ในวาระสุดท้าย
ผมมักจะได้รับเกียรติในการนำค่ายฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ การได้ไปนอกสถานที่สองสามวันเพื่ออธิษฐานและใคร่ครวญช่วยฟื้นฟูได้อย่างลึกซึ้ง บางครั้งในระหว่างรายการ ผมจะขอให้ผู้ร่วมค่ายทำแบบฝึกหัด “ลองจินตนาการว่าชีวิตของคุณสิ้นสุดลงและข่าวมรณกรรมของคุณจะอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณอยากให้มันเขียนว่าอะไร” ผลปรากฏว่าผู้ร่วมค่ายบางคนเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต และตั้งเป้าว่าจะทำให้ชีวิตของตนจบลงอย่างงดงาม
2 ทิโมธี 4 มีข้อเขียนสุดท้ายของอัครทูตเปาโล แม้คาดว่าท่านจะอยู่ในช่วงวัยประมาณหกสิบเท่านั้น และแม้จะเคยเผชิญกับความตายมาก่อน ท่านรู้สึกว่าชีวิตของตนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว (2 ทธ.4:6) จะไม่มีการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐหรือเขียนจดหมายถึงคริสตจักรของท่านอีก ท่านมองย้อนกลับไปในชีวิตและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (ข้อ 7) ในขณะที่ตัวท่านยังไม่สมบูรณ์แบบ (1 ทธ.1:15-16) เปาโลประเมินชีวิตของตนว่าดำเนินกับพระเจ้าและพระกิตติคุณอย่างเต็มที่แค่ไหน ว่ากันว่าท่านได้พลีชีพเพื่อความเชื่อหลังจากนั้นไม่นาน
การคิดถึงวันสุดท้ายของชีวิตจะช่วยให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คืออะไร ถ้อยคำของเปาโลสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้เราทำตาม ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แข่งขันจนถึงที่สุด และรักษาความเชื่อ เพราะในท้ายที่สุดสิ่งสำคัญคือ เราได้ยึดมั่นในพระเจ้าและทางของพระองค์อย่างแท้จริง ขณะที่ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นเพื่อเราจะใช้ ต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ และจบชีวิตลงอย่างงดงาม
ร้องเพลงอีกครั้ง
นกรีเจนท์ฮันนี่อีตเตอร์ในออสเตรเลียกำลังประสบปัญหา พวกมันเริ่มสูญเสียเพลงของตัวเอง แม้ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 300 ตัว และเมื่อมีพวกพ้องเหลือไม่มากพอให้เรียนรู้ นกตัวผู้จึงเริ่มลืมเพลงเฉพาะของสายพันธุ์ตัวเองและทำให้หาคู่ไม่ได้
ยังดีที่นักอนุรักษ์มีแผนการช่วยกู้นกฮันนี่อีตเตอร์ โดยการร้องเพลงให้พวกมันฟัง หรือพูดอย่างเจาะจงคือ เปิดเทปเสียงนกฮันนี่อีตเตอร์ร้องเพลงเพื่อให้พวกมันเรียนรู้บทเพลงแห่งจิตใจอีกครั้ง เมื่อตัวผู้เริ่มร้องเพลงได้และดึงดูดตัวเมียได้มากขึ้น เราก็มีความหวังว่านกสายพันธุ์นี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกรอบ
ผู้เผยพระวจนะเศฟันยาห์กล่าวกับชนชาติหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา เพราะความเสื่อมทรามมากมายในหมู่ประชาชน ท่านประกาศว่าการพิพากษาของพระเจ้ากำลังจะมาถึง (ศฟย.3:1-8) ต่อมาเมื่อถ้อยคำนี้เป็นจริงผ่านการถูกจับเป็นเชลย ประชาชนก็สูญเสียบทเพลงของตัวเองเช่นกัน (สดด.137:4) แต่เศฟันยาห์มองล่วงหน้าเลยการพิพากษาไปเห็นยุคสมัยที่พระเจ้าจะเสด็จมายังชนชาติที่ถูกทำลาย ให้อภัยความบาปและร้องเพลงแก่พวกเขาว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ศฟย.3:17) ด้วยเหตุนี้ บทเพลงแห่งจิตใจของพวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง (ข้อ 14)
ไม่ว่าจะเพราะความไม่เชื่อฟังหรือการทดลองในชีวิต เราเองก็อาจสูญเสียบทเพลงแห่งความชื่นชมยินดีได้ แต่พระสุรเสียงหนึ่งกำลังร้องเพลงแห่งการให้อภัยและความรักอยู่เหนือเรา ขอให้เราฟังท่วงทำนองของพระองค์และร้องตาม
ลุกขึ้นเต้นรำ
ในวิดีโอที่ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง หญิงชราที่ดูภูมิฐานคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เธอคนนั้นคือมาร์ทา กอนซาเลซ ซัลดาญ่า อดีตนักเต้นบัลเลต์ชื่อดังที่บัดนี้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่เมื่อเสียงเพลงสวอนเลค ของไชคอฟสกี้ดังขึ้นก็ได้เกิดบางสิ่งที่มหัศจรรย์ขณะที่ดนตรีบรรเลง มือบอบบางของเธอค่อยๆ ยกขึ้น และในทันทีที่เสียงทรัมเป็ตดัง เธอก็เริ่มแสดงจากบนรถเข็นนั้น แม้สมองและร่างกายจะเสื่อมสลายลง แต่พรสวรรค์ของเธอยังคงอยู่
สิ่งที่เห็นในวิดีโอนั้นทำให้ผมคิดถึงคำสอนของเปาโลเรื่องการเป็นขึ้นจากตายใน 1 โครินธ์ 15 ที่เปรียบเทียบร่างกายของเราว่าเป็นเมล็ดพืชที่ถูกหว่านก่อนที่จะงอกขึ้นเป็นต้น ท่านกล่าวว่าแม้ร่างกายของเราจะเสื่อมสลายลงตามอายุหรือความเจ็บไข้ การไร้เกียรติ หรือถูกทำลายจากความอ่อนแอ ร่างกายของผู้เชื่อที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่ รู้จักเน่าเปื่อย มีศักดิ์ศรีและทรงอานุภาพ (ข้อ 42-44) ระหว่างเมล็ดพืชและต้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันทางอินทรียสารฉันใด เราก็ยังเป็น “เรา” หลังจากการเป็นขึ้นมาจากความตาย บุคลิกภาพและพรสวรรค์ของเราจะคงอยู่ แต่เราจะจำเริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อท่วงทำนองเพลงสวอนเลคที่อยู่ในความทรงจำเริ่มบรรเลงขึ้น มาร์ทาที่ในตอนแรกดูเศร้าสร้อย ซึ่งอาจเพราะคิดถึงสิ่งที่เธอเคยเป็นที่ไม่อาจทำได้อีกแล้ว แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งเอื้อมไปจับมือเธอไว้ และจะเป็นเช่นนั้นสำหรับเราด้วย เมื่อเสียงแตรดังขึ้น (ข้อ 52) มือหนึ่งจะเอื้อมมา และเราจะลุกขึ้นเต้นรำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บทเพลงรัก
ที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำอันเงียบสงบในบ่ายวันเสาร์ นักวิ่งวิ่งผ่านไป คันเบ็ดตกปลาหมุนไปมาขณะที่นกนางนวลกำลังแย่งชิงปลาและถุงมันฝรั่งทอด ผมกับภรรยานั่งมองคู่รักคู่หนึ่ง พวกเขามีผิวคล้ำ อายุน่าจะราวสี่สิบตอนปลาย เธอนั่งจ้องมองดวงตาของเขาขณะที่เขาร้องเพลงรักในภาษาของตนเองให้เธอฟังโดยไม่มีทีท่าเขินอาย และเสียงเพลงนั้นก็ลอยมาตามลมจนทุกคนได้ยิน
การแสดงออกที่น่าชื่นชมยินดีนี้ทำให้ผมนึกถึงพระธรรมเศฟันยาห์ ในตอนแรกคุณอาจสงสัยว่าทำไม ในยุคสมัยของเศฟันยาห์ ประชากรของพระเจ้ากระทำชั่วโดยการกราบไหว้พระเทียมเท็จ (1:4-5) ขณะที่ผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตของอิสราเอลก็เย่อหยิ่งและไม่นับถือพระเจ้า (3:4) และใจความส่วนใหญ่ของพระธรรมเล่มนี้เป็นคำประกาศของเศฟันยาห์ว่า การพิพากษาของพระเจ้าจะมาถึงไม่เพียงกับคนอิสราเอลเท่านั้น แต่กับชนทุกชาติในโลกด้วย (ข้อ 8)
กระนั้นเศฟันยาห์ยังพยากรณ์ถึงเรื่องอื่นด้วย ในวันอันมืดมิดนั้นจะมีผู้คนที่รักพระเจ้าด้วยสุดใจเกิดขึ้น (ข้อ 9-13) และสำหรับพวกเขา พระเจ้าจะเป็นเหมือนเจ้าบ่าวผู้ปีติยินดีในผู้ที่พระองค์ทรงรัก “ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ข้อ 17)
องค์พระผู้สร้าง พระบิดา นักรบ ผู้พิพากษา พระคัมภีร์มีชื่อเรียกมากมายสำหรับพระเจ้า แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นนักร้อง ผู้ขับร้องบทเพลงรักให้เราฟังด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง
หลีกเลี่ยงประตู
จมูกของเจ้ากระรอกจิ๋วดอร์เมาส์ขยุกขยิก มีของอร่อยอยู่ใกล้ๆ และแน่นอนว่ากลิ่นนั้นนำมันไปที่เครื่องให้อาหารนกที่เต็มไปด้วยเมล็ดพืชแสนอร่อย ดอร์เมาส์ไต่ลงไปตามโซ่แล้วไถลผ่านประตูเข้าไปและเริ่มกินแล้วก็กินตลอดคืน จนกระทั่งเช้ามันจึงรู้ตัวว่าเจอปัญหา ตอนนี้นกกำลังจิกมันผ่านประตูของเครื่องให้อาหาร แต่เพราะกินเมล็ดพืชเข้าไปมากตัวมันจึงใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าและไม่สามารถลอดผ่านประตูออกมาได้
ประตูทั้งหลายนั้นสามารถนำเราไปยังสถานที่ที่อัศจรรย์ หรือที่เป็นอันตรายได้ ประตูมีความสำคัญพิเศษในคำแนะนำของซาโลมอนในสุภาษิต บทที่ 5 ในเรื่องการหลีกเลี่ยงจากการทดลองทางเพศ พระองค์กล่าวว่าขณะที่ความบาปทางเพศอาจน่าหลงใหล แต่ปัญหารอเราอยู่หากเราหลงตามไป (สภษ.5:3-6) ดีที่สุดคืออยู่ให้ห่างจากมัน เพราะหากคุณเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปแล้วคุณจะติดกับดัก คุณจะเสียชื่อ ทรัพย์สมบัติของคุณจะถูกคนแปลกหน้าจิกกิน (ข้อ 7-11) ซาโลมอนแนะนำพวกเราให้มีความสุขในการมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสของเราเอง (ข้อ 15-20) คำแนะนำของพระองค์ประยุกต์เข้ากับความบาปอื่นๆได้เช่นกัน (ข้อ 21-23) ไม่ว่าจะเป็นการทดลองให้กินอาหารมากเกินไป ให้ใช้จ่ายเกินตัว หรือเรื่องอื่นๆ พระเจ้าทรงช่วยเราให้หลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักได้
เจ้าดอร์เมาส์คงจะดีใจมากเมื่อเจ้าของบ้านพบมันในเครื่องให้อาหารนกที่อยู่ในสวนและปล่อยมันออกมา ขอบคุณพระเจ้าที่พระหัตถ์ของพระองค์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราเมื่อเราติดกับดัก แต่จะดีกว่าหากเราทูลขอกำลังจากพระองค์เพื่อหลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักนั้นตั้งแต่แรก
คำแนะนำที่เปี่ยมด้วยปัญญา
เมื่อหลังคาของมหาวิหารนอทเทรอดามในปารีสเกิดไฟไหม้ในเดือนเมษายน ปี 2019 คานไม้และแผ่นตะกั่วโบราณเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดเปลวเพลิงที่ร้อนจนวิหารไม่อาจทานทนได้ หลังจากยอดของมหาวิหารหักลง ทุกคนก็หันมาสนใจหอระฆัง หากโครงไม้ของระฆังเหล็กขนาดยักษ์ถูกเผาและพังลงมา จะทำให้หอคอยทั้งสองพังทลายลงไปพร้อมกัน ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังของมหาวิหาร
นายพลกัลเล็ต ผู้บัญชาการหน่วยดับเพลิงของปารีสสั่งให้ถอนกำลังเพื่อความปลอดภัยของพนักงานดับเพลิง และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เรมี่พนักงานดับเพลิงคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความประหม่า “ด้วยความเคารพครับท่านนายพล” เขาพูด “ผมขอเสนอให้เราเอาท่อดับเพลิงขึ้นไปบนระเบียงหอคอย” เมื่อพิจารณาถึงความเปราะบางของตัวอาคารผู้บัญชาการจึงตัดความคิดนี้ออกไป แต่เรมี่ยังคงพูดต่อ ในไม่ช้านายพลกัลเล็ตก็ต้องตัดสินใจว่า จะทำตามคำแนะนำของพนักงานดับเพลิงชั้นผู้น้อยหรือปล่อยให้มหาวิหารมอดไหม้
พระคัมภีร์ได้พูดถึงการรับฟังคำแนะนำไว้มากมาย แม้ว่าบางครั้งเรื่องนี้จะอยู่ในบริบทของผู้อ่อนวัยต้องเคารพผู้อาวุโส (สภษ.6:20-23) แต่ส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น สุภาษิตกล่าวว่า “ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ” (12:15) เราชนะสงครามได้เพราะมีที่ปรึกษามาก (24:6) และมีเพียงคนโง่ที่ไม่สนใจคำแนะนำ (12:15) คนมีปัญญาฟังคำแนะนำที่ดี โดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุหรือตำแหน่งของผู้ที่ให้คำแนะนำนั้น
นายพลกัลเล็ตยอมฟังเรมี่ หอระฆังที่กำลังไหม้ถูกฉีดน้ำดับได้ทันเวลาและมหาวิหารปลอดภัย ในวันนี้คุณมีปัญหาอะไรที่ต้องการคำแนะนำจากพระเจ้าบ้าง บางครั้งพระองค์ทรงนำผู้ที่ถ่อมใจผ่านคำพูดของผู้อ่อนวัย
ความสุขแท้
ในศตวรรษที่ 10 อับ อัลเราะห์มานที่ 3 เป็นผู้ปกครองเมืองกอร์โดบา ประเทศสเปน หลังจากห้าสิบปีแห่งการครองราชย์ที่ประสบความสำเร็จ (เป็นที่รักของประชาชน เป็นที่หวาดเกรงของศัตรู และเป็นที่เคารพของมิตรสหาย) อัลเราะห์มานใคร่ครวญถึงชีวิตของตน พระองค์กล่าวถึงเอกสิทธิ์ของตนว่า “ความมั่งคั่งและเกียรติยศ อำนาจและความพึงพอใจรอคอยให้เราเรียกหาได้ทุกเวลา” แต่เมื่อพระองค์นับจำนวนวันที่มีความสุขอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้น กลับนับได้เพียง 14 วัน ช่างมีสติอะไรเช่นนี้
ผู้เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ก็เป็นผู้ที่มั่งคั่งและทรงเกียรติ (ปญจ.2:7-9) ยิ่งใหญ่และมีความสุข (1:12; 2:1-3) และพระองค์ประเมินชีวิตของตนอย่างมีสติพอกัน ทรงตระหนักว่าความร่ำรวยรังแต่จะทำให้พระองค์ต้องการมากขึ้น (5:10-11) ในขณะที่ความสนุกสนานก่อประโยชน์น้อยนิด (2:1-2) และความสำเร็จก็เป็นเรื่องของโอกาสพอๆกับความสามารถ (9:11) แต่การใคร่ครวญของพระองค์ไม่ได้จบลงด้วยความสิ้นหวังเหมือนอัลเราะห์มาน พระองค์เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความสุขแท้ จึงทรงมองว่าการกินดื่ม ทำงาน และการทำดีเป็นสิ่งที่น่ายินดีเมื่อมีพระเจ้า (2:25; 3:12-13)
“โธ่เอ๋ย!” อัลเราะห์มานสรุปการคิดใคร่ครวญของตนว่า “อย่าได้เชื่อมั่นในโลกนี้!” ผู้เขียนปัญญาจารย์คงจะเห็นด้วย เพราะว่าเราถูกสร้างมาเพื่อนิรันดร์กาล (3:11) ความพึงพอใจและความสำเร็จในโลกนี้ไม่อาจเติมเต็มเราได้ แต่การสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตเรา ทำให้เรามีความสุขแท้ได้ในการกิน การทำงาน และการใช้ชีวิต
ผลกระทบของการเริ่มต้นใหม่
เมื่อไบรโอนีอายุสามสิบ เธอรู้สึกเศร้าใจที่ยังต้องทำงานขายที่เธอไม่เคยชอบ เธอตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องเลิกลังเลและมองหาอาชีพใหม่ สำหรับเดวิด เขายืนมองดูตัวเองหน้ากระจกในวันส่งท้ายปีเก่า และปฏิญาณว่านี่จะเป็นปีที่เขาลดน้ำหนักได้ และสำหรับเจมส์เขาเฝ้ามองแต่ละเดือนที่ผ่านไปโดยที่การระเบิดความโกรธของเขาไม่ได้ลดลงเลย เขาสัญญากับตัวเองว่าเดือนหน้าเขาจะพยายามมากขึ้น
หากคุณเคยปฏิญาณว่าจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเริ่มต้นเดือนใหม่ ปีใหม่ หรือในวันเกิด คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นคนเดียว นักวิจัยถึงกับตั้งชื่อให้สิ่งนี้ว่า ผลกระทบของการเริ่มต้นใหม่ พวกเขาแนะนำว่าเรามีแนวโน้มที่จะประเมินชีวิตของเรามากขึ้นในวันเหล่านี้บนปฏิทิน และพยายามทิ้งความล้มเหลวของเราไว้เบื้องหลังเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ เมื่อต้องการจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม เราจึงโหยหาการเริ่มต้นใหม่
ความเชื่อในพระเยซูพูดถึงความปรารถนานี้อย่างทรงพลัง และนำเสนอภาพว่าตัวตนที่ดีที่สุดของเราควรเป็นเช่นไร (คส.3:12-14) และทรงเรียกเราให้ทิ้งอดีตของเราไว้เบื้องหลัง (ข้อ 5-9) พระธรรมตอนนี้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดจากแค่การตัดสินใจหรือการปฏิญาณ แต่โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระเยซูเราได้กลายเป็นคนใหม่ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำงานในตัวเราเพื่อทำให้เราสมบูรณ์ (ข้อ 10; ทต.3:5)
การได้รับความรอดในพระเยซูเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีที่สุด ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันพิเศษบนปฏิทิน ชีวิตใหม่ของคุณสามารถเริ่มต้นได้เดี๋ยวนี้
บุตรแห่งคริสต์มาส
ลองนึกภาพพระองค์ผู้ทรงทำให้ต้นสนซีดาร์งอกออกมาจากเมล็ดพืชและเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นต้นอ่อน ผู้ทรงสร้างดวงดาวยอมลงมาบังเกิดในครรภ์ของมนุษย์ ผู้ทรงเติมเต็มท้องฟ้ายอมลงมาเป็นเพียงจุดเล็กๆบนคลื่นอัลตร้า-ซาวด์ในยุคปัจจุบัน พระเยซูผู้ทรงสภาพของพระเจ้า ทรงยอมสละทุกสิ่งจนไม่เหลืออะไร (ฟป.2:6-7) นี่ช่างเป็นความคิดที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
ลองจินตนาการถึงฉากที่พระองค์ทรงบังเกิดในหมู่บ้านที่เงียบสงบ ท่ามกลางคนเลี้ยงแกะ ทูตสวรรค์ และแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้า มีเสียงร้องของสัตว์เป็นเพลงกล่อมเด็กเพลงแรกของพระองค์ ดูสิ พระองค์ทรงเติบโตขึ้นทางด้านร่างกายและเป็นที่โปรดปรานของผู้คน เป็นเด็กหนุ่มที่ทำให้บรรดาอาจารย์ต้องประหลาดใจในการตอบสำหรับคำถามยากๆ ในฐานะชายหนุ่ม พระองค์ทรงได้รับการรับรองจากพระบิดาในสวรรค์ที่แม่น้ำจอร์แดน และในถิ่นทุรกันดารขณะทรงปล้ำสู้กับความหิวและการอธิษฐาน
ต่อจากนั้นพระองค์ทรงเปิดตัวพันธกิจที่พลิกโลกด้วยการรักษาคนป่วย สัมผัสคนโรคเรื้อน ให้อภัยผู้ที่ทำผิด ดูสิ พระองค์ทรงคุกเข่าอยู่ในสวนด้วยความทุกข์ทรมาน และพวกเขาจับกุมพระองค์ขณะที่สหายสนิทของพระองค์ต่างพากันหนีไป ดูสิ เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน โดยทรงแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกไว้บนบ่า แต่ดูสิ เมื่อหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์ หลุมฝังศพก็ว่างเปล่า เพราะพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่!
ดูสิ พระองค์ทรงถูกยกขึ้นสูงสุด (ข้อ 9) พระนามของพระองค์เต็มท้องฟ้าและแผ่นดินโลก (ข้อ 10-11) พระผู้สร้างดวงดาวองค์นี้ได้ทรงมาบังเกิดโดยเป็นจุดเล็กๆบนคลื่นอัลตร้าซาวด์ นี่แหละบุตรแห่งคริสต์มาสของเรา