ยอมจำนนต่อพระเยซู
ในปีค.ศ. 1951 แพทย์ประจำตัวของโจเซฟ สตาลินแนะนำให้เขาลดการทำงานลงเพื่อรักษาสุขภาพ ผู้นำสหภาพโซเวียตกลับกล่าวหาแพทย์ว่าเป็นสายลับและจับกุมเขา ทรราชผู้กดขี่ผู้คนมากมายด้วยคำโกหกไม่อาจยอมรับความจริง และเช่นที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้ง เขากำจัดคนที่บอกความจริงกับเขา แต่ความจริงก็มีชัยชนะอยู่วันยังค่ำ สตาลินเสียชีวิตลงในปีค.ศ. 1953
ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ซึ่งถูกจับและถูกตีตรวนเพราะเผยพระวจนะถึงเหตุร้าย (ยรม.38:1-6; 40:1) ทูลกษัตริย์แห่งยูดาห์ถึงสิ่งที่จะเกิดแก่กรุงเยรูซาเล็มตรงๆ “ขอฝ่าพระบาทเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ตามสิ่งซึ่งข้าพระบาทได้ทูลฝ่าพระบาท” ท่านกล่าวต่อกษัตริย์เศเดคียาห์ (38:20) หากไม่ยอมจำนนต่อกองทัพที่มาล้อมกรุงก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง “เขาจะพาบรรดาสนมและมเหสี และบุตรของฝ่าพระบาทไปให้คนเคลเดีย” เยเรมีย์เตือน “และฝ่าพระบาทเองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือของเขาทั้งหลาย” (ข้อ 23)
เศเดคียาห์ไม่ตอบสนองตามความจริงนั้น ในที่สุดพวกบาบิโลนก็จับกุมกษัตริย์ ฆ่าบรรดาบุตรชายของท่าน และเผากรุงเสีย (บทที่ 39)
ที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนต้องเจอกับภาวะลำบากใจแบบเศเดคียาห์ เราติดอยู่ในกำแพงแห่งความบาปในชีวิตและการตัดสินใจผิดพลาดของเราเอง บ่อยครั้งเราทำให้เรื่องแย่ลงโดยหลีกเลี่ยงผู้คนที่บอกความจริงเกี่ยวกับตัวเรา สิ่งที่เราต้องทำมีเพียงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ผู้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน.14:6)
รองเท้าบูทนำโชค
ทอมรู้สึกถึงเสียง “คลิก” อันเยือกเย็นภายใต้รองเท้าคอมแบทของเขาเมื่อสายเกินไป เขากระโดดออกมาตามสัญชาตญาณด้วยพลังจากอะดรีนาลีน เจ้าวัตถุอันตรายที่ซ่อนอยู่ใต้ดินไม่ระเบิด ภายหลังหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิดได้นำวัตถุระเบิดแรงสูงหนักราว 36 กิโลกรัมขึ้นมาจากจุดนั้น ทอมใส่รองเท้าบูทคู่นั้นจนมันขาด เขาเรียกมันว่า “รองเท้าบูทนำโชคของผม”
ทอมอาจยึดติดอยู่กับรองเท้าบูทคู่นั้นเพื่อระลึกถึงช่วงเวลาเฉียดตายของเขา แต่หลายคนมีแนวโน้มที่จะคิดว่าวัตถุต่างๆ “นำโชค” ได้ หรือแม้กระทั่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้มากกว่านั้นว่าสามารถ “ให้พร” ได้ เป็นเรื่องอันตรายเมื่อเราให้คุณค่ากับสิ่งของหรือแม้แต่สัญลักษณ์ว่าเป็นแหล่งพระพรของพระเจ้า
ชนชาติอิสราเอลเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยความยากลำบาก กองทัพชาวฟีลิสเตียเอาชนะพวกเขาในสงคราม เมื่ออิสราเอลใคร่ครวญถึงเหตุที่พวกเขาพ่ายแพ้ มีคนหนึ่งได้คิดถึงการนำ “หีบพันธสัญญาของพระเจ้า” มาในสนามรบ (1 ซมอ.4:3) ซึ่งดูเป็นความคิดที่ดี (ข้อ 6-9) เพราะหีบพันธสัญญาก็เป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
แต่คนอิสราเอลมีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง ด้วยตัวหีบพันธสัญญาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ เมื่อคนอิสราเอลวางความเชื่อไว้ที่วัตถุแทนการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้องค์เดียว พวกเขาก็ต้องทนทุกข์ต่อความพ่ายแพ้ที่แย่ยิ่งกว่าครั้งแรก และศัตรูได้เอาหีบพันธสัญญาไป (ข้อ 10-11)
