ภาพเปรียบเทียบของการแต่งงาน
หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันยี่สิบสองปี บางครั้งผมก็สงสัยว่าชีวิตแต่งงานของผมกับแมร์รินไปกันได้อย่างไร ผมเป็นนักเขียนแมร์รินเป็นนักสถิติ ผมทำงานกับภาษาแต่เธอทำงานกับตัวเลข ผมอยากได้ความสุนทรีย์แต่เธออยากได้การใช้งาน เราช่างมาจากโลกที่แตกต่างกัน
แมร์รินเป็นคนที่ไปถึงก่อนเวลานัด แต่ผมสายเป็นบางครั้ง ผมลองสั่งอาหารใหม่จากเมนูแต่เธอสั่งเหมือนเดิม หลังผ่านไป 20 นาที ที่งานแสดงศิลปะผมเพิ่งจะเริ่มสนุก แต่แมร์รินลงไปรอที่ร้านกาแฟเรียบร้อยคอยว่าผมจะอยู่อีกนานแค่ไหน เราต่างให้โอกาสกันอย่างมากเพื่อฝึกความอดทน!
เรามีสิ่งที่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าจะอารมณ์ขันที่เหมือนกัน รักในการเดินทาง และมีความเชื่อเดียวกันซึ่งช่วยให้เราอธิษฐานในเวลาที่ต้องตัดสินใจและประนีประนอมเมื่อจำเป็น ความเหมือนเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างของเรากลายเป็นประโยชน์ แมร์รินคอยช่วยให้ผมรู้จักผ่อนคลาย ในขณะที่ผมช่วยให้เธอมีวินัยมากขึ้น การปรับความแตกต่างของเราเข้าหากันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
เปาโลมีเหตุผลที่ดีที่ใช้การแต่งงานเป็นภาพเปรียบเทียบสำหรับคริสตจักร (อฟ.5:21-33) เพราะคริสตจักรนั้นคือการนำคนที่ต่างกันมากๆมาอยู่ร่วมกัน ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องฝึกความถ่อมใจและความอดทน เพื่อจะ “อดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (4:2) และเช่นเดียวกับการแต่งงาน ความเชื่อเดียวกันและการรับใช้ซึ่งกันและกันจะช่วยให้คริสตจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (ข้อ 11-13)
ความแตกต่างในความสัมพันธ์อาจทำให้เกิดความไม่พอใจใหญ่โต แต่ถ้าจัดการให้ดีความต่างนั้นจะช่วยให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น
เจริญขึ้น
เพรียงหัวหอมเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด อาศัยเกาะกับหินหรือเปลือกหอย ลักษณะเหมือนหลอดพลาสติกอ่อนนุ่มที่ไหวเอนไปมาตามกระแสน้ำ เพรียงหัวหอมรับสารอาหารจากน้ำที่ไหลผ่านตัวมัน มันใช้ชีวิตติดอยู่กับที่ แตกต่างจากตอนเป็นตัวอ่อนที่ว่ายน้ำได้
ชีวิตของเพรียงหัวหอมเริ่มต้นด้วยการเป็นเหมือนลูกอ๊อดที่มีแกนสันหลังและสมองสำหรับช่วยหาอาหารและหลบหลีกอันตราย ตอนเป็นตัวอ่อนมันจะว่ายน้ำสำรวจไปทั่วในมหาสมุทร แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อมันเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย มันจะเกาะติดอยู่กับหิน หยุดสำรวจและหยุดโต จุดหักมุมที่น่าสยดสยองคือมันจะย่อยสมองของมันเอง
ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีสมอง ขยับไปมาตามกระแสน้ำ อัครทูตเปโตรหนุนใจเราไม่ให้เป็นเหมือนเพรียงหัวหอม เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับเรานั้นหมายถึงการรับส่วนในสภาพของพระเจ้า (2 ปต.1:4) คุณและผมถูกเรียกให้ เจริญขึ้น คือเติบโตทางจิตใจในความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ (3:18) ทางฝ่ายวิญญาณคือมีคุณลักษณะ เช่น คุณธรรม ความดี ความอุตสาหะ ขันติหรือความเหนี่ยวรั้งตน (1:5-7) และทางการกระทำ โดยแสวงหาหนทางใหม่ที่จะรัก ต้อนรับเลี้ยงดู และรับใช้ผู้อื่นด้วยของประทานของเรา (1 ปต.4:7-11) เปโตรกล่าวว่า การเจริญขึ้นนี้จะทำให้ชีวิตของท่าน “เกิดประโยชน์และเกิดผล” (2 ปต.1:8)
