สมบูรณ์ในพระคริสต์
ในภาพยนตร์ที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง นักแสดงชายรับบทเป็นเอเย่นต์ตัวแทนนักกีฬาผู้มีความทะเยอทะยานซึ่งชีวิตแต่งงานกำลังสั่นคลอน ด้วยความพยายามที่จะเอาชนะใจโดโรธีผู้เป็นภรรยาอีกครั้ง เขามองตาเธอและพูดว่า “คุณเติมเต็มชีวิตผม” เป็นคำพูดอบอุ่นใจที่สะท้อนเรื่องเล่าตามเแนวคิดปรัชญากรีกที่กล่าวว่า เราแต่ละคนล้วนเป็น “ครึ่งหนึ่ง” ที่ต้องตามหา “อีกครึ่งหนึ่ง” ของเราเพื่อจะครบสมบูรณ์
ความเชื่อที่ว่าคู่รักของเรา “เติมเต็ม” เรานั้นในเวลานี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยอมรับกัน แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ผมพูดคุยกับคู่สามีภรรยาหลายคู่ที่ยังรู้สึกไม่สมบูรณ์เพราะพวกเขาไม่สามารถมีบุตรได้ หรือคู่ที่มีบุตรแล้วแต่ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดเติมเต็มเราให้สมบูรณ์ได้
อัครทูตเปาโลได้ให้ทางแก้ไว้อีกทางหนึ่ง “เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (คส.2:9-10) พระเยซูไม่เพียงยกโทษและปลดปล่อยเรา แต่พระองค์ยังทรงทำให้เราสมบูรณ์โดยนำชีวิตของพระเจ้าสู่ชีวิตเรา (ข้อ 13-15)
การแต่งงานเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มเรา มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ แทนที่จะคาดหวังให้บุคคล อาชีพการงาน หรือสิ่งอื่นใดมาเติมเต็มเรา ให้เรารับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าที่จะยอมให้ความสมบูรณ์ของพระองค์เติมเต็มชีวิตเรามากยิ่งขึ้น
ไม่แสวงหาการแก้แค้น
ชาวสวนขึ้นรถกระบะและเริ่มออกไปสำรวจพืชผลยามเช้า เมื่อไปถึงสุดเขตที่ดินเขาเริ่มรู้สึกเดือดดาล มีคนแอบมาใช้พื้นที่ห่างไกลของสวนเป็นที่ทิ้งขยะ อีกแล้ว
เมื่อเขาโยนถุงขยะที่เป็นเศษอาหารเหล่านั้นขึ้นรถ เขาพบซองจดหมายฉบับหนึ่ง บนหน้าซองมีที่อยู่ของผู้ที่ทำความผิดนี้ นี่เป็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป คืนนั้นเขาขับรถไปที่บ้านของผู้ก่อเหตุและทิ้งขยะในสวนของเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ขยะที่เก็บมาแต่มีขยะจากบ้านของเขาด้วย!
มีบางคนกล่าวไว้ว่า การแก้แค้นนั้นแสนหวาน แต่มันเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ ใน 1 ซามูเอล 24 ดาวิดกับคนของท่านซ่อนอยู่ในถ้ำเพื่อหนีจากกษัตริย์ซาอูลที่ตามฆ่า เมื่อซาอูลเข้าไปในถ้ำเดียวกันเพื่อปลดทุกข์ คนของดาวิดเห็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไปเพื่อให้ดาวิดได้แก้แค้น (ข้อ 3-4) แต่ดาวิดต่อต้านความปรารถนาที่จะเอาคืนนี้ “พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า” ท่านกล่าว (ข้อ 6) เมื่อซาอูลรู้ว่าดาวิดเลือกที่จะไว้ชีวิตพระองค์ ซาอูลประหลาดใจยิ่งนัก “เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า” พระองค์ประกาศ (ข้อ 17-18)
เมื่อเราหรือคนที่เรารักต้องเผชิญกับความอยุติธรรม โอกาสที่จะได้แก้แค้นผู้กระทำผิดอาจมาถึงเรา เราจะยอมจำนนต่อความปรารถนาเช่นเดียวกับชาวสวนคนนั้น หรือต่อต้านเหมือนกับดาวิด เราจะเลือกความชอบธรรมเหนือการแก้แค้นหรือไม่
ความยิ่งใหญ่
คัธเบิร์ตเป็นที่รักของผู้คนทางตอนเหนือของอังกฤษ เขาประกาศข่าวประเสริฐในดินแดนแถบนั้นในศตวรรษที่เจ็ด เขาให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์และมีอิทธิพลในกิจการของรัฐ หลังจากเขาเสียชีวิตได้มีการสร้างเมืองเดอรัมเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แต่มรดกที่คัธเบิร์ตทิ้งไว้ยังมีความยิ่งใหญ่ในอีกหลายๆด้าน
หลังจากภัยพิบัติทำลายภูมิภาคนั้น คัธเบิร์ตได้ไปเยี่ยมเมืองที่ได้รับผลกระทบเพื่อปลอบขวัญ ขณะที่จะออกจากหมู่บ้าน เขาตรวจดูว่ายังมีใครที่ต้องการให้เขาอธิษฐานเผื่ออีกหรือไม่ มีผู้หญิงคนหนึ่งกอดลูกไว้แน่น เธอเสียลูกชายไปแล้วคนหนึ่งและคนที่เธอกอดอยู่ก็กำลังจะตาย คัธเบิร์ตอุ้มเด็กที่ป่วยมาอธิษฐานและจูบที่หน้าผาก “ไม่ต้องกลัว” เขาบอกกับเธอ “เพราะจะไม่มีใครในครอบครัวของเธอต้องตายอีกแล้ว” มีรายงานว่าเด็กผู้ชายคนนั้นรอดชีวิต
ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงอุ้มเด็กชายเล็กๆเพื่อสอนบทเรียนเรื่องความยิ่งใหญ่ โดยตรัสว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา” (มก.9:37) การ “รับ” ผู้ใดในวัฒนธรรมของชาวยิวหมายถึงการรับใช้ผู้นั้นในแบบเดียวกับที่เจ้าภาพต้อนรับแขก เพราะว่าเด็กควรจะรับใช้ผู้ใหญ่ ไม่ใช่ผู้ใหญ่รับใช้เด็ก ความคิดนี้จึงเป็นเรื่องน่าตกใจ พระประสงค์ของพระเยซูคืออะไร ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือการยอมรับใช้ผู้ที่เล็กน้อยและต่ำต้อยที่สุด (ข้อ 35)
ที่ปรึกษาของกษัตริย์ ผู้ที่ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเขา แต่ในสวรรค์อาจบันทึกเรื่องราวของคัธเบิร์ตว่า เขาสังเกตเห็นแม่ผู้โศกเศร้าและจูบหน้าผากของเด็กที่ป่วยหนัก เขามีชีวิตที่ถ่อมใจสะท้อนให้เห็นถึงพระเจ้าผู้เป็นองค์เจ้านายของเขา
เอาชนะความอิจฉา
ในภาพยนตร์เรื่องอมาเดอุส นักแต่งเพลงสูงวัย อันโตนีโอ ซาลีเอรี บรรเลงเปียโนเพลงที่เขาแต่งให้นักบวชที่มาเยือนฟัง นักบวชสารภาพด้วยความละอายว่าจำทำนองไม่ได้ “แล้วเพลงนี้ล่ะ” ซาลีเอรีถามเมื่อเปลี่ยนมาเล่นทำนองที่คุ้นหู “ผมไม่รู้ว่าคุณแต่งเพลงนั้นด้วย” นักบวชกล่าว “ผมไม่ได้แต่ง” ซาลีเอรีตอบ “นั่นเป็นเพลงของโมสาร์ท!” ผู้ชมได้พบว่า ความสำเร็จของโมสาร์ททำให้ซาลีเอรีอิจฉาอย่างยิ่ง จนนำให้เขามีส่วนในการตายของโมสาร์ท
มีอีกบทเพลงที่เป็นส่วนสำคัญในเรื่องราวของความอิจฉาอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากดาวิดเอาชนะโกลิอัท ชาวอิสราเอลร้องเพลงอย่างรื่นเริงว่า “ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ” (1 ซมอ.18:7) การเปรียบเทียบนี้ทำให้กษัตริย์ซาอูลไม่พอใจ พระองค์อิจฉาความสำเร็จของดาวิดและกลัวจะเสียบัลลังก์ (ข้อ 8-9) ซาอูลเริ่มไล่ล่าดาวิดโดยมุ่งหมายจะเอาชีวิต
เช่นซาลีเอรีกับบทเพลงและซาอูลกับอำนาจ เราก็มักจะถูกทดลองให้อิจฉาคนที่มีของประทานคล้ายกับเราแต่ดีกว่าที่เรามี ไม่ว่าจะจับผิดผลงานหรือดูแคลนความสำเร็จของพวกเขา เราก็อาจหาทางทำลาย “คู่แข่ง” ของเราได้เช่นกัน
พระเจ้าทรงเลือกซาอูลให้ทำหน้าที่ของตน (10:6-7,24) ซึ่งเป็นสถานะที่ควรจะให้ความมั่นคงกับพระองค์แทนที่จะอิจฉา เราแต่ละคนได้รับการทรงเรียกที่พิเศษเช่นกัน (อฟ.2:10) วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความอิจฉาคือการเลิกเปรียบเทียบกัน แต่ให้เราฉลองความสำเร็จของกันและกันแทน
คำอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่น
หลังจากพยายามที่จะมีลูกมาหลายปี ริชาร์ดและซูซานดีใจมากเมื่อซูซานตั้งครรภ์แต่ปัญหาสุขภาพของเธอทำให้เด็กมีความเสี่ยง ริชาร์ดจึงคอยอธิษฐานเผื่อภรรยาและลูกทุกคืน คืนหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่ต้องอธิษฐานมากก็ได้เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะดูแลทุกอย่าง แต่สัปดาห์ต่อมาซูซานแท้งลูกริชาร์ดเสียใจอย่างรุนแรงและสงสัยว่า พวกเขาเสียเด็กไปเพราะอธิษฐานไม่มากพอหรือเปล่า
เมื่ออ่านครั้งแรก เราอาจคิดว่าเรื่องราวของคำอุปมาในวันนี้บอกเช่นนั้นในเรื่องนี้เพื่อนบ้าน (บางครั้งถูกเปรียบว่าเป็นพระเจ้า) ลุกจากเตียงไปช่วยเพื่อนเพียงเพราะการรบเร้าที่น่ารำคาญของเขา (ลก.11:5-8) เมื่ออ่านตามนี้ คำอุปมาบอกเป็นนัยว่าพระเจ้าจะทรงให้สิ่งที่เราต้องการก็ต่อเมื่อเรารบเร้าพระองค์ และถ้าเราอธิษฐานไม่มากพอ พระเจ้าอาจจะไม่ช่วยเรา
แต่นักอรรถาธิบายพระคัมภีร์อย่าง ไคลน์ สน็อดกราส เชื่อว่านี่เป็นการเข้าใจคำอุปมาที่ผิด ความหมายที่แท้จริงคือถ้าเพื่อนบ้านยังช่วยเราเพราะเหตุผลที่เห็นแก่ตัว พระบิดาผู้เสียสละจะไม่ยิ่งช่วยเรามากกว่านั้นหรือ เราจึงทูลขอได้อย่างมั่นใจ (ข้อ 9-10) โดยรู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ที่บกพร่อง (ข้อ 11-13) พระองค์ไม่ใช่เพื่อนบ้านในคำอุปมาแต่ทรงเป็นแบบตรงกันข้าม
“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณจึงสูญเสียลูกไป” ผมบอกริชาร์ด “แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่เพราะคุณอธิษฐานไม่ ‘มากพอ’ พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเช่นนั้น”
บุตรของพระเจ้า
ผมเคยพูดในการประชุมของคู่แต่งงานที่ไม่มีลูกครั้งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมหลายคน ที่หัวใจสลายจากการไม่มีลูกรู้สึกหมดหวังกับอนาคต ผมพยายามให้กำลังใจพวกเขาเพราะผมเองก็ไม่มีลูกเช่นกัน “พวกคุณสามารถมีชีวิตที่มีความหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อหรือแม่” ผมพูด “ผมเชื่อว่าพวกคุณถูกสร้างอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม และมีจุดมุ่งหมายใหม่ให้พวกคุณค้นหา”
หลังจากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมพร้อมน้ำตา “ขอบคุณ” เธอพูด “ฉันรู้สึกไร้ค่ามาตลอดเพราะไม่มีลูก และต้องได้ยินว่าฉันถูกสร้างมาอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” ผมถามว่าเธอเชื่อในพระเยซูใช่ไหม “ฉันละทิ้งพระเจ้าเมื่อหลายปีก่อน” เธอกล่าว “แต่ฉันต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์อีกครั้ง”
เหตุการณ์เช่นนี้เตือนผมถึงความลึกซึ้งของพระกิตติคุณ สถานะบางอย่างเช่น “แม่” และ “พ่อ” เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุเป้าหมาย สถานะอื่นๆในด้านอาชีพการงานอาจหายไปจากการถูกเลิกจ้าง แต่โดยทางพระเยซูเราได้กลายเป็น “บุตรที่รัก” ของพระเจ้า ซึ่งเป็นสถานะที่ไม่มีใครขโมยไปได้ (อฟ.5:1) และเมื่อนั้นเราจะสามารถ “ดำเนินชีวิตในความรัก” อันเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตที่อยู่เหนือบทบาทและตำแหน่งหน้าที่ใดๆ (ข้อ 2)
มนุษย์ทุกคนล้วน “มหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดด.139:14 TNCV) และทุกคนที่ติดตามพระเยซูจะกลายเป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1:12-13) ผู้หญิงคนนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยสิ้นหวังได้จากไปพร้อมความหวังที่จะค้นหาตัวตนและจุดมุ่งหมายซึ่งใหญ่กว่าที่โลกนี้จะให้ได้
ตัวตนที่แท้จริงของเรา
ในอัลบั้มรูปของพ่อแม่ผมมีภาพเด็กชายคนหนึ่ง เขามีใบหน้ากลม ตกกระ ผมสีบลอนด์เหยียดตรง เขาชอบการ์ตูน เกลียดอโวคาโด และมีแผ่นเสียงเพียงแผ่นเดียวคือของวงแอ็บบา ในอัลบั้มเดียวกันนั้นยังมีภาพของเด็กวัยรุ่น ใบหน้ายาว ผมหยักเป็นคลื่น ไม่มีกระ ชอบกินอโวคาโด ชอบดูหนังไม่ใช่การ์ตูน และจะไม่มีวันยอมรับว่าตนมีแผ่นเสียงของแอ็บบา! เด็กชายและเด็กวัยรุ่นมีความเหมือนกันเล็กน้อย ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วพวกเขามีผิว ฟัน เลือดและกระดูกที่ต่างกัน แต่ทั้งสองคนก็คือผม ความขัดแย้งนี้ทำให้นักปรัชญางุนงง ถ้ามนุษย์เราเปลี่ยนแปลงในตลอดชีวิต แล้วใครที่เป็นเราตัวจริง
พระวจนะมีคำตอบ นับแต่วินาทีที่พระเจ้าทรงถักทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดา (สดด.139:13-14) เราก็เติบโตขึ้นในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่เราจะยังนึกไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นคนอย่างไร แต่เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเหมือนพระเยซู (1 ยน.3:2) ร่างกายเราแต่มีธรรมชาติแบบพระองค์ บุคลิกภาพของเราแต่มีอุปนิสัยแบบพระองค์ ของประทานทุกอย่างของเราจะเป็นที่ประจักษ์ และบาปทั้งหลายจะหมดไป
เรากำลังเติบโตไปสู่ตัวตนในอนาคตของเราจนพระเยซูจะเสด็จกลับมา โดยพระราชกิจของพระองค์ ทีละก้าว เราจะสามารถสะท้อนภาพของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ (2 คร.3:18) เรายังไม่ได้เป็นคนที่เราควรจะเป็น แต่ในขณะที่เราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์ เราจะได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
ความรู้สึกผิดกับการให้อภัย
ในหนังสือมนุษย์เหมือนกัน โดนัลด์ บราวน์นักมานุษยวิทยาแจกแจงพฤติกรรมกว่า 400 อย่างที่มนุษย์ทั่วโลกมีเหมือนกัน เช่น ของเล่น เรื่องตลก การเต้นรำ สุภาษิต ความกลัวงูและการใช้เชือกผูกสิ่งของ! เช่นเดียวกัน เขาเชื่อว่าทุกวัฒนธรรมมีแนวคิดในเรื่องสิ่งที่ถูกและผิด ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชมความมีน้ำใจ สัญญาต้องรักษา และความใจร้ายกับการฆาตกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราทุกคนมีสามัญสำนึกไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน
อัครทูตเปาโลกล่าวคล้ายกันเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว แม้พระเจ้าประทานบัญญัติสิบประการให้ชาวยิวเพื่อจะแยกแยะสิ่งถูกผิด เปาโลสังเกตเห็นว่าคนต่างชาติก็ยังทำสิ่งที่ถูกต้องได้เมื่อทำตามสามัญสำนึก แสดงว่าพระบัญญัติของพระเจ้าจารึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา (รม.2:14-15) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ คนต่างชาติกบฏต่อสามัญสำนึกของตน (1:32) คนยิวทำผิดธรรมบัญญัติ (2:17-24) ทำให้ทั้งสองมีความผิดไม่ต่างกัน แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเอาการลงโทษถึงตายออกไปจากการละเมิดทั้งสิ้นของเรา (3:23-26; 6:23)
เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคนให้มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี เราแต่ละคนจึงรู้สึกผิดเมื่อทำสิ่งไม่ดีหรือเมื่อไม่ได้ทำสิ่งที่ดี เมื่อเราสารภาพความบาปเหล่านั้น พระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดเหมือนกระดานที่ถูกลบจนสะอาด สิ่งเดียวที่เราต้องทำไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือมาจากไหนคือทูลขอจากพระองค์
สังเกตธรรมชาติ
ผมและเพื่อนเพิ่งไปเดินในเส้นทางที่ผมชื่นชอบ เราปีนเขาที่มีลมพัดแรง ข้ามทุ่งดอกไม้ป่าไปยังป่าสนสูงตระหง่าน จากนั้นก็ลงไปในหุบเขาและหยุดพักชั่วขณะ ปุยเมฆลอยอยู่เหนือเราและมีธารน้ำไหลรินอยู่ใกล้ๆ มีเพียงเสียงนกร้อง ผมกับเจสันยืนสงบอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 15 นาทีเพื่อซึมซับบรรยากาศ
ปรากฏว่าสิ่งที่เราทำในวันนั้นเป็นการบำบัดส่วนลึกภายใน จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเดอร์บี้พบว่าคนที่หยุดนิ่งเพื่อพิจารณาธรรมชาติจะได้สัมผัสกับความสุขในระดับที่สูงขึ้นและมีความวิตกน้อยลง รวมทั้งมีความปรารถนาที่จะดูแลโลกมากขึ้น แต่แค่เดินป่าอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องหัดดูเมฆ ฟังเสียงนก หัวใจสำคัญไม่ใช่การอยู่ในธรรมชาติ แต่เป็นการสังเกตมันต่างหาก
มีเหตุผลฝ่ายวิญญาณสำหรับประโยชน์ของธรรมชาติหรือไม่ เปาโลกล่าวว่า สิ่งทรงสร้างเผยให้เห็นฤทธานุภาพและพระลักษณะของพระเจ้า (รม.1:20) พระเจ้าบอกให้โยบมองไปที่ทะเล ท้องฟ้า และดวงดาว ซึ่งเป็นหลักฐานถึงการทรงสถิตของพระองค์ (โยบ 38-39) พระเยซูตรัสว่าการพิจารณาดู “นกในอากาศ” และ “ดอกไม้ที่ทุ่งนา” ช่วยให้เราเห็นถึงความห่วงใยของพระเจ้าและลดความวิตกกังวลลง (มธ.6:25-30) ในพระคัมภีร์ การสังเกตธรรมชาติเป็นการฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณ
นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าเหตุใดธรรมชาติจึงมีอิทธิพลต่อเราในเชิงบวก อาจเป็นไปได้ว่า การสังเกตธรรมชาติทำให้เราเห็นเสี้ยวหนึ่งของพระเจ้า องค์พระผู้สร้างและผู้ที่สังเกตดูเรา