พยาน
ในบทกวีชื่อ “พยาน” ของเฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโล (ค.ศ. 1807-1882) ได้พรรณนาถึงเรือทาสลำหนึ่งที่อับปางลง ขณะที่เขาเขียนถึง “โครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่” ลองเฟลโลไว้อาลัยให้แก่บรรดาทาสนิรนามผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนนับไม่ถ้วน บทส่งท้ายกล่าวไว้ว่า “นี่คือวิบัติของทาส / พวกเขาจ้องมองมาจากทะเลลึก / พวกเขาร่ำไห้มาจากสุสานที่ไม่มีใครรู้จัก / พวกเราคือพยาน!”
แต่พยานเหล่านี้พูดกับใครหรือ เป็นคำพยานที่ไร้เสียงโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
มีผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคาอินฆ่าอาเบล เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”เขาตอบพระเจ้าอย่างไม่ไยดี แต่พระเจ้าตรัสว่า “โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า” (ปฐก.4:9-11)
ชื่อของคาอินยังคงอยู่ในฐานะคำเตือน ตามที่ยอห์นผู้เป็นสาวกได้กล่าวสอนไว้ว่า “จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารและได้ฆ่าน้องของตนเอง” (1ยน.3:12) ชื่อของอาเบลเองก็ยังคงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เป็นไปในทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือ “เพราะอาเบลมีความเชื่อจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า” ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูบันทึกไว้ว่า “แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่” (ฮบ.11:4)
อาเบลยังคงพูดอยู่! เช่นเดียวกับกระดูกของทาสที่ถูกหลงลืมเหล่านั้น เราสมควรที่จะระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดังกล่าวทั้งหมด และต่อต้านการกดขี่ทุกอย่างที่เราพบ พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จะมีชัย
เกมที่ยาวนาน
เมื่อประเทศของตูนเกิดการรัฐประหาร กองทัพเริ่มคุกคามผู้เชื่อในพระเยซูและฆ่าสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของพวกเขา เมื่อไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ครอบครัวของตูนก็กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ เป็นเวลาเก้าปีที่ตูนต้องอยู่ในค่ายอพยพและห่างไกลจากครอบครัวเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา แต่ในระหว่างการพลัดพรากนั้นสมาชิกในครอบครัวสองคนได้เสียชีวิตลง และตูนเริ่มท้อแท้
นานมาแล้วมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับการกดขี่อย่างโหดเหี้ยม พระเจ้าจึงทรงแต่งตั้งโมเสสให้นำผู้คนเหล่านั้น คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อท่านไปเฝ้าฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์รังแต่จะเพิ่มการข่มเหงต่อชนชาติอิสราเอล (อพย.5:6-9) โดยกล่าวว่า “เราไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด” (ข้อ 2) ประชาชนพากันบ่นต่อว่าโมเสส ซึ่งท่านก็ไปบ่นกับพระเจ้าต่อ (ข้อ 20-23)
