ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Sheridan Voysey

วัตถุประสงค์ของการทนทุกข์

“ถ้ าเช่นนั้นคุณกำลังบอกว่ามันอาจไม่ใช่ความผิดของฉันก็ได้” คำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมประหลาดใจ พวกเรากำลังพูดคุยกันถึงสิ่งที่ผมแบ่งปันในเช้าวันนั้นตอนไปเป็นวิทยากรรับเชิญที่คริสตจักรของเธอ “ฉันป่วยเรื้อรัง” เธออธิบาย “ฉันอธิษฐาน อดอาหาร สารภาพบาปและทำทุกวิธีที่มีคนบอกว่าจะช่วยให้หาย แต่ฉันก็ยังป่วยอยู่ ฉันจึงคิดว่าคงต้องโทษตัวเอง”

ผมรู้สึกเศร้าใจกับคำสารภาพของผู้หญิงคนนั้น เธอได้รับ “สูตรสำเร็จ” ฝ่ายวิญญาณเพื่อใช้แก้ปัญหาที่มี แต่เธอกลับโทษตัวเองเมื่อสูตรเหล่านั้นใช้ไม่ได้ผล ที่แย่ไปกว่านั้นคือ สูตรสำเร็จที่ใช้รับมือกับการทนทุกข์เหล่านี้ถูกหักล้างไปแล้วตั้งแต่หลายยุคก่อน

พูดง่ายๆก็คือสูตรสำเร็จนี้บอกว่า หากคุณกำลังทนทุกข์นั้นแสดงว่าคุณมีบาป เมื่อโยบสูญเสียฝูงสัตว์ ลูกๆและสุขภาพ เพื่อนๆได้ใช้สูตรนี้กับท่าน “ผู้ที่ไร้ความผิดเคยพินาศหรือ” เอลีฟัสสงสัยว่าโยบมีความผิด (โยบ 4:7) บิลดัดยังบอกกับโยบอีกว่าลูกๆของท่านตายเพราะพวกเขาทำบาป (8:4) โดยไม่สนใจสาเหตุที่แท้จริงของภัยพิบัติที่โยบได้รับ (1:6- 2:10) พวกเขาซ้ำเติมด้วยเหตุผลที่ตื้นเขินสำหรับความเจ็บปวดที่โยบได้รับ แต่ต่อมาพวกเขาถูกพระเจ้าทรงตำหนิ (42:7)

การทนทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตในโลกที่ชั่วร้าย เช่นเดียวกับโยบ การทนทุกข์สามารถเกิดจากสาเหตุที่เราอาจไม่มีวันได้รู้ แต่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับคุณที่ยิ่งใหญ่กว่าความเจ็บปวดที่คุณต้องสู้ทน อย่าหมดกำลังใจเพราะหลงเชื่อสูตรสำเร็จที่ตื้นเขินเหล่านั้น

เมื่อใดควรเสียสละ

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 เมื่อวิกฤตการระบาดของโควิด 19 เพิ่งเริ่มต้น ความกังวลของนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งกระทบความรู้สึกของผม เธอสงสัยว่า พวกเราควรเต็มใจที่จะแยกตัว เปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน การเดินทางและการซื้อของเพื่อจะช่วยคนอื่นไม่ให้ป่วยไหม “นี่ไม่ใช่แค่การทดสอบเพื่อเก็บข้อมูลทางการแพทย์” เธอเขียน “แต่เป็นความเต็มใจของเราที่จะแยกตัวออกไปเพื่อผู้อื่น” แล้วในทันใดความต้องการทางด้านคุณธรรมก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง

อาจเป็นเรื่องยากที่จะคิดถึงความต้องการของผู้อื่นขณะที่เรายังกังวลเรื่องของตัวเอง ขอบพระคุณพระเจ้าที่ไม่ทรงปล่อยให้เรามีแต่ความตั้งใจในการช่วยเหลือผู้อื่นเพียงอย่างเดียว เรายังสามารถทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ทรงประทาน ความรักแทนที่ความเฉยชาของเรา ความปลาบปลื้มใจแทนความ
เศร้าโศก สันติสุขแทนความกังวล ความอดกลั้นใจ (อดทน) แทนที่ความหุนหัน ความปรานีเพื่อจะห่วงใยผู้อื่น ความดีเพื่อจะเห็นความจำเป็นของพวกเขา ความสัตย์ซื่อที่จะรักษาสัญญา ความสุภาพอ่อนน้อมแทนความก้าวร้าว และการรู้จักบังคับตนเพื่อดึงเราออกจากการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (กท.5:22-23) ขณะที่เรายังไม่สมบูรณ์ด้วยทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราให้แสวงหาของประทานแห่งคุณธรรมฝ่ายวิญญาณนี้อยู่สมอ (อฟ.5:18)

นักเขียนริชาร์ด ฟอสเตอร์ เคยอธิบายถึงความบริสุทธิ์ว่าเป็นความสามารถที่จะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ เราจำเป็นต้องมีความบริสุทธิ์เช่นนี้ทุกวันไม่ใช่แค่เมื่อมีวิกฤตการณ์ แล้วเราจะสามารถเสียสละเพื่อผู้อื่นได้หรือไม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดเติมเราให้มีกำลังที่จะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

ไร้ขีดจำกัด

ผมนั่งอยู่ที่ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้า ร่างกายตึงเครียดและท้องปั่นป่วนเพราะกำหนดส่งงานที่ใกล้เข้ามา ขณะที่ผมแกะเบอร์เกอร์รับประทาน ผู้คนรอบตัววิ่งวุ่นกับงานของตน ผมคิดในใจว่าเราทุกคนมีขีดจำกัด จำกัดทั้งเวลา พลังงาน และความสามารถ

ผมคิดว่าจะเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำใหม่และให้ความสำคัญกับสิ่งเร่งด่วนก่อน แต่ในขณะที่ผมหยิบปากกาออกมา ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง ผมคิดถึงพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ ไร้ขีดจำกัด ผู้ทรงสามารถกระทำสิ่งที่ทรงปรารถนาให้บรรลุได้อย่างง่ายดาย

อิสยาห์บอกว่า พระเจ้าองค์นี้ทรงตวงน้ำทั้งสิ้นด้วยอุ้งพระหัตถ์ และบรรจุผงคลีของแผ่นดินโลกไว้ในถังเดียว (อสย.40:12) พระองค์ตั้งชื่อดวงดาวและกำหนดเส้นทางของพวกมัน (ข้อ 26) ทรงรู้จักผู้ครอบครองแผ่นดินโลกและดูแลการงานของพวกเขา (ข้อ 23) ทรงเห็นเกาะทั้งหลายเป็นเหมือนผงคลีและประชาชาติเป็นเหมือนหยดน้ำ (ข้อ 15) ทรงตรัสถามว่า “เจ้า​จะ​เปรียบ​เรา​กับ​ผู้ใด​เล่า” (ข้อ 25) อิสยาห์ตอบว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์...พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย” (ข้อ 28)

ความเครียดและความกดดันไม่เคยส่งผลดีต่อเรา แต่ในวันนี้มันสอนบทเรียนที่ทรงพลัง พระเจ้าผู้ทรงไร้ขีดจำกัดไม่เหมือนกับผม พระองค์ทรงบรรลุทุกสิ่งที่ทรงปรารถนา ผมรับประทานเบอร์เกอร์เสร็จแล้วก็หยุดนิ่งอีกครั้ง และนมัสการพระเจ้าอย่างเงียบๆ

สมบูรณ์ในพระคริสต์

ในภาพยนตร์ที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง นักแสดงชายรับบทเป็นเอเย่นต์ตัวแทนนักกีฬาผู้มีความทะเยอทะยานซึ่งชีวิตแต่งงานกำลังสั่นคลอน ด้วยความพยายามที่จะเอาชนะใจโดโรธีผู้เป็นภรรยาอีกครั้ง เขามองตาเธอและพูดว่า “คุณเติมเต็มชีวิตผม” เป็นคำพูดอบอุ่นใจที่สะท้อนเรื่องเล่าตามเแนวคิดปรัชญากรีกที่กล่าวว่า เราแต่ละคนล้วนเป็น “ครึ่งหนึ่ง” ที่ต้องตามหา “อีกครึ่งหนึ่ง” ของเราเพื่อจะครบสมบูรณ์

ความเชื่อที่ว่าคู่รักของเรา “เติมเต็ม” เรานั้นในเวลานี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยอมรับกัน แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ผมพูดคุยกับคู่สามีภรรยาหลายคู่ที่ยังรู้สึกไม่สมบูรณ์เพราะพวกเขาไม่สามารถมีบุตรได้ หรือคู่ที่มีบุตรแล้วแต่ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดเติมเต็มเราให้สมบูรณ์ได้

อัครทูตเปาโลได้ให้ทางแก้ไว้อีกทางหนึ่ง “เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (คส.2:9-10) พระเยซูไม่เพียงยกโทษและปลดปล่อยเรา แต่พระองค์ยังทรงทำให้เราสมบูรณ์โดยนำชีวิตของพระเจ้าสู่ชีวิตเรา (ข้อ 13-15)

การแต่งงานเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มเรา มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ แทนที่จะคาดหวังให้บุคคล อาชีพการงาน หรือสิ่งอื่นใดมาเติมเต็มเรา ให้เรารับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าที่จะยอมให้ความสมบูรณ์ของพระองค์เติมเต็มชีวิตเรามากยิ่งขึ้น

ไม่แสวงหาการแก้แค้น

ชาวสวนขึ้นรถกระบะและเริ่มออกไปสำรวจพืชผลยามเช้า เมื่อไปถึงสุดเขตที่ดินเขาเริ่มรู้สึกเดือดดาล มีคนแอบมาใช้พื้นที่ห่างไกลของสวนเป็นที่ทิ้งขยะ อีกแล้ว

เมื่อเขาโยนถุงขยะที่เป็นเศษอาหารเหล่านั้นขึ้นรถ เขาพบซองจดหมายฉบับหนึ่ง บนหน้าซองมีที่อยู่ของผู้ที่ทำความผิดนี้ นี่เป็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป คืนนั้นเขาขับรถไปที่บ้านของผู้ก่อเหตุและทิ้งขยะในสวนของเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ขยะที่เก็บมาแต่มีขยะจากบ้านของเขาด้วย!

มีบางคนกล่าวไว้ว่า การแก้แค้นนั้นแสนหวาน แต่มันเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ ใน 1 ซามูเอล 24 ดาวิดกับคนของท่านซ่อนอยู่ในถ้ำเพื่อหนีจากกษัตริย์ซาอูลที่ตามฆ่า เมื่อซาอูลเข้าไปในถ้ำเดียวกันเพื่อปลดทุกข์ คนของดาวิดเห็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไปเพื่อให้ดาวิดได้แก้แค้น (ข้อ 3-4) แต่ดาวิดต่อต้านความปรารถนาที่จะเอาคืนนี้ “​พระ​เจ้า​ทรง​ห้าม​ไม่ให้​ข้าพเจ้า​กระทำ​สิ่ง​นี้​ต่อ​เจ้านาย​ของ​ข้าพเจ้า” ท่านกล่าว (ข้อ 6) เมื่อซาอูลรู้ว่าดาวิดเลือกที่จะไว้ชีวิตพระองค์ ซาอูลประหลาดใจยิ่งนัก “เจ้า​ชอบธรรม​ยิ่ง​กว่า​ข้า” พระองค์ประกาศ (ข้อ 17-18)

เมื่อเราหรือคนที่เรารักต้องเผชิญกับความอยุติธรรม โอกาสที่จะได้แก้แค้นผู้กระทำผิดอาจมาถึงเรา เราจะยอมจำนนต่อความปรารถนาเช่นเดียวกับชาวสวนคนนั้น หรือต่อต้านเหมือนกับดาวิด เราจะเลือกความชอบธรรมเหนือการแก้แค้นหรือไม่

ความยิ่งใหญ่

คัธเบิร์ตเป็นที่รักของผู้คนทางตอนเหนือของอังกฤษ เขาประกาศข่าวประเสริฐในดินแดนแถบนั้นในศตวรรษที่เจ็ด เขาให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์และมีอิทธิพลในกิจการของรัฐ หลังจากเขาเสียชีวิตได้มีการสร้างเมืองเดอรัมเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แต่มรดกที่คัธเบิร์ตทิ้งไว้ยังมีความยิ่งใหญ่ในอีกหลายๆด้าน

หลังจากภัยพิบัติทำลายภูมิภาคนั้น คัธเบิร์ตได้ไปเยี่ยมเมืองที่ได้รับผลกระทบเพื่อปลอบขวัญ ขณะที่จะออกจากหมู่บ้าน เขาตรวจดูว่ายังมีใครที่ต้องการให้เขาอธิษฐานเผื่ออีกหรือไม่ มีผู้หญิงคนหนึ่งกอดลูกไว้แน่น เธอเสียลูกชายไปแล้วคนหนึ่งและคนที่เธอกอดอยู่ก็กำลังจะตาย คัธเบิร์ตอุ้มเด็กที่ป่วยมาอธิษฐานและจูบที่หน้าผาก “ไม่ต้องกลัว” เขาบอกกับเธอ “เพราะจะไม่มีใครในครอบครัวของเธอต้องตายอีกแล้ว” มีรายงานว่าเด็กผู้ชายคนนั้นรอดชีวิต

ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงอุ้มเด็กชายเล็กๆเพื่อสอนบทเรียนเรื่องความยิ่งใหญ่ โดยตรัสว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา” (มก.9:37) การ “รับ” ผู้ใดในวัฒนธรรมของชาวยิวหมายถึงการรับใช้ผู้นั้นในแบบเดียวกับที่เจ้าภาพต้อนรับแขก เพราะว่าเด็กควรจะรับใช้ผู้ใหญ่ ไม่ใช่ผู้ใหญ่รับใช้เด็ก ความคิดนี้จึงเป็นเรื่องน่าตกใจ พระประสงค์ของพระเยซูคืออะไร ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือการยอมรับใช้ผู้ที่เล็กน้อยและต่ำต้อยที่สุด (ข้อ 35)

ที่ปรึกษาของกษัตริย์ ผู้ที่ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเขา แต่ในสวรรค์อาจบันทึกเรื่องราวของคัธเบิร์ตว่า เขาสังเกตเห็นแม่ผู้โศกเศร้าและจูบหน้าผากของเด็กที่ป่วยหนัก เขามีชีวิตที่ถ่อมใจสะท้อนให้เห็นถึงพระเจ้าผู้เป็นองค์เจ้านายของเขา

เอาชนะความอิจฉา

ในภาพยนตร์เรื่องอมาเดอุส นักแต่งเพลงสูงวัย อันโตนีโอ ซาลีเอรี บรรเลงเปียโนเพลงที่เขาแต่งให้นักบวชที่มาเยือนฟัง นักบวชสารภาพด้วยความละอายว่าจำทำนองไม่ได้ “แล้วเพลงนี้ล่ะ” ซาลีเอรีถามเมื่อเปลี่ยนมาเล่นทำนองที่คุ้นหู “ผมไม่รู้ว่าคุณแต่งเพลงนั้นด้วย” นักบวชกล่าว “ผมไม่ได้แต่ง” ซาลีเอรีตอบ “นั่นเป็นเพลงของโมสาร์ท!” ผู้ชมได้พบว่า ความสำเร็จของโมสาร์ททำให้ซาลีเอรีอิจฉาอย่างยิ่ง จนนำให้เขามีส่วนในการตายของโมสาร์ท

มีอีกบทเพลงที่เป็นส่วนสำคัญในเรื่องราวของความอิจฉาอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากดาวิดเอาชนะโกลิอัท ชาวอิสราเอลร้องเพลงอย่างรื่นเริงว่า “ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ” (1 ซมอ.18:7) การเปรียบเทียบนี้ทำให้กษัตริย์ซาอูลไม่พอใจ พระองค์อิจฉาความสำเร็จของดาวิดและกลัวจะเสียบัลลังก์ (ข้อ 8-9) ซาอูลเริ่มไล่ล่าดาวิดโดยมุ่งหมายจะเอาชีวิต

เช่นซาลีเอรีกับบทเพลงและซาอูลกับอำนาจ เราก็มักจะถูกทดลองให้อิจฉาคนที่มีของประทานคล้ายกับเราแต่ดีกว่าที่เรามี ไม่ว่าจะจับผิดผลงานหรือดูแคลนความสำเร็จของพวกเขา เราก็อาจหาทางทำลาย “คู่แข่ง” ของเราได้เช่นกัน

พระเจ้าทรงเลือกซาอูลให้ทำหน้าที่ของตน (10:6-7,24) ซึ่งเป็นสถานะที่ควรจะให้ความมั่นคงกับพระองค์แทนที่จะอิจฉา เราแต่ละคนได้รับการทรงเรียกที่พิเศษเช่นกัน (อฟ.2:10) วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความอิจฉาคือการเลิกเปรียบเทียบกัน แต่ให้เราฉลองความสำเร็จของกันและกันแทน

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่น

หลังจากพยายามที่จะมีลูกมาหลายปี ริชาร์ดและซูซานดีใจมากเมื่อซูซานตั้งครรภ์แต่ปัญหาสุขภาพของเธอทำให้เด็กมีความเสี่ยง ริชาร์ดจึงคอยอธิษฐานเผื่อภรรยาและลูกทุกคืน คืนหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่ต้องอธิษฐานมากก็ได้เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะดูแลทุกอย่าง แต่สัปดาห์ต่อมาซูซานแท้งลูกริชาร์ดเสียใจอย่างรุนแรงและสงสัยว่า พวกเขาเสียเด็กไปเพราะอธิษฐานไม่มากพอหรือเปล่า

เมื่ออ่านครั้งแรก เราอาจคิดว่าเรื่องราวของคำอุปมาในวันนี้บอกเช่นนั้นในเรื่องนี้เพื่อนบ้าน (บางครั้งถูกเปรียบว่าเป็นพระเจ้า) ลุกจากเตียงไปช่วยเพื่อนเพียงเพราะการรบเร้าที่น่ารำคาญของเขา (ลก.11:5-8) เมื่ออ่านตามนี้ คำอุปมาบอกเป็นนัยว่าพระเจ้าจะทรงให้สิ่งที่เราต้องการก็ต่อเมื่อเรารบเร้าพระองค์ และถ้าเราอธิษฐานไม่มากพอ พระเจ้าอาจจะไม่ช่วยเรา

แต่นักอรรถาธิบายพระคัมภีร์อย่าง ไคลน์ สน็อดกราส เชื่อว่านี่เป็นการเข้าใจคำอุปมาที่ผิด ความหมายที่แท้จริงคือถ้าเพื่อนบ้านยังช่วยเราเพราะเหตุผลที่เห็นแก่ตัว พระบิดาผู้เสียสละจะไม่ยิ่งช่วยเรามากกว่านั้นหรือ เราจึงทูลขอได้อย่างมั่นใจ (ข้อ 9-10) โดยรู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ที่บกพร่อง (ข้อ 11-13) พระองค์ไม่ใช่เพื่อนบ้านในคำอุปมาแต่ทรงเป็นแบบตรงกันข้าม

“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณจึงสูญเสียลูกไป” ผมบอกริชาร์ด “แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่เพราะคุณอธิษฐานไม่ ‘มากพอ’ พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเช่นนั้น”

บุตรของพระเจ้า

ผมเคยพูดในการประชุมของคู่แต่งงานที่ไม่มีลูกครั้งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมหลายคน ที่หัวใจสลายจากการไม่มีลูกรู้สึกหมดหวังกับอนาคต ผมพยายามให้กำลังใจพวกเขาเพราะผมเองก็ไม่มีลูกเช่นกัน “พวกคุณสามารถมีชีวิตที่มีความหมายได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อหรือแม่” ผมพูด “ผมเชื่อว่าพวกคุณถูกสร้างอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม และมีจุดมุ่งหมายใหม่ให้พวกคุณค้นหา”

หลังจากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผมพร้อมน้ำตา “ขอบคุณ” เธอพูด “ฉันรู้สึกไร้ค่ามาตลอดเพราะไม่มีลูก และต้องได้ยินว่าฉันถูกสร้างมาอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” ผมถามว่าเธอเชื่อในพระเยซูใช่ไหม “ฉันละทิ้งพระเจ้าเมื่อหลายปีก่อน” เธอกล่าว “แต่ฉันต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์อีกครั้ง”

เหตุการณ์เช่นนี้เตือนผมถึงความลึกซึ้งของพระกิตติคุณ สถานะบางอย่างเช่น “แม่” และ “พ่อ” เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุเป้าหมาย สถานะอื่นๆในด้านอาชีพการงานอาจหายไปจากการถูกเลิกจ้าง แต่โดยทางพระเยซูเราได้กลายเป็น “บุตรที่รัก” ของพระเจ้า ซึ่งเป็นสถานะที่ไม่มีใครขโมยไปได้ (อฟ.5:1) และเมื่อนั้นเราจะสามารถ “ดำเนินชีวิตในความรัก” อันเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตที่อยู่เหนือบทบาทและตำแหน่งหน้าที่ใดๆ (ข้อ 2)

มนุษย์ทุกคนล้วน “มหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดด.139:14 TNCV) และทุกคนที่ติดตามพระเยซูจะกลายเป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1:12-13) ผู้หญิงคนนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยสิ้นหวังได้จากไปพร้อมความหวังที่จะค้นหาตัวตนและจุดมุ่งหมายซึ่งใหญ่กว่าที่โลกนี้จะให้ได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา