความยากลำบาก กลับทรงยอมถูกจับโดยคนที่จะฆ่าพระองค์
ยอห์นนำเราเข้าสู่ฉากศักดิ์สิทธิ์ก่อนพระเยซูจะถูกจับกุม “ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย” ถึงสิ่งที่รอคอยพระองค์อยู่ ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูทรงทำนายถึงการถูกทรยศ (ยน.13:21) จากนั้นทรงทำสิ่งที่พวกเรายากจะเข้าใจ พระคริสต์ทรงยื่นขนมปังให้ผู้ที่ทรยศ พระคัมภีร์บันทึกว่า “เมื่อยูดาสรับอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน” (ข้อ 30) ความอยุติธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้น แต่พระเยซูกลับประกาศว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์” (ข้อ 31) ภายในไม่กี่ชั่วโมงเหล่าสาวกได้พบกับความหวาดกลัว ความพ่ายแพ้และความเศร้าสลด แต่พระเยซูทรงเห็นแผนการของพระเจ้าดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น
เมื่อดูเหมือนว่าความมืดกำลังจะชนะ เราระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเผชิญกับค่ำคืนอันมืดมนของพระองค์และทรงมีชัยชนะ พระองค์ทรงเดินเคียงข้างเรา มันจะไม่เป็นกลางคืนตลอดไป
หายไปกับอดีต
กษัตริย์ยองโจแห่งเกาหลี (ค.ศ.1694-1776) ทรงไม่พอพระทัยกับการทุจริตและความหรูหราฟุ่มเฟือยที่แพร่กระจายไปในแผ่นดินของพระองค์ จึงทรงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหลายสิ่ง มีกรณีตัวอย่างที่พระองค์ทรงกำจัดสิ่งไม่ดีไปพร้อมๆกับสิ่งที่ดีคือ การสั่งห้ามทำงานศิลปะปักด้ายทองแบบโบราณโดยถือเป็นความฟุ่มเฟือยเกินเหตุ ในไม่ช้า ความรู้เรื่องขั้นตอนอันซับซ้อนของงานศิลปะดังกล่าวก็สูญหายไปกับกาลเวลา
ในปี 2011 ศาสตราจารย์ซิม ยอนอ๊กต้องการฟื้นฟูศิลปะโบราณนั้น จากการสันนิษฐานว่าแผ่นทองคำเปลวถูกติดไว้บนกระดาษสาแล้วตัดเป็นเส้นเรียวด้วยมือ เธอจึงสร้างกระบวนการนั้นขึ้นได้อีกครั้ง เป็นการฟื้นฟูศิลปะโบราณขึ้นใหม่
ในหนังสืออพยพ เราได้เรียนรู้ถึงแบบการสร้างพลับพลาอันหรูหรางดงาม รวมถึงการนำเส้นทองคำมาทำเสื้อของปุโรหิตอาโรน ช่างผู้เชี่ยวชาญ “ตีทองใบแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆแล้วตัดเป็นเส้นๆเพื่อจะทอเข้ากับด้ายสีฟ้า เข้ากับด้ายสีม่วง เข้ากับด้ายสีแดงเข้ม และเข้ากับเส้นป่านอย่างดี” (อพย.39:3) เกิดอะไรขึ้นกับงานฝีมือประณีตวิจิตรเหล่านั้น เสื้อผ้าเหล่านั้นเก่าและชำรุดไปหรือ หรือถูกปล้นเอาไปในภายหลัง มันหมดประโยชน์ไร้ค่าหรือ ไม่ใช่เลย! ความพยายามทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าประทานคำสั่งอย่างเฉพาะเจาะจง
พระเจ้าประทานให้เราแต่ละคนมีสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน อาจเป็นการแสดงความเมตตาแบบง่ายๆ เพื่อตอบแทนพระองค์ในขณะที่เรารับใช้กันและกัน เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความพยายามของเราในท้ายที่สุด (1 คร.15:58) การงานใดๆที่เราทำเพื่อพระบิดาจะกลายเป็นเส้นด้ายที่ทอดยาวไปถึงนิรันดร์กาล
การท้าทายของดวงดาว
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กวีชาวอิตาลี เอฟ. ที. มาริเนตติได้ให้กำเนิดอนาคตนิยม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่ปฏิเสธอดีต เย้ยหยันความคิดดั้งเดิมเรื่องความงาม และยกย่องเครื่องจักร ในปีค.ศ. 1909 มาริเนตติเขียนคำแถลงการณ์แห่งอนาคตของเขา ซึ่งเขาประกาศว่า “ผู้หญิงไร้ค่า” แต่สรรเสริญ “การต่อสู้ด้วยกำปั้น” และยืนยันว่า “เราต้องการเชิดชูสงคราม” แถลงการณ์ปิดท้ายว่า “การได้ยืนบนจุดสูงสุดของโลก เราขอประกาศการท้าทายที่โอหังของเราต่อหมู่ดาวอีกครั้งหนึ่ง!”
ห้าปีหลังจากแถลงการณ์ของมาริเนตติ สงครามยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้นำมาซึ่งเกียรติยศใดๆ มาริเนตติเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1944 โดยที่หมู่ดาวไม่ได้ให้ความสนใจใดๆและยังคงอยู่ในที่เดิมของมัน
กษัตริย์ดาวิดร้องบทกวีแห่งดวงดาวแต่ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทรงเขียนว่า “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์ อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา” (สดด.8:3-4) คำถามของดาวิดไม่ได้มาจากความไม่เชื่อ แต่มาจากความอัศจรรย์ใจอย่างถ่อมใจ พระองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่ทรงห่วงใยพวกเราอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสังเกตทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรา ทั้งดีและร้าย ทั้งความถ่อมใจและความโอหัง แม้กระทั่งความโง่เขลาของเรา
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะท้าทายดวงดาว แต่ตรงกันข้ามดวงดาวเหล่านั้นท้าทายพวกเราให้สรรเสริญองค์พระผู้สร้าง
ได้สิ่งที่เราต้องการ
แอรอน เบอร์ รอผลตัดสินของการลงคะแนนเสียงที่เสมอกันจากสภาผู้แทนฯสหรัฐอย่างกระวนกระวาย เขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีร่วมกับโธมัส เจฟเฟอร์สันในการเลือกตั้งปี 1800 เบอร์มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าสภาฯจะประกาศให้เขาเป็นผู้ชนะ แต่เขากลับพ่ายแพ้และถูกความขมขื่นกัดกินใจ ความคับข้องใจที่มีต่ออเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันที่ไม่ลงคะแนนสนับสนุนเขา ทำให้เบอร์ฆ่าแฮมิลตันในการดวลปืนในอีกไม่ถึงสี่ปีต่อมา ความโกรธแค้นจากการสังหารครั้งนี้ทำให้ประเทศชาติหันหลังให้เขา เบอร์เป็นชายชราที่ผูกใจเจ็บจนกระทั่งเสียชีวิต
การลุ่มหลงอำนาจทางการเมืองเป็นส่วนที่น่าเศร้าของประวัติศาสตร์ เมื่อกษัตริย์ดาวิดใกล้จะสิ้นพระชนม์ อาโดนียาห์โอรสของพระองค์คบคิดกับแม่ทัพของดาวิดและหัวหน้าปุโรหิตเพื่อแต่งตั้งตนเป็นกษัตริย์ (1 พกษ.1:5-8)แต่ดาวิดทรงเลือกซาโลมอนเป็นกษัตริย์ (ข้อ 17) ด้วยความช่วยเหลือของผู้เผยพระวจนะนาธัน กบฏจึงถูกโค่นลง (ข้อ 11-53) แม้จะได้รับการยกโทษ แต่อาโดนียาห์ก็ยังวางแผนชิงบัลลังก์ครั้งที่สอง และซาโลมอนประหารเขาเสีย (2:13-25)
ความเป็นมนุษย์ทำให้เราต้องการในสิ่งที่ไม่ใช่ของเราโดยชอบธรรม! ไม่ว่าเราจะพยายามไขว่คว้าอำนาจ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สมบัติมากเพียงใด นั่นก็ไม่เคยพอ เราต้องการมากกว่าเดิมเสมอ ตรงข้ามกับพระเยซูผู้ทรง “ถ่อมพระองค์ ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8)
ช่างน่าขันที่ความทะเยอทะยานไขว่คว้าอย่างเห็นแก่ตัวไม่เคยทำให้เราได้รับสิ่งที่เราปรารถนามากที่สุดอย่างแท้จริง การมอบผลลัพธ์ไว้กับพระเจ้าเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติสุขและความชื่นชมยินดี
กลับสู่พื้นฐาน
ดูเหมือนว่าการตั้งปณิธานจะมีไว้เพื่อให้ทำไม่สำเร็จ บางคนเล่นสนุกกับความจริงนี้โดยเสนอปณิธานปีใหม่ที่พูดได้ว่าทำได้อย่างสบายๆ นี่คือตัวอย่างจากสื่อสังคมออนไลน์ : โบกมือให้คนขับรถจักรยานยนต์ตรงไฟจราจร สมัครวิ่งมาราธอนแต่ไม่วิ่ง หยุดผัดวันประกันพรุ่งในวันพรุ่งนี้ หลงทางโดยไม่รับการช่วยเหลือจากสิริ เลิกเป็นเพื่อนกับทุกคนที่โพสต์เรื่องการออกกำลังกายของพวกเขา
อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่องการเริ่มต้นใหม่นั้นอาจเป็นภารกิจที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวยูดาห์ที่ถูกเนรเทศต้องการอย่างยิ่ง กว่าสองทศวรรษของการเป็นเชลยเจ็ดสิบปีที่พระเจ้าทรงให้กำลังใจพวกเขาผ่านทางผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล โดยทรงสัญญาว่า “บัดนี้เราจะให้ยาโคบกลับสู่สภาพเดิม” (อสค.39:25)
แต่ประชาชนจะต้องกลับสู่พื้นฐานเสียก่อน คือคำแนะนำที่พระเจ้าทรงประทานแก่โมเสสเมื่อ 800 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งรวมถึงการฉลองเทศกาลปีใหม่ สำหรับคนยิวในยุคโบราณจะเริ่มในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ (45:18) จุดประสงค์หลักของเทศกาลคือให้ระลึกถึงพระลักษณะและความคาดหวังของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกผู้นำของพวกเขาว่า “จงทิ้งการทารุณและการบีบคั้นเสีย และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม” (ข้อ 9) และทรงเรียกร้องพวกเขาในเรื่องความซื่อสัตย์ (ข้อ 10)
บทเรียนนี้เป็นของพวกเราเช่นกัน ความเชื่อของเราจะต้องนำไปปฏิบัติ มิฉะนั้นมันก็ไร้ค่า (ยก.2:17) ในปีใหม่นี้ เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับเรา ขอให้เราดำเนินชีวิตที่สำแดงความเชื่อโดยการกลับสู่พื้นฐาน “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า” และ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (มธ.22:37-39)
คนในรุ่นปัจจุบัน
“อย่าเชื่อใครที่อายุเกิน 30 ปี” แจ็ค ไวน์เบิร์ก นักสิ่งแวดล้อมหนุ่มกล่าวไว้ในปี 1964 คำพูดของเขานั้นเหมารวมคนทั้งรุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเสียใจในเวลาต่อมา เมื่อมองย้อนกลับไปเขากล่าวว่า “บางอย่างที่ผมพูดโดยไม่ทันคิด... ถูกบิดเบือนและเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง”
คุณเคยได้ยินคำสบประมาทเกี่ยวกับคนรุ่นมิลเลนเนียล (Gen Y) หรือในทางกลับกันไหม ความคิดไม่ดีที่ส่งต่อจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งสามารถทำร้ายทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้
แม้เฮเซคียาห์จะเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่ทรงขาดความห่วงใยต่อคนอีกรุ่นหนึ่ง เมื่อยังหนุ่มเฮเซคียาห์ประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ (2 พกษ.20:1) พระองค์ได้ทรงร้องขอชีวิตจากพระเจ้า (ข้อ 2-3) และพระเจ้าทรงต่อชีวิตให้พระองค์อีก 15 ปี (ข้อ 6)
แต่เมื่อเฮเซคียาห์ได้รับข่าวร้ายว่าลูกๆของพระองค์จะต้องถูกจับไปเป็นเชลยในวันข้างหน้า พระองค์กลับทรงไร้ซึ่งน้ำตา (ข้อ 16-18) พระองค์คิดว่า “ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรา” (ข้อ 19) อาจเป็นเพราะเฮเซคียาห์ไม่ใส่พระทัยต่อความเป็นอยู่ดีของคนรุ่นหลังเหมือนกับของพระองค์เอง
พระเจ้าทรงเรียกให้เรารักในแบบที่กล้าจะก้าวข้ามเส้นที่แบ่งแยกเรา คนรุ่นเก่าต้องการอุดมการณ์ที่สดใหม่และความคิดสร้างสรรค์ของคนที่เด็กกว่า ผู้ซึ่งในทางเดียวกันจะได้รับประโยชน์จากสติปัญญาและประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับคำพูดหรือสโลแกนประชดประชัน แต่เป็นเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดที่มีค่า พวกเราต่างอยู่ในเรือลำเดียวกัน