เสมือนพี่น้องชายหญิง
เมื่อผู้นำขอให้ผมพูดกับคาเรนเป็นการส่วนตัว ผมพบเธอในห้องให้คำปรึกษา เธอตาแดงและน้ำตาอาบแก้ม คาเรนวัย 42 ปีปรารถนาที่จะแต่งงาน และเวลานี้ชายคนหนึ่งแสดงความสนใจในตัวเธอ แต่เขาเป็นเจ้านายของเธอและมีภรรยาแล้ว
เพราะมีพี่ชายที่กลั่นแกล้งเธออย่างโหดร้ายและพ่อที่ไร้ความรัก คาเรนรู้ตัวว่าเธออ่อนไหวง่ายต่อการเข้าหาของผู้ชาย การฟื้นฟูความเชื่ออีกครั้งทำให้เธอมีขอบเขตที่เหมาะสมในการดำเนินชีวิต แต่ความปรารถนาของเธอยังคงอยู่ และแสงอันริบหรี่ของความรักซึ่งเธอไม่อาจมีได้นี้ช่างทุกข์ทรมาน
หลังการพูดคุย ผมกับคาเรนก้มศีรษะลง และในคำอธิษฐานจากใจจริงและกอปรด้วยฤทธิ์เดช คาเรนได้สารภาพสิ่งยั่วยวนใจ สั่งผูกมัดการละเมิดของเจ้านาย ทูลมอบความปรารถนาที่มีไว้กับพระเจ้าและออกจากห้องไปอย่างโล่งใจ
วันนั้นผมตระหนักถึงคำแนะนำชาญฉลาดของเปาโล ที่ให้ปฏิบัติต่อกันเสมือนพี่น้องชายหญิงในความเชื่อ (1 ทธ.5:1-2) วิธีที่เรามองผู้คนเป็นตัวกำหนดวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา และในโลกที่ไวในการมองคนอื่นเป็นวัตถุและเรื่องทางเพศ การมองเพศตรงข้ามเสมือนเป็นคนในครอบครัวจะช่วยให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความห่วงใยและเหมาะสม ความเป็นพี่น้องที่เข้มแข็งจะไม่ล่วงละเมิดหรือล่อลวงกัน
การรู้จักแต่ผู้ชายที่ดูหมิ่น ใช้ประโยชน์หรือเมินเฉยต่อเธอ คาเรนจึงต้องการคนที่เธอสามารถพูดคุยกันแบบพี่น้องชายหญิง ความงดงามของข่าวประเสริฐคือการมอบพี่น้องใหม่แก่เรา เพื่อช่วยเราในการเผชิญปัญหาชีวิต
เรื่องยังไม่จบ
ในตอนจบของภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่อง ตำรวจจับตำรวจ (Line of Duty) มีผู้ชมติดตามมากเป็นประวัติการณ์เพื่อดูว่าการต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรมจะจบลงอย่างไร แต่ผู้ชมจำนวนมากต้องผิดหวังเมื่อตอนจบบอกเป็นนัยว่าในที่สุดแล้ว ฝ่ายอธรรมจะมีชัยชนะ แฟนซีรี่ย์คนหนึ่งกล่าวว่า “ผมอยากให้พวกคนเลวถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราต้องการตอนจบที่ถูกต้องชอบธรรม”
นักสังคมวิทยาปีเตอร์ เบอร์เกอร์เคยตั้งข้อสังเกตว่าคนเราหิวกระหายความหวังและความยุติธรรม โดยหวังว่าวันหนึ่งความชั่วร้ายจะพ่ายแพ้และผู้ที่ก่อเหตุร้ายจะต้องเผชิญหน้ากับการกระทำของตนเอง โลกที่คนเลวเป็นฝ่ายชนะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เราหวังว่าโลกควรจะเป็น แฟนซีรี่ย์ที่ผิดหวังเหล่านั้นอาจไม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังแสดงออกถึงความปรารถนาจากส่วนลึกของมนุษย์ที่อยากให้โลกกลับมาอยู่บนความถูกต้องอีกครั้ง
ในคำอธิษฐานของพระเยซูพระองค์ทรงรู้ว่ามีความชั่วร้าย และความชั่วนั้นไม่ได้อยู่แค่ในหมู่พวกเรา ซึ่งต้องได้รับการยกโทษ (มธ.6:12) แต่มีอยู่ทั่วไปในวงกว้าง ซึ่งต้องได้รับการช่วยให้หลุดพ้น (ข้อ 13) แต่ในความจริงนี้ยังมีความหวังอยู่ มีที่แห่งหนึ่งที่ไม่มีความชั่วร้าย นั่นคือสวรรค์ และแผ่นดินสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ในโลก (ข้อ 10) วันหนึ่งการพิพากษาของพระเจ้าจะสำเร็จ “ตอนจบอย่างถูกต้องชอบธรรม” ของพระองค์จะมาถึง และความชั่วจะถูกกำจัดสิ้นไปตลอดกาล (วว.21:4)
ดังนั้นในชีวิตจริงเมื่อคนเลวชนะและเรารู้สึกผิดหวัง ขอให้จำไว้ว่า ก่อนที่จะ “เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” เรายังมีความหวังเสมอ เพราะเรื่องนี้ยังไม่จบลง
พบที่กำบัง
ผมกับภรรยาเคยพักในโรงแรมเก่าแก่น่ารักริมทะเลที่มีหน้าต่างบานใหญ่และกำแพงหินหนา บ่ายวันหนึ่งพายุพัดผ่านเข้ามา ทำให้ทะเลปั่นป่วนและกระแทกหน้าต่างของเราราวกับถูกทุบด้วยกำปั้นอันโกรธเกรี้ยว แต่กระนั้นเรากลับรู้สึกสุขสงบ กำแพงพวกนั้นแข็งแกร่งและรากฐานของโรงแรมก็มั่นคง! ขณะที่พายุโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก ห้องพักของเราคือที่กำบัง
ที่กำบังเป็นหัวข้อสำคัญในพระคัมภีร์ ที่เริ่มต้นโดยพระเจ้าเอง “พระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน” อิสยาห์กล่าวถึงพระเจ้าว่า “ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่กำบังจากพายุ” (อสย.25:4) นอกจากนี้ที่กำบังคือสิ่งซึ่งคนของพระเจ้าเป็นและต้องจัดเตรียม ไม่ว่าจะโดยผ่านทางเมืองโบราณซึ่งเป็นเมืองลี้ภัยของอิสราเอล (กดว.35:6) หรือโดยการต้อนรับ “คนต่างด้าว” ที่ต้องการความช่วยเหลือ (ฉธบ.10:19) เราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้ในปัจจุบันเมื่อวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมโจมตีโลกของเรา ในเวลาเช่นนั้นให้เราทูลขอพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่กำบังที่จะทรงใช้เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ ในการช่วยผู้อ่อนแอให้ได้รับความปลอดภัย
พายุที่พัดถล่มโรงแรมของเราจากไปในเช้าวันรุ่งขึ้น ทิ้งเราไว้กับทะเลที่สงบและแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องให้นกนางนวลดูเปล่งประกาย เป็นภาพที่ผมยึดไว้เมื่อนึกถึงคนที่เผชิญภัยธรรมชาติหรือหนีจากระบอบของ “ผู้ที่ทารุณ” (อสย.25:4) นั่นคือพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่กำบังจะเสริมกำลังเราเพื่อจะช่วยพวกเขาให้พบความปลอดภัยในวันนี้และมีวันพรุ่งนี้ที่สดใส
ภาพเปรียบเทียบของการแต่งงาน
หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันยี่สิบสองปี บางครั้งผมก็สงสัยว่าชีวิตแต่งงานของผมกับแมร์รินไปกันได้อย่างไร ผมเป็นนักเขียนแมร์รินเป็นนักสถิติ ผมทำงานกับภาษาแต่เธอทำงานกับตัวเลข ผมอยากได้ความสุนทรีย์แต่เธออยากได้การใช้งาน เราช่างมาจากโลกที่แตกต่างกัน
แมร์รินเป็นคนที่ไปถึงก่อนเวลานัด แต่ผมสายเป็นบางครั้ง ผมลองสั่งอาหารใหม่จากเมนูแต่เธอสั่งเหมือนเดิม หลังผ่านไป 20 นาที ที่งานแสดงศิลปะผมเพิ่งจะเริ่มสนุก แต่แมร์รินลงไปรอที่ร้านกาแฟเรียบร้อยคอยว่าผมจะอยู่อีกนานแค่ไหน เราต่างให้โอกาสกันอย่างมากเพื่อฝึกความอดทน!