สิ่งของที่ใช้ย้ำเตือนให้เราอธิษฐานหรือขอบคุณพระเจ้าสำหรับความประเสริฐของพระองค์นั้นไม่เป็นอันตราย แต่มันไม่ใช่แหล่งที่มาของพระพร แหล่งพระพรนั้นคือพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
คุ้มค่าที่จะติดตามพระเยซู
โรนิทมาจากครอบครัวเคร่งศาสนาที่ไม่ใช่คริสเตียน บทสนทนาเรื่องจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นเชิงวิชาการและไร้ชีวิตชีวา เธอพูดว่า “ฉันเพียรพยายามอธิษฐานทุกอย่าง แต่ฉันไม่ได้ยินเสียง (จากพระเจ้า)”
เธอเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ และค่อยๆเริ่มเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ โรนิทบรรยายถึงช่วงเวลานั้นว่า “ฉันได้ยินเสียงที่ชัดเจนในใจพูดว่า ‘เจ้าได้ยินพอแล้ว และได้เห็นมามากพอ ถึงเวลาที่จะเชื่อได้แล้ว’” แต่โรนิทพบกับปัญหา นั่นคือพ่อของเธอเอง “พ่อฉันตอบสนองราวกับภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิด”
ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ ฝูงชนติดตามพระองค์ (ลก.14:25) เราไม่รู้แน่ว่าฝูงชนต้องการอะไร แต่พระองค์ทรงมองหาสาวก และสิ่งนั้นมีราคาต้องจ่าย พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ข้อ 26) พระองค์ทรงเล่าถึงการสร้างตึกและตรัสถามว่า “จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนหรือ...” (ข้อ 28) พระเยซูไม่ได้ทรงหมายความว่าเราเกลียดชังครอบครัวจริงๆ แต่คือเราต้องเลือกพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด พระองค์ตรัสว่า “ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ข้อ 33)
โรนิทรักครอบครัวของเธอมาก แต่เธอก็ยังตัดสินใจว่า “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันรู้แล้วว่ามันคุ้มค่า” คุณต้องเสียสละสิ่งใดเพื่อจะติดตามพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงนำคุณ
ฉันเป็นใครเล่า
กิซอมโบนั่งดูแคมป์ไฟ เขาคิดถึงคำถามสำคัญในชีวิตของตน ผมทำอะไรสำเร็จบ้าง และได้รับคำตอบอย่างทันควันว่า ที่จริงแล้วไม่มากเลย เขากลับมายังแผ่นดินเกิด รับใช้ในโรงเรียนที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าทึบซึ่งพ่อของเขาเริ่มต้นไว้ เขายังพยายามเขียนถึงเรื่องราวอันทรงพลังของพ่อที่รอดชีวิตจากสงครามกลางเมืองสองครั้ง ผมเป็นใครเล่าที่พยายามทำทั้งหมดนี้
ความหวาดหวั่นของกิซอมโบฟังดูคล้ายกับของโมเสส พระเจ้าเพิ่งมอบภารกิจให้โมเสส “เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์เพื่อจะได้พาประชากรของเรา คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์” (อพย.3:10) โมเสสทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า” (ข้อ 11)
