ระลึกถึงพระผู้สร้าง
ผมเพิ่งอ่านนิยายเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ยอมรับความจริงว่าเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมื่อเพื่อนที่โกรธจัดบังคับให้นิโคลาเผชิญหน้ากับความจริง เธอจึงยอมเผยถึงสาเหตุ โดยบอกว่า “ฉันใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า” ทั้งๆที่เธอเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์และความมั่งคั่ง “ฉันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ชีวิตฉันมันยุ่งเหยิง ฉันไม่เคยทำอะไรได้นานเลย” ภาพของการจากโลกนี้ไปโดยรู้สึกว่าเธอยังไม่ได้ทำอะไรสำเร็จมากนักเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเกินกว่าที่นิโคลาจะคิดได้
ในช่วงเวลาเดียวกันผมก็อ่านพระธรรมปัญญาจารย์และพบสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ปัญญาจารย์ไม่ยอมให้เราหนีจากความจริงในเรื่องความตาย ซึ่งเป็น “แดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้น” (9:10) แม้การเผชิญหน้ากับความตายจะเป็นเรื่องยาก (ข้อ 2) แต่มันสามารถทำให้เราเห็นคุณค่าของทุกช่วงเวลาที่เรามีในขณะนี้ (ข้อ 4) โดยเลือกที่จะมีความสุขกับการรับประทานอาหารกับครอบครัว (ข้อ 7-9) ทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย (ข้อ 10) ออกไปผจญภัยและเผชิญความเสี่ยง (11:1, 6) และทำทุกอย่างจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้ซึ่งวันหนึ่งเราจะต้องถวายรายงาน (ข้อ 9; 12:13-14)
เพื่อนของนิโคลาชี้ให้เห็นว่าความสัตย์ซื่อและความเอื้ออาทรที่เธอมีให้กับพวกเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชีวิตของเธอไม่ได้สูญเปล่า แต่คำแนะนำของปัญญาจารย์อาจช่วยเราทุกคนให้รอดพ้นจากวิกฤตนี้ในบั้นปลายของชีวิต ด้วยการระลึกถึงพระผู้สร้างของเรา (12:1) ดำเนินตามทางของพระองค์ และน้อมรับทุกโอกาสที่พระองค์ประทานให้ เพื่อจะมีชีวิตและรักในทุกสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้ในวันนี้
ทูตสวรรค์บนกำแพง
เมื่อวอลเลซและแมรี่ บราวน์ย้ายไปยังย่านเสื่อมโทรมในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรที่แทบไม่มีชีวิต พวกเขาไม่รู้ว่าพวกแก๊งได้ใช้บริเวณบ้านและคริสตจักรของพวกเขาเป็นฐานที่มั่นใหญ่ บ้านของครอบครัวบราวน์ถูกก้อนอิฐขว้างเข้ามาทางหน้าต่าง จุดไฟเผารั้ว และลูกๆถูกข่มขู่ การข่มเหงนี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายเดือน โดยตำรวจไม่สามารถหยุดยั้งได้
พระธรรมเนหะมีย์เล่าถึงวิธีที่คนอิสราเอลสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มที่พังทลายลงขึ้นใหม่ เมื่อคนท้องถิ่นออกมา “ก่อการโกลาหลขึ้น” โดยข่มขู่พวกเขาด้วยความรุนแรง (นหม.4:8) แต่คนอิสราเอล “ได้อ้อนวอนต่อพระเจ้า...และวางยามป้องกัน” (ข้อ 9) ครอบครัวบราวน์รู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาด้วยพระธรรมตอนนี้ทั้งครอบครัวและอีกสองสามคนจึงพากันเดินรอบกำแพงคริสตจักร อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงตั้งทูตสวรรค์เป็นยามอารักขาพวกเขา พวกแก๊งส่งเสียงเย้ยหยัน แต่รุ่งขึ้นมีพวกแก๊งมาปรากฏตัวเพียงครึ่งเดียว วันต่อมามีมาแค่ห้าคน และอีกวันต่อมาก็ไม่มีใครมาเลย ภายหลังพวกบราวน์ได้ยินว่าแก๊งนี้ได้เลิกข่มขวัญผู้คนแล้ว
การตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์นี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการปกป้องตัวเราเอง แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่าการต่อต้านงานของพระเจ้าจะมาถึงและเราต้องต่อสู้ด้วยอาวุธแห่งการอธิษฐาน “จงระลึกถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงกลัว” เนหะมีย์บอกกับคนอิสราเอล (ข้อ 14) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงสามารถขจัดจิตใจที่ดุร้ายและปลดปล่อยให้เป็นไทได้
มิตรภาพอันลึกซึ้งในพระคริสต์
มีอนุสาวรีย์ในห้องอธิษฐานของวิทยาลัยไคร้สต์คอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนายแพทย์สองคนในศตวรรษที่ 17 จอห์น ฟินช์และโธมัส เบนส์ ซึ่งรู้จักกันในนาม “เพื่อนที่แยกกันไม่ออก” ทั้งคู่ร่วมกันทำงานวิจัยด้านการแพทย์และเดินทางไปด้วยกันในงานด้านการทูต เมื่อเบนส์เสียชีวิตในปีค.ศ. 1680 ฟินช์คร่ำครวญถึง “ความผูกพันลึกซึ้งฝ่ายวิญญาณอันไม่มีวันแตกสลาย” ของพวกเขาที่มีมายาวนานถึงสามสิบหกปี ความสัมพันธ์เหล่านั้นคือมิตรภาพของความรัก ความซื่อสัตย์และคำมั่นสัญญา
กษัตริย์ดาวิดและโยนาธานมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นพอๆกัน ทั้งสองต่างรักและผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง (1ซมอ.20:41) และแม้กระทั่งให้คำมั่นสัญญาต่อกัน (ข้อ 8-17,42) มิตรภาพของพวกเขาเป็นเครื่องหมายของความซื่อสัตย์อย่างสูงสุด (1ซมอ.19:1-2; 20:13) โยนาธานถึงกับสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของตนเพื่อให้ดาวิดได้เป็นกษัตริย์ (20:30-31; ดู 23:15-18) เมื่อโยนาธานสิ้นพระชนม์ ดาวิดคร่ำครวญว่าความรักที่โยนาธานมีต่อพระองค์นั้น “ประหลาดเหลือยิ่งกว่าความรักของสตรี” (2 ซมอ.1:26)
ทุกวันนี้เราอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเปรียบมิตรภาพว่าเหมือนกับความผูกพันในชีวิตสมรส แต่บางทีมิตรภาพอย่างฟินช์กับเบนส์ และดาวิดกับโยนาธานอาจช่วยให้มิตรภาพของเรามีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระเยซูทรงยินดีให้มิตรสหายเอนตัวอยู่ใกล้พระองค์ (ยน.13:23-25) และความรัก ความซื่อสัตย์และคำมั่นสัญญาที่พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นอาจเป็นรากฐานของมิตรภาพอันลึกซึ้งที่เราจะสร้างขึ้นร่วมกันได้
รับใช้ผู้อื่นเพื่อพระเยซู
นักแสดงหญิงนิเชลล์ นิโคลส์ เป็นที่จดจำมากที่สุดในการแสดงเป็นร้อยโทอูฮูร่าในซีรีส์ดั้งเดิมของเรื่องสตาร์เทรค การได้รับบทนี้ถือเป็นความสำเร็จของตัวนิโคลส์เองที่ทำให้เธอเป็นหนึ่งในหญิงชาวอัฟริกันอเมริกันคนแรกๆในรายการทีวีสำคัญ แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
จริงๆแล้วนิโคลส์ได้ลาออกจากสตาร์เทรคหลังจากซีซั่นแรก เพื่อจะกลับไปแสดงละครเวที แต่แล้วเธอก็ได้พบกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ผู้ขอร้องไม่ให้เธอลาออก เขาบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ชาวอัฟริกันอเมริกันได้ออกทีวีโดยรับบทเป็นคนเก่งที่ทำอะไรก็ได้แม้แต่ไปอวกาศ ด้วยการแสดงเป็นร้อยโทอูฮูร่าทำให้นิโคลส์ได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงและเด็กๆผิวสีก็เป็นคนเก่งได้
สิ่งนี้ทำให้ผมคิดถึงตอนที่ยากอบและยอห์นขอพระเยซูถึงตำแหน่งที่ดีที่สุดสองตำแหน่งในแผ่นดินของพระองค์ (มก.10:37) การได้ตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะเป็นความสำเร็จจริงๆ! พระเยซูไม่เพียงอธิบายความจริงที่แสนเจ็บปวดให้กับคำขอนี้ (ข้อ 38-40) แต่ยังทรงเรียกร้องให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายที่สูงกว่า โดยบอกว่า “ผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” (ข้อ 43) ผู้ติดตามของพระองค์จะไม่แสวงหาความสำเร็จสำหรับตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นเหมือนพระองค์ คือใช้ตำแหน่งของพวกเขาเพื่อรับใช้ผู้อื่น (ข้อ 45)
นิเชลล์ นิโคลส์อยู่กับสตาร์เทรคเพื่อจะได้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในการเตรียมทางให้กับคนอัฟริกันอเมริกัน ขอให้เราอย่าพึงพอใจเพียงแค่ความสำเร็จของตัวเองเท่านั้น แต่ให้เราใช้ตำแหน่งที่เราได้รับไม่ว่าจะเป็นอะไรเพื่อรับใช้ผู้อื่นในพระนามของพระองค์
หลังวันคริสต์มาส
หลังจากความสุขยินดีทั้งมวลของวันคริสต์มาส แต่ในวันถัดมาก็รู้สึกราวกับจะสิ้นหวัง เราพักค้างคืนกับเพื่อนๆ แต่นอนไม่ค่อยหลับ แล้วรถของเราก็เสียขณะขับกลับบ้าน จากนั้นหิมะก็เริ่มตก เราต้องทิ้งรถและนั่งแท็กซี่กลับบ้านท่ามกลางหิมะกับความรู้สึก ห่อเหี่ยว
ไม่ใช่เราคนเดียวที่รู้สึกแย่หลังจากวันคริสต์มาส ไม่ว่าจะจากการกินมากเกินไป หรือจู่ๆเพลงคริสต์มาสก็หายไปจากวิทยุ หรือความจริงที่ว่าของขวัญที่เราซื้อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตอนนี้ลดเหลือครึ่งราคา ความมหัศจรรย์ของวันคริสต์มาสสลายหายไปได้อย่างรวดเร็ว!
พระคัมภีร์ไม่เคยบอกเราเกี่ยวกับวันถัดมาหลังจากที่พระเยซูประสูติ แต่เราจินตนาการได้ว่าหลังการเดินเท้าไปยังเบธเลเฮม เบียดเสียดหาที่พัก ความเจ็บปวดของมารีย์จากการคลอดบุตรและคนเลี้ยงแกะมาหาโดยไม่บอกกล่าว (ลก. 2:4-18) มารีย์และโยเซฟคงจะหมดแรง กระนั้นเมื่อมารีย์อุ้มทารกแรกเกิดอย่างทะนุถนอม ผมจินตนาการได้ถึงการตอบสนองของเธอในการมาเยือนของทูตสวรรค์ (1:30-33) คำอวยพรของนางเอลีซาเบธ (ข้อ 42-45) และการที่เธอตระหนักถึงความจริงเกี่ยวกับจุดหมายของพระกุมาร (ข้อ 46-55) มารีย์ “ใคร่ครวญ” เรื่องดังกล่าวเหล่านี้อยู่ในใจ (2:19 TNCV) ซึ่งคงจะช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยและความเจ็บปวดทางกายในวันนั้นได้
เราทุกคนล้วนมีวันที่ “ห่อเหี่ยว” และเป็นไปได้กระทั่งหลังวันคริสต์มาส ให้เราเป็นเหมือนมารีย์ ที่จะเผชิญวันเหล่านั้นโดยใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ซึ่งเสด็จมาในโลกของเรา และทำให้โลกสว่างสดใสตลอดไปด้วยการทรงสถิตของพระองค์
คริสต์มาสที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เดวิดและแองจี้รู้สึกถึงการทรงเรียกให้ย้ายไปต่างแดน และงานรับใช้ที่เกิดผลตามมานั้นดูเหมือนจะเป็นการยืนยันในเรื่องนี้ แต่เรื่องหนึ่งที่น่าเศร้าในการย้ายนี้คือ พ่อแม่ที่ชราแล้วของเดวิดต้องใช้เวลาช่วงคริสต์มาสเพียงลำพัง
ทั้งคู่พยายามคลายความเหงาของพ่อแม่ในวันคริสต์มาสด้วยการส่งของขวัญมาให้ล่วงหน้าและโทรมาตอนเช้าวันคริสต์มาส แต่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการจริงๆก็คือพวกเขา เนื่องจากรายได้ของเดวิดทำให้เขาเดินทางกลับบ้านได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น พวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง เดวิดต้องการสติปัญญา
สุภาษิตบทที่ 3 เป็นหลักสูตรเร่งรัดในการแสวงหาปัญญา ซึ่งบอกว่าเราจะได้ปัญญาจากการนำสถานการณ์ของเราทูลต่อพระเจ้า (ข้อ 5-6) โดยบรรยายลักษณะของปัญญาไว้หลายรูปแบบเช่น ความรักและความสัตย์ซื่อ (ข้อ 3-4, 7-12) และผลที่ได้คือความสงบสุขและอายุยืนยาว (ข้อ 13-18) ข้อความที่น่าประทับใจกล่าวว่าพระเจ้าประทานสติปัญญาเช่นนี้โดยรับเราไว้ “ในความไว้พระทัยของพระองค์” (ข้อ 32) พระองค์กระซิบบอกวิธีแก้ปัญหาแก่ผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์
คืนหนึ่งขณะอธิษฐานถึงปัญหานี้เดวิดก็เกิดความคิดขึ้น คริสต์มาสครั้งถัดไปเขาและแองจี้สวมเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ตกแต่งโต๊ะด้วยของประดับแวววาวและนำเนื้ออบมื้อเย็นเข้ามา พ่อแม่ของเดวิดก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นจึงวางแล็ปท็อปไว้บนโต๊ะแต่ละตัว พวกเขากินอาหารด้วยกันผ่านวิดีโอลิงก์ที่เกือบจะรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องเดียวกัน นี่จึงกลายเป็นประเพณีของครอบครัวนับตั้งแต่นั้นมา
พระเจ้าทรงรับเดวิดไว้ในพระทัยของพระองค์และประทานปัญญาแก่เขา พระองค์ทรงรักที่จะกระซิบวิธีในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แก่เรา
ดาวที่ส่องแสง
สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นในเมืองนี้คือสถานที่เล่นการพนัน ถัดมาคือร้านขายกัญชา ร้าน “สำหรับผู้ใหญ่” และป้ายโฆษณาขนาดยักษ์สำหรับพวกทนายที่ฉวยโอกาสจะหาเงินจากความตกต่ำของผู้อื่น ผมเคยเดินทางไปเมืองที่มีอบายมุขหลายแห่ง แต่ที่นี่ดูเหมือนจะตกต่ำลงไปอีก
แต่อารมณ์ของผมสดชื่นขึ้นเมื่อได้คุยกับคนขับแท็กซี่ในตอนเช้าวันต่อมา “ผมขอพระเจ้าทุกวันให้ส่งคนที่พระองค์อยากให้ผมช่วยมา” เขาเล่า “คนติดการพนัน โสเภณี คนจากครอบครัวที่แตกสลายเล่าปัญหาของพวกเขาให้ผมฟังทั้งน้ำตา ผมหยุดรถ ผมฟัง ผมอธิษฐานเผื่อพวกเขา นี่คือพันธกิจของผม”
หลังจากอธิบายเรื่องที่พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกที่ล้มลงในบาปของเรา (ฟป.2:5-8) อัครทูตเปาโลก็ได้ท้าทายผู้ที่เชื่อในพระเยซู ในขณะที่เรากระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (ข้อ 13) และยึดมั่นใน “พระวาทะแห่งชีวิต” คือ
พระกิตติคุณ (ข้อ 16) เราจะเป็น “บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส” ผู้ “ปรากฏ...ดุจดวงสว่างต่างๆในโลก” (ข้อ 15) ให้เราเป็นเหมือนคนขับแท็กซี่คนนั้นที่นำแสงแห่งพระเยซูเข้าไปในความมืด
นักประวัติศาสตร์คริสโตเฟอร์ ดอว์สันกล่าวไว้ว่า ผู้เชื่อในพระคริสต์จำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อเพื่อที่จะเปลี่ยนโลก เพราะการดำเนินชีวิตเช่นนั้น “ประกอบไปด้วยความล้ำลึกแห่งโลกฝ่ายวิญญาณ” ให้เราทูลขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงช่วยเราให้สามารถมีชีวิตที่สัตย์ซื่อในฐานะคนของพระเยซู ผู้ส่องแสงของพระองค์ไปในที่ที่มืดมิดที่สุดในโลก
ทุกคนล้วนนมัสการ
ผมไปเที่ยวที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซมาเมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่เดินไปรอบๆอะโกร่าซึ่งเป็นตลาดในยุคโบราณที่นักปรัชญาใช้ในการสั่งสอน และชาวเอเธนส์ใช้บูชาเทพเจ้านั้น ผมเห็นแท่นบูชาของเทพเจ้าอะพอลโลและซุส ตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของป้อมปราการอะโครโพลิสที่ซึ่งรูปปั้นของเทพีอะธีน่าเคยตั้งอยู่
แม้ผู้คนจะไม่ได้บูชาเทพอะพอลโลหรือซุสแล้วในปัจจุบัน แต่สังคมเราไม่ได้เคร่งศาสนาน้อยลงเลย นักเขียนนิยาย เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลสกล่าวว่า “ทุกคนล้วนนมัสการ” และเขายังเตือนอีกว่า “ถ้าคุณนมัสการเงินและสิ่งของ... คุณจะไม่มีวันมีมากพอ ถ้าคุณนมัสการร่างกายและความสวยงาม... คุณจะรู้สึกอัปลักษณ์อยู่เสมอ ถ้าคุณนมัสการความฉลาดของตนเอง... ท้ายที่สุดแล้วคุณจะรู้สึกโง่เขลา” คนในยุคเรามีรูปเคารพของตนเอง และนั่นเป็นสิ่งอันตราย
“ท่านชาวกรุงเอเธนส์!” เปาโลกล่าวขณะท่านไปเยือนที่อะโกร่า “โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา” (กจ.17:22) และท่านได้บรรยายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียวว่าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง (ข้อ 24-26) ผู้ทรงต้องการให้เรารู้จักพระองค์ (ข้อ 27) และผู้ทรงสำแดงพระองค์เองผ่านการคืนพระชนม์ของพระเยซู (ข้อ 31) โดยต่างจากเทพอะพอลโลและซุส พระเจ้าองค์นี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ และพระองค์ไม่เหมือนกับเงินทอง รูปร่างหน้าตา หรือความเฉลียวฉลาด การนมัสการพระองค์จะไม่ทำให้เราพินาศ
“พระเจ้า” ของเรานั้นคือสิ่งใดก็ตามที่เราพึ่งพาเพื่อทำให้เรามีเป้าหมายและความปลอดภัย ขอบคุณพระเจ้าที่เมื่อเทพเจ้าทุกองค์ในโลกนี้ทำให้เราผิดหวัง แต่พระเจ้าผู้เที่ยงแท้องค์เดียวนั้นทรงรอคอยที่เราจะได้พบกับพระองค์ (ข้อ 27)
ความเห็นอกเห็นใจจากสมาร์ทโฟน
คนขับรถส่งอาหารของคุณมาช้าไปไหม คุณสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อให้คะแนนหนึ่งดาวกับเขาได้ เจ้าของร้านปฏิบัติต่อคุณอย่างหยาบคายไหม คุณเขียนรีวิววิจารณ์เธอได้ ในขณะที่สมาร์ทโฟนช่วยให้เราซื้อของ ติดต่อกับเพื่อน และอื่นๆอีกมาก สมาร์ทโฟนยังให้อำนาจแก่เราในการให้คะแนนกันและกันแบบสาธารณะ และนี่อาจเป็นปัญหาได้
การให้คะแนนกันและกันด้วยวิธีนี้เป็นปัญหาเนื่องจากการตัดสินอาจทำได้โดยไม่มีบริบท คนขับได้รับคะแนนไม่ดีในการจัดส่งที่ล่าช้าเนื่องจากสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เจ้าของร้านได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบขณะที่เธอตื่นอยู่ตลอดคืนเพราะลูกที่ป่วย เราจะหลีกเลี่ยงการให้คะแนนผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร
โดยการเลียนแบบพระลักษณะของพระเจ้า ในอพยพ 34:6-7 พระเจ้าอธิบายพระองค์เองว่า “ทรงพระกรุณา และทรงกอปรด้วยพระคุณ” หมายความว่าพระองค์จะไม่ตัดสินความล้มเหลวของเราโดยไม่มีบริบท “ทรงกริ้วช้า” หมายความว่าพระองค์จะไม่โพสต์คำวิจารณ์แง่ลบหลังจากประสบการณ์แย่ๆเพียงครั้งเดียว “บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” หมายความว่า การที่พระองค์ทรงแก้ไขเราก็เพื่อประโยชน์ของเรา ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น และ “โปรดยกโทษ[จาก]การล่วงละเมิด” หมายความว่าชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดจากวันที่เราได้ดาวเดียว เนื่องจากพระลักษณะของพระเจ้าต้องเป็นรากฐานของเรา (มธ.6:33) เราจึงหลีกเลี่ยงความเลวร้ายจากสมาร์ทโฟนได้โดยใช้มันตามที่พระองค์จะทรงใช้ในยุคออนไลน์นี้ เราทุกคนสามารถให้คะแนนผู้อื่นแบบเลวร้ายได้ ขอพระวิญญาณเสริมกำลังเราที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจเล็กๆน้อยๆในวันนี้