ขอความช่วยเหลือด้วยใจถ่อม
เมื่องานปาร์ตี้ใกล้เข้ามาผมและภรรยาก็เริ่มวางแผน จะมีคนมากมายมาร่วมงาน เราควรจ้างคนทำอาหารหรือไม่ ถ้าเราจะทำอาหารเองเราควรซื้อเตาบาร์บีคิวไหม แล้วเราควรซื้อเต็นท์ด้วยหรือเปล่าเพราะมีโอกาสที่ฝนอาจจะตกวันนั้น ภายในเวลาไม่นานงานปาร์ตี้ของเราเริ่มมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นและดูเหมือนไม่พึ่งพาคนอื่นเลย การพยายามเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเราเองทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น
ภาพของชุมชนตามพระคัมภีร์นั้นต้องมีทั้งการให้และรับ แม้ก่อนการล้มลงในความบาป อาดัมเองก็ต้องการความช่วยเหลือ (ปฐก.2:18) และเราถูกเรียกให้แสวงหาคำแนะนำจากคนอื่น (สภษ.15:22) และแบ่งเบาภาระของกันและกัน (กท.6:2) คริสตจักรยุคแรกเอา “ทรัพย์สิ่งของมารวมกันเป็นของกลาง” และได้ผลประโยชน์จาก “ที่ดินและทรัพย์สิ่งของ” ของกันและกัน (กจ.2:44-45) แทนที่จะแยกกันใช้ชีวิต พวกเขากลับแบ่งปัน หยิบยืม ให้และรับอยู่ภายใต้การพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างงดงาม
สุดท้ายเราขอให้แขกช่วยกันนำสลัดหรือของหวานมาร่วมงานปาร์ตี้ เพื่อนบ้านเราเอาเตาย่างบาร์บีคิวมา และเพื่อนอีกคนเอาเต็นท์มา การขอความช่วยเหลือทำให้เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น และอาหารที่ทุกคนนำมาช่วยเพิ่มสีสันและความหลากหลาย ในช่วงอายุของเราการพึ่งพาตัวเองอาจเป็นเหตุให้เกิดความเย่อหยิ่ง แต่พระเจ้าทรงประทานพระคุณ “แก่คนที่ใจถ่อม” (ยก.4:6) รวมถึงคนเหล่านั้นที่ร้องขอความช่วยเหลือด้วยความถ่อมใจ
การห่วงใยอย่างฉลาด
ภาพที่เห็นช่างน่าสะเทือนใจ ฝูงวาฬนำร่องพากันขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาดของประเทศสก็อตแลนด์ บรรดาอาสาสมัครพยายามที่จะช่วยชีวิตพวกมัน แต่สุดท้ายพวกมันก็เสียชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าวาฬจำนวนมากขนาดนี้ขึ้นมาเกยตื้นเพราะอะไร แต่อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ทางสังคมอันแน่นแฟ้นของพวกมัน เมื่อตัวหนึ่งเกิดปัญหา ตัวอื่นๆที่เหลือจะมาช่วย นี่คือสัญชาตญาณแห่งความห่วงใยที่กลับนำไปสู่อันตราย
พระคัมภีร์เรียกร้องอย่างชัดเจนให้เราช่วยเหลือผู้อื่น แต่ก็ให้เรามีความเฉลียวฉลาดด้วยว่าจะช่วยอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราช่วยฟื้นฟูใครคนหนึ่งที่ตกอยู่ในบาป เราต้องระมัดระวังที่จะไม่ถูกดึงลงไปสู่บาปนั้นเสียเอง (กท.6:1) และในขณะที่เราต้องรักเพื่อนบ้าน เราก็ต้องรักตนเองด้วย (มธ.22:39) สุภาษิต 22:3 กล่าวว่า “คนหยั่งรู้เห็นอันตรายและซ่อนตัวของเขาเสีย แต่คนเขลาเดินเรื่อยไป และรับอันตรายนั้น” นี่เป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีเมื่อการช่วยเหลือผู้อื่นกำลังจะทำให้เรามีอันตราย
เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีคนยากจนอย่างมากสองคนเข้ามาร่วมคริสตจักรของเรา ไม่นานพี่น้องสมาชิกที่ห่วงใยต้องเดือดร้อนจากการช่วยเหลือพวกเขา ทางออกไม่ใช่การปฏิเสธสามีภรรยาคู่นั้น แต่เป็นการกำหนดขอบเขตเพื่อผู้ที่ช่วยเหลือจะไม่ต้องเดือดร้อน พระเยซูองค์พระผู้ช่วยสูงสุดทรงใช้เวลาสำหรับการพักผ่อน (มก.4:38) และพระองค์ทรงดูแลไม่ให้ความต้องการของคนอื่นๆมาแทนที่ จนความต้องการของสาวกถูกละเลย (6:31) การห่วงใยอย่างฉลาดคือการทำตามแบบอย่างของพระองค์ การดูแลสุขภาพของเราเองจะทำให้เราสามารถห่วงใยดูแลผู้อื่นได้ในระยะยาว
ให้การนมัสการมาก่อน
ผมไม่เคยคิดที่จะก่อตั้งองค์กรการกุศลซึ่งทำงานที่เกี่ยวกับมิตรภาพของผู้ใหญ่มาก่อน และเมื่อผมรู้สึกว่าได้รับการทรงเรียกให้ทำเช่นนั้น ผมก็มีคำถามมากมาย องค์กรนี้จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากที่ไหนและใครควรจะช่วยผมจัดตั้งมันขึ้นมา ความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนังสือที่เกี่ยวกับธุรกิจ แต่มาจากพระคัมภีร์
พระธรรมเอสราเป็นหนังสือที่จำเป็นสำหรับใครก็ตามที่พระเจ้าทรงเรียกให้สร้างบางสิ่ง พระธรรมเล่มนี้เล่าถึงวิธีการที่ชาวยิวซึ่งตกไปเป็นเชลยกลับมาสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ โดยแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมเงินทุนสนับสนุนผ่านการบริจาคของประชาชน และเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างไร (อสร.1:4-11; 6:8-10) รวมทั้งวิธีในการทำงานทั้งของอาสาสมัครและผู้รับเหมา (1:5; 3:7) และยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของช่วงเวลาในการตระเตรียม โดยการก่อสร้างจะไม่เริ่มต้นจนกว่าจะถึงปีที่สองที่ชาวยิวเดินทางกลับมา (3:8) เอสรายังแสดงให้เห็นว่าการต่อต้านอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร (บทที่ 4) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้เป็นพิเศษคือ หนึ่งปีเต็มก่อนที่การสร้างพระวิหารจะเริ่มขึ้น ชาวยิวได้สร้างแท่นบูชา (3:1-6) และนมัสการพระเจ้า ทั้งๆที่ “ยังมิได้วางฐานพระวิหารของพระเจ้า” (ข้อ 6) การนมัสการมาก่อนสิ่งอื่นใด
พระเจ้ากำลังเรียกคุณให้เริ่มต้นสิ่งใหม่หรือไม่ หลักการของเอสราเป็นสิ่งที่เฉียบแหลม ไม่ว่าคุณจะเริ่มงานการกุศล การศึกษาพระคัมภีร์ โครงการที่สร้างสรรค์ หรืองานใหม่ๆในที่ทำงาน แม้แต่โครงการที่พระเจ้าประทานให้ก็อาจดึงความสนใจของเราไปจากพระองค์ได้ ดังนั้นให้เรามุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าก่อน ให้เรานมัสการพระองค์ก่อนที่จะเริ่มต้นงานใดๆ
การเดินทางของชีวิต
ผู้คนมากกว่าสองร้อยล้านคนจากหลากหลายความเชื่อออกเดินทางแสวงบุญในแต่ละปี สำหรับผู้คนมากมายในหลายยุคที่ผ่านมานั้นการไปแสวงบุญคือ การเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับการอวยพร เป้าหมายคือการไปยังวัด โบสถ์ ศาลเจ้า หรือจุดหมายปลายทางอื่นๆที่จะสามารถขอพรได้
อย่างไรก็ตาม ชาวคริสเตียนเคลติกในอังกฤษกลับมองเรื่องการเดินทางแสวงบุญแตกต่างออกไป พวกเขาออกเดินทางอย่างไร้จุดหมายเข้าไปในป่า หรือปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามน้ำในมหาสมุทร การแสวงบุญสำหรับพวกเขาคือการไว้วางใจพระเจ้าในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย การอวยพรใดๆนั้นไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางแต่พบได้ตลอดการเดินทาง
ฮีบรู 11 เป็นพระธรรมตอนสำคัญสำหรับชาวเคลต์ เนื่องจากชีวิตในพระคริสต์คือการละทิ้งทางของโลกไว้เบื้องหลังและออกเดินทางอย่างคนต่างถิ่นไปยังเมืองของพระเจ้า (ข้อ 13-16) การแสวงบุญจึงสะท้อนถึงภาพการเดินทางชีวิตของพวกเขา การไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูพวกเขาในตลอดเส้นทางที่ยากลำบากและยังไม่มีใครเคยไปมาก่อน ทำให้ผู้แสวงบุญได้พัฒนาความเชื่อศรัทธาแบบเดียวกับวีรบุรุษในสมัยโบราณ (ข้อ 1-12)
นี่เป็นบทเรียนที่ดีที่เราต้องเรียนรู้ไม่ว่าเราจะต้องออกเดินทางจริงๆหรือไม่ก็ตาม สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู ชีวิตคือการเดินทางไปยังเมืองสวรรค์ของพระเจ้า เป็นทางซึ่งเต็มไปด้วยป่ารกชัฏ ทางตัน และการทดลอง ในขณะที่เราเดินไปนั้น ขอให้เราไม่พลาดไปจากพระพรที่จะได้พบกับการทรงเลี้ยงดูของพระเจ้าไปตลอดเส้นทาง
แก้ไขด้วยการจูบ
ในอุปมาเรื่อง สตรีผู้มีปัญญา จอร์ช แม็คโดนัลด์ บอกเล่าเรื่องราวความเห็นแก่ตัวของเด็กหญิงสองคนที่นำความทุกข์ยากมาสู่ทุกคนรวมทั้งพวกเธอเอง จนกระทั่งสตรีผู้มีปัญญาได้ทดสอบพวกเธอเพื่อช่วยให้พวกเธอกลับมา “น่ารัก” อีกครั้ง
เมื่อเด็กหญิงไม่ผ่านการทดสอบแต่ละครั้ง ก็ต้องทุกข์ใจกับความอับอายและการแยกตัว ในที่สุดโรซามอนด์หนึ่งในนั้นก็ตระหนักว่าเธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ “ขอท่านช่วยหนูได้ไหม” เธอขอสตรีผู้มีปัญญา “บางทีฉันอาจช่วยได้” สตรีผู้นั้นตอบ “เพราะตอนนี้หนูขอฉัน” และด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า (สตรีผู้มีปัญญาเป็นภาพสัญลักษณ์เล็งถึงพระเจ้า) โรซามอนด์จึงเริ่มเปลี่ยนแปลง ต่อมาเธอขอให้สตรีนั้นยกโทษให้เธอในปัญหาทั้งหมดที่เธอก่อ “ถ้าฉันไม่ได้ยกโทษให้หนูแล้ว” สตรีผู้นั้นตอบ “ฉันคงไม่ต้องยุ่งยากในการหาวิธีมาทำโทษหนู”
มีช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงตีสอนเรา สิ่งที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่าทำไม การแก้ไขของพระองค์ไม่ได้เกิดจากการลงโทษ แต่เกิดจากความห่วงใยอย่างที่บิดามีต่อสวัสดิภาพของเรา (ฮบ.12:6) อีกทั้งทรงปรารถนาให้เรา “เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์” เพลิดเพลินกับการเก็บเกี่ยว “ความสุขสำราญ...คือความชอบธรรมนั้นเอง” (ข้อ 10-11) ความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งความทุกข์ยาก แต่ความบริสุทธิ์ทำให้เราสมบูรณ์ เบิกบาน และ “น่ารัก” เหมือนพระองค์
โรซามอนด์ถามสตรีผู้มีปัญญาว่าท่านรักเด็กหญิงที่เห็นแก่ตัวอย่างเธอได้อย่างไร สตรีนั้นก้มลงจูบเธอแล้วตอบว่า “ฉันเห็นว่าเธอจะเป็นอย่างไร” การแก้ไขของพระเจ้ามาพร้อมกับความรักและความปรารถนาด้วยเช่นกันที่จะทำให้เราเป็นอย่างที่เราควรจะเป็น
วันที่ 9 – พระคุณสำหรับวันนี้ | รับกำลังใหม่
รับกำลังใหม่
จิตแพทย์โรเบิร์ต โคลส์ สังเกตเห็นรูปแบบของผู้ที่หมดไฟในการรับใช้ สัญญาณเตือนแรกคือมีความอ่อนล้า ต่อมาคือสงสัยว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แล้วก็เริ่มขมขื่น ท้อแท้ มีอาการซึมเศร้า และในที่สุดก็หมดไฟ
หลังจากเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับการเยียวยาจากความฝันที่แตกสลาย ผมยุ่งกับการไปบรรยายในที่ต่างๆ การช่วยคนให้มีความหวังหลังจากผิดหวังเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่ก็ต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง วันหนึ่งผมรู้สึกหน้ามืดขณะที่กำลังเดินขึ้นเวที ผมนอนไม่พอและการไปพักร้อนก็ไม่ทำให้หายล้า แต่คิดว่าต้องฟังปัญหาของคนอื่นอีก ก็ทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ผมกำลังเป็นแบบที่โคลส์พูดไว้
พระคัมภีร์บอกวิธีเอาชนะการหมดไฟไว้สองประการ อิสยาห์ 40 บอกว่า พระองค์ประทานกำลังแก่ผู้เหน็ดเหนื่อยเมื่อเขาหวังใจในพระองค์ (ข้อ 29-31) ผมต้องพักในพระเจ้า วางใจให้พระองค์กระทำกิจแทนที่จะฝืนต่อไปด้วยกำลังของตัวเองที่เหลือน้อยลงทุกที และสดุดี 103 บอกว่าพระเจ้าทรงทำให้เราอิ่มด้วยของดี (ข้อ 5) รวมถึงการยกโทษและการทรงไถ่ (ข้อ 3-4) ความยินดีและการเล่นสนุกมาจากพระองค์เช่นกัน เมื่อผมจัดตารางเวลาใหม่ โดยเพิ่มเวลาในการอธิษฐาน พักผ่อน และทำงานอดิเรกอย่างเช่นการถ่ายภาพ ผมจึงกลับมามีสุขภาพที่ดีอีกครั้ง
การหมดไฟเริ่มจากความอ่อนล้า ให้เราหยุดก่อนที่จะเป็นมากกว่านั้น เราจะรับใช้ผู้อื่นได้ดีที่สุดเมื่อชีวิตเรามีทั้งการนมัสการและการพักผ่อน
เขียนโดย เชอริดัน วอยซี
คิดใคร่ครวญ :
ในเวลานี้ คุณมีภาระอะไรที่จะมอบคืนพระเจ้าบ้าง คุณได้รับกำลังใหม่โดยการอธิษฐาน อ่านพระคำ และการเล่นที่ดีอย่างไรบ้าง
อธิษฐาน :
ข้าแต่พระเจ้าที่รัก วันนี้ข้าพระองค์อยากมีกำลังขึ้นดุจนกอินทรี ข้าพระองค์วางใจให้พระองค์ทรงทำการในความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าพระองค์มี และขอรับการเติมเต็มฝ่ายวิญญาณจากพระองค์ด้วยใจยินดี
น้ำตาแห่งความปีติยินดี
เช้าวันหนึ่งเมื่อดีนออกจากบ้าน เขาพบเพื่อนๆถือลูกโป่งรออยู่ โจชเพื่อนของเขาก้าวออกมา “เราส่งบทกวีของนายเข้าประกวด” เขาพูดก่อนจะยื่นซองหนึ่งให้ดีน ข้างในเป็นการ์ดที่เขียนว่า “รางวัลที่หนึ่ง” และจากนั้นทุกคนก็ร้องไห้ด้วยความยินดี เพื่อนของดีนทำสิ่งซึ่งสวยงามอันเป็นการรับรองความสามารถในการเขียนของเขา
การร้องไห้ด้วยความปีติยินดีเป็นประสบการณ์ที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน ปกติแล้วน้ำตาเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเจ็บปวด ไม่ใช่ความปีติยินดี และความปีติยินดีปกติแล้วจะแสดงออกด้วยเสียงหัวเราะไม่ใช่น้ำตา นักจิตวิทยาชาวอิตาลีตั้งข้อสังเกตว่า น้ำตาแห่งความปีติยินดีเกิดขึ้นในเวลาที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งเป็นส่วนตัว เช่น เมื่อเรารู้สึกได้รับความรักอย่างสุดซึ้งหรือบรรลุเป้าหมายสำคัญ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสรุปว่าน้ำตาแห่งความปีติยินดีเป็นตัวบ่งบอกถึงความหมายของชีวิต
ผมจินตนาการถึงน้ำตาแห่งความปีติที่หลั่งออกมาในทุกแห่งที่พระเยซูเสด็จไป พ่อแม่ของชายตาบอดแต่กำเนิดจะไม่ร้องไห้ด้วยความปีติยินดีได้อย่างไรเมื่อพระเยซูทรงรักษาลูกของเขา (ยน.9:1-9) หรือมารีย์กับมารธาเมื่อพระองค์ทรงให้น้องชายของนางฟื้นจากความตาย (11:38-44) เมื่อประชากรของพระเจ้าถูกนำเข้าสู่โลกที่ได้รับการฟื้นฟู พระเจ้าตรัสว่า “เขาจะมาด้วยการร้องไห้ [น้ำตาแห่งความปีติยินดี] และเราจะนำเขากลับ [บ้าน] ด้วยการเล้าโลมใจ” (ยรม.31:9)
หากน้ำตาแห่งความปีติยินดีแสดงให้เราเห็นความหมายของชีวิต ขอให้นึกถึงวันอันยิ่งใหญ่ที่จะมาถึง ขณะที่น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเรา เราจะรู้โดยไม่สงสัยเลยว่า ความหมายของชีวิตก็คือการได้อยู่กับพระองค์อย่างใกล้ชิดตลอดไป
สิ่งดีห้าข้อ
จากผลการวิจัยพบว่าคนที่รู้สึกขอบคุณและชื่นชมในสิ่งที่ตนมีนั้นจะมีผลการนอนหลับที่ดีกว่า การเจ็บป่วยน้อยกว่า และมีความสุขมากกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้ที่น่าประทับใจ นักจิตวิทยายังเสนอให้เขียน “บันทึกขอบคุณ” เพื่อพัฒนาสุขภาพของเราอีกด้วย โดยให้เขียนสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณมาห้าข้อในแต่ละสัปดาห์
พระคัมภีร์หนุนใจให้เราฝึกฝนการมีใจขอบพระคุณมานานแล้ว ตั้งแต่เรื่องอาหารและการสมรส (1ทธ.4:3-5) ไปจนถึงความงดงามแห่งการทรงสร้าง (สดด.104) พระคัมภีร์เรียกให้เรามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญและขอบพระคุณองค์ผู้ได้ประทานให้กับเรา สดุดีบทที่ 107 กล่าวถึงห้าสิ่งที่ชนชาติอิสราเอลควรขอบพระคุณเป็นพิเศษ คือ การช่วยกู้จากถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 4-9) การปลดปล่อยจากที่คุมขัง (ข้อ 10-16) การรักษาให้หายจากโรค (ข้อ 18-22) ความปลอดภัยกลางทะเล (ข้อ 23-32) และการเกิดผลของพวกเขาในดินแดนแห้งแล้ง (ข้อ 33-42) บทเพลงสดุดีย้ำเตือนว่า “จงขอบพระคุณพระเจ้า” เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ความรักมั่นคง” ของพระเจ้า (ข้อ 8, 15, 21, 31)
คุณมีกระดาษบันทึกอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า จงลองเขียนสิ่งดีๆมาห้าข้อที่คุณรู้สึกขอบพระคุณในตอนนี้ อาจจะเป็นอาหารที่คุณเพิ่งรับประทานไป ชีวิตแต่งงาน หรือการช่วยกู้ของพระเจ้าในชีวิตคุณเหมือนกับคนอิสราเอล จงขอบพระคุณสำหรับนกที่ร้องเพลงอยู่ด้านนอก กลิ่นจากห้องครัว ความสบายของเก้าอี้ เสียงบ่นของคนที่เรารัก ทุกสิ่งคือของขวัญและเครื่องหมายแห่งความรักมั่นคงของพระเจ้า
ผู้นำแบบพระธรรมสดุดี 72
ในเดือนกรกฎาคมปี 2022 นายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งภายหลังจากเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่าเป็นความไม่ซื่อตรงทางจริยธรรม (นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ก็ลาออกจากตำแหน่งในไม่กี่เดือนต่อมา!) เหตุการณ์นี้ถูกจุดชนวนขึ้นเมื่อรัฐมนตรีสาธารณสุขเข้าร่วมการอธิษฐานช่วงเช้าประจำปีของรัฐสภา เขาตระหนักถึงจริยธรรมที่ขาดไปในการปฏิบัติหน้าที่และลาออก เมื่อรัฐมนตรีคนอื่นลาออกตามไป นายกรัฐมนตรีจึงตระหนักได้ว่าเขาต้องออกเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเหตุการณ์อันน่าทึ่งที่เริ่มจากการประชุมอธิษฐานอันเงียบสงบ
ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้อธิษฐานเผื่อผู้นำทางการเมืองของพวกเขา (1ทธ.2:1-2) และสดุดีบทที่ 72 เป็นคู่มือที่ดีในการทำเช่นนั้น เพราะมีทั้งคำอธิบายถึงหน้าที่ของผู้นำและคำอธิษฐานที่จะช่วยให้พวกเขาทำตามนั้นได้ สดุดีบทนี้บรรยายถึงผู้นำที่ดีว่าเป็นคนแห่งความยุติธรรมและชอบธรรม (ข้อ 1-2) ผู้ปกป้องคนยากจน (ข้อ 4) ช่วยเหลือคนขัดสน (ข้อ 12-13) และต่อต้านการกดขี่บีบบังคับ (ข้อ 14) ตลอดการทำงานของเขานำมาซึ่งการฟื้นฟู เหมือนกับ “ห่าฝนที่รดแผ่นดินโลก” (ข้อ 6) นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดิน (ข้อ 3,7,16) แม้ว่ามีเพียงพระเมสสิยาห์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ (ข้อ 11) แต่เราก็ไม่อาจหามาตรฐานของผู้นำที่ดีกว่านี้ได้แล้ว
ความซื่อตรงมีจริยธรรมของผู้มีอำนาจปกครองจะเป็นตัวกำหนดสถานภาพของประเทศ ขอให้เราแสวงหา “ผู้นำแบบพระธรรมสดุดี 72” เพื่อชนชาติของเราและช่วยให้พวกเขาเปี่ยมด้วยคุณสมบัติเช่นในสดุดีบทนี้ด้วยการอธิษฐานเผื่อพวกเขา