เรามีสิ่งที่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าจะอารมณ์ขันที่เหมือนกัน รักในการเดินทาง และมีความเชื่อเดียวกันซึ่งช่วยให้เราอธิษฐานในเวลาที่ต้องตัดสินใจและประนีประนอมเมื่อจำเป็น ความเหมือนเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างของเรากลายเป็นประโยชน์ แมร์รินคอยช่วยให้ผมรู้จักผ่อนคลาย ในขณะที่ผมช่วยให้เธอมีวินัยมากขึ้น การปรับความแตกต่างของเราเข้าหากันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
เปาโลมีเหตุผลที่ดีที่ใช้การแต่งงานเป็นภาพเปรียบเทียบสำหรับคริสตจักร (อฟ.5:21-33) เพราะคริสตจักรนั้นคือการนำคนที่ต่างกันมากๆมาอยู่ร่วมกัน ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องฝึกความถ่อมใจและความอดทน เพื่อจะ “อดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (4:2) และเช่นเดียวกับการแต่งงาน ความเชื่อเดียวกันและการรับใช้ซึ่งกันและกันจะช่วยให้คริสตจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (ข้อ 11-13)
ความแตกต่างในความสัมพันธ์อาจทำให้เกิดความไม่พอใจใหญ่โต แต่ถ้าจัดการให้ดีความต่างนั้นจะช่วยให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น
เจริญขึ้น
เพรียงหัวหอมเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด อาศัยเกาะกับหินหรือเปลือกหอย ลักษณะเหมือนหลอดพลาสติกอ่อนนุ่มที่ไหวเอนไปมาตามกระแสน้ำ เพรียงหัวหอมรับสารอาหารจากน้ำที่ไหลผ่านตัวมัน มันใช้ชีวิตติดอยู่กับที่ แตกต่างจากตอนเป็นตัวอ่อนที่ว่ายน้ำได้
ชีวิตของเพรียงหัวหอมเริ่มต้นด้วยการเป็นเหมือนลูกอ๊อดที่มีแกนสันหลังและสมองสำหรับช่วยหาอาหารและหลบหลีกอันตราย ตอนเป็นตัวอ่อนมันจะว่ายน้ำสำรวจไปทั่วในมหาสมุทร แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อมันเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย มันจะเกาะติดอยู่กับหิน หยุดสำรวจและหยุดโต จุดหักมุมที่น่าสยดสยองคือมันจะย่อยสมองของมันเอง
ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีสมอง ขยับไปมาตามกระแสน้ำ อัครทูตเปโตรหนุนใจเราไม่ให้เป็นเหมือนเพรียงหัวหอม เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับเรานั้นหมายถึงการรับส่วนในสภาพของพระเจ้า (2 ปต.1:4) คุณและผมถูกเรียกให้ เจริญขึ้น คือเติบโตทางจิตใจในความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ (3:18) ทางฝ่ายวิญญาณคือมีคุณลักษณะ เช่น คุณธรรม ความดี ความอุตสาหะ ขันติหรือความเหนี่ยวรั้งตน (1:5-7) และทางการกระทำ โดยแสวงหาหนทางใหม่ที่จะรัก ต้อนรับเลี้ยงดู และรับใช้ผู้อื่นด้วยของประทานของเรา (1 ปต.4:7-11) เปโตรกล่าวว่า การเจริญขึ้นนี้จะทำให้ชีวิตของท่าน “เกิดประโยชน์และเกิดผล” (2 ปต.1:8)
การเรียกร้องให้เจริญขึ้นนี้มีความสำคัญต่อคนในวัย 70 เท่าๆกับคนในวัยรุ่น พระลักษณะของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร เรายังว่ายไปได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น จงสำรวจพระลักษณะนิรันดร์ของพระเจ้า จงออกไปผจญภัยใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ศึกษา ลองเสี่ยง และ เจริญขึ้น
ความอ่อนโยนของพระเจ้า
ครั้งหนึ่งผมได้ฟังนักธุรกิจคนหนึ่งเล่าว่าช่วงเรียนวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่เขามักรู้สึก “หมดหนทางและสิ้นหวัง” จากการสู้กับโรคซึมเศร้า น่าเศร้าที่เขาไม่เคยพูดคุยกับหมอเรื่องความรู้สึกเหล่านี้ แต่กลับเริ่มวางแผนที่รุนแรงมาก โดยการสั่งหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายจากห้องสมุดในพื้นที่และกำหนดวันที่จะปลิดชีวิตตนเอง
พระเจ้าทรงห่วงใยผู้ที่หมดหนทางและสิ้นหวัง เราพบเรื่องนี้จากการปฏิบัติต่อคนในพระคัมภีร์ในยามที่พวกเขามืดมน เมื่อโยนาห์อยากตาย พระเจ้าสนทนากับท่านอย่างอ่อนโยน (ยนา.4:3-10) เมื่อเอลียาห์ทูลขอให้ท่านตายเสียที (1 พกษ.19:4) พระเจ้าทรงจัดเตรียมขนมปังและน้ำเพื่อให้ท่านสดชื่น (ข้อ 5-9) ตรัสกับท่านอย่างอ่อนโยน (ข้อ 11-13) และช่วยให้เห็นว่าท่านไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด (ข้อ 18) พระเจ้าทรงเข้าถึงผู้ที่ท้อแท้ด้วยการกระทำและความช่วยเหลือที่อ่อนโยน
ห้องสมุดแจ้งมายังนักศึกษาเมื่อหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายพร้อมให้มารับได้ แต่เกิดเหตุสับสน ใบแจ้งนั้นส่งไปยังที่อยู่ของพ่อแม่เขา เมื่อแม่โทรถึงเขาด้วยความว้าวุ่นใจ เขาจึงตระหนักว่าการฆ่าตัวตายจะนำหายนะมา หากที่อยู่ไม่สับสน เขาเล่าว่าเขาคงจะไม่มาอยู่ที่นี่ในวันนี้
ผมไม่เชื่อว่านักศึกษาคนนั้นรอดชีวิตเพราะโชคหรือบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังและน้ำในยามที่เราต้องการ หรือที่อยู่ผิดในเวลาที่เหมาะเจาะ เมื่อการแทรกแซงน่าพิศวงช่วยชีวิตเราไว้ เราก็ได้พบกับความอ่อนโยนของพระเจ้า
ความเอื้อเฟื้อและความยินดี
นักวิจัยบอกว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความเอื้อเฟื้อกับความยินดี ผู้ที่ให้เงินและเวลากับผู้อื่นจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไม่ให้ ซึ่งทำให้นักจิตวิทยาคนหนึ่งสรุปว่า “ให้เราเลิกคิดว่าการให้เป็นหน้าที่ทางศีลธรรม แล้วเริ่มคิดว่ามันเป็นบ่อเกิดของความสุข”
ในขณะที่การให้ทำให้เรามีความสุข ผมมีคำถามว่าความสุขควรเป็นเป้าหมายในการให้ของเราไหม ถ้าเราเอื้อเฟื้อแค่กับคนหรือเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกดี แล้วความต้องการในฝ่ายโลกหรือที่ยากกว่านั้นที่ต้องให้เราช่วยเหลือล่ะ
พระคัมภีร์เชื่อมโยงความเอื้อเฟื้อกับความยินดีไว้เช่นกัน แต่บนพื้นฐานที่ต่างออกไป เมื่อกษัตริย์ดาวิดมอบทรัพย์สินของพระองค์เพื่อสร้างพระนิเวศแล้ว ก็ได้เชิญชวนคนอิสราเอลให้ถวายด้วย (1 พศด.29:1-5) ผู้คนตอบรับด้วยใจเอื้อเฟื้อโดยให้ทองคำ เงินและเพชรพลอยด้วยความยินดี (ข้อ 6-8) แต่ให้สังเกตเรื่องที่ทำให้พวกเขายินดี “แล้วประชาชนก็เปรมปรีดิ์ เพราะเขาถวายสิ่งเหล่านี้ตามความสมัครใจของเขา เพราะเขาถวายด้วยความจริงใจแด่พระเจ้า” (ข้อ 9) พระคัมภีร์ไม่เคยบอกให้เราให้เพื่อเราจะมีความสุข แต่ที่เราจะให้ด้วยความสมัครใจและด้วยสุดใจเพื่อตอบสนองตามความต้องการที่มี แล้วความยินดีจึงมักจะตามมา
บรรดามิชชันนารีรู้ดีว่าการหาทุนเพื่อการประกาศนั้นทำได้ง่ายกว่าเพื่องานบริหารจัดการ เพราะผู้เชื่อในพระเยซูชอบความรู้สึกของการให้ทุนกับงานภาคสนาม ให้เราเอื้อเฟื้อต่อความต้องการในด้านอื่นๆด้วย เพราะในที่สุดแล้วพระเยซูทรงสละพระองค์อย่างเต็มใจเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา (2 คร.8:9)
ในวาระสุดท้าย
