ผู้ที่เราเชื่อฟัง
“ผมต้องขอประกาศภาวะฉุกเฉิน นักบินของผมเสียชีวิตแล้ว” ดั๊ก ไวท์กล่าวคำพูดเหล่านั้นด้วยความกังวลไปยังหอควบคุมที่ดูแลเที่ยวบินของเขา ไม่กี่นาทีหลังเครื่องขึ้น นักบินประจำเครื่องบินที่ครอบครัวของดั๊กเช่าเหมาลำได้เสียชีวิตลงกะทันหัน ดั๊กก้าวเข้าสู่ห้องนักบินด้วยประสบการณ์การฝึกบินเพียงแค่สามเดือนกับเครื่องบินที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า ในเวลานั้นเขาตั้งใจฟังเจ้าหน้าที่หอควบคุมที่สนามบินท้องถิ่นซึ่งคอยบอกวิธีนำเครื่องลงจอด ดั๊ก กล่าวในภายหลังว่า “[พวกเขา ]ช่วยครอบครัวของผมให้รอดจากความตายในกองไฟ”
เรามีผู้หนึ่งที่สามารถนำพาเราผ่านอุปสรรคต่างๆในชีวิตได้ โมเสสบอกกับคนอิสราเอลว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะอย่างข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน...ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา” (ฉธบ.18:15) คำสัญญานี้ชี้ไปถึงเหล่าผู้เผยพระวจนะคนต่อๆมาผู้ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อประชากรของพระองค์ และก็เป็นการกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ด้วย ทั้งเปโตรและสเทเฟนจะกล่าวในภายหลังว่าผู้เผยพระวจนะสูงสุดคนนี้คือพระเยซู (กจ.3:19-22; 7:37, 51-56) พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่เสด็จมาเพื่อบอกเราถึงพระบัญชาอันกอปรด้วยสติปัญญาและความรักของพระเจ้า (ฉธบ.18:18)
ในช่วงพระชนม์ชีพของพระคริสต์ พระเจ้าพระบิดาตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา...จงเชื่อฟังท่านเถิด” (มก.9:7) ในการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงความพินาศในชีวิตนี้ ขอให้เราทั้งหลายฟังพระเยซูขณะที่ทรงตรัสผ่านพระคัมภีร์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ การฟังพระองค์ส่งผลให้สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ตอบสนองด้วยใจขอบพระคุณ
ปลาดิบและน้ำฝน นักแล่นเรือชาวออสเตรเลียชื่อทิโมธีประทังชีวิตด้วยอาหารเพียงเท่านั้นเป็นเวลาถึงสามเดือน เขารู้สึกสิ้นหวังที่ต้องติดอยู่บนเรือคาตามารันที่ได้รับความเสียหายจากพายุ และลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากแผ่นดินถึง 1,200 ไมล์ทะเล แต่แล้วลูกเรือของเรือจับปลาทูน่าสัญชาติเม็กซิกันได้มองเห็นเรือที่เสียหายของเขาและช่วยเหลือเขาไว้ได้ ต่อมาชายร่างผอมบางที่มีสภาพคล้ำแดดคล้ำฝนได้ประกาศว่า “ถึงกัปตันและบริษัทประมงที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมรู้สึกขอบคุณเหลือเกิน”
ทิโมธีแสดงความขอบคุณหลังจากที่เขาพบกับความทุกข์ยาก แต่ผู้เผยพระวจนะดาเนียลแสดงถึงใจที่ขอบพระคุณทั้งก่อน ในระหว่าง และหลังจากวิกฤติ หลังจากต้องออกจากยูดาห์ไปเป็นเชลยยังบาบิโลนพร้อมกับชาวยิวคนอื่นๆ (ดนล.1:1-6) ดาเนียลได้ขึ้นสู่อำนาจแต่กลับถูกคุกคามโดยพวกผู้นำที่ต้องการให้ท่านตาย (6:1-7) ศัตรูของท่านได้ให้กษัตริย์บาบิโลนตรากฎหมายที่ระบุว่าใครก็ตามที่อธิษฐาน “ต่อพระ...นอกเหนือพระองค์” จะถูก “โยน...ลงในถ้ำสิงห์เสีย” (ข้อ 7) ดาเนียลผู้ที่รักและรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวจะทำอย่างไร ท่าน “คุกเข่าลง...อธิษฐานและโมทนาพระคุณต่อพระเจ้าของท่าน ดังที่ท่านได้เคยกระทำมาแต่ก่อน” (ข้อ 10) ท่านขอบพระคุณพระเจ้า และหัวใจแห่งการขอบพระคุณของท่านได้รับการตอบแทนเมื่อพระเจ้าทรงไว้ชีวิตของท่านและนำเกียรติมาสู่ท่าน (ข้อ 26-28)
ขอพระเจ้าทรงช่วยเราทำดังที่อัครทูตเปาโลได้บันทึกไว้ว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (1 ธส.5:18) ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับวิกฤติหรือเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติมาได้ การตอบสนองด้วยใจขอบพระคุณเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าและช่วยให้ความเชื่อของเรามั่นคง
ความประหลาดใจที่งดงาม
พื้นดินที่ถูกไถพรวนนั้นมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ในการเตรียมงานวันครบรอบแต่งงานปีที่ห้าสิบ ลี วิลสันได้จัดแบ่งพื้นที่กว่าสองร้อยไร่ในที่ดินของเขาเพื่อปลูกดอกไม้เป็นของขวัญที่อลังการที่สุดเท่าที่ภรรยาของเขาเคยเห็น เขาแอบปลูกเมล็ดทานตะวันจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งในที่สุดได้งอกขึ้นเป็นดอกไม้สีเหลืองทองที่ภรรยาของเขาโปรดปรานถึง 1.2 ล้านต้น เมื่อดอกทานตะวันชูช่อราวกับมงกุฎสีเหลืองนั้น เรเน่ทั้งตกใจและซาบซึ้งกับการแสดงความรักที่งดงามของลี
เมื่อพระเจ้าตรัสกับคนยูดาห์ผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ พระองค์ทรงเผยความลับต่อพวกเขา แม้พวกเขาจะยังมองไม่เห็นในเวลานี้ แต่ภายหลังการพิพากษาของพระเจ้าถึงความไม่สัตย์ซื่อของพวกเขานั้น (อสย.3:1-4:1) วันใหม่อันรุ่งโรจน์จะมาถึง “ในวันนั้นบรรดาสิ่งที่งอกเพราะพระเจ้าจะงดงามและรุ่งโรจน์ และพืชผลของแผ่นดินนั้นจะเป็นความภูมิใจ และเป็นเกียรติของอิสราเอลผู้รอดตายมา” (4:2) ใช่แล้ว พวกเขาจะต้องประสบกับหายนะและถูกจับไปเป็นเชลยด้วยน้ำมือของบาบิโลน แต่จะมี “กิ่ง” ที่งดงาม หรือหน่อใหม่งอกจากผืนดินปรากฏให้เห็น ประชากรที่เหลืออยู่ของพระองค์จะถูกแยกออกมา (“บริสุทธิ์” ข้อ 3) ได้รับการชำระให้สะอาด (ข้อ 4) และพระองค์จะทรงนำและดูแลพวกเขาด้วยความรัก (ข้อ 5-6)
วันเวลาของเราอาจดูมืดมน และสิ่งที่จะเกิดตามพระสัญญาของพระเจ้าอาจถูกซ่อนอยู่ แต่เมื่อเรายึดพระองค์ไว้ด้วยความเชื่อ วันหนึ่ง “พระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่ง” ทั้งสิ้นของพระองค์จะสำเร็จ (2 ปต.1:4) วันใหม่ที่งดงามนั้นกำลังรอคอยเราอยู่
การสอนที่น่าทึ่งอย่างที่สุด
โซเฟีย โรเบิร์ตส์ได้เห็นการผ่าตัดเปิดหัวใจครั้งแรกเมื่อเธออายุประมาณสิบเอ็ดปี แม้เธออาจดูเด็กไปหน่อยที่จะดูขั้นตอนทางการแพทย์เช่นนี้ แต่คุณต้องรู้ว่าพ่อของเธอ ดร.ฮาโรลด์ โรเบิร์ตส์ จูเนียร์นั้นเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ในปี 2022 โซเฟียซึ่งอายุสามสิบปีและเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรม ได้ร่วมทีมกับพ่อของเธอในการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ประสบความสำเร็จ ฮาโรลด์กล่าวว่า “จะมีอะไรดีไปกว่านี้ ผมเคยสอนเด็กคนนี้ขี่จักรยาน...เวลานี้ผมได้สอนเธอผ่าตัดหัวใจมนุษย์ นี่เป็นเรื่องน่าทึ่งที่สุด”
แม้จะมีพวกเราไม่กี่คนที่ได้สอนทักษะการผ่าตัดให้กับเด็ก แต่ซาโลมอนอธิบายถึงความสำคัญของการสอนเรื่องๆหนึ่งแก่ชนรุ่นถัดไป นั่นก็คือการถวายเกียรติแด่พระเจ้าและวิถีของพระองค์ กษัตริย์ผู้ทรงปัญญาสอนบุตรชายของพระองค์อย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่พระองค์ได้เรียนรู้ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า “บุตรชายของเราเอ๋ย...จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า” (สภษ.3:1, 5) “จงยำเกรงพระเจ้า” (ข้อ 7) “จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า” (ข้อ 9) และ “อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระเจ้า” (ข้อ 11) ซาโลมอนรู้ว่าพระเจ้าทรง “รัก” และ “ชื่นชมใน” บุตรของพระองค์ที่เต็มใจรับการแก้ไขและการนำทางจากพระองค์ (ข้อ 12)
ให้เราสอนคนรุ่นถัดไปถึงความหมายของการไว้วางใจ ยำเกรง ถวายเกียรติ และถ่อมใจรับการหล่อหลอมจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งของเรา การได้ร่วมมือกับพระองค์ในการดำเนินชีวิตเช่นนั้นถือเป็นสิทธิพิเศษที่สำคัญยิ่งยวด และแน่นอนเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างที่สุด!
คุ้มค่าแก่การรอคอย
ว่าด้วยเรื่องของการหยุดพักระหว่างทางนั้น ฟิล สตริงเกอร์ ต้องรอสิบแปดชั่วโมงเพื่อจะขึ้นเครื่องบินเที่ยวที่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากพายุฝนฟ้าคะนอง แต่อย่างไรก็ตาม ความอดทนและความมุ่งมั่นของเขาประสบผลสำเร็จ เขาไม่เพียงได้บินไปถึงจุดหมายปลายทางทันเวลาการประชุมธุรกิจสำคัญเท่านั้น แต่เขายังได้เป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวในเที่ยวบินนั้น! ผู้โดยสารคนอื่นๆล้มเลิกความตั้งใจหรือไม่ก็หาหนทางอื่น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเสิร์ฟอาหารตามที่เขาต้องการทุกอย่าง สตริงเกอร์กล่าวเสริมว่า “แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องนั่งแถวหน้าสุด ทำไมจะไม่ทำแบบนั้นล่ะในเมื่อผมมีเครื่องบินทั้งลำเป็นของตัวเอง” ผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่าแก่การรอคอยเป็นอย่างยิ่ง
อับราฮัมเองก็ต้องอดทนกับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความล่าช้าที่เนิ่นนาน ย้อนกลับไปตอนที่ท่านยังใช้ชื่อว่าอับราม พระเจ้าตรัสกับท่านว่าพระองค์จะทรงทำให้ท่าน “เป็นชนชาติใหญ่” และ “เจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร” (ปฐก.12:2-3) ปัญหาเดียวของชายวัยเจ็ดสิบห้าปี (ข้อ 4) คือ ท่านจะเป็นชนชาติใหญ่ได้อย่างไรหากไม่มีทายาท และแม้ว่าบางครั้งการรอคอยจะทำให้ท่านและภรรยาคือซารายเกิดความต้องการที่จะพยายาม “ช่วย” พระเจ้าทำตามพระสัญญาของพระองค์ด้วยความคิดผิดๆ (ดู 15:2-3; 16:1-2) แต่เมื่อท่าน “มีอายุหนึ่งร้อยปี...อิสอัคบุตรชายเกิดแก่ท่าน” (21:5) ความเชื่อศรัทธาของท่านได้รับการยกย่องโดยผู้เขียนฮีบรูในเวลาต่อมา (11:8-12)
การรอคอยอาจเป็นเรื่องยาก และเราอาจเหมือนกับอับราฮัมที่ทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อเราอธิษฐานและพักสงบอยู่ในแผนการของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยให้เรามีความมุ่งมั่น ในพระองค์นั้นการรอคอยคุ้มค่าเสมอ
การนมัสการที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง
ซูซี่นั่งร้องไห้อยู่นอกห้องผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล คลื่นแห่งความกลัวถาโถมเข้าใส่เธอจนทำอะไรไม่ถูก ปอดเล็กๆของลูกชายตัวน้อยวัยสองเดือนของเธอเต็มไปด้วยของเหลว ทีมแพทย์บอกว่าพวกเขาทำเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตเด็กแล้วแต่ไม่อาจรับรองผลที่จะเกิดขึ้นได้ ในขณะนั้นเธอบอกว่าเธอ “รู้สึกถึงการสะกิดเตือนอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวานของพระวิญญาณ ให้ [เธอ] นมัสการพระเจ้า” เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะร้องเพลง จึงเปิดเพลงนมัสการจากโทรศัพท์ตลอดสามวันต่อมาในโรงพยาบาล ขณะที่นมัสการเธอได้พบความหวังและสันติสุข ในวันนี้ประสบการณ์นั้นสอนเธอว่า “การนมัสการไม่ได้เปลี่ยนแปลงพระเจ้า แต่มันจะเปลี่ยนคุณอย่างแน่นอน”
ขณะเผชิญสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ดาวิดร้องทูลพระเจ้าในคำอธิษฐานและคำสรรเสริญ (สดด.30:8) ผู้เขียนอรรถาธิบายพระคัมภีร์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เขียนสดุดีอธิษฐาน “ขอพระคุณที่มาจากการสรรเสริญและการเปลี่ยนแปลง” พระเจ้าทรงเปลี่ยน “การไว้ทุกข์ [ของดาวิด]เป็นการเต้นรำ” และท่านประกาศว่าจะ “ถวายโมทนาแด่ [พระเจ้า] เป็นนิตย์” ในทุกๆสถานการณ์ (ข้อ 11-12) แม้การสรรเสริญพระเจ้าในช่วงเวลาที่เจ็บปวดอาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ จากความสิ้นหวังสู่ความหวัง จากความกลัวสู่ความเชื่อ และพระองค์จะทรงใช้ตัวอย่างของเราเพื่อหนุนใจและเปลี่ยนแปลงผู้อื่นด้วย (ข้อ 4-5)
ลูกชายตัวน้อยของซูซี่ฟื้นกลับมาแข็งแรงอีกครั้งโดยพระคุณพระเจ้า แม้ว่าทุกความท้าทายในชีวิตจะไม่ได้จบลงอย่างที่เราหวัง แต่พระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนแปลงและเติมเต็มเราด้วยความยินดีได้อีกครั้ง (ข้อ 11) เมื่อเรานมัสการพระองค์แม้ในความเจ็บปวดของเรา
อยู่ในทางของพระคริสต์
เมื่อแกนดัล์ฟพ่อมดเทาเผชิญหน้ากับซารูมานพ่อมดขาวนั้น เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังได้หันเหไปจากสิ่งที่เขาควรจะทำ นั่นคือการช่วยปกป้องมัชฌิมโลกจากอำนาจของความชั่วร้ายที่ดำรงอยู่ในซอรอน ยิ่งไปกว่านั้นซารูมานยังเป็น พันธมิตร กับซอรอนด้วย! ในฉากนี้จากภาพยนตร์ อภินิหารแหวนครองพิภพ ซึ่งสร้างจากผลงานคลาสสิกของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน อดีตเพื่อนรักสองคนได้มีส่วนในมหากาพย์การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างความดีกับความชั่ว ถ้าเพียงแต่ซารูมานจะยังคงอยู่ในทางที่ถูกและทำในสิ่งที่เขารู้ว่าถูกต้อง!
กษัตริย์ซาอูลก็มีปัญหากับการอยู่ในทางที่ถูกเช่นกัน ครั้งหนึ่งซาอูลทรงทำอย่างถูกต้องโดย “กำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน[อิสราเอล]” (1 ซมอ.28:3) นี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะพระเจ้าประกาศว่าการทำเวทมนตร์ “เป็นที่รังเกียจ” (ฉธบ.18:9-12) แต่เมื่อพระเจ้าไม่ทรงตอบคำทูลถามของกษัตริย์เพราะซาอูลล้มเหลวในวิธีจัดการกับกองทัพมหึมาของคนฟีลิสเตีย ซาอูลจึงทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง! “จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู” (1 ซมอ.28:7) ซาอูลล้มเหลวอีกครั้งเมื่อทรงฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงรู้ว่าถูกต้อง
หนึ่งพันปีต่อมา พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว” (มธ.5:37) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าเราถวายตัวที่จะเชื่อฟังพระคริสต์แล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดที่เราต้องรักษาคำปฏิญาณของเราและเป็นคนที่พูดความจริง ขอให้เราอยู่ในทางของพระคริสต์ที่จะกระทำตามที่พระองค์ตรัสไว้ ตามที่พระเจ้าทรงช่วยเรา
พระเจ้าแห่งความเป็นระเบียบ
เซทกินยาทั้งหมดที่เขาพบในตู้ยา ชีวิตเขายุ่งเหยิงเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ความแตกสลายและสับสนไม่เป็นระเบียบ แม่ของเขาถูกพ่อทำร้ายเป็นประจำจนกระทั่งพ่อจบชีวิตตัวเองลง และตอนนี้เซทอยากจะ “จบ” ชีวิตของเขาเช่นกัน แต่แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา ผมจะไปที่ไหนเมื่อตายแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า เซทไม่ได้ตายในวันนั้น และไม่นานหลังจากได้เรียนพระคัมภีร์กับเพื่อน เขาก็ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนหนึ่งที่นำให้ เซทเข้าหาพระเจ้าเพราะเขาเห็นความงามและความเป็นระเบียบของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เขาพูดว่า “ผม...เห็นสิ่งที่สวยงามมาก มีใครบางคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา”
ในปฐมกาลบทที่ 1 เราได้อ่านถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และแม้ว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (ข้อ 2) พระองค์ได้ทรงให้เกิดมีความเป็นระเบียบขึ้น พระองค์ “ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด” (ข้อ 4) ทรงวางแผ่นดินไว้ท่ามกลางทะเล (ข้อ 10) และสร้างพืชและสัตว์ ”ตามชนิด” ของมัน (ข้อ 11-12, 21, 24-25) พระเจ้าผู้ทรง “สร้างฟ้าสวรรค์...ทรงปั้นแต่งและสร้างโลก ทรงสถาปนามันไว้” (อสย.45:18 TNCV) ยังทรงนำสันติสุขและระเบียบมาสู่คนที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ อย่างที่เซทได้เรียนรู้แล้วนั้น
ชีวิตอาจยุ่งเหยิงและมีอุปสรรค แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่ใช่ “พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” (1คร.14:33) จงร้องทูลต่อพระองค์ในวันนี้ และขอพระองค์ทรงช่วยให้เรามองเห็นความงามและความเป็นระเบียบที่พระองค์เท่านั้นทรงประทานให้ได้
ฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้า
ในเดือนมีนาคมค.ศ. 1945 “กองทัพผี” ได้ช่วยกองกำลังสหรัฐในการข้ามแม่น้ำไรน์จนสำเร็จ ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ฐานปฏิบัติการที่สำคัญจากแนวรบด้านตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารเหล่านี้ไม่ใช่ผีแต่เป็นมนุษย์ และทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการหน่วยรบพิเศษที่ 23 ในปฏิบัติการครั้งนี้ กองทหารจำนวน 1,100 นาย ได้แสร้งทำเหมือนกับมีทหาร 30,000 นาย โดยใช้กลลวงเป็นรถถังเป่าลม ขยายเสียงหน่วยระเบิด และเสียงยานพาหนะโดยเปิดผ่านลำโพง และอื่นๆอีกมากมาย สมาชิกของกองทัพผีซึ่งมีจำนวนไม่มากสามารถทำให้ศัตรูหวาดกลัวได้ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนเป็นกองทัพใหญ่
ชาวมีเดียนและพันธมิตรก็ตัวสั่นต่อหน้ากองทัพเล็กๆที่ดูเหมือนเป็นกองทัพใหญ่ซึ่งบุกมาในเวลากลางคืน (วนฉ.7:8-22) พระเจ้าทรงใช้กิเดโอนซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยและผู้นำทางทหารของอิสราเอล เพื่อทำให้กองทัพที่อ่อนแอของท่านเป็นที่หวาดกลัวของศัตรู พวกเขายังใช้เสียงประกอบ (เสียงเป่าแตร เสียงหม้อแตก และเสียงมนุษย์) และวัตถุที่มองเห็นได้ (คบเพลิงที่ลุกโชน) เพื่อทำให้ศัตรูที่มีจำนวนมหาศาลราวกับ “ตั๊กแตนเป็นฝูงๆ” (ข้อ 12) เชื่อว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวใหญ่ อิสราเอลเอาชนะศัตรูได้ในคืนนั้นด้วยกองกำลังทหารที่ถูกลดจำนวนลงจาก 32,000 นาย เหลือเพียง 300 นายตามคำสั่งของพระเจ้า (ข้อ 2-8) เพื่อให้้ชัดเจนว่าใครคือผู้ชนะในสงครามอย่างแท้จริง ดังที่พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เรามอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว” (ข้อ 9)
เมื่อเรารู้สึกอ่อนแอและด้อยค่า ให้เราแสวงหาพระเจ้าและพึ่งพิงในกำลังของพระองค์แต่ผู้เดียว เพราะ “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของ[พระเจ้า] ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (2 คร.12:9)