ท้ายที่สุดพระเจ้าได้ปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และพวกเขาได้รับอิสรภาพที่พวกเขาต้องการ แต่ในวิถีทางและเวลาของพระเจ้า พระองค์ทรงเล่นเกมที่ยาวนานเพื่อสอนเราถึงพระลักษณะของพระองค์ และเตรียมเราสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ตูนใช้เวลาหลายปีในค่ายอพยพให้เป็นประโยชน์ จนเขาได้รับปริญญาโทจากโรงเรียนพระคริสตธรรมในนิวเดลี ตอนนี้เขาเป็นศิษยาภิบาลให้กับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนชาติเดียวกับเขา ผู้ซึ่งได้พบกับบ้านหลังใหม่ ตูนเป็นพยานว่า “เรื่องราวของผมในฐานะผู้ลี้ภัยเป็นเบ้าหลอมสำหรับการเป็นผู้นำในฐานะผู้รับใช้” และเขาได้พูดถึงบทเพลงของโมเสสในอพยพ 15:2 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า” และวันนี้ พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้นสำหรับเราเช่นกัน
ทำสิ่งที่ถูกต้อง
จดหมายจาก “เจสัน” นักโทษคนหนึ่งทำให้ผมและภรรยาต้องประหลาดใจ เรา “เลี้ยง” ลูกสุนัขเพื่อให้เป็นสุนัขช่วยเหลือผู้พิการ ลูกสุนัขตัวหนึ่งได้ผ่านเข้าสู่การฝึกในขั้นต่อไป ซึ่งดำเนินการโดยนักโทษที่ได้รับการสอนให้รู้วิธีการฝึกสุนัข จดหมายที่เจสันเขียนถึงเราบรรยายถึงความเสียใจกับอดีตของตัวเอง แต่จากนั้นเขาก็พูดว่า “สนิกเกอร์สเป็นสุนัขตัวที่สิบเจ็ดที่ผมฝึกและมันเป็นสุนัขที่ดีที่สุด เมื่อมันมองมาที่ผม ผมรู้สึกเหมือนผมได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในที่สุด”
เจสันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเสียใจ เราทุกคนล้วนมีความรู้สึกเสียใจ มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์มีเรื่องที่ต้องเสียใจมากมาย 2 พงศาวดาร 33 ได้บรรยายถึงการกระทำที่ชั่วร้ายของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปูชนียสถานสูงเพื่อนมัสการพระต่างด้าวด้วยการร่วมเพศ (ข้อ 3) ถือวิทยาคม และถวายโอรสให้ลุยไฟ (ข้อ 6) พระองค์ทรงชักจูงคนทั้งชาติให้หลงไปในทางที่ชั่วร้ายนี้ (ข้อ 9)
“พระเจ้าตรัสกับมนัสเสห์และประชาชนของพระองค์ แต่เขาทั้งหลายไม่ฟัง” (ข้อ 10) สุดท้ายพระเจ้าก็ได้รับความสนใจ เมื่อชาวอัสซีเรียบุกเข้ามา “เอาเบ็ดเกี่ยวมนัสเสห์...และนำพระองค์มายังบาบิโลน” (ข้อ 11) และในที่สุดมนัสเสห์ก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง “พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และถ่อมพระทัยลงอย่างมาก” (ข้อ 12) พระเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนและทรงคืนตำแหน่งกษัตริย์ให้กับพระองค์ มนัสเสห์ได้แทนที่ธรรมเนียมปฏิบัติพระต่างด้าวด้วยการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว (ข้อ 15-16)
ความเสียใจกำลังกัดกินคุณอยู่หรือไม่ ยังไม่สายเกินไป พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานที่แสดงถึงการกลับใจด้วยท่าทีที่ถ่อมใจของเรา
เงินที่ได้มาโดยง่าย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 ชายหนุ่มคนหนึ่งค้นพบการยุบตัวของดินบนเกาะโอ๊คในรัฐโนวาสโกเชีย เขาและเพื่อนสองคนที่ไปด้วยกันเดาว่าโจรสลัดซึ่งอาจเป็นกัปตันคิดด์ฝังสมบัติไว้ที่นั่น พวกเขาจึงเริ่มขุดโดยไม่เคยพบทรัพย์สมบัติใดๆ แต่ข่าวลือนี้ถูกบอกเล่าต่อกันไป เป็นเวลานานหลายศตวรรษที่คนยังคงขุดในบริเวณนั้นโดยเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปมากมาย หลุมนั้นตอนนี้มีความลึกมากกว่าสามสิบเมตร
ความหมกมุ่นดังกล่าวเปิดเผยให้เห็นความว่างเปล่าในใจของมนุษย์ เรื่องราวในพระคัมภีร์ทำให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของคนๆหนึ่งเผยให้เห็นความว่างเปล่าในหัวใจของเขาอย่างไร เกหะซีเป็นคนรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจมานานจากผู้เผยพระวจนะเอลีชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเอลีชาปฏิเสธของกำนัลล้ำค่าจากผู้บัญชาการกองทัพที่พระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคเรื้อน เกหะซีได้กุเรื่องขึ้นเพื่อให้ได้รับของที่ถูกปล้นมาบางส่วน (2พกษ.5:22) เมื่อเกหะซีกลับมาบ้านเขาโกหกผู้เผยพระวจนะเอลีชา (ข้อ 25) แต่เอลีชารู้ท่านจึงถามเขาว่า “เมื่อชายคนนั้นหันมาจากรถรบต้อนรับเจ้านั้น จิตใจของเรามิได้ไปกับเจ้าดอกหรือ” (ข้อ 26) ในท้ายที่สุด เกหะซีได้สิ่งที่เขาต้องการแต่ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป(ข้อ 27)
พระเยซูสอนเราไม่ให้แสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกนี้ แต่ให้ “ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มธ.6:20) จงระมัดระวังในการใช้ทางลัดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ใจคุณต้องการ การติดตามพระเยซูเป็นหนทางที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยสิ่งที่เที่ยงแท้
รูปเคารพที่ถูกขโมยไป
รูปเคารพแกะสลักไม้ประจำบ้านถูกขโมยไปจากหญิงคนหนึ่งชื่อ เอคูวา เธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อคิดว่าเจอรูปนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเชิญเธอมาตรวจสอบ “นี่คือรูปเคารพของคุณหรือเปล่า” พวกเขาถาม เธอตอบเศร้าๆว่า “ไม่ใช่ค่ะ รูปเคารพของฉันมีขนาดใหญ่และสวยกว่านี้ค่ะ”
เป็นเวลานานมาแล้วที่ผู้คนพยายามอธิบายถึงพระเจ้าในความคิดของพวกเขา หวังให้พระเจ้าที่ถูกสร้างด้วยมือปกป้องพวกเขา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ราเชลภรรยาของยาโคบ “ขโมยรูปเคารพของบิดา” ขณะที่พวกเขาหนีจากลาบัน (ปฐก.31:19) แต่พระเจ้ายังให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือยาโคบ แม้จะมีรูปเคารพซ่อนอยู่ในเต็นท์ของท่าน (ข้อ 34)
จากนั้น ในการเดินทางเดียวกันนี้ ยาโคบปล้ำสู้กับ “บุรุษผู้หนึ่ง” ทั้งคืน (32:24) ท่านน่าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะเมื่อฟ้าสางท่านยืนกรานว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ข้อ 26) บุรุษนั้นตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่าอิสราเอล (“พระเจ้าทรงปล้ำสู้”) และอวยพรท่าน (ข้อ 28-29) ยาโคบเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล (“พระพักตร์ของพระเจ้า”) “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 30)
พระเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดและงดงามเกินกว่าที่เอคูวาจะสามารถจินตนาการได้ พระองค์ไม่อาจถูกแกะสลัก ถูกขโมย หรือถูกซ่อนไว้ได้ แต่ยาโคบก็ยังได้เรียนรู้ในคืนนั้นว่าเราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้! พระเยซูทรงสอนให้สาวกของพระองค์เรียกพระเจ้าองค์นี้ว่า “พระบิดาของเราในสวรรค์” (มธ.6:9)
เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้
ทุกคนรู้เรื่องความประหยัดของป้ามาร์กาเร็ต หลังจากเธอเสียชีวิต หลานๆ จึงเริ่มภารกิจที่หวานอมขมกลืนในการคัดแยกข้าวของของเธอ ในลิ้นชักๆหนึ่งพวกเขาเจอถุงพลาสติกใบเล็กที่บรรจุเชือกเส้นสั้นๆหลายแบบเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มีป้ายเขียนกำกับว่า “เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้” อะไรทำให้คนๆหนึ่งเก็บและจัดระเบียบสิ่งของที่เขารู้ว่านำไปใช้ไม่ได้ บางทีคนๆนี้อาจเคยประสบกับความขาดแคลนอย่างรุนแรง
เมื่อชนชาติอิสราเอลหนีจากการเป็นทาสในอียิปต์ พวกเขาทิ้งชีวิตที่ยากลำบากไว้เบื้องหลัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ลืมการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงช่วยในการอพยพและเริ่มบ่นเรื่องการขาดอาหาร
พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ประทานมานาให้เป็นอาหารแก่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร ทรงบอกโมเสสว่า “ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ” (อพย.16:4) พระองค์ยังทรงบอกให้พวกเขาเก็บมาให้มากเป็นสองเท่าในวันที่หก เพราะในวันสะบาโตจะไม่มีมานาตกลงมา (ข้อ 5, 25) พวกอิสราเอลบางคนเชื่อฟัง บางคนก็ไม่เชื่อฟังและพบว่าเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ (ข้อ 27-28)
ในช่วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์และเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ทำให้เราอยากยึดเอาไว้ และกักตุนอย่างช่วยไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องฉวยทุกอย่างไว้ในมือที่ลนลานของเรา ไม่จำเป็นต้อง “เก็บเศษเชือก” หรือกักตุนสิ่งใดไว้เลย ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮบ.13:5)
ขึ้นเขาตลอดเส้นทาง
คริสติน่า รอสเซ็ตติ กวีและนักเขียนบทเฝ้าเดี่ยวพบว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายในชีวิตของเธอ เธอต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าและโรคภัยที่รุมเร้าตลอดชีวิตของเธอ ทั้งยังต้องกล้ำกลืนกับการหมั้นหมายที่ล้มเลิกถึงสามครั้งในที่สุดเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
แม้ว่าดาวิดจะเป็นจอมทัพที่ทรงชัยชนะในจิตสำนึกของชนชาติอิสราเอลแต่ตลอดพระชนม์ชีพทรงต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย ในช่วงปลายของการครองราชย์โอรสของพระองค์กับที่ปรึกษาที่ไว้วางพระทัยและประชาชนมากมายได้ทรยศพระองค์ (2 ซมอ.15:1-12) ดาวิดจึงเสด็จหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับปุโรหิตอาบียาธาร์และศาโดก และทรงนำหีบพันธสัญญาไปด้วย (ข้อ 14, 24)
หลังจากที่อาบียาธาร์ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ดาวิดตรัสกับปุโรหิตว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย” (ข้อ 25) ในท่ามกลางความไม่แน่นอน ดาวิดกล่าวว่า “แต่ถ้า [พระเจ้า]ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’...ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์ทรงโปรดเห็นชอบเถิด” (ข้อ 26) ดาวิดรู้ว่าพระองค์สามารถวางใจในพระเจ้าได้
คริสติน่า รอสเซ็ตติวางใจในพระเจ้าเช่นกัน และชีวิตของเธอจบลงด้วยความหวัง การเดินทางอาจคดเคี้ยวและขึ้นเขาตลอดเส้นทาง แต่มันจะนำเราไปสู่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงรอคอยเราด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง
พระเจ้าทรงมีแผนการอื่น
เราไม่ทราบอายุที่แน่นอนของพวกเธอ คนหนึ่งถูกพบที่ขั้นบันไดโบสถ์ อีกคนรู้เพียงว่าเธอได้รับการเลี้ยงดูโดยแม่ชี พวกเธอเกิดในโปแลนด์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลาเกือบแปดสิบปีที่ทั้งฮาลิน่าและคริสตีน่าต่างก็ไม่รู้จักกัน ต่อมาผลตรวจดีเอ็นเอระบุว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน และนำไปสู่การหวนมาพบกันอย่างปีติยินดี อีกทั้งเปิดเผยให้รู้ว่าพวกเธอมีเชื้อสายยิว ซึ่งอธิบายว่าทำไมพวกเธอจึงถูกนำมาทิ้ง คนชั่วร้ายได้กำหนดให้เด็กหญิงทั้งสองนี้ต้องตายเพียงเพราะชาติกำเนิดของพวกเธอ
ลองนึกภาพแม่ผู้หวาดกลัวที่ทิ้งลูกๆซึ่งถูกคุกคามชีวิตไว้ในที่ซึ่งพวกเธออาจได้รับการช่วยเหลือ ทำให้นึกถึงเรื่องราวของโมเสส เมื่อเป็นเด็กทารกชาวฮีบรู ท่านถูกกำหนดว่าจะโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ดู อพย.1:22) แม่ของท่านวางแผนที่จะวางท่านไว้ในแม่น้ำไนล์ (2:3) เพื่อให้ท่านมีโอกาสรอด พระเจ้าทรงมีแผนการที่เธอคาดไม่ถึง คือเพื่อช่วยกู้ชีวิตประชากรของพระองค์ผ่านทางโมเสสเรื่องราวของโมเสสนำเราไปสู่เรื่องราวของพระเยซู ขณะที่ฟาโรห์สืบเสาะที่จะฆ่าเด็กชายชาวฮีบรู เฮโรดก็สั่งฆ่าเด็กทารกชายทั้งหมดในเบธเลเฮม (ดู มธ. 2:13-16)
ผู้อยู่เบื้องหลังความเกลียดชังนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเด็กคือมารศัตรูของเรา ความรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พระเจ้าประหลาดใจ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับโมเสส และพระองค์ทรงมีแผนการสำหรับคุณและผม และโดยทางพระเยซูพระบุตรของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยแผนการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คือเพื่อช่วยกู้และทำให้ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูได้กลับคืนดีกับพระองค์
ไม่มีคำแช่งสาป
วิลเลี่ยม เชคสเปียร์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการประชดประชัน ซึ่งเป็น “คุณสมบัติ” ที่แบรี่ คราฟท์นักแสดงได้นำมาใช้อย่างช่ำชองในหนังสือชื่อ Shakespeare Insult Generator (เครื่องให้กำเนิดคำพูดประชดประชันของเชคสเปียร์) หนังสือที่ชาญฉลาดเล่มนี้ประกอบด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยการประชดประชันจากบทละครของเชคสเปียร์ ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะพูดจาดูถูกใครสักคนโดยพูดว่า “เจ้าคนโอ้อวด เจ้าหัวขี้เลื่อยผู้น่าสงสาร” ซึ่งดูสร้างสรรค์กว่าการพูดว่า “เจ้าโอ้อวดมากไปและเจ้าก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก เจ้าคนชั่ว!”
หนังสือเบาสมองของคราฟท์นั้นสนุก แต่มีกษัตริย์เมืองโมอับองค์หนึ่งพยายามว่าจ้างผู้เผยพระวจนะลึกลับ ไม่เพียงให้มาพูดจาดูหมิ่นชาวอิสราเอล แต่ยังให้มาสาปแช่งพวกเขา กษัตริย์บาลาคบอกกับบาลาอัมว่า “ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า” (กดว.22:6) แต่บาลาอัมกลับทำให้พระองค์โกรธด้วยการ อวยพร ชาวฮีบรูหลายต่อหลายครั้ง (24:10) พรประการหนึ่งของเขาอยู่ในคำพยากรณ์ต่อไปนี้ “ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้” (24:17) เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่บาลาอัมกำลังพูดถึงนั้นยังไม่ปรากฏขึ้น แล้วเขาหมายถึงใครกัน คำใบ้อยู่ในบรรทัดถัดไป “ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล” (ข้อ 17) แล้ววันหนึ่ง “ดวงดาว” จะนำนักปราชญ์ไปหาพระกุมารที่ทรงสัญญาไว้ (มธ.2:1-2)
ผู้เผยพระวจนะชาวเมโสโปเตเมียโบราณผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ ได้ชี้ให้โลกเห็นถึงหมายสำคัญที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระองค์ เป็นคำอวยพรไม่ใช่คำแช่งสาป ซึ่งมาจากแหล่งที่ไม่น่าเป็นไปได้