ผมมักจะได้รับเกียรติในการนำค่ายฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ การได้ไปนอกสถานที่สองสามวันเพื่ออธิษฐานและใคร่ครวญช่วยฟื้นฟูได้อย่างลึกซึ้ง บางครั้งในระหว่างรายการ ผมจะขอให้ผู้ร่วมค่ายทำแบบฝึกหัด “ลองจินตนาการว่าชีวิตของคุณสิ้นสุดลงและข่าวมรณกรรมของคุณจะอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณอยากให้มันเขียนว่าอะไร” ผลปรากฏว่าผู้ร่วมค่ายบางคนเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต และตั้งเป้าว่าจะทำให้ชีวิตของตนจบลงอย่างงดงาม
2 ทิโมธี 4 มีข้อเขียนสุดท้ายของอัครทูตเปาโล แม้คาดว่าท่านจะอยู่ในช่วงวัยประมาณหกสิบเท่านั้น และแม้จะเคยเผชิญกับความตายมาก่อน ท่านรู้สึกว่าชีวิตของตนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว (2 ทธ.4:6) จะไม่มีการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐหรือเขียนจดหมายถึงคริสตจักรของท่านอีก ท่านมองย้อนกลับไปในชีวิตและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (ข้อ 7) ในขณะที่ตัวท่านยังไม่สมบูรณ์แบบ (1 ทธ.1:15-16) เปาโลประเมินชีวิตของตนว่าดำเนินกับพระเจ้าและพระกิตติคุณอย่างเต็มที่แค่ไหน ว่ากันว่าท่านได้พลีชีพเพื่อความเชื่อหลังจากนั้นไม่นาน
การคิดถึงวันสุดท้ายของชีวิตจะช่วยให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คืออะไร ถ้อยคำของเปาโลสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้เราทำตาม ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แข่งขันจนถึงที่สุด และรักษาความเชื่อ เพราะในท้ายที่สุดสิ่งสำคัญคือ เราได้ยึดมั่นในพระเจ้าและทางของพระองค์อย่างแท้จริง ขณะที่ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นเพื่อเราจะใช้ ต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ และจบชีวิตลงอย่างงดงาม
ร้องเพลงอีกครั้ง
นกรีเจนท์ฮันนี่อีตเตอร์ในออสเตรเลียกำลังประสบปัญหา พวกมันเริ่มสูญเสียเพลงของตัวเอง แม้ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 300 ตัว และเมื่อมีพวกพ้องเหลือไม่มากพอให้เรียนรู้ นกตัวผู้จึงเริ่มลืมเพลงเฉพาะของสายพันธุ์ตัวเองและทำให้หาคู่ไม่ได้
ยังดีที่นักอนุรักษ์มีแผนการช่วยกู้นกฮันนี่อีตเตอร์ โดยการร้องเพลงให้พวกมันฟัง หรือพูดอย่างเจาะจงคือ เปิดเทปเสียงนกฮันนี่อีตเตอร์ร้องเพลงเพื่อให้พวกมันเรียนรู้บทเพลงแห่งจิตใจอีกครั้ง เมื่อตัวผู้เริ่มร้องเพลงได้และดึงดูดตัวเมียได้มากขึ้น เราก็มีความหวังว่านกสายพันธุ์นี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกรอบ
ผู้เผยพระวจนะเศฟันยาห์กล่าวกับชนชาติหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา เพราะความเสื่อมทรามมากมายในหมู่ประชาชน ท่านประกาศว่าการพิพากษาของพระเจ้ากำลังจะมาถึง (ศฟย.3:1-8) ต่อมาเมื่อถ้อยคำนี้เป็นจริงผ่านการถูกจับเป็นเชลย ประชาชนก็สูญเสียบทเพลงของตัวเองเช่นกัน (สดด.137:4) แต่เศฟันยาห์มองล่วงหน้าเลยการพิพากษาไปเห็นยุคสมัยที่พระเจ้าจะเสด็จมายังชนชาติที่ถูกทำลาย ให้อภัยความบาปและร้องเพลงแก่พวกเขาว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ศฟย.3:17) ด้วยเหตุนี้ บทเพลงแห่งจิตใจของพวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง (ข้อ 14)
ไม่ว่าจะเพราะความไม่เชื่อฟังหรือการทดลองในชีวิต เราเองก็อาจสูญเสียบทเพลงแห่งความชื่นชมยินดีได้ แต่พระสุรเสียงหนึ่งกำลังร้องเพลงแห่งการให้อภัยและความรักอยู่เหนือเรา ขอให้เราฟังท่วงทำนองของพระองค์และร้องตาม