การเรียกร้องให้เจริญขึ้นนี้มีความสำคัญต่อคนในวัย 70 เท่าๆกับคนในวัยรุ่น พระลักษณะของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร เรายังว่ายไปได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น จงสำรวจพระลักษณะนิรันดร์ของพระเจ้า จงออกไปผจญภัยใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ศึกษา ลองเสี่ยง และ เจริญขึ้น
ความอ่อนโยนของพระเจ้า
ครั้งหนึ่งผมได้ฟังนักธุรกิจคนหนึ่งเล่าว่าช่วงเรียนวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่เขามักรู้สึก “หมดหนทางและสิ้นหวัง” จากการสู้กับโรคซึมเศร้า น่าเศร้าที่เขาไม่เคยพูดคุยกับหมอเรื่องความรู้สึกเหล่านี้ แต่กลับเริ่มวางแผนที่รุนแรงมาก โดยการสั่งหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายจากห้องสมุดในพื้นที่และกำหนดวันที่จะปลิดชีวิตตนเอง
พระเจ้าทรงห่วงใยผู้ที่หมดหนทางและสิ้นหวัง เราพบเรื่องนี้จากการปฏิบัติต่อคนในพระคัมภีร์ในยามที่พวกเขามืดมน เมื่อโยนาห์อยากตาย พระเจ้าสนทนากับท่านอย่างอ่อนโยน (ยนา.4:3-10) เมื่อเอลียาห์ทูลขอให้ท่านตายเสียที (1 พกษ.19:4) พระเจ้าทรงจัดเตรียมขนมปังและน้ำเพื่อให้ท่านสดชื่น (ข้อ 5-9) ตรัสกับท่านอย่างอ่อนโยน (ข้อ 11-13) และช่วยให้เห็นว่าท่านไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด (ข้อ 18) พระเจ้าทรงเข้าถึงผู้ที่ท้อแท้ด้วยการกระทำและความช่วยเหลือที่อ่อนโยน
ห้องสมุดแจ้งมายังนักศึกษาเมื่อหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายพร้อมให้มารับได้ แต่เกิดเหตุสับสน ใบแจ้งนั้นส่งไปยังที่อยู่ของพ่อแม่เขา เมื่อแม่โทรถึงเขาด้วยความว้าวุ่นใจ เขาจึงตระหนักว่าการฆ่าตัวตายจะนำหายนะมา หากที่อยู่ไม่สับสน เขาเล่าว่าเขาคงจะไม่มาอยู่ที่นี่ในวันนี้
ผมไม่เชื่อว่านักศึกษาคนนั้นรอดชีวิตเพราะโชคหรือบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังและน้ำในยามที่เราต้องการ หรือที่อยู่ผิดในเวลาที่เหมาะเจาะ เมื่อการแทรกแซงน่าพิศวงช่วยชีวิตเราไว้ เราก็ได้พบกับความอ่อนโยนของพระเจ้า
ความเอื้อเฟื้อและความยินดี
นักวิจัยบอกว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความเอื้อเฟื้อกับความยินดี ผู้ที่ให้เงินและเวลากับผู้อื่นจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไม่ให้ ซึ่งทำให้นักจิตวิทยาคนหนึ่งสรุปว่า “ให้เราเลิกคิดว่าการให้เป็นหน้าที่ทางศีลธรรม แล้วเริ่มคิดว่ามันเป็นบ่อเกิดของความสุข”
ในขณะที่การให้ทำให้เรามีความสุข ผมมีคำถามว่าความสุขควรเป็นเป้าหมายในการให้ของเราไหม ถ้าเราเอื้อเฟื้อแค่กับคนหรือเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกดี แล้วความต้องการในฝ่ายโลกหรือที่ยากกว่านั้นที่ต้องให้เราช่วยเหลือล่ะ