หลังคำแก้ตัวที่ไร้น้ำหนักของโมเสส พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” มันคือไม้เท้า (4:2) โมเสสโยนไม้เท้าลงที่พื้นตามคำสั่งของพระเจ้า ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และโมเสสหยิบมันขึ้นซึ่งขัดกับสัญชาตญาณของท่าน มันก็กลายเป็นไม้เท้าอีกครั้ง (ข้อ 4) โมเสสเผชิญหน้ากับฟาโรห์ได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อันที่จริงท่านมี “พระ” องค์หนึ่งของอียิปต์คืองูอยู่ในมือของท่าน และพระทั้งหลายของอียิปต์ก็ไม่อาจทำอันตรายต่อพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวได้
กิซอมโบพิจารณาเรื่องโมเสสและสัมผัสได้ถึงคำตอบจากพระเจ้าว่า เจ้ามีเราและถ้อยคำของเรา เขาคิดถึงเพื่อนๆที่หนุนใจให้เขาเขียนเรื่องราวของพ่อ เพื่อคนอื่นจะเรียนรู้ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าในชีวิตของพ่อ เขาไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียว ด้วยตัวเราเองนั้นความพยายามอย่างเต็มที่ของเราไม่เพียงพอ แต่เรารับใช้พระเจ้าผู้ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” (3:12)
คำตอบทั้งหมด
เดล เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์เล่าถึงชั่วขณะที่น่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพ่อของเขาจากไป เดล เอิร์นฮาร์ท ซีเนียร์ผู้เป็นตำนานนักแข่งรถเพิ่งเสียชีวิตจากการชนอย่างแรงในตอนท้ายของการแข่งขันเดย์โทนา 500 ซึ่งเป็นการแข่งที่เดล จูเนียร์เข้าร่วมด้วย “เสียงนี้ดังออกมาจากตัวผม โดยที่ผมไม่อาจทำขึ้นอีกครั้งได้” เอิร์นฮาร์ดผู้เป็นลูกชายกล่าว “[มันคือ] เสียงแผดร้องแห่งความตกตะลึงและความระทมทุกข์ และก็ความกลัว” จากนั้นก็คือความจริงอันอ้างว้างที่ว่า “ผมจะต้องทำสิ่งนี้ต่อไปด้วยตัวเอง”
“การมีพ่ออยู่ด้วยก็เหมือนกับการมีสูตรโกง” เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์อธิบาย “การมีพ่อก็เหมือนการรู้คำตอบทั้งหมด”
เหล่าสาวกของพระเยซูเรียนรู้ที่จะมองไปที่พระองค์เพื่อจะได้คำตอบทั้งหมด เวลานั้นในวันก่อนการตรึงกางเขน พระองค์ทรงรับรองว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาไว้ลำพัง พระเยซูตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ยน.14:16-17)
พระเยซูทรงมอบการปลอบโยนนั้นให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ โดยตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา” (ข้อ 23)
ผู้ที่เลือกติดตามพระคริสต์จะมีพระวิญญาณอยู่ภายในเป็นผู้ทรงสอน“ทุกสิ่ง” และจะทรงให้พวกเขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนไว้ (ข้อ 26) เราไม่มีคำตอบทั้งหมดนั้น แต่เรามีพระวิญญาณของพระองค์ผู้นั้นที่ทรงมีคำตอบ
สารของผู้เผยพระวจนะ
ก่อนการแข่งขันเบสบอลเวิลด์ซีรี่ส์ในปี 1906 ฮิวจ์ ฟูลเลอร์ตันนักเขียนข่าวกีฬาได้พยากรณ์ไว้อย่างเฉียบคม เขาบอกว่าทีมชิคาโกคับส์ที่คาดว่าจะชนะนั้น จะแพ้ในเกมแรกและเกมที่สามและชนะในเกมที่สอง อ้อแล้วฝนจะตกในเกมที่สี่ ซึ่งเขาพูดถูกทุกประเด็น จากนั้นในปี 1919 ทักษะการวิเคราะห์ของเขาบอกว่าผู้เล่นบางคนจงใจแพ้ในการแข่งขันเวิลด์ซีรี่ส์ ฟูลเลอร์ตันสงสัยว่าพวกเขารับสินบนจากนักพนัน ความเห็นของคนส่วนใหญ่เย้ยหยันเขา แต่เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถูก
ฟูลเลอร์ตันไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ เขาเป็นเพียงคนฉลาดที่ศึกษาหลักฐานข้อมูล แต่เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะแท้ผู้ซึ่งคำพยากรณ์เป็นจริงทุกครั้ง เยเรมีย์สวมแอกที่คอของท่านเพื่อบอกคนยูดาห์ให้ยอมจำนนต่อคนบาบิโลนและมีชีวิตอยู่ (ยรม.27:2, 12) ฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะเท็จกล่าวแย้งท่านและหักแอกเสีย (28:2-4, 10) เยเรมีย์บอกเขาว่า “ฮานันยาห์ขอท่านฟัง พระเจ้ามิได้ทรงใช้ท่าน” และเสริมอีกว่า “ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตาย” (ข้อ 15-16) สองเดือนต่อมา ฮานันยาห์ก็สิ้นชีวิต (ข้อ 17)
พันธสัญญาใหม่บอกเราว่า “ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัส...แก่บรรพบุรุษของเราทางผู้เผยพระวจนะ...แต่ในวาระสุดท้ายนี้ พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร” (ฮบ.1:1-2) ความจริงของพระเจ้ายังคงสอนเราในทุกวันนี้โดยผ่านชีวิต การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู ตลอดจนผ่านพระคัมภีร์และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
สูญเสียทุกสิ่ง
คงไม่มีเวลาไหนจะแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว หลังจากมีรายได้เล็กน้อยจากการสร้างสะพาน อนุสาวรีย์ และตึกขนาดใหญ่หลายแห่ง ซีซาร์ฝันอยากสร้างกิจการใหม่ เขาจึงขายกิจการแรกของเขาไปแล้วฝากเงินไว้ในธนาคารโดยวางแผนจะลงทุนใหม่ในเวลาอันใกล้ ในช่วงจังหวะเวลาสั้นๆนั้นเอง รัฐบาลของเขาได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารส่วนตัว เงินเก็บทั้งชีวิตของซีซาร์หายวับไปในชั่วพริบตา
ซีซาร์เลือกที่จะไม่บ่นเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เขาขอพระเจ้าสำแดงหนทางข้างหน้าให้แก่เขา แล้วจากนั้น เขาก็เพียงแค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ในช่วงเวลาที่เลวร้ายครั้งหนึ่ง โยบสูญเสียมากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของท่าน ท่านสูญเสียคนใช้ส่วนใหญ่และบุตรชายหญิงทั้งหมดไป (โยบ 1:13-22) จากนั้นท่านก็ล้มป่วย (2:7-8) ท่าทีของโยบยังคงเป็นตัวอย่างอมตะให้แก่เราทั้งหลาย ท่านอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (1:21) พระธรรมบทนี้จบลงด้วยประโยคที่ว่า “ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า” (ข้อ 22)
เช่นเดียวกับโยบ ซีซาร์เลือกที่จะวางใจในพระเจ้า ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาได้สร้างธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าธุรกิจแรกเสียอีก เรื่องราวของเขาคล้ายกับบทสรุปของโยบ (ดู โยบ 42) หากแม้ซีซาร์จะไม่สามารถฟื้นตัวทางธุรกิจได้เลย เขาก็รู้ว่าทรัพย์สมบัติแท้จริงของเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ (มธ.6:19-20) เขาจะยังคงไว้วางใจในพระเจ้า
พยาน
ในบทกวีชื่อ “พยาน” ของเฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโล (ค.ศ. 1807-1882) ได้พรรณนาถึงเรือทาสลำหนึ่งที่อับปางลง ขณะที่เขาเขียนถึง “โครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่” ลองเฟลโลไว้อาลัยให้แก่บรรดาทาสนิรนามผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนนับไม่ถ้วน บทส่งท้ายกล่าวไว้ว่า “นี่คือวิบัติของทาส / พวกเขาจ้องมองมาจากทะเลลึก / พวกเขาร่ำไห้มาจากสุสานที่ไม่มีใครรู้จัก / พวกเราคือพยาน!”
แต่พยานเหล่านี้พูดกับใครหรือ เป็นคำพยานที่ไร้เสียงโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
มีผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคาอินฆ่าอาเบล เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”เขาตอบพระเจ้าอย่างไม่ไยดี แต่พระเจ้าตรัสว่า “โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า” (ปฐก.4:9-11)
ชื่อของคาอินยังคงอยู่ในฐานะคำเตือน ตามที่ยอห์นผู้เป็นสาวกได้กล่าวสอนไว้ว่า “จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารและได้ฆ่าน้องของตนเอง” (1ยน.3:12) ชื่อของอาเบลเองก็ยังคงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เป็นไปในทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือ “เพราะอาเบลมีความเชื่อจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า” ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูบันทึกไว้ว่า “แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่” (ฮบ.11:4)
อาเบลยังคงพูดอยู่! เช่นเดียวกับกระดูกของทาสที่ถูกหลงลืมเหล่านั้น เราสมควรที่จะระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดังกล่าวทั้งหมด และต่อต้านการกดขี่ทุกอย่างที่เราพบ พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จะมีชัย
เกมที่ยาวนาน
เมื่อประเทศของตูนเกิดการรัฐประหาร กองทัพเริ่มคุกคามผู้เชื่อในพระเยซูและฆ่าสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของพวกเขา เมื่อไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ครอบครัวของตูนก็กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ เป็นเวลาเก้าปีที่ตูนต้องอยู่ในค่ายอพยพและห่างไกลจากครอบครัวเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา แต่ในระหว่างการพลัดพรากนั้นสมาชิกในครอบครัวสองคนได้เสียชีวิตลง และตูนเริ่มท้อแท้
นานมาแล้วมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับการกดขี่อย่างโหดเหี้ยม พระเจ้าจึงทรงแต่งตั้งโมเสสให้นำผู้คนเหล่านั้น คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อท่านไปเฝ้าฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์รังแต่จะเพิ่มการข่มเหงต่อชนชาติอิสราเอล (อพย.5:6-9) โดยกล่าวว่า “เราไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด” (ข้อ 2) ประชาชนพากันบ่นต่อว่าโมเสส ซึ่งท่านก็ไปบ่นกับพระเจ้าต่อ (ข้อ 20-23)
ท้ายที่สุดพระเจ้าได้ปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และพวกเขาได้รับอิสรภาพที่พวกเขาต้องการ แต่ในวิถีทางและเวลาของพระเจ้า พระองค์ทรงเล่นเกมที่ยาวนานเพื่อสอนเราถึงพระลักษณะของพระองค์ และเตรียมเราสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ตูนใช้เวลาหลายปีในค่ายอพยพให้เป็นประโยชน์ จนเขาได้รับปริญญาโทจากโรงเรียนพระคริสตธรรมในนิวเดลี ตอนนี้เขาเป็นศิษยาภิบาลให้กับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนชาติเดียวกับเขา ผู้ซึ่งได้พบกับบ้านหลังใหม่ ตูนเป็นพยานว่า “เรื่องราวของผมในฐานะผู้ลี้ภัยเป็นเบ้าหลอมสำหรับการเป็นผู้นำในฐานะผู้รับใช้” และเขาได้พูดถึงบทเพลงของโมเสสในอพยพ 15:2 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า” และวันนี้ พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้นสำหรับเราเช่นกัน