หลังวันคริสต์มาส
หลังจากความสุขยินดีทั้งมวลของวันคริสต์มาส แต่ในวันถัดมาก็รู้สึกราวกับจะสิ้นหวัง เราพักค้างคืนกับเพื่อนๆ แต่นอนไม่ค่อยหลับ แล้วรถของเราก็เสียขณะขับกลับบ้าน จากนั้นหิมะก็เริ่มตก เราต้องทิ้งรถและนั่งแท็กซี่กลับบ้านท่ามกลางหิมะกับความรู้สึก ห่อเหี่ยว
ไม่ใช่เราคนเดียวที่รู้สึกแย่หลังจากวันคริสต์มาส ไม่ว่าจะจากการกินมากเกินไป หรือจู่ๆเพลงคริสต์มาสก็หายไปจากวิทยุ หรือความจริงที่ว่าของขวัญที่เราซื้อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตอนนี้ลดเหลือครึ่งราคา ความมหัศจรรย์ของวันคริสต์มาสสลายหายไปได้อย่างรวดเร็ว!
พระคัมภีร์ไม่เคยบอกเราเกี่ยวกับวันถัดมาหลังจากที่พระเยซูประสูติ แต่เราจินตนาการได้ว่าหลังการเดินเท้าไปยังเบธเลเฮม เบียดเสียดหาที่พัก ความเจ็บปวดของมารีย์จากการคลอดบุตรและคนเลี้ยงแกะมาหาโดยไม่บอกกล่าว (ลก. 2:4-18) มารีย์และโยเซฟคงจะหมดแรง กระนั้นเมื่อมารีย์อุ้มทารกแรกเกิดอย่างทะนุถนอม ผมจินตนาการได้ถึงการตอบสนองของเธอในการมาเยือนของทูตสวรรค์ (1:30-33) คำอวยพรของนางเอลีซาเบธ (ข้อ 42-45) และการที่เธอตระหนักถึงความจริงเกี่ยวกับจุดหมายของพระกุมาร (ข้อ 46-55) มารีย์ “ใคร่ครวญ” เรื่องดังกล่าวเหล่านี้อยู่ในใจ (2:19 TNCV) ซึ่งคงจะช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยและความเจ็บปวดทางกายในวันนั้นได้
เราทุกคนล้วนมีวันที่ “ห่อเหี่ยว” และเป็นไปได้กระทั่งหลังวันคริสต์มาส ให้เราเป็นเหมือนมารีย์ ที่จะเผชิญวันเหล่านั้นโดยใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ซึ่งเสด็จมาในโลกของเรา และทำให้โลกสว่างสดใสตลอดไปด้วยการทรงสถิตของพระองค์
คริสต์มาสที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เดวิดและแองจี้รู้สึกถึงการทรงเรียกให้ย้ายไปต่างแดน และงานรับใช้ที่เกิดผลตามมานั้นดูเหมือนจะเป็นการยืนยันในเรื่องนี้ แต่เรื่องหนึ่งที่น่าเศร้าในการย้ายนี้คือ พ่อแม่ที่ชราแล้วของเดวิดต้องใช้เวลาช่วงคริสต์มาสเพียงลำพัง
ทั้งคู่พยายามคลายความเหงาของพ่อแม่ในวันคริสต์มาสด้วยการส่งของขวัญมาให้ล่วงหน้าและโทรมาตอนเช้าวันคริสต์มาส แต่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการจริงๆก็คือพวกเขา เนื่องจากรายได้ของเดวิดทำให้เขาเดินทางกลับบ้านได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น พวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง เดวิดต้องการสติปัญญา
สุภาษิตบทที่ 3 เป็นหลักสูตรเร่งรัดในการแสวงหาปัญญา ซึ่งบอกว่าเราจะได้ปัญญาจากการนำสถานการณ์ของเราทูลต่อพระเจ้า (ข้อ 5-6) โดยบรรยายลักษณะของปัญญาไว้หลายรูปแบบเช่น ความรักและความสัตย์ซื่อ (ข้อ 3-4, 7-12) และผลที่ได้คือความสงบสุขและอายุยืนยาว (ข้อ 13-18) ข้อความที่น่าประทับใจกล่าวว่าพระเจ้าประทานสติปัญญาเช่นนี้โดยรับเราไว้ “ในความไว้พระทัยของพระองค์” (ข้อ 32) พระองค์กระซิบบอกวิธีแก้ปัญหาแก่ผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์
คืนหนึ่งขณะอธิษฐานถึงปัญหานี้เดวิดก็เกิดความคิดขึ้น คริสต์มาสครั้งถัดไปเขาและแองจี้สวมเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ตกแต่งโต๊ะด้วยของประดับแวววาวและนำเนื้ออบมื้อเย็นเข้ามา พ่อแม่ของเดวิดก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นจึงวางแล็ปท็อปไว้บนโต๊ะแต่ละตัว พวกเขากินอาหารด้วยกันผ่านวิดีโอลิงก์ที่เกือบจะรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องเดียวกัน นี่จึงกลายเป็นประเพณีของครอบครัวนับตั้งแต่นั้นมา
พระเจ้าทรงรับเดวิดไว้ในพระทัยของพระองค์และประทานปัญญาแก่เขา พระองค์ทรงรักที่จะกระซิบวิธีในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แก่เรา
ดาวที่ส่องแสง
สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นในเมืองนี้คือสถานที่เล่นการพนัน ถัดมาคือร้านขายกัญชา ร้าน “สำหรับผู้ใหญ่” และป้ายโฆษณาขนาดยักษ์สำหรับพวกทนายที่ฉวยโอกาสจะหาเงินจากความตกต่ำของผู้อื่น ผมเคยเดินทางไปเมืองที่มีอบายมุขหลายแห่ง แต่ที่นี่ดูเหมือนจะตกต่ำลงไปอีก
แต่อารมณ์ของผมสดชื่นขึ้นเมื่อได้คุยกับคนขับแท็กซี่ในตอนเช้าวันต่อมา “ผมขอพระเจ้าทุกวันให้ส่งคนที่พระองค์อยากให้ผมช่วยมา” เขาเล่า “คนติดการพนัน โสเภณี คนจากครอบครัวที่แตกสลายเล่าปัญหาของพวกเขาให้ผมฟังทั้งน้ำตา ผมหยุดรถ ผมฟัง ผมอธิษฐานเผื่อพวกเขา นี่คือพันธกิจของผม”
หลังจากอธิบายเรื่องที่พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกที่ล้มลงในบาปของเรา (ฟป.2:5-8) อัครทูตเปาโลก็ได้ท้าทายผู้ที่เชื่อในพระเยซู ในขณะที่เรากระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (ข้อ 13) และยึดมั่นใน “พระวาทะแห่งชีวิต” คือ
พระกิตติคุณ (ข้อ 16) เราจะเป็น “บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส” ผู้ “ปรากฏ...ดุจดวงสว่างต่างๆในโลก” (ข้อ 15) ให้เราเป็นเหมือนคนขับแท็กซี่คนนั้นที่นำแสงแห่งพระเยซูเข้าไปในความมืด
นักประวัติศาสตร์คริสโตเฟอร์ ดอว์สันกล่าวไว้ว่า ผู้เชื่อในพระคริสต์จำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อเพื่อที่จะเปลี่ยนโลก เพราะการดำเนินชีวิตเช่นนั้น “ประกอบไปด้วยความล้ำลึกแห่งโลกฝ่ายวิญญาณ” ให้เราทูลขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงช่วยเราให้สามารถมีชีวิตที่สัตย์ซื่อในฐานะคนของพระเยซู ผู้ส่องแสงของพระองค์ไปในที่ที่มืดมิดที่สุดในโลก
ทุกคนล้วนนมัสการ
ผมไปเที่ยวที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซมาเมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่เดินไปรอบๆอะโกร่าซึ่งเป็นตลาดในยุคโบราณที่นักปรัชญาใช้ในการสั่งสอน และชาวเอเธนส์ใช้บูชาเทพเจ้านั้น ผมเห็นแท่นบูชาของเทพเจ้าอะพอลโลและซุส ตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของป้อมปราการอะโครโพลิสที่ซึ่งรูปปั้นของเทพีอะธีน่าเคยตั้งอยู่
แม้ผู้คนจะไม่ได้บูชาเทพอะพอลโลหรือซุสแล้วในปัจจุบัน แต่สังคมเราไม่ได้เคร่งศาสนาน้อยลงเลย นักเขียนนิยาย เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลสกล่าวว่า “ทุกคนล้วนนมัสการ” และเขายังเตือนอีกว่า “ถ้าคุณนมัสการเงินและสิ่งของ... คุณจะไม่มีวันมีมากพอ ถ้าคุณนมัสการร่างกายและความสวยงาม... คุณจะรู้สึกอัปลักษณ์อยู่เสมอ ถ้าคุณนมัสการความฉลาดของตนเอง... ท้ายที่สุดแล้วคุณจะรู้สึกโง่เขลา” คนในยุคเรามีรูปเคารพของตนเอง และนั่นเป็นสิ่งอันตราย
“ท่านชาวกรุงเอเธนส์!” เปาโลกล่าวขณะท่านไปเยือนที่อะโกร่า “โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา” (กจ.17:22) และท่านได้บรรยายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียวว่าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง (ข้อ 24-26) ผู้ทรงต้องการให้เรารู้จักพระองค์ (ข้อ 27) และผู้ทรงสำแดงพระองค์เองผ่านการคืนพระชนม์ของพระเยซู (ข้อ 31) โดยต่างจากเทพอะพอลโลและซุส พระเจ้าองค์นี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ และพระองค์ไม่เหมือนกับเงินทอง รูปร่างหน้าตา หรือความเฉลียวฉลาด การนมัสการพระองค์จะไม่ทำให้เราพินาศ
“พระเจ้า” ของเรานั้นคือสิ่งใดก็ตามที่เราพึ่งพาเพื่อทำให้เรามีเป้าหมายและความปลอดภัย ขอบคุณพระเจ้าที่เมื่อเทพเจ้าทุกองค์ในโลกนี้ทำให้เราผิดหวัง แต่พระเจ้าผู้เที่ยงแท้องค์เดียวนั้นทรงรอคอยที่เราจะได้พบกับพระองค์ (ข้อ 27)
ความเห็นอกเห็นใจจากสมาร์ทโฟน
คนขับรถส่งอาหารของคุณมาช้าไปไหม คุณสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อให้คะแนนหนึ่งดาวกับเขาได้ เจ้าของร้านปฏิบัติต่อคุณอย่างหยาบคายไหม คุณเขียนรีวิววิจารณ์เธอได้ ในขณะที่สมาร์ทโฟนช่วยให้เราซื้อของ ติดต่อกับเพื่อน และอื่นๆอีกมาก สมาร์ทโฟนยังให้อำนาจแก่เราในการให้คะแนนกันและกันแบบสาธารณะ และนี่อาจเป็นปัญหาได้
การให้คะแนนกันและกันด้วยวิธีนี้เป็นปัญหาเนื่องจากการตัดสินอาจทำได้โดยไม่มีบริบท คนขับได้รับคะแนนไม่ดีในการจัดส่งที่ล่าช้าเนื่องจากสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เจ้าของร้านได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบขณะที่เธอตื่นอยู่ตลอดคืนเพราะลูกที่ป่วย เราจะหลีกเลี่ยงการให้คะแนนผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร
โดยการเลียนแบบพระลักษณะของพระเจ้า ในอพยพ 34:6-7 พระเจ้าอธิบายพระองค์เองว่า “ทรงพระกรุณา และทรงกอปรด้วยพระคุณ” หมายความว่าพระองค์จะไม่ตัดสินความล้มเหลวของเราโดยไม่มีบริบท “ทรงกริ้วช้า” หมายความว่าพระองค์จะไม่โพสต์คำวิจารณ์แง่ลบหลังจากประสบการณ์แย่ๆเพียงครั้งเดียว “บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” หมายความว่า การที่พระองค์ทรงแก้ไขเราก็เพื่อประโยชน์ของเรา ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น และ “โปรดยกโทษ[จาก]การล่วงละเมิด” หมายความว่าชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดจากวันที่เราได้ดาวเดียว เนื่องจากพระลักษณะของพระเจ้าต้องเป็นรากฐานของเรา (มธ.6:33) เราจึงหลีกเลี่ยงความเลวร้ายจากสมาร์ทโฟนได้โดยใช้มันตามที่พระองค์จะทรงใช้ในยุคออนไลน์นี้ เราทุกคนสามารถให้คะแนนผู้อื่นแบบเลวร้ายได้ ขอพระวิญญาณเสริมกำลังเราที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจเล็กๆน้อยๆในวันนี้
ต้อนรับคนต่างด้าว
ในตอนที่พวกผู้หญิงและเด็กๆชาวยูเครนหลายพันคนมาถึงสถานีรถไฟกรุงเบอร์ลินเพื่อหนีภัยสงคราม พวกเขาก็ได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจ นั่นคือครอบครัวชาวเยอรมันถือป้ายที่ทำขึ้นเองเสนอให้ที่หลบภัยในบ้านของพวกเขา ป้ายหนึ่งเขียนว่า “พักได้สองคน!” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “ห้องใหญ่[ว่าง]” เมื่อถามว่าทำไมจึงเสนอการเอื้อเฟื้อเช่นนี้กับคนแปลกหน้า สตรีคนหนึ่งบอกว่าแม่ของเธอเคยต้องการที่หลบภัยขณะหลบหนีพวกนาซี เธอจึงอยากช่วยผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน
ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงเรียกคนอิสราเอลให้ดูแลผู้คนที่อยู่ห่างไกลบ้านเกิดของตน เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ปกป้องลูกกำพร้า แม่ม่ายและคนต่างด้าว (10:18) และเพราะคนอิสราเอลรู้ว่าความรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้เป็นอย่างไร “เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์” (ข้อ 19) ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งเร้าให้พวกเขาห่วงใย
แต่เรื่องนี้ยังมีอีกด้านหนึ่งคือ เมื่อหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทต้อนรับเอลียาห์คนต่างด้าวเข้ามาในบ้านของเธอนั้น เธอคือผู้ที่ได้รับพร (1 พกษ.17:9-24) เช่นเดียวกับอับราฮัมที่ได้รับพรจากแขกต่างแดนสามคน(ปฐก.18:1-15) พระเจ้ามักจะใช้การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่ออวยพรไม่เพียงแค่แขกเท่านั้นแต่เจ้าของบ้านด้วย
การต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านของคุณเป็นเรื่องยาก แต่ครอบครัวชาวเยอรมันเหล่านั้นอาจเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง เช่นกันเมื่อเราตอบสนองคนอ่อนแอด้วยความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า เราอาจประหลาดใจกับของประทานที่พระองค์ประทานแก่เราผ่านคนเหล่านั้น
สติปัญญาแบบใด
ก่อนวันอีสเตอร์ในปี 2018 ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งเข้าไปในตลาดแล้วสังหารคนไปสองคนและจับผู้หญิงคนที่สามเป็นตัวประกัน เมื่อความพยายามขอปล่อยตัวผู้หญิงล้มเหลว ตำรวจนายหนึ่งจึงยื่นข้อเสนอกับผู้ก่อการร้าย ให้ปล่อยตัวผู้หญิงแล้วจับเขาไปแทน
ข้อเสนอนี้น่าตกใจเพราะขัดแย้งกับสติปัญญาโดยทั่วไป คุณสามารถบอกถึง “สติปัญญา” ของวัฒนธรรมหนึ่งได้เสมอจากคำกล่าวที่มักถูกพูดถึง เหมือนคำพูดของคนดังที่ถูกโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย “การผจญภัยยิ่งใหญ่ที่สุดคือการใช้ชีวิตตามฝันของคุณ” อีกประโยคกล่าวว่า “รักตัวเองก่อน แล้วทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง” และประโยคที่สาม “ทำในสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อตัวคุณเอง” หากเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น เขาคงคิดถึงตัวเองก่อนแล้ววิ่งหนีไป
อัครทูตยากอบกล่าวว่ามีปัญญาสองแบบในโลก คือปัญญา “อย่างโลก” และปัญญา “จากเบื้องบน” แบบแรกถูกกำหนดโดยความมักใหญ่ใฝ่สูงและการวุ่นวายอันเห็นแก่ตนเอง (ยก.3:14-16) ส่วนแบบที่สองนั้นมาจากใจอ่อนสุภาพ การยอมจำนนและการสร้างสันติ (ข้อ 13,17-18) ปัญญาอย่างโลกให้ความสำคัญกับตนเองเป็นอันดับแรก ส่วนปัญญาจากเบื้องบนนั้นชื่นชมผู้อื่น ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่ประพฤติดีด้วยใจอ่อนสุภาพ (ข้อ 13)
ผู้ก่อการร้ายยอมรับข้อเสนอของตำรวจ ตัวประกันถูกปล่อยตัว ตำรวจนายนั้นถูกยิงและอีสเตอร์ครั้งนั้นโลกได้เห็นชายบริสุทธิ์คนหนึ่งตายแทนผู้อื่น
ปัญญาจากเบื้องบนนำไปสู่การประพฤติดีด้วยใจอ่อนสุภาพเพราะปัญญานั้นวางพระเจ้าไว้เหนือตนเอง (สภษ.9:10) แล้วสติปัญญาแบบใดที่คุณใช้ในวันนี้
แตกต่างกันได้ในพระเยซู
นักวิเคราะห์ธุรกิจชื่อฟรานซิส อีแวนส์เคยทำการศึกษาพนักงานขายประกัน 125 คนเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ น่าประหลาดใจที่ความสามารถไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่อีแวนส์พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากพนักงานขายที่มีความคิดเห็นทางการเมือง มีการศึกษา และแม้แต่ความสูงที่เหมือนกัน นักวิชาการเรียกสิ่งนี้ว่า โฮโมฟิลี (homophily) คือแนวโน้มของการชอบคนที่มีความคล้ายคลึงกับเรา
แนวโน้มที่ชอบคนที่คล้ายกับเรานี้เกิดขึ้นในด้านอื่นๆของชีวิตด้วย คือการที่เรามักจะแต่งงานและคบเพื่อนที่คล้ายกับเรา โดยธรรมชาตินั้นแนวโน้มเช่นนี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่มีการควบคุม เพราะเมื่อเราเลือกเฉพาะคนที่ “เป็นเหมือนเรา” สังคมอาจเกิดการแตกแยกในความคิดเห็นด้านเชื้อชาติ การเมือง และเศรษฐกิจ
ในช่วงศตวรรษแรก ชาวยิวอยู่เฉพาะกับชาวยิว ชาวกรีกอยู่เฉพาะกับชาวกรีก คนรวยและคนจนจะไม่ปะปนกัน แต่ในพระธรรมโรม 16:1-16 เปาโลพูดถึงคริสตจักรในกรุงโรมโดยรวมเอาปริสคาและอาควิลลา (ชาวยิว) เอเปเนทัส (กรีก) เฟบี (ผู้ “สงเคราะห์คนหลายคน” จึงน่าจะเป็นผู้มีฐานะ) และฟีโลโลกัส (ชื่อที่ใช้ทั่วไปสำหรับทาส) ผู้คนที่แตกต่างกันเหล่านี้มารวมตัวกันเพราะใคร เพราะพระเยซู ซึ่งในพระองค์นั้น “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท” (กท.3:28)
เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องการใช้ชีวิต ทำงาน และไปคริสตจักรกับคนที่เหมือนเรา แต่พระเยซูทรงผลักดันให้เราทำมากกว่านั้น ในโลกที่ผู้คนแตกแยกกันไปตามเส้นแบ่งหลายๆอย่าง พระองค์ทรงทำให้เราเป็นคนที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยก โดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะครอบครัวของพระองค์
คนชั้นล่าง
เพื่อนของฉันทำงานอยู่บนเรือพยาบาลที่มีชื่อว่าแอฟริกาเมอร์ซี่ ซึ่งให้บริการด้านการรักษาพยาบาลฟรีแก่ประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเจ้าหน้าที่จะให้บริการผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาพยาบาลวันละหลายร้อยคน
ทีมงานโทรทัศน์ที่ขึ้นไปบนเรือเป็นระยะๆได้ถ่ายทำเรื่องราวที่น่าทึ่งของบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังทำการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่และโรคเท้าปุก บางครั้งพวกเขาจะลงไปที่ชั้นล่างเพื่อสัมภาษณ์ลูกเรือคนอื่นๆ แต่งานที่มิคทำมักจะไม่มีใครสังเกตเห็น
มิคซึ่งเป็นวิศวกรยอมรับว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานในสถานที่เช่นนั้น คือที่ห้องบำบัดน้ำเสียของเรือ ปริมาณขยะบนเรือในแต่ละวันนั้นมีมากกว่าสามหมื่นกิโลกรัม การจัดการกับขยะพิษนี้เป็นงานที่ยาก ถ้าไม่มีมิคคอยดูแลท่อและปั๊มน้ำ ปฏิบัติการช่วยชีวิตของแอฟริกาเมอร์ซี่จะยุติลง
เป็นเรื่องง่ายที่จะยกย่องคนเหล่านั้นที่อยู่บน “ดาดฟ้าเรือชั้นบนสุด” ของพันธกิจคริสเตียน ในขณะที่มองข้ามผู้ที่อยู่ในครัวด้านล่าง เมื่อชาวโครินธ์ ยกย่องผู้ที่มีของประทานพิเศษเหนือผู้อื่น เปาโลเตือนพวกเขาว่าผู้เชื่อทุกคนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ในงานของพระคริสต์ (1 คร.12:7-20) และของประทานทุกอย่างล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคหรือการช่วยเหลือผู้อื่น (ข้อ 27-31) อันที่จริงยิ่งบทบาทนั้นโดดเด่นน้อยเท่าไหร่ ยิ่งสมควรจะได้รับเกียรติมากขึ้นเท่านั้น (ข้อ 22-24)
คุณเป็นคน “ชั้นล่าง” หรือเปล่า จงเงยหน้าขึ้น งานของคุณจะได้รับเกียรติจากพระเจ้าและสำคัญสำหรับเราทุกคน