พระคัมภีร์เชื่อมโยงความเอื้อเฟื้อกับความยินดีไว้เช่นกัน แต่บนพื้นฐานที่ต่างออกไป เมื่อกษัตริย์ดาวิดมอบทรัพย์สินของพระองค์เพื่อสร้างพระนิเวศแล้ว ก็ได้เชิญชวนคนอิสราเอลให้ถวายด้วย (1 พศด.29:1-5) ผู้คนตอบรับด้วยใจเอื้อเฟื้อโดยให้ทองคำ เงินและเพชรพลอยด้วยความยินดี (ข้อ 6-8) แต่ให้สังเกตเรื่องที่ทำให้พวกเขายินดี “แล้วประชาชนก็เปรมปรีดิ์ เพราะเขาถวายสิ่งเหล่านี้ตามความสมัครใจของเขา เพราะเขาถวายด้วยความจริงใจแด่พระเจ้า” (ข้อ 9) พระคัมภีร์ไม่เคยบอกให้เราให้เพื่อเราจะมีความสุข แต่ที่เราจะให้ด้วยความสมัครใจและด้วยสุดใจเพื่อตอบสนองตามความต้องการที่มี แล้วความยินดีจึงมักจะตามมา
บรรดามิชชันนารีรู้ดีว่าการหาทุนเพื่อการประกาศนั้นทำได้ง่ายกว่าเพื่องานบริหารจัดการ เพราะผู้เชื่อในพระเยซูชอบความรู้สึกของการให้ทุนกับงานภาคสนาม ให้เราเอื้อเฟื้อต่อความต้องการในด้านอื่นๆด้วย เพราะในที่สุดแล้วพระเยซูทรงสละพระองค์อย่างเต็มใจเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา (2 คร.8:9)
ในวาระสุดท้าย
ผมมักจะได้รับเกียรติในการนำค่ายฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ การได้ไปนอกสถานที่สองสามวันเพื่ออธิษฐานและใคร่ครวญช่วยฟื้นฟูได้อย่างลึกซึ้ง บางครั้งในระหว่างรายการ ผมจะขอให้ผู้ร่วมค่ายทำแบบฝึกหัด “ลองจินตนาการว่าชีวิตของคุณสิ้นสุดลงและข่าวมรณกรรมของคุณจะอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณอยากให้มันเขียนว่าอะไร” ผลปรากฏว่าผู้ร่วมค่ายบางคนเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต และตั้งเป้าว่าจะทำให้ชีวิตของตนจบลงอย่างงดงาม
2 ทิโมธี 4 มีข้อเขียนสุดท้ายของอัครทูตเปาโล แม้คาดว่าท่านจะอยู่ในช่วงวัยประมาณหกสิบเท่านั้น และแม้จะเคยเผชิญกับความตายมาก่อน ท่านรู้สึกว่าชีวิตของตนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว (2 ทธ.4:6) จะไม่มีการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐหรือเขียนจดหมายถึงคริสตจักรของท่านอีก ท่านมองย้อนกลับไปในชีวิตและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (ข้อ 7) ในขณะที่ตัวท่านยังไม่สมบูรณ์แบบ (1 ทธ.1:15-16) เปาโลประเมินชีวิตของตนว่าดำเนินกับพระเจ้าและพระกิตติคุณอย่างเต็มที่แค่ไหน ว่ากันว่าท่านได้พลีชีพเพื่อความเชื่อหลังจากนั้นไม่นาน
การคิดถึงวันสุดท้ายของชีวิตจะช่วยให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คืออะไร ถ้อยคำของเปาโลสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้เราทำตาม ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แข่งขันจนถึงที่สุด และรักษาความเชื่อ เพราะในท้ายที่สุดสิ่งสำคัญคือ เราได้ยึดมั่นในพระเจ้าและทางของพระองค์อย่างแท้จริง ขณะที่ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นเพื่อเราจะใช้ ต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ และจบชีวิตลงอย่างงดงาม
ร้องเพลงอีกครั้ง
นกรีเจนท์ฮันนี่อีตเตอร์ในออสเตรเลียกำลังประสบปัญหา พวกมันเริ่มสูญเสียเพลงของตัวเอง แม้ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 300 ตัว และเมื่อมีพวกพ้องเหลือไม่มากพอให้เรียนรู้ นกตัวผู้จึงเริ่มลืมเพลงเฉพาะของสายพันธุ์ตัวเองและทำให้หาคู่ไม่ได้
ยังดีที่นักอนุรักษ์มีแผนการช่วยกู้นกฮันนี่อีตเตอร์ โดยการร้องเพลงให้พวกมันฟัง หรือพูดอย่างเจาะจงคือ เปิดเทปเสียงนกฮันนี่อีตเตอร์ร้องเพลงเพื่อให้พวกมันเรียนรู้บทเพลงแห่งจิตใจอีกครั้ง เมื่อตัวผู้เริ่มร้องเพลงได้และดึงดูดตัวเมียได้มากขึ้น เราก็มีความหวังว่านกสายพันธุ์นี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกรอบ
ผู้เผยพระวจนะเศฟันยาห์กล่าวกับชนชาติหนึ่งที่กำลังประสบปัญหา เพราะความเสื่อมทรามมากมายในหมู่ประชาชน ท่านประกาศว่าการพิพากษาของพระเจ้ากำลังจะมาถึง (ศฟย.3:1-8) ต่อมาเมื่อถ้อยคำนี้เป็นจริงผ่านการถูกจับเป็นเชลย ประชาชนก็สูญเสียบทเพลงของตัวเองเช่นกัน (สดด.137:4) แต่เศฟันยาห์มองล่วงหน้าเลยการพิพากษาไปเห็นยุคสมัยที่พระเจ้าจะเสด็จมายังชนชาติที่ถูกทำลาย ให้อภัยความบาปและร้องเพลงแก่พวกเขาว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ศฟย.3:17) ด้วยเหตุนี้ บทเพลงแห่งจิตใจของพวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง (ข้อ 14)
ไม่ว่าจะเพราะความไม่เชื่อฟังหรือการทดลองในชีวิต เราเองก็อาจสูญเสียบทเพลงแห่งความชื่นชมยินดีได้ แต่พระสุรเสียงหนึ่งกำลังร้องเพลงแห่งการให้อภัยและความรักอยู่เหนือเรา ขอให้เราฟังท่วงทำนองของพระองค์และร้องตาม
ลุกขึ้นเต้นรำ
ในวิดีโอที่ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง หญิงชราที่ดูภูมิฐานคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เธอคนนั้นคือมาร์ทา กอนซาเลซ ซัลดาญ่า อดีตนักเต้นบัลเลต์ชื่อดังที่บัดนี้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่เมื่อเสียงเพลงสวอนเลค ของไชคอฟสกี้ดังขึ้นก็ได้เกิดบางสิ่งที่มหัศจรรย์ขณะที่ดนตรีบรรเลง มือบอบบางของเธอค่อยๆ ยกขึ้น และในทันทีที่เสียงทรัมเป็ตดัง เธอก็เริ่มแสดงจากบนรถเข็นนั้น แม้สมองและร่างกายจะเสื่อมสลายลง แต่พรสวรรค์ของเธอยังคงอยู่
สิ่งที่เห็นในวิดีโอนั้นทำให้ผมคิดถึงคำสอนของเปาโลเรื่องการเป็นขึ้นจากตายใน 1 โครินธ์ 15 ที่เปรียบเทียบร่างกายของเราว่าเป็นเมล็ดพืชที่ถูกหว่านก่อนที่จะงอกขึ้นเป็นต้น ท่านกล่าวว่าแม้ร่างกายของเราจะเสื่อมสลายลงตามอายุหรือความเจ็บไข้ การไร้เกียรติ หรือถูกทำลายจากความอ่อนแอ ร่างกายของผู้เชื่อที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่ รู้จักเน่าเปื่อย มีศักดิ์ศรีและทรงอานุภาพ (ข้อ 42-44) ระหว่างเมล็ดพืชและต้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันทางอินทรียสารฉันใด เราก็ยังเป็น “เรา” หลังจากการเป็นขึ้นมาจากความตาย บุคลิกภาพและพรสวรรค์ของเราจะคงอยู่ แต่เราจะจำเริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อท่วงทำนองเพลงสวอนเลคที่อยู่ในความทรงจำเริ่มบรรเลงขึ้น มาร์ทาที่ในตอนแรกดูเศร้าสร้อย ซึ่งอาจเพราะคิดถึงสิ่งที่เธอเคยเป็นที่ไม่อาจทำได้อีกแล้ว แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งเอื้อมไปจับมือเธอไว้ และจะเป็นเช่นนั้นสำหรับเราด้วย เมื่อเสียงแตรดังขึ้น (ข้อ 52) มือหนึ่งจะเอื้อมมา และเราจะลุกขึ้นเต้นรำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บทเพลงรัก
ที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำอันเงียบสงบในบ่ายวันเสาร์ นักวิ่งวิ่งผ่านไป คันเบ็ดตกปลาหมุนไปมาขณะที่นกนางนวลกำลังแย่งชิงปลาและถุงมันฝรั่งทอด ผมกับภรรยานั่งมองคู่รักคู่หนึ่ง พวกเขามีผิวคล้ำ อายุน่าจะราวสี่สิบตอนปลาย เธอนั่งจ้องมองดวงตาของเขาขณะที่เขาร้องเพลงรักในภาษาของตนเองให้เธอฟังโดยไม่มีทีท่าเขินอาย และเสียงเพลงนั้นก็ลอยมาตามลมจนทุกคนได้ยิน
การแสดงออกที่น่าชื่นชมยินดีนี้ทำให้ผมนึกถึงพระธรรมเศฟันยาห์ ในตอนแรกคุณอาจสงสัยว่าทำไม ในยุคสมัยของเศฟันยาห์ ประชากรของพระเจ้ากระทำชั่วโดยการกราบไหว้พระเทียมเท็จ (1:4-5) ขณะที่ผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตของอิสราเอลก็เย่อหยิ่งและไม่นับถือพระเจ้า (3:4) และใจความส่วนใหญ่ของพระธรรมเล่มนี้เป็นคำประกาศของเศฟันยาห์ว่า การพิพากษาของพระเจ้าจะมาถึงไม่เพียงกับคนอิสราเอลเท่านั้น แต่กับชนทุกชาติในโลกด้วย (ข้อ 8)
กระนั้นเศฟันยาห์ยังพยากรณ์ถึงเรื่องอื่นด้วย ในวันอันมืดมิดนั้นจะมีผู้คนที่รักพระเจ้าด้วยสุดใจเกิดขึ้น (ข้อ 9-13) และสำหรับพวกเขา พระเจ้าจะเป็นเหมือนเจ้าบ่าวผู้ปีติยินดีในผู้ที่พระองค์ทรงรัก “ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ข้อ 17)
องค์พระผู้สร้าง พระบิดา นักรบ ผู้พิพากษา พระคัมภีร์มีชื่อเรียกมากมายสำหรับพระเจ้า แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นนักร้อง ผู้ขับร้องบทเพลงรักให้เราฟังด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง
หลีกเลี่ยงประตู
จมูกของเจ้ากระรอกจิ๋วดอร์เมาส์ขยุกขยิก มีของอร่อยอยู่ใกล้ๆ และแน่นอนว่ากลิ่นนั้นนำมันไปที่เครื่องให้อาหารนกที่เต็มไปด้วยเมล็ดพืชแสนอร่อย ดอร์เมาส์ไต่ลงไปตามโซ่แล้วไถลผ่านประตูเข้าไปและเริ่มกินแล้วก็กินตลอดคืน จนกระทั่งเช้ามันจึงรู้ตัวว่าเจอปัญหา ตอนนี้นกกำลังจิกมันผ่านประตูของเครื่องให้อาหาร แต่เพราะกินเมล็ดพืชเข้าไปมากตัวมันจึงใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าและไม่สามารถลอดผ่านประตูออกมาได้
ประตูทั้งหลายนั้นสามารถนำเราไปยังสถานที่ที่อัศจรรย์ หรือที่เป็นอันตรายได้ ประตูมีความสำคัญพิเศษในคำแนะนำของซาโลมอนในสุภาษิต บทที่ 5 ในเรื่องการหลีกเลี่ยงจากการทดลองทางเพศ พระองค์กล่าวว่าขณะที่ความบาปทางเพศอาจน่าหลงใหล แต่ปัญหารอเราอยู่หากเราหลงตามไป (สภษ.5:3-6) ดีที่สุดคืออยู่ให้ห่างจากมัน เพราะหากคุณเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปแล้วคุณจะติดกับดัก คุณจะเสียชื่อ ทรัพย์สมบัติของคุณจะถูกคนแปลกหน้าจิกกิน (ข้อ 7-11) ซาโลมอนแนะนำพวกเราให้มีความสุขในการมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสของเราเอง (ข้อ 15-20) คำแนะนำของพระองค์ประยุกต์เข้ากับความบาปอื่นๆได้เช่นกัน (ข้อ 21-23) ไม่ว่าจะเป็นการทดลองให้กินอาหารมากเกินไป ให้ใช้จ่ายเกินตัว หรือเรื่องอื่นๆ พระเจ้าทรงช่วยเราให้หลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักได้
เจ้าดอร์เมาส์คงจะดีใจมากเมื่อเจ้าของบ้านพบมันในเครื่องให้อาหารนกที่อยู่ในสวนและปล่อยมันออกมา ขอบคุณพระเจ้าที่พระหัตถ์ของพระองค์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราเมื่อเราติดกับดัก แต่จะดีกว่าหากเราทูลขอกำลังจากพระองค์เพื่อหลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักนั้นตั้งแต่แรก