ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Tim Gustafson

ผลตอบแทน

ในปีค.ศ. 1921 ศิลปินแซม โรเดียเริ่มก่อสร้างงานประติมากรรมทรงสูงชื่อวัตต์ทาวเวอร์ สามสิบสามปีต่อมา ประติมากรรมสิบเจ็ดชิ้นก็ตั้งสูงขึ้นไปถึงสามสิบเมตรเหนือนครลอสแองเจลิส นักดนตรีเจอร์รี่ การ์เซียด้อยค่าผลงานชิ้นสำคัญในช่วงชีวิตของโรเดียนี้ว่า “นี่คือผลตอบแทนที่คงอยู่หลังจากที่คุณตายไป” แล้วเขาก็บอกว่า “ว้าว นั่นไม่ใช่สำหรับผมหรอก”

ถ้าเช่นนั้นแล้วผลตอบแทนของเขาคืออะไร บ๊อบ เวียร์เพื่อนร่วมวงของเขา สรุปปรัชญาของพวกเขาไว้ว่า “ในนิรันดร์กาล ไม่มีใครจดจำคุณได้หรอก แล้วทำไมไม่เพียงสนุกไปกับมันก็พอ”

ครั้งหนึ่งชายผู้มั่งคั่งและเฉลียวฉลาดเคยพยายามค้นหา “ผลตอบแทน” โดยการทำทุกอย่างที่ท่านทำได้ ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้ารำพึงว่า ‘มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู เอ้า จงสนุกสบายใจไป’” (ปญจ.2:1) แต่ท่านเขียนด้วยว่า “ไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญาเช่นเดียวกับคนเขลา” (ข้อ 16) ท่านสรุปว่า “การงานที่เขาทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า” (ข้อ 17)

ชีวิตและคำสอนของพระเยซูนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการดำเนินชีวิตแบบคนสายตาสั้นเช่นนั้น พระเยซูเสด็จมาเพื่อประทาน “ชีวิต...อย่างครบบริบูรณ์” (ยน.10:10) แก่เรา และสอนเราให้ดำเนินชีวิตนี้โดยคำนึงถึงชีวิตบนสวรรค์ด้วย “อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก” พระองค์ตรัส “แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มธ.6:19-20) แล้วพระองค์ทรงสรุปไว้ว่า “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (ข้อ 33)

นี่คือผลตอบแทนที่เราจะได้รับทั้งภายใต้ดวงอาทิตย์นี้และในชีวิตนิรันดร์

รวมกันในบั้นปลาย

ในปีค.ศ.1960 อ็อตโต พรีมิงเกอร์ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นด้วยภาพยนตร์เรื่อง ชนวนไฟสงคราม (Exodus) ของเขา ภาพยนตร์อ้างอิงมาจากนิยายของลีออน ยูริสซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้อพยพชาวยิวที่ย้ายไปประเทศปาเลสไตน์หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในภาพยนตร์มีภาพของร่างเด็กสาวลูกครึ่งยุโรปและยิวกับชายชาวอาหรับ ทั้งคู่เป็นเหยื่อที่ถูกสังหารและถูกฝังไว้ในหลุมเดียวกันในที่ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นประเทศอิสราเอล

พรีมิงเกอร์ทิ้งตอนสุดท้ายไว้ให้เราสรุป ว่านี่คือสัญลักษณ์แห่งความสิ้นหวังและความฝันที่ถูกฝังไว้ตลอดกาล หรือเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ที่ทั้งสองคนซึ่งมีอดีตเป็นศัตรูและเกลียดชังกันได้มาอยู่ร่วมกัน ทั้งในชีวิตและความตาย

บรรดาบุตรชายของโคราห์ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 87 อาจมองดูสถานการณ์นี้จากมุมมองที่สอง พวกเขารอคอยสันติที่พวกเรายังรอคอยอยู่ พวกเขาเขียนถึงเยรูซาเล็มว่า “โอ นครแห่งพระเจ้าเอ๋ย เขากล่าวสรรเสริญเธอ” (ข้อ 3) พวกเขาร้องเพลงถึงวันที่ชนชาติทั้งหลายที่เคยทำสงครามกับคนยิว จะมาร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ทั้งราหับ(อียิปต์) บาบิโลน ฟีลิสเตีย ไทระ และเอธิโอเปีย (ข้อ 4) ทุกชนชาติจะถูกนำมาสู่เยรูซาเล็มและพระเจ้า

บทสรุปของพระธรรมสดุดีนี้คือการเฉลิมฉลอง คนในเยรูซาเล็มจะร้องว่า “น้ำพุทั้งสิ้นของเราอยู่ในเธอ” (ข้อ 7) พวกเขาร้องถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต และเป็นแหล่งแห่งชีวิตทั้งมวล (ยน.4:14) พระเยซูเป็นผู้เดียวที่จะนำมาซึ่งสันติสุขและเอกภาพนิรันดร์

ห้องมืดในป่า

กองทัพไม่ได้ให้โอกาสโทนี่ แวคคาโรในการเป็นช่างภาพ แต่นั่นหยุดเขาไม่ได้ เขายังคงถ่ายภาพ แม้ในระหว่างช่วงเวลาอันน่ากลัวที่ต้องหลบกระสุนปืนใหญ่และลูกกระสุนที่กระจายกลางอากาศจนดูเหมือนตกลงมาจากต้นไม้ จากนั้น ตอนที่เพื่อนๆนอนหลับ เขาใช้หมวกทหารของเพื่อนเป็นที่ผสมน้ำยาสำหรับล้างรูปถ่ายของเขา ป่ายามค่ำคืนกลายเป็นห้องมืดที่โทนี่ใช้สร้างสรรค์สมุดบันทึกเหนือกาลเวลาแห่งสมรภูมิรบในป่าเฮิร์ตเกน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

กษัตริย์ดาวิดใช้ชีวิตผ่านสมรภูมิรบและช่วงเวลาแห่งความมืดมนมากมาย 2 ซามูเอล 22 กล่าวว่า “พระ​เจ้า​ทรง​ช่วย​กู้​ดาวิด​ให้​พ้น​จาก​มือ​ของ​ศัตรู​ทั้งสิ้น​ของ​พระ​องค์​ท่าน และ​ให้​พ้น​จาก​พระ​หัตถ์​ของ​ซาอูล” (ข้อ 1) ดาวิดใช้ประสบการณ์เหล่านั้นจัดทำเป็นบันทึกเรื่องราวความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า “เพราะ​คลื่น​มัจจุราช​ล้อม​ข้าพเจ้า กระแส​แห่ง​ความ​หายนะ​ท่วม​ทับ​ข้าพเจ้า กระทำ​ให้​กลัว” (ข้อ 5)

ในเวลาไม่นาน ดาวิดเปลี่ยนจากความทดท้อไปสู่ความหวัง ท่านหวนคิดว่า “ใน​ยาม​ทุกข์​ใจ​ข้าพเจ้า​ร้อง​ทูล​ต่อ​พระ​เจ้า...จาก​พระ​วิหาร​ของ​พระ​องค์ ​พระ​องค์​ทรง​สดับ​เสียง​ของ​ข้าพเจ้า” (ข้อ 7) ดาวิดตั้งใจมั่นที่จะสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการทรงช่วยเหลืออันไม่สิ้นสุดของพระองค์ ท่านกล่าวว่า “​พระ​เจ้า​ทรง​กระทำ​ให้​ความ​มืด​ของ​ข้าพเจ้า​สว่าง...ข้า​พระ​องค์​ตะลุย​กองทัพ​ได้​โดย​พระ​องค์ โดย พระ​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า​กระโดด​ข้าม​กำแพง​ได้” (ข้อ 29-30)

ดาวิดเปลี่ยนความทุกข์ยากของท่านเป็นโอกาสที่จะบอกให้โลกรู้ถึงพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ เราเองก็ทำเช่นนี้ได้ เพราะที่สุดแล้ว เราต่างพึ่งพาในพระองค์ผู้ทรงเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นความสว่าง

การตั้งค่ายของทั้งชนชาติ

เราตั้งค่ายพักแรมใต้แสงดาว โดยไม่มีอะไรกั้นกลางระหว่างเรากับท้องฟ้าอันกว้างไกลในแอฟริกาตะวันตก ในฤดูแล้งนี้เราไม่จำเป็นต้องกางเต็นท์ แต่เราต้องมีไฟ “อย่าปล่อยให้ไฟดับ” พ่อพูดพร้อมกับเอาไม้เขี่ยท่อนฟืน ไฟทำให้สัตว์ป่าไม่เข้ามาใกล้เรา สิ่งทรงสร้างของพระเจ้านั้นมหัศจรรย์ก็จริง แต่คุณคงไม่อยากให้เสือดาวหรืองูเลื้อยเข้ามาในบริเวณที่คุณตั้งค่ายพักแรม

พ่อผมเคยเป็นมิชชันนารีในประเทศกาน่าตอนบน และท่านมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นคำสอน ไม่เว้นแม้กระทั่งการตั้งค่ายพักแรม

พระเจ้าทรงใช้การตั้งค่ายเพื่อสอนประชากรของพระองค์เช่นกัน คนอิสราเอลต้องอาศัยอยู่ในเพิงที่ทำจาก “ต้นมะงั่ว ใบอินทผลัม กิ่งไม้ที่มีใบมาก กิ่งต้นไค้” เป็นเวลาเจ็ดวัน ปีละหนึ่งครั้ง (ลนต.23:40) มีจุดประสงค์สองประการสำหรับเรื่องนี้ พระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “ทุกคนที่เป็นชาวพื้นเมืองอิสราเอลให้เข้าอยู่ในเพิง เพื่อชาติพันธุ์ของเจ้าจะได้ทราบว่า เมื่อเราพาคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น เราได้ให้เขาอยู่ในเพิง” (ข้อ 42-43) แต่ขณะเดียวกันก็เป็นงานรื่นเริงด้วย “เจ้าจงปีติยินดีอยู่เจ็ดวันต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า” (ข้อ 40)

การตั้งค่ายอาจไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับคุณ แต่พระเจ้าทรงกำหนดให้ชาวอิสราเอลตั้งค่ายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อรำลึกถึงคุณความดีของพระองค์ด้วยความปีติยินดี เรามักจะลืมความหมายที่เป็นหัวใจสำคัญของวันหยุดเทศกาลของเรา เทศกาลต่างๆอาจเป็นเครื่องเตือนใจให้เราระลึกถึงพระลักษณะที่เปี่ยมไปด้วยความรักของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสรรสร้างความสนุกสนานขึ้นด้วยเช่นกัน

หลุมฝังศพของเชบนา

ดับเบิ้ลยู. บี. เยตส์ นักกวีชาวไอริชต้องการให้ฝังร่างของเขาไว้ “ภายใต้เบน บัลเบน” ภูเขายอดราบอันโดดเด่นที่เขาใช้ตั้งชื่อหนึ่งในกวีบทสุดท้ายของเขา ท่อนสุดท้ายของกลอนบทนี้ถูกสลักไว้บนป้ายหลุมฝังศพของเขา “ทอดสายตาอันเย็นชา ไปยังชีวิต ไปยังความตาย คนขี่ม้าเดินทางผ่านไป”

มีการคาดเดากันมากมายถึงความหมายของประโยคนี้ บางทีอาจเป็นการที่ผู้เขียนยอมรับความเป็นจริงของทั้งชีวิตและความตาย ไม่ว่าจะอย่างไรเยตส์ก็ได้ตามที่ปรารถนาทั้งสถานที่ในการฝังร่างของตนและข้อความที่สลักบนป้ายหลุมฝังศพ แต่ความจริงที่เย็นชาคือชีวิตของผู้คนดำเนินต่อไปโดยไม่มีเรา ผู้คนไม่สนใจในการจากไปของเรา

ในช่วงเวลาอันเลวร้ายในประวัติศาสตร์ของยูดาห์ เชบนา “ผู้ดูแลราชสำนัก” ได้ทำอุโมงค์ฝังศพของตนเพื่อจะรักษามรดกของเขาไว้หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่พระเจ้าตรัสกับเขาผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่นี่ และเจ้ามีใครอยู่ที่นี่ เจ้าจึงสกัดอุโมงค์ที่นี่เพื่อตัวเจ้าเอง สกัดอุโมงค์ในที่สูง และสลักที่อยู่สำหรับตนเองในศิลา” (อสย.22:16) ผู้เผยพระวจนะบอกเขาว่า “[พระเจ้าจะทรง]ม้วนเจ้า และขว้างเจ้าไปอย่างลูกบอลล์ยังแผ่นดินกว้าง เจ้าจะตายที่นั่น” (ข้อ 18)

เชบนาเข้าใจผิดไป สิ่งสำคัญไม่ใช่ที่ซึ่งเราถูกฝังแต่คือผู้ที่เรารับใช้ คนเหล่านั้นที่รับใช้พระเยซูมีความมั่นใจอย่างเหลือล้นว่า “คนทั้งหลายที่ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข” (วว.14:13) เรารับใช้พระเจ้าผู้ห่วงใยเสมอต่อ “การจากไป” ของเรา พระองค์ทรงรอคอยการมาของเราและยินดีต้อนรับเรากลับบ้าน!

บทนำ – พระคุณสำหรับวันนี้ | ต่อสู้ได้อย่างดี

ต่อสู้ได้อย่างดี

ผมรักเรื่องราวดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฉลิมฉลองหรือโศกเศร้า บาดแผลหรือชัยชนะ วิตกกังวลหรือซึมเศร้า สำเร็จหรือล้มเหลว แต่ละเรื่องร้อยเรียงด้วยเส้นด้ายหลักถักทอเป็นผืนผ้า ในฐานะที่มีวิชาชีพด้านที่ปรึกษามากว่า 35 ปี ผมได้รับฟังเรื่องราวนับพัน ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่ผมได้มีส่วนร่วมรับรู้ในชีวิตของแต่ละคนหรือในแต่ละครอบครัว และในการช่วยค้นหาทางออกเมื่อชีวิตต้องพบความท้าทาย หลายเรื่องราวมีส่วนคล้ายกัน รวมถึงชีวิตของผมเอง ซึ่งรายละเอียดอาจแตกต่างกันบ้าง แต่เส้นด้ายหลักยังคงเป็นเส้นเดียวกัน

ทุกชีวิตล้วนต้องต่อสู้ ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่ต้องต่อสู้ตลอดเวลาโดยไม่เห็นจุดจบได้ เราทุกคนมีแรงผลักดันที่ทำให้เราพยายามหาทางออกเสมอ แต่พลังงานส่วนใหญ่ของทั้งตัวเราและคนรอบข้างถูกใช้ไปเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ การทำให้ความทุกข์น้อยลงเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนพยายามทำ และเราหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง สุขภาพใจของเราจะแข็งแรง คือเป็นสภาวะที่มีสันติสุข มีความรื่นรมย์ในชีวิต และรู้สึกเติมเต็ม ปราศจากความเครียดและการดิ้นรนต่อสู้

อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด โลกนี้ยังคงเต็มไปด้วยความสวยงามมากมาย แต่ก็เหมือนที่ความงามไม่สามารถบดบังความแตกสลายทั้งหมดที่เราเห็นทั้งรอบตัวและในตัวเรา ความแตกสลายก็ไม่สามารถทำลายความงามทั้งหมดได้เช่นกัน สภาวะตึงเครียดระหว่างสองสิ่งนี้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้ความท้าทายนี้เกิดขึ้นเสมอในชีวิต พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้สาวกเตรียมพร้อมสำหรับ “การทดลองและความโศกเศร้า” ในโลกนี้ (ยอห์น 16:33) เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาจะพบความทุกข์ยากในชีวิต

ทำไมเราต้องต่อสู้ดิ้นรน? มีสองเหตุผลคือ ชีวิตเป็นเรื่องยาก และชีวิตมีความเจ็บปวด

ชีวิตเป็นเรื่องยาก ประโยคนี้อาจฟังดูเย็นชา แต่มันคือความจริง หากพูดกันตามตรง เราทุกคนไม่สมบูรณ์ อาศัยอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่สมบูรณ์ และความจริงคือ ชีวิตเป็นเรื่องยาก ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ การดิ้นรนในชีวิตเป็นเรื่องปกติ แต่ในที่สุดทุกสิ่งจะสูญสลายไป รวมถึงการแก้ปัญหาแบบเร็วๆ หาคำตอบแบบเอาที่ง่าย เหมือนใช้เทปกาวซ่อมเท่าที่ทำได้ ที่พอแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ใช่ทางแก้ที่ยั่งยืนสำหรับความแตกสลายที่ร้าวลึกในตัวเราและรอบตัวเรา…

Grace for Today - พระคุณสำหรับวันนี้

10 บทความเพื่อความหวังและสุขภาพใจที่เข้มแข็งจากพันธกิจมานาประจำวัน

เสียงที่โดดเดี่ยว

หลังการประชุมสันติภาพ ณ กรุงปารีสซึ่งเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นายพลเฟอร์ดินานด์ ฟอคชาวฝรั่งเศสตั้งข้อสังเกตอย่างขมขื่นว่า “นี่ไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นการพักรบไปยี่สิบปี” มุมมองของฟอคขัดแย้งกับความคิดเห็นของคนทั่วไปที่ว่าสงครามน่าสะพรึงกลัวครั้งนี้จะเป็น “สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งปวง” ยี่สิบปีกับอีกสองเดือนต่อมาสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น ฟอคพูดถูก

นานมาแล้ว มีคายาห์ผู้เผยพระวจนะแท้เพียงคนเดียวของพระเจ้าในเวลานั้น ได้เผยพระวจนะซ้ำๆแก่คนอิสราเอลถึงผลร้ายในการสงคราม (2 พศด.18:7) ตรงกันข้ามกับผู้เผยพระวจนะเท็จสี่ร้อยคนของอาหับที่พยากรณ์ถึงชัยชนะ ข้าราชการในราชสำนักจึงกล่าวกับมีคายาห์ว่า “ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาดุจปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล” (ข้อ 12)

มีคายาห์ตอบว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไรข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น” (ข้อ 13) ท่านเผยพระวจนะว่าได้เห็นคนอิสราเอล “กระจัดกระจายอยู่บนภูเขา อย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง” (ข้อ 16) และมีคายาห์พูดถูก พวกอารัมสังหารอาหับและกองทัพของพระองค์แตกพ่ายไป (ข้อ 33-34, 1 พกษ.22:35-36)

เช่นเดียวกับมีคายาห์ พวกเราที่ติดตามพระเยซูก็แบ่งปันข่าวสารที่ขัดแย้งกับความเห็นของคนทั่วไป พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยน.14:6) หลายคนไม่ชอบถ้อยคำนั้นเพราะมันดูใจแคบไม่น่าฟัง และดูมี เอกสิทธิ์ เกินไป กระนั้นพระคริสต์ประทานถ้อยคำที่เล้าโลมใจสำหรับ ทุกคน นั่นคือพระองค์ทรงต้อนรับทุกคนที่หันมาหาพระองค์

ทูตแห่งสันติของพระเจ้า

นอร่าไปเข้าร่วมการประท้วงอย่างสันติเพราะเธอรู้สึกอย่างแรงกล้าต่อปัญหาเรื่องความยุติธรรม การประท้วงเกิดขึ้นเงียบๆตามที่วางแผนไว้ ผู้ประท้วงเดินผ่านใจกลางเมืองด้วยความเงียบอันทรงพลัง

แล้วรถบัสสองคันก็มาจอด ผู้ก่อกวนจากนอกเมืองมาถึง การจลาจลเกิดขึ้นตามมา นอร่าจึงออกมาด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าความตั้งใจดีของพวกเขาไม่เกิดผล

เมื่ออัครทูตเปาโลไปเยี่ยมวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาคนที่ต่อต้านท่านเห็นท่านที่นั่น พวกเขา “มาจากแคว้นเอเชีย” (กจ.21:27) และมองว่าพระเยซูเป็นศัตรูต่อวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาป่าวประกาศข่าวลือและเรื่องโกหกเกี่ยวกับเปาโลซึ่งก่อปัญหาขึ้นอย่างรวดเร็ว (ข้อ 28-29) ฝูงชนลากเปาโลออกจากพระวิหารและทุบตีท่าน ทหารพากันวิ่งมา

เมื่อเปาโลถูกจับ ท่านขอนายพันชาวโรมันเพื่อจะพูดกับประชาชน (ข้อ 37-38) เมื่อได้รับอนุญาต ท่านพูดกับประชาชนด้วยภาษาของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจและรู้สึกสนใจ (ข้อ 40) และด้วยวิธีนั้น เปาโลได้เปลี่ยนการจลาจลให้เป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ท่านได้รับการช่วยกู้จากศาสนาที่ตายไปแล้ว (22:2-21)

คนบางคนรักความรุนแรงและการแบ่งแยก จงอย่าท้อใจ พวกเขาจะไม่ชนะ พระเจ้าทรงมองหาผู้เชื่อที่กล้าหาญซึ่งจะแบ่งปันแสงสว่างและสันติสุขของพระองค์ให้แก่โลกที่สิ้นหวังของเรา สิ่งที่ดูเหมือนเป็นวิกฤตอาจจะเป็นโอกาสให้คุณได้สำแดงความรักของพระเจ้ากับใครบางคนก็เป็นได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา