หลับสนิท
ความทรงจำที่เลวร้ายและข้อความกล่าวโทษท่วมท้นความคิดของซัล เขาไม่อาจข่มตาหลับได้เพราะความกลัวเต็มหัวใจและเหงื่อที่ท่วมตัว นี่เป็นคืนก่อนที่เขาจะรับบัพติศมา และเขาไม่อาจหยุดการโจมตีของความคิดด้านมืดได้ ซัลได้รับความรอดในพระเยซูและรู้ว่าบาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว แต่การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณยังดำเนินต่อไป จากนั้นภรรยาได้จับมือเขาไว้และอธิษฐาน ครู่ต่อมาสันติสุขเข้ามาแทนที่ความกลัวในใจของซัล เขาลุกขึ้นและเขียนถ้อยคำที่จะแบ่งปันก่อนรับบัพติศมาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้มาก่อน หลังจากนั้นเขาจึงนอนหลับสนิท
กษัตริย์ดาวิดก็ทรงรู้ว่าค่ำคืนที่กระสับกระส่ายเป็นเช่นไร การหลบหนีจากอับซาโลมบุตรชายผู้ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ของพระองค์ (2 ซมอ.15-17) พระองค์รู้ว่ามี “คนเป็นหมื่นๆซึ่งตั้งตนต่อสู้ข้าพเจ้าอยู่รอบด้าน” (สดด.3:6) ดาวิดคร่ำครวญว่า “ศัตรูของข้าพระองค์ทวีมากขึ้นเหลือเกิน” (ข้อ 1) แม้ว่าไม่อาจเอาชนะความกลัวและความสงสัยได้ แต่พระองค์ร้องทูลพระเจ้าผู้ทรงเป็น “โล่” ของพระองค์ (ข้อ 3) ต่อมาพระองค์จึงพบว่าทรงสามารถ “นอนลงและหลับไป...เพราะพระเจ้าทรงอุปถัมภ์ข้าพเจ้า” (ข้อ 5)
เมื่อความกลัวและปัญหาครอบงำจิตใจของเรา และการพักผ่อนถูกแทนที่ด้วยความกระวนกระวายใจ เราจะพบความหวังได้เมื่อเราทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า แม้ว่าเราอาจไม่ได้หลับสนิทในทันทีเหมือนอย่างซัลกับดาวิด แต่เราสามารถ “เอนกายลงนอนหลับในความสันติ...[และ] อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย” (4:8) เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราและพระองค์จะทรงเป็นที่พักสงบของเรา
ที่ซึ่งแปลกประหลาด
พระเจ้าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี่เป็นแผนการของพระองค์สำหรับพวกเราจริงๆหรือ
ในฐานะสามีและพ่อของลูกเล็กๆ คำถามเหล่านั้นและอีกมากมายวนเวียนอยู่ในความคิดของผมขณะที่ผมต่อสู้กับผลการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเราเพิ่งได้รับใช้กับทีมมิชชันนารีและได้เห็นเด็กหลายคนต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทรงให้มีการเกิดผลพวกเรามีความชื่นชมยินดีมาก แต่ตอนนี้?
เอสเธอร์คงจะมีคำถามและคำอธิษฐานมากมายถึงพระเจ้าหลังจากที่ถูกพรากจากบ้านอันเป็นที่รักและต้องเข้ามาสู่โลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย (อสธ.2:8) โมรเดคัยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอรับเลี้ยงเธอเหมือนเป็นลูกสาวหลังจากที่เธอต้องเป็นกำพร้า (ข้อ 7) แต่หลังจากนั้น เอสเธอร์ถูกนำให้เข้าไปอยู่ในฮาเร็มของพระราชาและได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชินี (ข้อ 17) โมรเดคัยเป็นห่วงว่า “มีอะไรเกิดขึ้น” กับเอสเธอร์ (ข้อ 11) แต่เมื่อเวลามาถึง ทั้งสองก็ได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเธอให้มาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมาก “เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้” (4:14) ตำแหน่งซึ่งทำให้เธอสามารถช่วยประชากรของเธอให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย (บทที่ 7-8)
เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมโดยการวางเอสเธอร์ไว้ในสถานที่ซึ่งแปลกประหลาดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันเลิศประเสริฐของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำแบบนี้กับผมด้วย ขณะที่ผมอดทนกับการต่อสู้อย่างยาวนานกับโรคมะเร็ง ผมได้รับสิทธิพิเศษในการแบ่งปันความเชื่อของผมกับผู้ป่วยและผู้ดูแลจำนวนมากมาย พระเจ้าทรงนำคุณไปยังสถานที่แปลกๆที่ใดบ้าง จงวางใจในพระองค์ พระองค์ประเสริฐ และแผนการของพระองค์ก็เช่นกัน (รม.11:33-36)
กำแพงทลายลง พบความเป็นหนึ่งเดียว
ตั้งแต่ปีค.ศ. 1961 บรรดาครอบครัวและมิตรสหายถูกแบ่งแยกจากกันด้วยกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปีนั้นโดยรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก เพื่อขวางกั้นพลเมืองไม่ให้หลบหนีไปยังเยอรมนีตะวันตก อันที่จริงนับจากปีค.ศ. 1949 จนถึงวันก่อสร้าง คาดว่ามีชาวเยอรมนีตะวันออกมากกว่า 2.5 ล้านคนหลบหนีไปทางตะวันตก ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐฯยืนอยู่ที่กำแพงในปีค.ศ. 1987 และกล่าวถ้อยคำอันโด่งดังว่า “จงทลายกำแพงนี้” คำกล่าวของท่านสะท้อนการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่จบลงด้วยการทลายกำแพงในปีค.ศ. 1989 ซึ่งนำไปสู่การรวมประเทศเยอรมนีอีกครั้งด้วยความปีติยินดี
ในเอเฟซัส 2:14-15 เปาโลกล่าวถึง “กำแพง...[แห่ง]การเป็นปฏิปักษ์กัน” ที่พระเยซูทรงรื้อถอน กำแพงนั้นตั้งอยู่ระหว่างคนยิว (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก) กับคนต่างชาติ (ประชากรอื่นทั้งหมด) และเป็นเครื่องหมายกำแพงแบ่งเขตแดน ในพระวิหารเก่าที่เฮโรดมหาราชสร้างขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม กำแพงนี้กั้นคนต่างชาติไว้ให้เข้ามาได้แค่ลานชั้นนอกของพระวิหาร กระนั้นพวกเขาก็มองเห็นลานด้านในได้ แต่พระเยซูทรงนำมาซึ่ง “สันติภาพ” และการคืนดีกันระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติ และระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นโดย “ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง...โดย[การสิ้นพระชนม์บน]กางเขน” (ข้อ 14, 16) ด้วย “การประกาศสันติสุข” นี้ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยความเชื่อในพระคริสต์ (ข้อ 17-18)
ทุกวันนี้มีหลายสิ่งที่แบ่งแยกเราจากกัน เมื่อพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสิ่งซึ่งจำเป็นแก่เราแล้ว ให้เราฝ่าฟันที่จะใช้ทั้งชีวิตของเราประกาศสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวที่พบในพระเยซู (ข้อ 19-22)
เผชิญหน้าด้วยความรัก
เขาเป็นเลิศในหลายๆอย่าง แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งที่ทุกคนต่างมองเห็น แต่เพราะเขามีศักยภาพอย่างมากและสามารถทำหน้าที่ได้สำเร็จเกือบทั้งหมด ความโมโหร้ายของเขาจึงไม่ได้ถูกจัดการอย่างเหมาะสม ไม่เคยมีใครเผชิญหน้ากับเขาเพื่อตักเตือนอย่างจริงจัง น่าเศร้าที่สิ่งนี้ส่งผลให้มีผู้คนมากมายถูกทำร้ายตลอดเวลาหลายปี และในท้ายที่สุดมันทำให้อาชีพการงานที่ควรจะไปได้อีกไกลของพี่น้องในพระคริสต์คนนี้มาถึงจุดจบก่อนเวลาอันควร ถ้าเพียงแต่ผมเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขาด้วยความรักเสียตั้งนานแล้ว
ในปฐมกาลบทที่ 4 พระเจ้าประทานภาพที่สมบูรณ์แบบของการเผชิญหน้ากับใครสักคนเรื่องความบาปของเขาด้วยความรัก คาอินรู้สึกขุ่นเคือง เขาเป็นชาวไร่ชาวนาและได้นำ “พืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า” (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับในสิ่งที่เขานำมา เครื่องถวายของเขาถูกปฏิเสธและเขา “โกรธแค้นนักหน้าบูดบึ้งอยู่” (ข้อ 5) พระเจ้าจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม” (ข้อ 6) พระองค์จึงทรงบอกคาอินให้กลับใจจากบาปและแสวงหาสิ่งที่ดีและถูกต้อง น่าเสียดายที่คาอินเพิกเฉยต่อคำตรัสของพระเจ้าและลงมือทำสิ่งที่เลวร้าย (ข้อ 8)
เราไม่สามารถบังคับใครให้หันจากพฤติกรรมบาปได้ แต่เราพูดกับเขาด้วยความเมตตาได้ เราสามารถ “ยึดความจริงด้วยความรัก” เพื่อเราทั้งสองฝ่ายจะได้ “จำเริญขึ้นสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (อฟ.4:15) และเมื่อพระเจ้าประทานให้เรามีหูเพื่อที่จะฟัง เราจึงสามารถรับฟังความจริงที่เจ็บปวดจากผู้อื่นได้เช่นกัน
ได้รู้จักและได้รัก
ในบทความอันทรงพลังที่ชื่อว่า “ลูกของผมรู้จักคุณไหม” ของนักเขียนข่าวกีฬาโจนาธาน จาร์คส์ที่ได้เขียนถึงการต่อสู้กับมะเร็งระยะสุดท้ายและความปรารถนาของเขาที่จะมีคนมาดูแลภรรยาและลูกชายที่ยังเล็ก ตัวเขาในวัยสามสิบสี่ปีได้เขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นเพียงหกเดือนก่อนที่เขาจะเสียชีวิต จาร์คส์เป็นผู้เชื่อในพระเยซูและพ่อของเขาก็เสียชีวิตเมื่อเขายังเป็นหนุ่ม เขาได้แบ่งปันข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงการดูแลหญิงม่ายและลูกกำพร้า (อพย.22:22; อสย.1:17; ยก.1:27) และเขาเขียนคำพูดไปถึงเพื่อนๆว่า “เมื่อฉันเจอพวกนายบนสวรรค์ มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะถามคือ นายดีต่อลูกชายและภรรยาของฉันไหม ลูกชายของฉันรู้จักพวกนายไหม
กษัตริย์ดาวิดถามว่า “พงศ์พันธุ์ของซาอูลนั้นมีเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะสำแดงสัจกรุณาแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธาน” (2 ซมอ.9:1) บุตรชายคนหนึ่งของโยนาธานคือเมฟีโบเชทผู้ที่ “เท้าของเขาเป็นง่อย” (ข้อ 3) จากอุบัติเหตุ (ดู 4:4) ได้ถูกพามาหากษัตริย์ ดาวิดบอกกับเขาว่า “เราจะสำแดงสัจกรุณาต่อท่าน เพื่อเห็นแก่โยนาธานบิดาของท่าน และเราจะมอบที่ดินทั้งหมดของซาอูลราชบิดาของท่านคืนแก่ท่าน และท่านจงรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป” (9:7) ดาวิดแสดงความรักห่วงใยต่อเมฟีโบเชท และดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็ได้รู้จักดาวิดอย่างแท้จริง (ดู 19:24-30)
พระเยซูทรงเรียกร้องให้เรารักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา (ยน.13:34) ขณะที่พระองค์ทำงานภายในเราและผ่านเรา ขอให้เราได้รู้จักพวกเขาเป็นอย่างดีและรักพวกเขาอย่างแท้จริง
ทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก
ในปี 2021 วิศวกรคนหนึ่งมีความทะเยอทะยานที่จะยิงธนูให้ไกลกว่าใครๆในประวัติศาสตร์ซึ่งได้มีการบันทึกสถิติไว้ที่ 2,028 ฟุต ขณะนอนหงายบนบ่อเกลือ เขาดึงสายธนูของคันธนูที่ออกแบบเอง และพร้อมที่จะปล่อยลูกธนูไปยังจุดที่เขาหวังว่าจะเป็นระยะทางบันทึกใหม่ที่ไกลกว่า 1.6 กิโลเมตร (5,280 ฟุต) เขาสูดหายใจลึก แล้วปล่อยลูกธนูออกไป โอ๊ะ! มันไม่ได้เดินทางไปไกลเป็นกิโลเมตร อันที่จริงมันเคลื่อนที่ไปไม่ถึงฟุต มันพุ่งใส่เท้าของเขา และทำให้บาดเจ็บรุนแรง
บางครั้งเราอาจทำให้ตัวเองลำบากด้วยความทะเยอทะยานที่ผิด ยากอบและยอห์นรู้ดีถึงความหมายของความทะเยอทะยานในการแสวงหาสิ่งที่ดี แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาทูลพระเยซูว่า “เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง” (มก.10:37) พระเยซูได้ตรัสกับพวกสาวกไว้ว่าเขาจะ “ได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า” (มธ.19:28) ฉะนั้นจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมพวกเขาจึงร้องขอเช่นนี้ แล้วปัญหาคืออะไร คือพวกเขาแสวงหาอำนาจและตำแหน่งสูงส่งของตนในพระสิริของพระคริสต์อย่างเห็นแก่ตัว พระเยซูตรัสว่าความปรารถนาแรงกล้าของพวกเขาอยู่ผิดที่ (มก.10:38) และ “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” (ข้อ 43)
ขณะที่เรามีเป้าหมายในการทำสิ่งดีและยิ่งใหญ่เพื่อพระคริสต์ ขอให้เราแสวงหาพระปัญญาและการทรงนำจากพระองค์ ที่จะรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจตามที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้อย่างดีแล้ว
ค้นหาที่โล่ง
ในหนังสือเรื่อง ขอบเขต ดร.ริชาร์ด สเวนสันเขียนไว้ว่า “เราต้องมีช่องว่างสำหรับหายใจบ้าง เราต้องการอิสระในการคิดและเปิดโอกาสให้แก่การเยียวยา ความสัมพันธ์ของเรากำลังถูกทำให้แห้งเหี่ยวตายลงเพราะความเร่งรีบ...ลูกๆของเรานอนบาดเจ็บอยู่บนพื้น ท่วมทับด้วยความปรารถนาดีของเราที่พุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง พระเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยแล้วหรืออย่างไร พระองค์ไม่ได้นำประชากรไปยังริมน้ำแดนสงบอีกแล้วหรือ ใครปล้นชิงพื้นที่เปิดโล่งในอดีตไปเสีย แล้วเราจะนำมันกลับคืนมาได้อย่างไร” สเวนสันกล่าวว่าเราจำเป็นต้องมี “พื้นที่” สงบและอุดมสมบูรณ์ในชีวิตที่เราจะสามารถพักในพระเจ้าและพบกับพระองค์ได้
คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในใจคุณหรือเปล่า การแสวงหาพื้นที่เปิดโล่งเป็นสิ่งที่โมเสสทำได้ดี การเป็นผู้นำของชนชาติที่ “หัวแข็ง” (อพย.33:5) ทำให้ท่านมักปลีกตัวออกไปเพื่อหาการพักสงบและการทรงนำในการทรงสถิตของพระเจ้า และใน “เต็นท์นัดพบ” (ข้อ 7) ที่โมเสสตั้งไว้นั้น “พระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน” (ข้อ 11) พระเยซูก็ทรง “เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน” (ลก.5:16) ทั้งพระองค์และโมเสสตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เวลาตามลำพังกับองค์พระบิดา
เราเองก็จำเป็นต้องสร้างขอบเขตในชีวิตของเราเช่นกัน เพื่อให้มีที่เปิดโล่งสำหรับการพักสงบและอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า การใช้เวลากับพระองค์จะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น สร้างขอบเขตและเส้นแบ่งที่เหมาะสมในชีวิตเพื่อเราจะได้มีกำลังในการรักพระเจ้าและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
ขอให้เราแสวงหาพระเจ้าในที่เปิดโล่งในวันนี้
ความรับผิดชอบของตน
สายตาของเพื่อนแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมกำลังรู้สึก นั่นคือความกลัว! วัยรุ่นอย่างเราสองคนประพฤติตัวไม่ดี และตอนนี้ก็ก้มหน้าด้วยความกลัวอยู่ตรงหน้าผู้อำนวยการค่าย ชายผู้นี้ซึ่งรู้จักพ่อของเราดี ได้ชี้ให้เราเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความรักว่าพ่อของเราจะผิดหวังอย่างมาก เราอยากจะมุดลงใต้โต๊ะ เพราะรู้สึกถึงความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในความผิดที่ได้ทำไป
พระเจ้าประทานข่าวสารแก่คนยูดาห์ผ่านเศฟันยาห์ เป็นถ้อยคำที่มีอำนาจเกี่ยวกับความรับผิดชอบในเรื่องบาปของตนเอง (ศฟย.1:1, 6-7) หลังจากบรรยายถึงคำพิพากษาที่พระองค์จะทรงนำมาเหนือศัตรูของยูดาห์แล้ว (บทที่ 2) พระองค์จะทรงหันมาทอดพระเนตรประชากรที่น่าละอายและมีความผิดของพระองค์ (บทที่ 3) พระเจ้าประกาศว่า “วิบัติแก่เมืองนี้ [เยรูซาเล็ม] ที่เป็นเมืองกบฏ และเป็นมลทิน” (3:1) และ “เขาทั้งหลายยิ่งกลับร้อนใจ ที่จะให้การกระทำของเขาเสื่อมทราม” (ข้อ 7)
พระองค์ทรงเห็นจิตใจที่เย็นชาในคนของพระองค์ ทั้งความไม่แยแสฝ่ายวิญญาณ ความอยุติธรรมในสังคมและความโลภที่น่าชัง พระองค์จึงนำมาซึ่งการตีสอนด้วยความรักไม่สำคัญว่าแต่ละคนจะเป็น “ผู้นำ” “ผู้พิพากษา” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” (ข้อ 3-4) ทุกคนล้วนมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระองค์
เปาโลเขียนข้อความนี้ถึงผู้เชื่อในพระเยซูที่ยังคงทำบาปว่า “ท่านจึงส่ำสมโทษให้แก่ตัวเอง...ซึ่ง[พระเจ้า]จะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษ...แก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” (รม.2:5-6) ดังนั้นโดยฤทธิ์เดชของพระเยซู ขอให้เราดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระบิดาของเราผู้ทรงบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งจะไม่ทำให้เราต้องมาสำนึกเสียใจในภายหลังในความผิดใดๆ
อิสระที่จะเชื่อฟัง
สีหน้าของเด็กสาวสะท้อนความโกรธและอับอาย ก่อนเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ความสำเร็จของเธอในฐานะนักสเก็ตลีลาไม่มีใครเทียบได้ ชัยชนะมากมายทำให้เธอเป็นตัวเต็งเหรียญทอง แต่ผลการตรวจพบว่ามีสารต้องห้ามในร่างกายของเธอ แรงกดดันแห่งความคาดหวังที่หนักและคำตำหนิที่ถาโถมใส่ ทำให้เธอพลาดล้มหลายครั้งระหว่างรายการแข่งสเก็ตอิสระและไม่ได้ไปยืนบนเวทีแห่งชัยชนะ ไม่ได้เหรียญรางวัล ก่อนเรื่องอื้อฉาวนี้ เธอเคยแสดงอิสรภาพทางศิลปะและความคิดสร้างสรรค์บนลานน้ำแข็ง แต่ตอนนี้คำกล่าวหาเรื่องผิดกติกาผูกมัดเธอไว้กับความฝันที่พังทลาย
ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของมนุษยชาติ พระเจ้าทรงเปิดเผยความสำคัญของการเชื่อฟังในขณะที่เรามีอิสระที่จะทำสิ่งต่างๆ การไม่เชื่อฟังส่งผลกระทบรุนแรงต่ออาดัม เอวา และเราทุกคน เมื่อความบาปนำความแตกแยกและความตายมาสู่โลกของเรา (ปฐก.3:6-19) มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ พระเจ้าตรัสกับทั้งสองว่า “เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นใดๆในสวนก็ได้” ยกเว้นต้นหนึ่ง (2:16-17 TNCV) พอคิดว่า “ตาของ [พวกเขา] จะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้ว [พวกเขา] จะเป็นเหมือนพระเจ้า” พวกเขาจึงกินผลไม้ต้องห้ามของ “ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว” (3:5; 2:17) ความบาป ความละอาย และความตายจึงตามมา
โดยพระเมตตาคุณพระเจ้าได้ประทานอิสรภาพและสิ่งดีมากมายเพื่อให้เราได้ชื่นชม (ยน.10:10) พระองค์ยังทรงเรียกเราด้วยความรักให้เชื่อฟังพระองค์เพื่อผลดีแก่เรา ขอพระองค์ทรงช่วยให้เราเลือกที่จะเชื่อฟังและแสวงหาชีวิตที่เต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีและปราศจากความละอาย