ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Tim Gustafson

เมื่อชีวิตไม่ยุติธรรม

ในนวนิยายคลาสสิกของชาร์ลส์ ดิ๊กเกนส์เรื่องโอลิเวอร์ ทวิสต์ นั้น โอลิเวอร์ผู้อ่อนแอเกิดมาในสถานสงเคราะห์คนยากไร้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการหาประโยชน์จากคนยากจน เด็กชายกำพร้าตั้งแต่เกิด และสุดท้ายเขาหนีออกจากสถานสงเคราะห์เพราะถูกทารุณ จากการ “พลิกผัน” อันน่าทึ่ง เขาพบว่าตัวเองคือผู้สืบทอดมรดกจำนวนมหาศาล ดิ๊กเกนส์ผู้ซึ่งชอบเขียนเรื่องที่จบอย่างมีความสุข ได้ทำให้ทุกคนที่ทำร้ายโอลิเวอร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นรับการลงโทษอย่างยุติธรรมหรือไม่ก็กลับใจ ผู้ที่บังคับกดขี่เขาได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ ในขณะที่โอลิเวอร์ “ได้รับมรดกที่ดิน” หากชีวิตมาพร้อมกับตอนจบที่สวยงามเหมือนที่เขียนไว้ในนวนิยายของดิ๊กเกนส์ก็คงจะดี

ในพระคัมภีร์ เราได้อ่านเนื้อร้องของบทเพลงโดยชายผู้หนึ่งที่รอคอยวันที่คนทำชั่วจะถูกตัดออกไป และบรรดาผู้ที่รอคอยพระเจ้าจะ “ได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก”(สดด.37:9) แม้ท่านเป็นผู้ประสบกับความชั่วร้ายโดยตรง แต่ดาวิดผู้เขียนบทกลอนนี้ได้เตือนให้มีความอดทนว่า “จงสงบอยู่ต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว” (ข้อ 7) และกล่าวต่อว่า “คนที่กระทำชั่วจะถูกตัดออกไป แต่บรรดาผู้ที่รอคอยพระเจ้าจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก” (ข้อ 9) แม้จะเห็นวิธีการที่ “คนอธรรมชักดาบ” เพื่อ “เอาคนจนและคนขัดสนลง” (ข้อ 14) แต่ดาวิดก็วางใจพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง (ข้อ 15)

ชีวิตนั้นไม่ง่ายและมักจะไม่ยุติธรรม แต่เราได้ยินคำตรัสของพระเยซูซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากสดุดี 37 ว่า “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” (มัทธิว 5:5)

มองเห็นและรับใช้

“ในชีวิตเราบางครั้งเราก็เห็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้” อเล็กซานเดอร์ แม็กลีนบอกกับผู้สัมภาษณ์ในรายการซิกตี้มินิท เมื่ออายุสิบแปดปีชาวเมืองลอนดอนใต้คนนี้เดินทางไปยูกันดาเพื่อช่วยงานในเรือนจำและบ้านพักผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่นั่นเขาได้เห็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือชายชราคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นอนอยู่ข้างห้องน้ำ แม็กลีนดูแลเขาอยู่ห้าวันและชายคนนั้นก็เสียชีวิต ประสบการณ์นั้นจุดประกายภาระใจให้แม็กลีน เขาเรียนจนได้ปริญญาด้านกฎหมายและกลับไปที่แอฟริกาเพื่อช่วยคนที่ถูกละเลย ในที่สุดเขาก่อตั้งองค์กรชื่อ ผู้ปกป้องความยุติธรรม ที่ช่วยเป็นทนายให้กับนักโทษ

หลายคนมีชีวิตในสภาวะที่เราไม่อาจ “มองข้าม” ได้หากเราได้เห็นพวกเขาแล้ว แต่เรามองไม่เห็นพวกเขา ในบทเพลงคร่ำครวญถึงบ้านเกิดที่ถูกทำลาย ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ระบายความรู้สึกของการถูกมองข้าม “ดูก่อน ท่านทั้งหลายที่เดินผ่านไป ท่านไม่เกิดความรู้สึกอะไรบ้างหรือ นี่แน่ะ จงดูซิว่ามีความทุกข์อันใดบ้างไหมที่เหมือนความทุกข์ที่มาสู่ข้าพเจ้า” (พคค.1:12)

หัวใจของเยเรมีย์ไม่เพียงเจ็บปวดเพื่อตัวเองเท่านั้นแต่เพื่อทุกคนที่ถูกกดขี่ด้วย “การเหยียบย่ำนักโทษทั้งปวงในดินแดน การตัดสิทธิ์ผู้หนึ่งผู้ใด...องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้หรือ” ท่านถามขึ้น (3:34-36TNCV) แต่ท่านยังมองเห็นความหวัง “ด้วยว่าพระเจ้าจะไม่ทรงละทิ้งเป็นนิตย์ดอก” ท่านกล่าว “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ทรงเข้ากับคดีของข้าพระองค์แล้ว พระองค์ทรงไถ่ชีวิตข้าพระองค์” (ข้อ 31,58)

มีสิ่งที่ “ถูกมองข้าม” อยู่รอบตัวเรา พระเจ้าผู้ทรงไถ่ชีวิตเรา ทรงเรียกให้เรามองเห็นและรับใช้พวกเขาขณะที่พระองค์ประทานความสามารถแก่เรา

ตื่นตระหนกอยู่ในถ้ำ

มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นสามคนที่ต่อมอะดรีนาลีนกำลังพลุ่งพล่านถูกนำมาปล่อยในระบบใต้ดินขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อมต่อกับถ้ำของช้างแมมมอธ โดยมีลุงแฟรงค์นักสำรวจถ้ำผู้มากด้วยประสบการณ์และคุ้นเคยกับส่วนต่างๆของถ้ำเป็นอย่างดี ไปกับพวกเขาด้วย เขารู้จุดที่ถูกนำมาหย่อนและจุดที่อันตราย และจะคอยเรียกเด็กทั้งสามคนตลอดเวลาว่า “เด็กๆตามฉันมาทางนี้!” กระนั้นเด็กหนุ่มยิ่งเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

ลุงแฟรงค์หรี่ไฟที่อยู่บนศีรษะลงและตัดสินใจที่จะเงียบ ในไม่ช้าเด็กๆก็ตระหนักว่าพวกเขาพลัดหลงกับคนนำทางแน่แล้ว พวกเขาตะโกนเรียกชื่อลุงแฟรงค์ด้วยความตื่นตระหนก ไม่มีเสียงตอบ ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นแสงไฟบนศีรษะของลุงที่กะพริบอยู่แต่ไกล พวกเขารู้สึกโล่งอกและสงบลงทันที! ตอนนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะเดินตามคนนำทาง

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนี้เปรียบได้กับวิธีที่เราปฏิบัติต่อของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เส้นทางที่วกวนลวงเราให้ออกห่างจากเสียงเรียกให้ติดตามพระองค์ผู้ที่ตรัสว่า “จงตามเรามา” (มธ.16:24) เสียงนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตอยู่ในบุตรแต่ละคนของพระเจ้า (กจ.2:38-39)

พระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา แต่เราอาจเพิกเฉยต่อพระองค์ เปาโลเตือนว่า “อย่าดับพระวิญญาณ” (1ธส.5:19) แต่ “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ” และ “ขอบพระคุณในทุกกรณี” (ข้อ 16-18) โดยการทำเช่นนั้น เราจะอยู่ใกล้กับผู้นำทางของเราคือ “พระเจ้าแห่งสันติสุข” ผู้ทรงทำให้เรา “หมดจด” (ข้อ 23) ไม่ใช่ตัวเราทำเอง แต่เป็นการงานของพระองค์ ดังที่เปาโลย้ำเตือนว่า “พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ” (ข้อ 24)

สถานการณ์ที่ไม่มีหวัง

สถานการณ์ดูไม่มีความหวังสำหรับเจ็มลูกสาววัยทารกของเอมี่และอลัน เธอเกิดมาพร้อมกับอาการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 และคาดว่าจะเสียชีวิตภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ “ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาเธอ” หมอพูดอย่างเย็นชา แต่ผู้เป็นแม่กล่าวว่า “ฉันมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้สำหรับเธอ” พวกเขาพาเจ็มกลับบ้านและให้ความรักกับเธอ แล้วพวกเขาก็อธิษฐาน

หกปีต่อมา เจ็มต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้องอกขนาดใหญ่ที่พบออก จากนั้นหมอคนเดิมก็เดินเข้ามา “ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร” เขาพูด “แต่ผมขอโอกาสอีกครั้ง” เขายอมรับว่าเขาคิดผิดในเรื่องเจ็ม “ผมขอโอกาสในการไถ่โทษ” เขากล่าว เอมี่กับอลันจะปฏิเสธก็ได้ แต่พวกเขาเข้าใจถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการยกโทษบาปของพระเจ้า

ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมักนำข่าวสารเรื่องการพิพากษาของพระเจ้ามา แต่เรื่องราวที่ถักทอผ่านข่าวสารนั้นมีใจความสำคัญถึงเรื่องความรัก การยกโทษบาป และการทรงไถ่ของพระเจ้าที่ไม่อาจยับยั้งไว้ได้ อิสยาห์ชี้ให้เห็นความบาปของยูดาห์ (44:6-20) แต่จู่ๆก็เปลี่ยนจุดสนใจไป โดยท่านกล่าวถ้อยคำของพระเจ้าที่ตรัสว่า “จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (ข้อ 22) พระลักษณะของพระเจ้าคือพระองค์ไม่อาจทอดทิ้งประชากรของพระองค์ได้ “เราได้ปั้นเจ้า” พระองค์ตรัส “เราจะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 21) และบทสรุปก็คือ “โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระเจ้าทรงกระทำการนี้ ...พระเจ้าทรงไถ่ยาโคบ” (ข้อ 23)

“อัศจรรย์จริงๆ!” หมอร้องออกมาเพราะ การผ่าตัดของเจ็มไม่พบเนื้องอก นี่เป็นฤทธิ์เดชแห่งคำอธิษฐาน และโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงไถ่เรา

จาก​ดาบ​ทมิฬ

ประติมากรรมอันน่าทึ่งของเซบิน ฮาเวิร์ด ชื่อ การเดินทางของทหาร ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตและความทุกข์ทรมาน รูปหล่อสำริด 38 ชิ้นที่ถูกจัดเรียงให้โน้มไปด้านหน้าบนรูปหล่อนูนต่ำความยาวราว 18 เมตรบอกเล่าถึงชีวิตของทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสร้างเสร็จในปี 2024 ภาพเรื่องราวเริ่มต้นด้วยการอำลาครอบครัวอย่างเจ็บปวด ตามด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างไร้เดียงสากับการออกเดินทาง และก้าวเข้าสู่ความสยดสยองของการสู้รบ สุดท้ายประติมากรรมนี้พาเรากลับบ้านเมื่อลูกสาวของทหารผ่านศึกมองเข้าไปในหมวกทหารที่หงายขึ้นของเขา และมองเห็นล่วงหน้าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2

ฮาเวิร์ดพยายาม “ค้นหาความเชื่อมโยงของมนุษยชาติ คือการที่มนุษย์สามารถก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ และพวกเขาก็สามารถจมดิ่งลงไปถึงระดับเดียวกับสัตว์ได้” สงครามเผยให้เห็นความจริงข้อนี้

ดาวิดผู้ประพันธ์สดุดีทราบดีถึงการนองเลือดซึ่งเป็นผลจากสงคราม ท่านตระหนักดีถึงความจำเป็นที่น่าเศร้าในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย จึงได้สรรเสริญพระเจ้าผู้ “​ฝึก​มือ​ของ​ข้าพเจ้า​ให้​ทำ​สงคราม” (สดด.144:1) แต่ท่านก็ได้ล่าถอยจากการต่อสู้ด้วย โดยอธิษฐานว่า“​ทรง​ช่วย​ข้า​พระ​องค์​ให้​พ้น​จาก​ดาบทมิฬ” (ข้อ 10-11) ดาวิดรอคอยเวลาที่คนหนุ่มสาวจะไม่ต้องตายในสงคราม แต่บรรดาบุตรชายจะ “เป็น​เหมือน​ต้นไม้​โต​เต็ม​ขนาด” และบุตรสาว “​เป็น​เหมือน​เสา​หัว​มุม สลัก​ออกมา​ตาม​แบบ​พระ​ราชวัง” (ข้อ 12) ในวันนั้นจะ “ไม่​มี​ใคร​พัง​เข้า​มา ไม่​มี​ออกไป และ​ซึ่ง​ไม่​มี​เสียง​ร้อง​ทุกข์​ใน​ถนน​หนทาง​ของ​ข้าพเจ้า” (ข้อ 14)

เมื่อมองย้อนกลับไป เรารำลึกถึงผู้ที่ล้มตายในสนามรบ เมื่อมองไปข้างหน้า เราร้องเพลงกับดาวิดว่า “ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​จะ​ร้อง​เพลง​บท​ใหม่​ถวาย​แด่​พระ​องค์” (ข้อ 9)

เมื่อแม่มองย้อนกลับไป

“ฉันไม่ชอบวันแม่เอามากๆ” ดอนน่าคุณแม่ลูกสามกล่าว “มันทำให้ฉันหวนคิดถึงความรู้สึกบกพร่องและความล้มเหลวทั้งในอดีตและปัจจุบันของตัวเองในฐานะแม่คนหนึ่ง”

ดอนน่าเริ่มต้นเลี้ยงดูบุตรด้วยความคาดหวังที่สูง แต่ชีวิตจริงทำให้ระดับความคาดหวังของเธอลดลง “การเป็นแม่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมา” เธอกล่าว และเด็กเพียงคนเดียวสามารถ “ยั่วโมโหเราได้ในทุกเรื่อง”

เมื่อพระเจ้าทรงเลือกเลอาห์ให้เป็นมารดาของอิสราเอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีความคาดหวังที่สูงกับลูกๆของเธอ เธอตั้งชื่อลูกชายสี่คนแรกตามสถานการณ์ที่ยากลำบากของเธอ (ปฐม.29:32-35) แต่เมื่อพูดถึงเรื่องราวด้านร้ายๆในพระคัมภีร์ ลูกชายทั้งหมดของเธอล้วนเล่นเป็นตัวร้าย บางคนมีความผิดในฐานะฆาตกร (34:24-30) ขายน้องเป็นทาส (37:17-28) ยูดาห์บุตรชายของเลอาห์ก็เป็นตัวร้ายในเรื่องราวที่น่าเกลียดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์ (บทที่ 38)

พระเจ้าทรงให้พระเมสสิยาห์มาบังเกิดผ่านทางลูกหลานของเลอาห์ รวมถึงยูดาห์ได้อย่างไรกัน แต่พระเจ้าทรงทำภารกิจแห่งการทรงไถ่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดผ่านทางผู้คนที่เราไม่คาดคิดมากที่สุด

ดอนน่าได้เรียนรู้สิ่งนี้เช่นกัน ขณะที่เธอเผชิญกับความท้าทายในการเลี้ยงดูบุตร เธอไม่เคยพบคำตอบใดๆ “นอกจากจะทำหน้าที่ต่อไปและไม่หยุดอธิษฐาน” แล้วเด็กคนที่ยั่วโมโหเธอในทุกเรื่องล่ะ ตอนนี้เขาโตแล้ว และเขารักและเคารพแม่ของเขา เมื่อมองย้อนกลับไปดอนน่าพูดว่า “บางทีเขาอาจถูกส่งมาเพื่อสอนฉันในบางเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันเองและพระเจ้าของฉัน”

หลักฐานที่ดีที่สุด

ลีไม่เชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แต่ลีเป็นนักข่าวที่วิเคราะห์ข้อมูล เมื่อภรรยาของลีเชื่อในพระเยซู เขาจึงตัดสินใจศึกษาความเชื่อใหม่ของเธอด้วยตนเอง หลังจากค้นคว้าอยู่สองปีเขาก็ยอมจำนน โดยเชื่อในพระเจ้า ในการฟื้นคืนพระชนม์และเชื่อในพระคริสต์

การเปลี่ยนแปลงในตัวเขานั้นเห็นได้ชัดเจน ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นลูกสาววัย 5 ขวบพูดกับภรรยาของเขาว่า “แม่คะ หนูอยากให้พระเจ้าทำให้หนูในสิ่งที่ทำให้พ่อ” และลูกสาวของลี สโตรเบลก็เชื่อในพระเยซูด้วย

หลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องการคืนพระชนม์ แต่บรรดาพยานที่น่านับถือได้เห็นพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น หนึ่งในนั้นคืออัครทูตเปโตรซึ่งกล่าวกับฝูงชนว่ากษัตริย์ดาวิดสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้อย่างแน่นอน (กจ.2:29) จากนั้นเปโตรชี้ไปที่คำพยากรณ์ของดาวิด “กษัตริย์ดาวิด...ทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์” (ข้อ 31) เปโตรสรุปว่า “พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้” (ข้อ 32)

หลักฐานที่ดีที่สุดในเรื่องการคืนพระชนม์คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของบรรดาพยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งรวมทั้งเปโตรด้วย ขณะทรงถูกตรึงกางเขนนั้น เหล่าสาวกพากันไปซ่อนตัว อันที่จริงแล้วเปโตรได้ปฏิเสธพระคริสต์ (ยน.18:15-17, 25-27) ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มแบ่งปันความจริงอย่างกล้าหาญในเรื่องความหวังเดียวที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ นั่นก็คือพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์

Messiah's Last Words – คำตรัสสุดท้ายของพระเมสสิยาห์

บทใคร่ครวญ 7 ประการในเทศกาลอีสเตอร์จากถ้อยคำของพระเยซูบนไม้กางเขน

บทนำ - สมบัติในสวน

“ฉันหวังว่ามันจะบานได้นานกว่านี้” ภรรยาของผมพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย ขณะมองดูดอกโบตั๋นดอกโตทั้งสีชมพูและสีขาว เธอโน้มตัวลงไปดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน ดอกไม้เหล่านี้เป็นของขวัญจากคุณแม่ของผมที่รู้ตัวว่าท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานนัก และอยากให้สวนของท่านคงอยู่ต่อไปเมื่อท่านจากไปแล้ว

อีกครู่หนึ่ง หลานสาววัยสามขวบของเราก็กระโดดอย่างร่าเริงเข้ามาตามทางเดินในสวน ผมหางม้าของเธอกระเด้งขึ้นลงตามจังหวะวิ่ง เธอยื่นหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งให้กับคาเลบ เพื่อนของลูกชายเรา และพูดว่า “เอาไม๊” คาเลบรับก้อนหินจากเธอ เขาพลิกมันไปมาในมือ และด้วยความเข้าใจลึกซึ้งเกินวัยสิบเจ็ด เขาหย่อนหินก้อนนั้นลงกระเป๋าและพูดว่า “ดอกไม้บานได้ไม่นานหรอก แต่นี่จะอยู่ได้นานกว่านั้นมาก” รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนใบหน้าหลานสาวของเรา เธอเดินจากไปอย่างพอใจ และคาดหวังที่จะพบสมบัติอื่นๆ ในสวนอีก ชีวิตที่แสนสั้น ความงดงาม และความหวัง ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว

...

นานมาแล้ว ในห้องชั้นบนแห่งหนึ่ง มีเหตุการณ์ซึ่งได้กลั่นเอาความเจ็บปวด ความรัก และความหวังของชีวิต ออกมารวมกันไว้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ยอห์นผู้เป็นสาวกได้บรรยายถึงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายไว้ดังนี้ “พระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” (ยอห์น 13:1) ในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น พระคริสต์ได้ทรงสำแดงให้เหล่าสาวกเห็นถึงการเป็นผู้นำที่แท้จริง (ข้อ 3-17) พระองค์ทรงเตือนถึงการทรยศที่กำลังจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของยูดาส (ข้อ 18-30) และทรงเตือนเปโตรว่าอีกไม่ช้า เขาจะปฏิเสธพระองค์ (ข้อ 38) พระองค์ตรัสบอกสาวกว่า พระองค์กำลังจะไปแล้ว แต่ทรงให้สัญญากับพวกเขาว่า “เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน” (14:18) พระองค์ทรงให้คำมั่นกับพวกเขาว่า…

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา