ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Sheridan Voysey

ตัวตนที่แท้จริงของเรา

ในอัลบั้มรูปของพ่อแม่ผมมีภาพเด็กชายคนหนึ่ง เขามีใบหน้ากลม ตกกระ ผมสีบลอนด์เหยียดตรง เขาชอบการ์ตูน เกลียดอโวคาโด และมีแผ่นเสียงเพียงแผ่นเดียวคือของวงแอ็บบา ในอัลบั้มเดียวกันนั้นยังมีภาพของเด็กวัยรุ่น ใบหน้ายาว ผมหยักเป็นคลื่น ไม่มีกระ ชอบกินอโวคาโด ชอบดูหนังไม่ใช่การ์ตูน และจะไม่มีวันยอมรับว่าตนมีแผ่นเสียงของแอ็บบา! เด็กชายและเด็กวัยรุ่นมีความเหมือนกันเล็กน้อย ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วพวกเขามีผิว ฟัน เลือดและกระดูกที่ต่างกัน แต่ทั้งสองคนก็คือผม ความขัดแย้งนี้ทำให้นักปรัชญางุนงง ถ้ามนุษย์เราเปลี่ยนแปลงในตลอดชีวิต แล้วใครที่เป็นเราตัวจริง

พระวจนะมีคำตอบ นับแต่วินาทีที่พระเจ้าทรงถักทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดา (สดด.139:13-14) เราก็เติบโตขึ้นในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่เราจะยังนึกไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นคนอย่างไร แต่เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเหมือนพระเยซู (1 ยน.3:2) ร่างกายเราแต่มีธรรมชาติแบบพระองค์ บุคลิกภาพของเราแต่มีอุปนิสัยแบบพระองค์ ของประทานทุกอย่างของเราจะเป็นที่ประจักษ์ และบาปทั้งหลายจะหมดไป

เรากำลังเติบโตไปสู่ตัวตนในอนาคตของเราจนพระเยซูจะเสด็จกลับมา โดยพระราชกิจของพระองค์ ทีละก้าว เราจะสามารถสะท้อนภาพของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ (2 คร.3:18) เรายังไม่ได้เป็นคนที่เราควรจะเป็น แต่ในขณะที่เราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์ เราจะได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา

ความรู้สึกผิดกับการให้อภัย

ในหนังสือมนุษย์เหมือนกัน โดนัลด์ บราวน์นักมานุษยวิทยาแจกแจงพฤติกรรมกว่า 400 อย่างที่มนุษย์ทั่วโลกมีเหมือนกัน เช่น ของเล่น เรื่องตลก การเต้นรำ สุภาษิต ความกลัวงูและการใช้เชือกผูกสิ่งของ! เช่นเดียวกัน เขาเชื่อว่าทุกวัฒนธรรมมีแนวคิดในเรื่องสิ่งที่ถูกและผิด ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมความมีน้ำใจ สัญญาต้องรักษา และความใจร้ายกับการฆาตกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราทุกคนมีสามัญสำนึกไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน

อัครทูตเปาโลกล่าวคล้ายกันเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว แม้พระเจ้าประทานบัญญัติสิบประการให้ชาวยิวเพื่อจะแยกแยะสิ่งถูกผิด เปาโลสังเกตเห็นว่าคนต่างชาติก็ยังทำสิ่งที่ถูกต้องได้เมื่อทำตามสามัญสำนึก แสดงว่าพระบัญญัติของพระเจ้าจารึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา (รม.2:14-15) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ คนต่างชาติกบฏต่อสามัญสำนึกของตน (1:32) คนยิวทำผิดธรรมบัญญัติ (2:17-24) ทำให้ทั้งสองมีความผิดไม่ต่างกัน แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเอาการลงโทษถึงตายออกไปจากการละเมิดทั้งสิ้นของเรา (3:23-26; 6:23)

เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคนให้มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี เราแต่ละคนจึงรู้สึกผิดเมื่อทำสิ่งไม่ดีหรือเมื่อไม่ได้ทำสิ่งที่ดี เมื่อเราสารภาพความบาปเหล่านั้น พระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดเหมือนกระดานที่ถูกลบจนสะอาด สิ่งเดียวที่เราต้องทำไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือมาจากไหนคือทูลขอจากพระองค์

สังเกตธรรมชาติ

ผมและเพื่อนเพิ่งไปเดินในเส้นทางที่ผมชื่นชอบ เราปีนเขาที่มีลมพัดแรง ข้ามทุ่งดอกไม้ป่าไปยังป่าสนสูงตระหง่าน จากนั้นก็ลงไปในหุบเขาและหยุดพักชั่วขณะ ปุยเมฆลอยอยู่เหนือเราและมีธารน้ำไหลรินอยู่ใกล้ๆ มีเพียงเสียงนกร้อง ผมกับเจสันยืนสงบอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 15 นาทีเพื่อซึมซับบรรยากาศ

ปรากฏว่าสิ่งที่เราทำในวันนั้นเป็นการบำบัดส่วนลึกภายใน จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเดอร์บี้พบว่าคนที่หยุดนิ่งเพื่อพิจารณาธรรมชาติจะได้สัมผัสกับความสุขในระดับที่สูงขึ้นและมีความวิตกน้อยลง รวมทั้งมีความปรารถนาที่จะดูแลโลกมากขึ้น แต่แค่เดินป่าอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องหัดดูเมฆ ฟังเสียงนก หัวใจสำคัญไม่ใช่การอยู่ในธรรมชาติ แต่เป็นการสังเกตมันต่างหาก

มีเหตุผลฝ่ายวิญญาณสำหรับประโยชน์ของธรรมชาติหรือไม่ เปาโลกล่าวว่า สิ่งทรงสร้างเผยให้เห็นฤทธานุภาพและพระลักษณะของพระเจ้า (รม.1:20) พระเจ้าบอกให้โยบมองไปที่ทะเล ท้องฟ้า และดวงดาว ซึ่งเป็นหลักฐานถึงการทรงสถิตของพระองค์ (โยบ 38-39) พระเยซูตรัสว่าการพิจารณาดู “นกในอากาศ” และ “ดอกไม้ที่ทุ่งนา” ช่วยให้เราเห็นถึงความห่วงใยของพระเจ้าและลดความวิตกกังวลลง (มธ.6:25-30) ในพระคัมภีร์ การสังเกตธรรมชาติเป็นการฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณ

นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าเหตุใดธรรมชาติจึงมีอิทธิพลต่อเราในเชิงบวก อาจเป็นไปได้ว่า การสังเกตธรรมชาติทำให้เราเห็นเสี้ยวหนึ่งของพระเจ้า องค์พระผู้สร้างและผู้ที่สังเกตดูเรา

เริ่มต้นด้วยนม

ในสมัยศตวรรษที่เจ็ด บริเวณที่เป็นสหราชอาณาจักรในปัจจุบันนั้นประกอบไปด้วยหลายอาณาจักรที่มักสู้รบกัน เมื่อกษัตริย์ออสวอลด์แห่งนอร์ธัมเบรียรับเชื่อพระเยซู พระองค์ให้ส่งผู้ประกาศพระกิตติคุณไปยังดินแดนของพระองค์ ชายชื่อคอร์แมนถูกส่งออกไป แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเขาพบว่าชาวอังกฤษ “ดื้อรั้น” “ป่าเถื่อน” และไม่สนใจในคำสอนของเขา เขาจึงกลับบ้านอย่างผิดหวัง

บาทหลวงชื่อไอเด็นพูดกับคอร์แมนว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคาดหวังมากเกินไปจากผู้ฟังที่ยังไม่เคยได้รับการสอนมาก่อน” แทนที่จะให้ชาวนอร์ธัมเบรียได้กิน “น้ำนมแห่งคำสอนง่ายๆ” คอร์แมนสอนสิ่งที่พวกเขายังไม่สามารถเข้าใจได้ ไอเด็นเดินทางไปยังนอร์ธัมเบรีย โดยปรับคำสอนให้เข้าใจง่าย และมีคนมาเชื่อพระเยซูหลายพันคน

ไอเด็นได้ความเข้าใจนี้จากพระวจนะที่เปาโลพูดกับชาวโครินธ์ว่า “ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับ” (1 คร.3:2) พระธรรมฮีบรูบอกว่าก่อนที่เราจะคาดหวังให้คนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง พวกเขาต้องได้รับการสอนให้เข้าใจเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับพระเยซู การกลับใจ และการรับบัพติศมาเสียก่อน (ฮบ.5:13-6:2) จากนั้นความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณจึงจะตามมา (5:14) อย่าสลับขั้นตอน น้ำนมต้องมาก่อนเนื้อ คนเราไม่อาจเชื่อฟังคำสอนที่พวกเขาไม่เข้าใจ

ความเชื่อของชาวนอร์ธัมเบรียแพร่กระจายไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องทำเหมือนไอเด็นคือ ปรับตัวเข้าหาผู้ฟัง

คนนิสัยไม่ดี

ลูซี่ เวอร์สลีย์เป็นนักประวัติศาสตร์และนักจัดรายการโทรทัศน์ชาวอังกฤษ เธอก็เหมือนกับบุคคลสาธารณะส่วนมากที่ได้รับจดหมายหยาบคาย ในกรณีของเธอเป็นเรื่องความบกพร่องด้านการออกเสียงเล็กน้อยที่ทำให้เสียง ร ฟังคล้ายเสียง ว มีคนหนึ่งเขียนมาว่า “ลูซี่ ผมขอพูดตรงๆขอให้คุณปรับปรุงการออกเสียง หรือไม่ก็เอาคำที่มี ร ออกจากบทพูดให้หมด เพราะผมรำคาญจนไม่สามารถทนดูรายการของคุณจนจบได้ ด้วยความนับถือ ดาร์เรน”

สำหรับบางคน การแสดงความคิดเห็นที่ทำร้ายจิตใจแบบนี้อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบกลับอย่างหยาบคายพอกัน แต่ลูซี่ตอบสนองว่า “ดาร์เรน ฉันคิดว่าคุณใช้การไม่เปิดเผยตัวตนทางอินเทอร์เน็ตเพื่อพูดในสิ่งที่คุณอาจจะไม่กล้าพูดต่อหน้าฉัน ขอช่วยพิจารณาคำพูดที่ไม่ดีของคุณใหม่ด้วยค่ะ! ลูซี่”

การตอบสนองอย่างมีสติของลูซี่ได้ผล ดาร์เรนขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ส่งอีเมลแบบนี้ให้ใครอีก

สุภาษิตบันทึกไว้ว่า “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (15:1) ขณะที่คนใจ​ร้อนเร้า​การ​วิวาท แต่คนที่โกรธช้าทำให้ทุกอย่างสงบลง (ข้อ 18) เมื่อเราได้รับคำวิจารณ์จากเพื่อนร่วมงาน คำพูดเหยียดหยามจากคนในครอบครัว หรือคำตอบหยาบคายจากคนแปลกหน้า เราเลือกได้ว่าจะใช้คำพูดรุนแรงที่เติมเชื้อไฟหรือใช้คำพูดสุภาพเพื่อดับไฟ

ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้ใช้คำพูดที่ช่วยละลายความโกรธเกรี้ยว และบางทีคำพูดนั้นอาจช่วยให้คนที่นิสัยไม่ดีนั้นเปลี่ยนแปลง

เพลงสลัม

แคเทียร่าเป็นสลัมเล็กๆที่ประเทศปารากวัยในอเมริกาใต้ ด้วยความยากจนชาวบ้านจึงเอาชีวิตรอดด้วยการนำขยะจากกองขยะกลับมาใช้ซ้ำ แต่จากสภาพที่ย่ำแย่นี้ได้มีบางสิ่งที่งดงามก่อกำเนิดขึ้น นั่นคือวงออร์เคสตร้า

ด้วยราคาไวโอลินที่แพงกว่าบ้านในแคเทียร่า วงออร์เคสตร้าจึงต้องมีความคิดสร้างสรรค์ โดยพวกเขาสร้างเครื่องดนตรีขึ้นมาจากวัสดุในกองขยะ ไวโอลินทำมาจากกระป๋องน้ำมันกับส้อมที่ดัดงอเป็นส่วนหาง แซ็กโซโฟนทำมาจากท่อน้ำทิ้งกับจุกขวดน้ำเป็นแป้นกด เชลโล่ทำจากถังดีบุกและลูกกลิ้งที่ใช้ทำแป้งย็อคคีเป็นหมุดตั้งเสียง การได้ฟังบทเพลงของโมสาร์ทบรรเลงด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งนี้ช่างเป็นสิ่งสวยงาม วงออร์เคสตร้าวงนี้ได้ทำการแสดงในหลายประเทศ และได้ยกระดับภาพลักษณ์ของสมาชิกรุ่นเยาว์เหล่านี้

ไวโอลินที่ทำจากกองขยะ ดนตรีจากสลัม นั่นคือเครื่องหมายแสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ ในตอนที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายภาพการทรงสร้างขึ้นใหม่ของพระเจ้า เป็นภาพที่คล้ายคลึงกันของความงดงามที่เกิดขึ้นจากความขัดสน ถิ่นทุรกันดารกลายเป็นทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบาน (อสย.35:1-2) ลำธารพลุ่งขึ้นในทะเลทราย (ข้อ 6-7) เปลี่ยนอาวุธที่ใช้ทำสงครามให้เป็นเครื่องมือทางการเกษตร (2:4) และคนอนาถากลับสู่สภาพดีด้วยเสียงร้องเพลงแห่งความชื่นบาน (35:5-6, 10)

“โลกส่งขยะมาให้พวกเรา” ผู้อำนวยการวงออร์เคสตร้าแคเทียร่ากล่าว“แต่เราส่งเสียงดนตรีกลับไป” และเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาทำให้โลกได้เห็นภาพของอนาคตคือเมื่อพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจนหมดสิ้น และความขัดสนจะไม่มีอีกต่อไป

เผชิญหน้ากับความกลัว

วอร์เรนย้ายไปเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์ในเมืองเล็กๆ หลังพันธกิจเริ่มประสบความสำเร็จ ชาวบ้านคนหนึ่งสร้างปัญหาให้เขา โดยกุเรื่องหาว่าวอร์เรนมีพฤติกรรมน่าหวาดกลัว เขาส่งเรื่องไปยังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และพิมพ์ใบปลิวคำกล่าวหานั้นส่งให้ทุกคนในหมู่บ้านทางไปรษณีย์ วอร์เรนและภรรยาเริ่มอธิษฐานอย่างหนัก หากผู้คนเชื่อคำโกหกชีวิตของพวกเขาจะต้องพังพินาศ

กษัตริย์ดาวิดเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พระองค์ถูกโจมตีด้วยคำใส่ร้ายของศัตรู “เขาประทุษร้ายต่อกิจการของข้าพระองค์วันยังค่ำ” พระองค์ตรัส “ความคิดทั้งสิ้นของเขาล้วนมุ่งร้ายต่อข้าพระองค์” (สดด.56:5) การกล่าวหาอย่างต่อเนื่องทำให้ทรงหวาดกลัวและทุกข์ใจ (ข้อ 8) แต่ในท่ามกลางการต่อสู้ พระองค์กล่าวคำอธิษฐานที่ทรงพลังว่า “เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์...เนื้อหนังจะทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้” (ข้อ 3-4)

คำอธิษฐานของกษัตริย์ดาวิดเป็นแบบอย่างให้กับเราในวันนี้ เมื่อข้าพระองค์กลัว ในเวลาที่เรากลัวหรือถูกใส่ร้าย ให้เราหันไปหาพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ คือการมอบสงครามของเราไว้ในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพของพระเจ้า เนื้อหนังจะทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้ คือให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์พร้อมกับพระองค์ เราจะระลึกได้ว่าศัตรูของเรามีข้อจำกัดเพียงใด

หนังสือพิมพ์ไม่ให้ความสนใจในเรื่องของวอร์เรน ด้วยสาเหตุบางอย่างใบปลิวไม่เคยถูกแจกจ่ายออกไป วันนี้คุณหวาดกลัวในสงครามใด จงบอกกับพระเจ้า พระองค์ทรงยินดีที่จะต่อสู้ร่วมกับคุณ

กระหืดกระหอบ

ที่ศูนย์รวมสินค้าแต่งบ้านใกล้บ้านผม ทุกแผนกจะมีปุ่มกดสีเขียวขนาดใหญ่อยู่ หากไม่มีพนักงานอยู่บริเวณนั้น คุณสามารถกดปุ่มเรียกซึ่งจะเป็นการเริ่มจับเวลา ถ้าคุณไม่ได้รับบริการภายในหนึ่งนาที คุณก็จะได้รับส่วนลดในการซื้อสินค้า

พวกเราก็เหมือนลูกค้าในร้านนี้ที่ชอบบริการที่รวดเร็ว แต่ความต้องการที่จะได้บริการอันรวดเร็วนี้มีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อเราเองต้องเป็นผู้ให้บริการนี้ ดังนั้นทุกวันนี้พวกเราหลายคนจึงรู้สึกต้องเร่งทำงาน ทำต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช็คอีเมลวันละหลายครั้ง และรู้สึกกดดันเมื่อกำหนดส่งงานกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ กลยุทธ์ในการให้บริการลูกค้าของศูนย์รวมสินค้าแต่งบ้านซึมซับเข้ามาในชีวิตของเราทุกคน ก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการเร่งรีบ

เมื่อพระเจ้าบอกให้อิสราเอลรักษาวันสะบาโต ทรงให้เหตุผลสำคัญคือ “จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์” (ฉธบ.5:15) พวกเขาถูกบังคับให้ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาของฟาโรห์ที่เกินกว่าเหตุ (อพย.5:6-9) ตอนนี้ที่เป็นอิสระแล้ว พวกเขาควรให้เวลาตัวเองหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ เพื่อรับรองว่าตัวเขาเองและผู้ที่รับใช้เขาจะได้หยุดพัก (ฉธบ.5:14) ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า จะไม่มีใครต้องกระหืดกระหอบจนหน้าแดง

คุณต้องทำงานจนหมดแรง หรือหมดความอดทนกับคนที่ทำให้คุณต้องรอบ่อยเพียงใด จงให้ตัวเราและผู้อื่นได้หยุดพัก วัฒนธรรมแห่งการเร่งรีบเป็นของฟาโรห์ ไม่ใช่ของพระเจ้า

กระแสน้ำที่ไม่คุ้นเคย

ลูกบอลตกลงที่ย่านไทม์สแควร์ในนิวยอร์ก ฝูงชนนับถอยหลังเมื่อหอนาฬิกาบิ๊กเบนเริ่มตี ท่าเรือซิดนีย์ดังสนั่นไปด้วยเสียงพลุ ไม่ว่าเมืองของคุณจะใช้สัญญาณอะไร ก็มีความตื่นเต้นบางอย่างซ่อนอยู่ในการต้อนรับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่ที่มาถึง ในวันปีใหม่เราเคลื่อนเข้าสู่กระแสน้ำใหม่ มีมิตรภาพหรือโอกาสใหม่ๆอะไรบ้างที่เราอาจได้พบ

แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ปีใหม่ก็อาจทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง เราไม่รู้อนาคตหรือพายุใดที่อาจพัดมา ประเพณีหลายอย่างในวันปีใหม่สะท้อนถึงสิ่งนี้ ดอกไม้ไฟถูกคิดค้นในประเทศจีนเพื่อใช้ขับไล่วิญญาณร้ายและทำให้ฤดูกาลใหม่เจริญรุ่งเรือง การตั้งปณิธานในวันปีใหม่มีมาตั้งแต่ยุคที่ชาวบาบิโลนให้สัตย์สาบานเพื่อเอาใจเทพเจ้าของพวกเขา การกระทำเหล่านี้คือความพยายามทำให้อนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้นั้นมั่นคง

เมื่อชาวบาบิโลนไม่ต้องสาบาน พวกเขาก็สาละวนอยู่กับการพิชิตชนชาติต่างๆ รวมทั้งชนชาติอิสราเอล ในเวลาต่อมาพระเจ้าทรงส่งข่าวมาถึงคนอิสราเอลที่เป็นทาสว่า “อย่ากลัวเลย...เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า” (อสย.43:1-2) ต่อมาพระเยซูตรัสในทำนองเดียวกันเมื่อทรงอยู่กับเหล่าสาวกในเรือท่ามกลางพายุ “เหตุไฉนจึงขลาดนัก” พระองค์ตรัสกับพวกเขาก่อนที่จะสั่งให้คลื่นลมสงบลง (มธ.8:23-27)

วันนี้เราเคลื่อนออกจากฝั่งสู่กระแสน้ำใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าเราจะเผชิญสิ่งใด พระองค์สถิตอยู่กับเราและพระองค์ทรงมีฤทธานุภาพที่จะสงบคลื่นลม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา