ท่าทางในการอธิษฐาน
การต่อสู้กับโรคเรื้อรังเป็นเวลานานทำให้จิมมี่ต้องเจ็บปวดอย่างมาก แม้เขาปรารถนาจะใช้เวลากับพระเจ้าทุกเช้า อธิษฐานต่อพระองค์ และใคร่ครวญพระวจนะ แต่เขาไม่พบวิธีที่จะจัดวางร่างกายบนเก้าอี้โดยไม่เจ็บปวด เขาขยับไปมาแต่ก็ยังเจ็บอยู่ ในที่สุดเขาก็คุกเข่าลงด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่ทำเช่นนั้น ท่าอธิษฐานนี้กลับทำให้ความเจ็บปวดทรมานนั้นลดลง เช้าวันต่อๆมา จิมมี่ใช้เวลากับพระเจ้าโดยการคุกเข่าลง เขารู้สึกสบายแม้ขณะที่อธิษฐานต่อพระองค์
เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์เผชิญกับการต่อสู้เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ความเจ็บปวดแต่เป็นศัตรูที่มาคุกคาม (2 พศด.20:1-2) พระองค์ “กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้า” (ข้อ 3) ประชากรทั้งสิ้นในยูดาห์ก็แสวงหา “ความช่วยเหลือจากพระเจ้า” เช่นกัน (ข้อ 4) พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขา และพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมาสถิตกับคนเลวีคนหนึ่งชื่อยาฮาซีเอล ผู้ถ่ายทอดข้อความปลอบประโลมใจนี้แก่กษัตริย์ “อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอย...พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน” (ข้อ 15, 17) เยโฮชาฟัท “โน้มพระเศียรก้มพระพักตร์ของพระองค์ลงถึงดิน” และคนทั้งปวง “ได้กราบลงต่อพระเจ้า นมัสการพระเจ้า” (ข้อ 18)
ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดและยากลำบาก เรามักสัมผัสได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ด้วยวิธีการอันน่าครั่นคร้าม เมื่อพระองค์ทรงช่วยให้เรายอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ และดำเนินชีวิตตามท่าทีในการอธิษฐานในใจของเรา เราจะพบความสบายใจและความสงบสุขในพระองค์
การทรงเรียกของเราในพระคริสต์
จินนี่ ฮิสลอปได้รับเกียรติด้วยการยืนขึ้นและปรบมือเมื่อเธอรับใบปริญญาบัตรวุฒิปริญญาโทในปี 2004 ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอได้รับ 84 ปีหลังจากที่เธอส่งวิทยานิพนธ์สำเร็จ ในปีค.ศ. 1941 เธอเหลือแค่ต้องส่งวิทยานิพนธ์เท่านั้น แต่ในขณะนั้นจอร์จแฟนของเธอถูกเรียกตัวกะทันหันให้ไปรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองจึงแต่งงานกันอย่างรวดเร็วและไปที่หน่วยทหารของเขา ทิ้งใบปริญญาที่เกือบจะสำเร็จแล้วของจินนี่ไว้เบื้องหลัง แต่หลังจากการหยุดพักอย่างยาวนาน เธอก็ทำในสิ่งที่เริ่มต้นไว้ได้สำเร็จในที่สุด
เอสราเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ ผู้มี “ปริญญาขั้นสูง” ในเรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า ท่านรอคอยมาหลายปีเพื่อกลับสู่เยรูซาเล็มหลังการตกเป็นเชลยในบาบิโลน “เอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า ...และสอนกฎเกณฑ์” (อสร.7:10) เศรุบบาเบลและกลุ่มคนอิสราเอลที่ถูกจับเป็นเชลยได้รับอนุญาตให้กลับจากบาบิโลนเพื่อสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มหลายสิบปีก่อนหน้านั้น (2:1-2) และตอนนี้เอสราผู้ซึ่งมี “พระหัตถ์ประเสริฐของพระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน” (7:9) ได้นำผู้ถูกจับเป็นเชลยกลับสู่เยรูซาเล็มมากขึ้น พระเจ้าจะทรงใช้ท่านให้รื้อฟื้นและฟื้นฟูการนมัสการพระองค์อย่างถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ “เอสราได้เปิดหนังสือ[ธรรมบัญญัติ]ต่อหน้าประชาชน...เขาทั้งหลายโน้มตัวลงนมัสการพระเจ้า” (นหม.8:5-6)
เอสราต้องรอคอยหลายสิบปี แต่ท่านก็ทำให้การทรงเรียกสำเร็จด้วยพระกำลังของพระเจ้า ขอให้เรายืนหยัดที่จะทำงานที่พระองค์มอบหมายให้้สำเร็จ โดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
ขุดให้ลึกเพื่อพบปัญญา
คนงานก่อสร้างในฟลอริดาที่ทำงานในโครงการระบายน้ำมูลค่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ขุดพบสมบัติล้ำค่า ลึกลงไปในดินพวกเขาพบเรือประมงจากช่วงทศวรรษปี 1800 ที่ยังอยู่ในสภาพดี ในเรือลำนี้มีสิ่งประดิษฐ์ด้วยฝีมือคนที่น่าสนใจมากมาย เช่น ตะเกียงน้ำมันก๊าด แก้วน้ำที่ทำจากกะลามะพร้าว และเหรียญ กำลังมีการศึกษาเรือลำนี้อยู่โดยหวังว่ามันจะสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในภูมิภาคนั้นเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้วได้ “[มัน]เป็นมากกว่าแค่เรือ[มัน]เป็นเครื่องเตือนใจถึงผู้คนทั่วไป” นักโบราณคดีทางทะเลคนหนึ่งกล่าว การขุดลึกลงไปทำให้พวกเขาได้รับความรู้และปัญญา
เมื่อเราศึกษาพระธรรมปัญญาจารย์ เราจะพบสมบัติล้ำค่าทางปัญญามากมาย คือภูมิปัญญาเก่าแก่ที่สะท้อนถึงชีวิตประจำวันของยุคนั้นๆและยุคของเราด้วย ซาโลมอนเปิดเผยว่า “จิตใจของคนที่มีสติปัญญาก็เข้าใจ...ว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้นย่อมมีวาระและวิธีการ” (ปญจ.8:5-6) ท่านบันทึกไว้ว่าเราจะพบปัญญาในการระลึกถึง “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ” (ข้อ 17 TNCV) และการระลึกถึงว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด (12:1) พระเจ้าเพียงผู้เดียวที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย นอกจากพระองค์แล้ว ชีวิตก็ “อนิจจัง” (8:14) พระปัญญาของพระองค์ทำให้เราได้สัมผัสกับชีวิตที่น่าพึงพอใจและเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระองค์ (ข้อ 15)
พระธรรมปัญญาจารย์เปิดเผยว่าคนรุ่นหนึ่ง “ผ่านมาแล้ว...ผ่านไป” (1:4 TNCV) ดังที่เห็นได้จากเรือที่พบในฟลอริดา แต่พระปัญญาของพระเจ้าจะนำไปสู่ชีวิตและเป้าหมายที่แท้จริงและยั่งยืน (ยน.10:10) ให้เราศึกษาพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งเพื่อจะได้พบภูมิปัญญาเก่าแก่ที่พระเจ้าประทานให้
ชีวิตในพระคริสต์
ครอบครัวหนึ่งซึ่งขาดการติดต่อกับไทเลอร์ผู้เป็นทั้งลูกชายและน้องชายของพวกเขา ได้รับโกศที่บรรจุเถ้ากระดูกของเขา เขาเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปี เป็นเวลาหลายปีที่ไทเลอร์ต้องรับมือกับผลเสียจากการเสพยาและการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ก่อนที่จะมีรายงานว่าเขาใช้ยาเกินขนาดนั้น เขาเลิกยาได้หลังจากใช้เวลาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวและเข้าร่วมโปรแกรมฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พบสิ่งที่น่าตกใจว่า แท้จริงแล้วไทเลอร์ยังมีชีวิตอยู่! พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่า ชายหนุ่มอีกคนที่เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดเป็นไทเลอร์ หลังจากที่กลับมาอยู่กับครอบครัวและครุ่นคิดถึงการเสียชีวิตของชายหนุ่มคนนั้น ไทเลอร์ก็กล่าวว่า “นั่นอาจจะเป็นตัวผมเอง”
ครั้งหนึ่งคนอิสราเอลก็ได้รู้ถึงความตายของตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ในบทเพลงแห่งการคร่ำครวญ ผู้เผยพระวจนะอาโมสได้ร้องเพลงบทนี้ให้ประชากรที่กบฏของพระเจ้าฟัง “พรหมจารีอิสราเอล ล้มลงแล้ว และจะไม่ลุกขึ้นอีก” (อมส.5:2) ถ้อยคำเหล่านี้กระตุกความสนใจของพวกเขา พวกเขาตายแล้วหรือ! แต่ผู้เผยพระวจนะพูดถ้อยคำแห่งการหนุนน้ำใจที่พระเจ้าพระองค์เองตรัสว่า “จงแสวงหาเราและดำรงชีวิตอยู่” และ “จงแสวงหาความดี...พระเจ้าจอมโยธาจึงทรงสถิตกับเจ้า” (ข้อ 4, 14) แม้ว่าอิสราเอลจะตายแล้วในการบาป แต่พระองค์ทรงเชื้อเชิญพวกเขาให้หันกลับมาหาพระองค์และพบชีวิต
ขณะเมื่อเราจัดการกับบาปของตัวเองนั้น ให้เราสารภาพและนำมันไปมอบให้กับพระองค์ผู้ทรงรักและให้อภัยเรา พระเจ้าจะทรงนำเราด้วยความรัก ให้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิต (ยน.5:24)
ไม่มีความทุกข์ที่สูญเปล่า
เธอมองตาผมแล้วพูดว่า “อย่าให้ความทุกข์ของคุณสูญเปล่า” ในทันทีนั้นผมหวนคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมเป็นผู้นำในพิธีไว้อาลัยลูกชายวัยหนุ่มของเธอที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ เธอรู้ว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่ เธอรู้จักความทุกข์ แต่ก็รู้ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงใช้สิ่งนี้เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์และเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เพื่อนคนนี้ทำได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อผมได้ยินคำพูดของเธอ ที่ปลอบโยนและหนุนใจในขณะที่ผมเผชิญกับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย เธอทำให้ผมระลึกว่าพระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องไห้และคร่ำครวญของผม และพระองค์อยู่ด้วยกับผมในความทุกข์นั้น และอาจทรงใช้มันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง
โมเสสรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์ในความทุกข์ของพวกเขา พระเจ้าตรัสว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา...เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา” (อพย.3:7) บางครั้งคนอิสราเอลก็เหมือนกับเราที่จะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวในความทุกข์ที่พวกเขามี แต่พระเจ้ารับรองว่าทรงมีแผนที่จะ “ช่วยเขาให้รอด” และได้ยิน “คำร่ำร้อง” จากใจของพวกเขา (ข้อ 8-9) ในที่สุดแล้วพระองค์จะทรงใช้ความทุกข์นั้นเพื่อทำให้ความเชื่อของพวกเขาเติบโต มีชัยชนะเหนือศัตรูและถวายเกียรติแด่พระองค์
สดุดี 90 เป็นบทเดียวที่เชื่อว่าเขียนโดยโมเสส ท่านประกาศว่าแม้ “ชีวิตนั้นมีแต่ความ[ทุกข์ ]ลำบาก” (ข้อ 10 THSV 11) แต่ “ความรักมั่นคง” ของพระเจ้าอยู่ด้วย “ตลอดวันเวลาของข้าพระองค์” (ข้อ 14) โดยความรักของพระองค์จะไม่ทรงให้ความทุกข์ของเราสูญเปล่า และเราเองก็ไม่ควรทำเช่นนั้น
นำมาทูลต่อพระเจ้า
ไบรอันอยู่กับผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว เพื่อนของเขายังคงอยู่ที่ห้องนั่งรอ และกำลังอธิษฐานขอสติปัญญาและการรักษาให้กับเพื่อนของเขา ในที่สุดเมื่อไบรอันกลับออกมา เขาก็ให้ดูเอกสารปึกใหญ่ขณะที่วางเอกสารนั้นลงบนโต๊ะ เขาได้พูดคุยถึงทางเลือกต่างๆในการรักษาโรคที่คุกคามเขา ทั้งสองคุยกันถึงความสำคัญของการอธิษฐานและการขอสติปัญญาจากพระเจ้าสำหรับการรักษาในขั้นตอนต่อไป แล้วไบรอันก็พูดว่า “ไม่ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า ผมก็อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า”
กษัตริย์เฮเซคียาห์ “ทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า” (2 พกษ.19:14) ข้อความในจดหมายไม่ได้พูดถึงอาการป่วยที่กำลังคุกคาม แต่เป็นภัยคุกคามจากอัสซีเรีย ศัตรูผู้ทรงอำนาจที่ได้ยึดเมืองที่มีป้อมปราการทั้งหมดของยูดาห์ และกำลังเตรียมโจมตีกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองหลวง เฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก พระองค์แต่องค์เดียว...ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นมือของเขา” (ข้อ 15, 19) จากนั้นไม่นานผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ส่งข้อความไปบอกเฮเซคียาห์ว่า “พระเจ้า...ตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว” (ข้อ 20) และ “คืนนั้น” พระเจ้าทรงทำลายกองทัพอัสซีเรีย (ข้อ 35)
ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับสิ่งใดในวันนี้ จงคลี่มันออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เมื่อคุณ “ทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า” (ฟป.4:6) พระองค์ทรงรับฟังและอยู่ด้วยกับคุณ คุณสามารถพักสงบในพระหัตถ์ของพระองค์เมื่อคุณได้พบกับสติปัญญา ความรัก และความหวังในพระองค์
ลงมือทำโดยไม่วอกแวก
คนขับรถโรงเรียนหมดสติขณะอยู่หลังพวงมาลัย และยานพาหนะขนาดใหญ่ของเขาที่มีนักเรียนหกสิบคนก็กำลังออกนอกเส้นทางอย่างไร้การควบคุม ดิลลอน รีฟส์นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 พุ่งตัวออกจากที่นั่งไปยังด้านหน้ารถแล้วค่อยๆเหยียบเบรกอย่างทันเวลา ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับการส่งข้อความหรือเล่นเกมบนโทรศัพท์ ดิลลอนซึ่งไม่มีโทรศัพท์ ศีรษะตั้งตรงและตอบสนองต่อสถานการณ์ เขารู้ว่าต้องเหยียบเบรกช้าๆเหมือนที่เคยเห็นคนขับทำอยู่หลายครั้ง การคงความตื่นตัวและไม่วอกแวกทำให้เขาช่วยชีวิตทุกคนบนรถได้ รวมถึงคนขับที่ได้สติในภายหลังด้วย
โยชูวาต้องก้าวขึ้นมาอย่างกล้าหาญหลังจากที่โมเสสผู้นำของเขาไม่ได้ “อยู่ในที่นั่งคนขับ” หรือเป็นผู้นำคนอิสราเอลอีกต่อไป พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น...” (ยชว.1:2) ยิ่งกว่านั้นพระองค์ตรัสสั่งว่า “เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวัง...อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย” (ข้อ 7) พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่าอย่าวอกแวกและให้จดจ่อและจับจ้องไปที่คำแนะนำสั่งสอนที่พระองค์ประทานให้ โดยตรึกตรองตามนั้น “ทั้งกลางวันและกลางคืน” (ข้อ 8)
เราอาจถูกดึงความสนใจให้หันไปดูหน้าจอและสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เราละสายตาจากพระเจ้าและสติปัญญาที่พบในพระคัมภีร์ (2 ทธ.3:16-17) แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราคอยตื่นตัวโดย “เพ่งมองที่พระเยซู” (ฮบ.12:2 TNCV) เราก็จะตอบสนองได้ในทันทีเมื่อพระเจ้าทรงเรียกเรา
เมื่อพวกเขามองไม่เห็น
นูเญซกลิ้งมาจากภูเขาตกลงสู่หุบเขาที่ทุกคนตาบอด โรคร้ายทำให้คนกลุ่มแรกที่มาอยู่ต้องสูญเสียการมองเห็น และคนในรุ่นต่อมาจึงเกิดมาตาบอดทั้งหมด พวกเขาปรับตัวกับชีวิตที่มองไม่เห็น นูเญซพยายามอธิบายความรู้สึกของการมองเห็นได้ แต่คนเหล่านี้ไม่สนใจ ในที่สุดเขาได้พบเส้นทางเดินทะลุผ่านยอดเขาออกจากหมู่บ้านนั้น เขาเป็นอิสระแล้ว! แต่จากจุดที่เขายืนอยู่นั้นเขาเห็นหินกำลังจะถล่มทับผู้คนตาบอดด้านล่าง เขาพยายามเตือน แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจ
นิทานเรื่อง “ดินแดนแห่งคนตาบอด” ที่เขียนโดย เอช. จี. เวลส์นี้ทำให้นึกถึงผู้เผยพระวจนะซามูเอล ในช่วงบั้นปลายชีวิต “บุตรชายของท่าน มิได้ดำเนินในทางของท่าน” ในการรักและรับใช้พระเจ้า (1 ซมอ.8:3) ความมืดบอดฝ่ายวิญญาณของพวกเขาสะท้อนผ่านทาง “พวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอล” (ข้อ 4) ผู้ขอให้ซามูเอล “ตั้งพระราชาให้...เราทั้งหลาย” (ข้อ 6) พวกเขาละสายตาไปจากพระเจ้าและความเชื่อในพระองค์ พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “เขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเรา” (ข้อ 7)
เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดเมื่อคนที่เราห่วงใยปฏิเสธพระเจ้าเพราะความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ แต่ยังมีความหวังแม้สำหรับคนเหล่านั้นที่ “พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป” (2 คร.4:4) จงรักและอธิษฐานเผื่อพวกเขา เพราะพระองค์ผู้ “ทรงส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา” (ข้อ 6) จะทรงกระทำกิจในพวกเขาเช่นเดียวกัน
หนทางข้างหน้า
เราต้องทำอย่างไร สก็อตและบรีทุกข์ใจว่าจะวางตัวอย่างไรกับเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวที่เลือกดำเนินชีวิตสวนทางกับพระคัมภีร์ ขณะที่พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐาน หนทางข้างหน้าก็เปิดออก อย่างแรกคือการรักเพื่อนๆ และผู้คนที่พวกเขารักให้มากขึ้น สองคือทำให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่จริงและดีงามในตัวพวกเขาซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบมาอย่างดี และสาม พวกเขาแบ่งปันถึงวิธีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นด้วยความรักโดยใช้สติปัญญาจากพระคัมภีร์ เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อใจก็เกิดขึ้นเมื่อสก็อตและบรีส่งต่อความรักแบบพระคริสต์ออกไป
โฮเชยาคงสงสัยว่าจะสานสัมพันธ์อย่างไรกับภรรยาซึ่งเป็นหญิงที่เลือกดำเนินชีวิตที่ไม่ถวายเกียรติพระเจ้าและไม่ให้เกียรติตัวท่าน พระเจ้าสั่งผู้เผยพระวจนะว่า “จงไปแสดงความรักแก่ภรรยาของเจ้าอีกครั้ง แม้ว่า...นางคบชู้” (ฮชย.3:1 TNCV) ท่านจึงไปแสดงความรักต่อนาง แต่ขณะเดียวกันก็แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็นระหว่างพวกเขาและในความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า (ข้อ 3) ความสัมพันธ์ของโฮเชยากับภรรยาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความท้าทายที่พระเจ้าทรงเผชิญในการที่ชนชาติอิสราเอลในอดีตกบฏต่อพระองค์ แม้พวกเขาจะเลือกหนทางที่ผิด แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทางข้างหน้าเพื่อบอกว่า “จะรักเขาทั้งหลายด้วยเต็มใจ” (14:4) แต่พวกเขาต้องเลือกวิถีของพระองค์ เพราะทางของพระองค์ “ก็เที่ยงตรง” (ข้อ 9)
เมื่อพระเจ้าประทานปัญญาและความเข้าใจ ให้เราส่งต่อความรักและความจริงของพระองค์ไปยังผู้ที่เลือกดำเนินชีวิตสวนทางกับพระคัมภีร์ แบบอย่างของพระองค์ได้เตรียมหนทางแก่เราเพื่อจะเดินไปข้างหน้า