ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Sheridan Voysey

อริสโตเติลที่โต๊ะอาหาร

อริสโตเติลกล่าวว่าไม่มีใครสามารถเป็นเพื่อนกับเทพเจ้าได้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เขาบอกว่าเพราะมิตรภาพต้องมีความเท่าเทียมกัน แล้วเทพเจ้าองค์ใดจะยอมสละสถานะในสวรรค์ลงมาเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ต่ำต้อย

ผมสงสัยว่าอริสโตเติลจะทำอย่างไรหากเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารมื้อสุดท้าย (มธ.26:26-35) เพราะที่นั่น พระเยซูพระผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงละทิ้งสถานะในสวรรค์มาเป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อย (ฟป.2:6-8; คส.1:16) ทรงบอกกับสาวกของพระองค์ว่า พระองค์ไม่เรียกพวกเขาว่าบ่าวอีกต่อไป แต่จะทรงเรียกพวกเขาว่ามิตรสหาย(ยน.15:15)

อริสโตเติลคงแปลกใจด้วยที่เห็นว่าใครนั่งร่วมโต๊ะนั้นบ้าง มีมัทธิวคนเก็บภาษีที่สนิทสนมกับชาวโรมัน และซีโมนพรรคชาตินิยมผู้ประณามชาวโรมัน (มธ.10:3-4) อีกทั้งยากอบและยอห์น “ลูกฟ้าร้อง” (มก.3:17) ที่นั่งอยู่กับฟีลิปผู้เงียบขรึม ผมนึกภาพว่าอริสโตเติลคงมองด้วยความฉงนขณะที่พระเยซูอธิบายว่าขนมปังและเหล้าองุ่นเป็น “กาย” และ “โลหิต” ของพระองค์ที่หักและเทออกเพื่อ “ยกบาปโทษ” (มธ.26:26-28) เทพเจ้าองค์ใดกันที่จะยอมตายเพื่อมนุษย์ธรรมดาๆ แม้กระทั่งมนุษย์ที่กำลังจะละทิ้งพระองค์หลังจากนั้นอีกไม่นาน (ข้อ 56)

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ศีลมหาสนิทเป็นสิ่งที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงเป็นเพื่อนกับมนุษย์โดยทางพระเยซู และทรงทำให้เกิดมิตรภาพระหว่างผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองและจิตใจที่แตกต่างกัน ขณะที่เรากินและดื่มที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ได้เฉลิมฉลองพระองค์ผู้ทรงแก้ไขกฎแห่งมิตรภาพขึ้นใหม่ระหว่างมนุษย์และพระเจ้า

เพื่อนยามเที่ยงคืน

“ใครคือคนที่คุณโทรหาได้ตอนเที่ยงคืนเมื่อทุกอย่างผิดพลาดไปหมด” คำถามนี้สะกิดใจผมตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว มิตรภาพระหว่างผมกับเพื่อนมีจำนวนเท่าใดที่มั่นคงพอที่ผมจะรบกวนพวกเขาได้ในเวลาที่ต้องการ ผมไม่แน่ใจนัก

พระคัมภีร์พูดถึงมิตรภาพอยู่บ่อยครั้ง โดยอธิบายถึงเพื่อนว่าเป็นคนเก็บความลับ (สภษ.11:13; 16:28) ให้คำแนะนำ (27:9) และเคารพขอบเขตของกันและกัน (25:17) แต่บางทีอาจไม่มีใครนิยามมิตรภาพได้ทรงพลังไปกว่าพระเยซู ในขณะที่เราเป็นลูกค้าสำหรับผู้โฆษณา เป็นพนักงานสำหรับนายจ้าง แต่สำหรับพระเยซูผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายเหนือทุกสิ่งนั้น เราเป็น “เพื่อน” (ยน.15:15) พระเยซูอธิบายว่ามิตรภาพของพระองค์นั้นสร้างขึ้นบนความรักของพระเจ้าและการเสียสละส่วนตน (ข้อ13,15) ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทำเป็นแบบอย่างและเรียกให้เราส่งต่อ (ข้อ12)

สองสามปีหลังจากได้ยินคำถามนั้น ผมและภรรยาต้องทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่ ดาร์เรนซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้เดินทางเป็นเวลาสองชั่วโมงเพื่อมาพบผม รับฟังความโกรธและความเจ็บปวด และอธิษฐานเผื่อผม ดาร์เรนเป็นผู้ชายที่งานยุ่งมีหลายอย่างให้ทำในแต่ละวัน แต่เขาทำตามแบบอย่างพระเยซูในด้านมิตรภาพที่เสียสละ ผมมี ใครบางคนในเวลาที่ต้องการจริงๆ

คำถามในตอนนี้คือ แล้วคนอื่นมีผมเป็น “เพื่อนยามเที่ยงคืน” หรือไม่ เพราะไม่มีวิธีใดในการหาเพื่อนได้ดีไปกว่าการเป็นเพื่อนที่ดี

ในน้ำที่ลึก

วิหารซานฟรุตตูโอโซตั้งอยู่ในอ่าวเล็กๆนอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี การเข้าถึงทำได้โดยเรือหรือการเดินเท้าเท่านั้น ส่งผลให้สถานที่นี้เป็นอัญมณีอันเงียบสงบ แต่ยังมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในอ่าวด้วย เมื่อนักดำน้ำดำดิ่งลงไปในทะเลที่ความลึกสิบห้าเมตร ก็จะเริ่มเห็นรูปปั้นของชายคนหนึ่ง นี่คือพระคริสต์แห่งทะเลลึก เป็นรูปปั้นใต้น้ำชิ้นแรกของโลก สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1954 รูปปั้นสำริดนี้เป็นรูปของพระเยซูในทะเลลึก พระหัตถ์ของพระองค์ยกขึ้นสู่สวรรค์

ในน้ำลึก บางทีคุณอาจเคยสัมผัสกับมันมาแล้ว สดุดี 69 บันทึกไว้ว่า “ข้าพระองค์จมดิ่งลงในตมลึก...ข้าพระองค์วิงวอนร่ำร้องขอความช่วยเหลือจนอ่อนล้า” (ข้อ 2-3 TNCV) เมื่อถูกศัตรูเยาะเย้ยและเหินห่างจากครอบครัว (ข้อ 4, 7-12) ผู้เขียนสดุดีไม่พบการปลอบโยนจากผู้ใด (ข้อ 20) และกลัวว่าความทุกข์ทรมานจะ “กลืน” ท่านเสีย (ข้อ 15) น้ำที่ลึกคือช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังอันมืดมนของชีวิต ไม่ว่าจะเกิดจากบาปหรือความเศร้าโศกก็ตาม

ขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีบางอย่างในน้ำที่ลึกนั้นด้วย เพราะแม้ในน้ำลึกนี้จะเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวก็ยังมีผู้หนึ่งสถิตอยู่ที่นั่น (139:8) และพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากน้ำที่เย็นยะเยือก “ข้า​แต่​พระ​เจ้า ข้า​พระ​องค์​จะ​ยอ​พระ​เกียรติ​พระ​องค์ เพราะ​พระ​องค์​ทรง​ดึง​ข้า​พระ​องค์​ขึ้น​มา” (30:1)

ประติมากรรมนั้นเตือนเราว่า เมื่อเราจมลงภายใต้ภาระหนักของโลก เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว พระวิญญาณของพระเยซูทรงอยู่ในน้ำที่ลึกนั้น พระหัตถ์ของพระองค์ยกขึ้นสูง พร้อมที่จะฉวยเราและยกเราขึ้นเมื่อถึงเวลา

ยกโทษให้ทั้งหมด

เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเออร์เนส เฮมมิ่งเวย์ เล่าถึงพ่อชาวสเปนที่ต้องการคืนดีกับลูกชายที่เคยหมางเมินกันมานาน เขาได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “ปาโก้ มาพบพ่อที่โรงแรมมอนทาน่าวันอังคารตอนเที่ยง ยกโทษให้ทั้งหมดแล้ว” เมื่อผู้เป็นพ่อมาถึงก็พบกับฝูงชนหมู่ใหญ่รออยู่ มีปาโก้แปดร้อยคนมาตามคำโฆษณา ปรารถนาจะได้รับการยกโทษจากพ่อของพวกเขา

นี่เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจที่พูดถึงความปรารถนาในส่วนลึกของเราที่ต้องการการยกโทษ และเตือนผมให้คิดถึงเรื่องที่พระเยซูทรงเล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทิ้งพ่อของตนเพื่อไปใช้ชีวิต “โลดโผน” แต่ไม่นานก็พบตัวเองตกอยู่ในปัญหา (ลก.15:13-14) เมื่อเขา “รู้สำนึกตัว” และกลับบ้าน (ข้อ 17) พ่อผู้ห่างเหินกันไปนานได้รีบเข้าไปสวมกอดเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสขอโทษ (ข้อ 20) “ลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก” พ่อร้องด้วยความยินดี “หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” (ข้อ 24) ในเรื่องนี้พ่อเป็นตัวแทนของพระเจ้า ลูกชายเป็นตัวแทนของพวกเรา และเราจะได้เห็นภาพความยินดีบนสวรรค์เมื่อเราได้กลับมาหาพระบิดาของเรา

การให้อภัยจะขจัดความรู้สึกผิดที่ถ่วงจิตวิญญาณออกไป แต่การให้อภัยนี้เป็นเหมือนกับของขวัญที่เราจะต้องยอมรับมันเอาไว้ เฮมมิ่งเวย์ไม่ได้บอกเราว่าผู้เป็นพ่อในเรื่องนั้นได้พบกับปาโก้ของเขาหรือไม่ แล้วในเรื่องราวของพระเยซูนั้นพระบิดาจะได้บุตรชายหญิงกลับมาคืนดีกับพระองค์ไหม อ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ทรงเปิดกว้าง รอคอยให้พวกเรากลับมาหาพระองค์

ความงดงามจากความเจ็บป่วย

เดอกาส์เป็นจิตรกรที่ต้องทนทุกข์จากโรคทางตาในช่วงห้าสิบปีหลังของชีวิต เขาเปลี่ยนจากการวาดรูปด้วยสีน้ำมันไปใช้สีชอล์กเพราะลายเส้นมองเห็นได้ง่ายกว่า ส่วนเรอนัวร์ต้องวางพู่กันไว้ระหว่างนิ้วมือเมื่อภาวะไขข้ออักเสบทำให้นิ้วงอเหมือนอุ้งเล็บสัตว์ และเมื่อการผ่าตัดทำให้มาทิิสเป็นอัมพาต เขาเปลี่ยนไปทำภาพคอลลาจที่ใช้เทคนิคการตัดแปะ โดยควบคุมให้ผู้ช่วยติดชิ้นส่วนกระดาษสีลงบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่บนกำแพง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังแต่ละเหตุการณ์คือชิ้นงานอันสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ภาพนักเต้นบัลเลต์ในชุดสีฟ้าของเดอกาส์ ภาพเด็กผู้หญิงที่เปียโนของเรอนัวร์ ภาพความโศกเศร้าของกษัตริย์ โดยมาทิส และผลงานชิ้นเอกอื่นๆ เมื่อพวกเขาปรับตัวต่อการทดลองที่ผ่านเข้ามา ความงดงามก็บังเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยนั้น

ในทำนองเดียวกัน เปาโลไม่ได้วางแผนจะไปเมืองกาลาเทียเมื่อท่านเริ่มออกเดินทางไปประกาศ ความเจ็บป่วยบังคับให้ท่านไปที่นั่น (กท.4:13) เห็นได้ชัดว่าเปาโลต้องการไปอีกที่หนึ่งแต่จบลงที่กาลาเทีย และแม้ท่านจะป่วยแต่ท่านก็เริ่มเทศนา และพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับทำการอัศจรรย์ผ่านท่าน (3:2-5) คริสตจักรกาลาเทียจึงถือกำเนิดขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่มีความเจ็บป่วยของเปาโล

คุณเคยเผชิญกับการทดลองใดและการทดลองนั้นเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคุณอย่างไร โดยการพิจารณาดูของประทานที่คุณมี คุณเองก็อาจได้เห็นว่าพระเจ้าทรงทำให้เกิดความงดงามจากความอ่อนแอของคุณเช่นกัน

พระเจ้าเป็นรากฐานของเรา

บ้านของเราต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เพราะห้องครัวเริ่มพังและพื้นก็ทรุด หลังจากมีการรื้อถอนบางส่วนออกไป ช่างก็เริ่มขุดฐานรากใหม่ ตอนนี้เองที่มีบางอย่างน่าสนใจ

ขณะที่ช่างก่อสร้างขุดลงไป สิ่งที่พลั่วตักขึ้นมามีทั้งจานแตกๆ ขวดน้ำอัดลมยุคปี 1850 หรือแม้แต่ช้อนส้อม บ้านของเราสร้างบนกองขยะเก่าหรือเปล่านะ ใครจะรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิศวกรของเราบอกว่าฐานรากของบ้านเราจะต้องขุดให้ลึกลงอีก ไม่เช่นนั้นผนังบ้านจะมีรอยแตก

รากฐานที่ดีจะทำให้บ้านแข็งแรง ชีวิตของเราก็เช่นกัน เมื่อศัตรูทำให้คนอิสราเอลหวาดกลัว อิสยาห์อธิษฐานให้พวกเขาเข้มแข็ง (อสย.33:2-4) แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มาจากความกล้าหาญหรืออาวุธ แต่มาจากการก่อร่างสร้างชีวิตขึ้นในพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “พระ​องค์​จะ​ทรง​เป็น​เสถียรภาพ​แห่ง​เวลา​ของ​เจ้า ทรง​เป็น​ความ​รอด สติปัญญา และ​ความ​รู้​อัน​อุดม” (ข้อ 6) พระเยซูตรัสสิ่งที่คล้ายกัน โดยทรงสอนว่าผู้ที่สร้างชีวิตบนพระปัญญาของพระเจ้าจะสามารถต้านทานพายุแห่งชีวิตได้ (มธ.7:24-25)

สัญญาณชัดเจนที่บ่งชี้ว่ารากฐานของเราต้องการความเอาใจใส่คือ เมื่อรอยร้าว เช่น ความก้าวร้าว การเสพติด หรือปัญหาชีวิตแต่งงานปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อเราแสวงหาความปลอดภัยแต่ไม่พบ หรือปฏิบัติตามปัญญาของยุคนี้เพียงอย่างเดียว เราจะอยู่บนพื้นที่ไม่มั่นคง แต่ผู้ที่สร้างชีวิตของตนในพระเจ้าจะได้รับพระกำลังและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของพระองค์ (อสย.33:6)

แสดงความเมตตา

ในนวนิยายชื่อ เรื่องของเกรซ (About Grace) เดวิด วิงค์เลอร์ปรารถนาจะได้พบลูกสาวที่ขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิง และเฮอร์แมน ชีลเลอร์คือคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะลูกสาวของเดวิดเกิดจากการที่เขามีความสัมพันธ์กับภรรยาของเฮอร์แมน และเฮอร์แมนเตือนว่าอย่าติดต่อกับพวกเขาอีก

หลายสิบปีผ่านไปก่อนที่เดวิดจะเขียนจดหมายถึงเฮอร์แมนเพื่อขอโทษในสิ่งที่เขาทำลงไป “ชีวิตผมมีบางอย่างขาดหายไป เพราะผมแทบไม่รู้เรื่องของลูกสาวเลย” เขากล่าวและวิงวอนขอข้อมูลเกี่ยวกับเธอ เขารอดูว่าเฮอร์แมนจะช่วยเขาหรือไม่

เราควรปฏิบัติต่อผู้ที่ทำผิดต่อเราอย่างไร กษัตริย์ของอิสราเอลเผชิญกับคำถามนี้หลังจากที่ศัตรูของพระองค์ถูกมอบไว้ในมือของพระองค์อย่างอัศจรรย์ (2 พกษ.6:8-20) “จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ” พระองค์ถามผู้เผยพระวจนะเอลีชา เอลีชาตอบว่า “อย่าทรงประหารเขาเสีย...ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด” (ข้อ 21-22) ด้วยการแสดงความเมตตานี้ อิสราเอลจึงพบสันติภาพกับศัตรู (ข้อ 23)

เฮอร์แมนตอบจดหมายของเดวิด เชิญเขามาบ้านและทำอาหารเลี้ยงเขา “ข้าแต่พระเยซูเจ้า” เขาอธิษฐานก่อนรับประทานอาหาร “ขอบคุณพระองค์ที่ทรงคุ้มครองดูแลข้าพระองค์และเดวิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา” เขาช่วยให้เดวิดได้พบกับลูกสาว และเดวิดก็ช่วยชีวิตเขาไว้ในเวลาต่อมา ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่เราแสดงความเมตตาต่อคนที่ทำผิดต่อเรานั้น มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์คือพระพรเหนือชีวิตของเรา

ความทะเยอทะยานที่เป็นมิตร

เกรกอรี่แห่งนาซิอันซัสและแบซิลแห่งซีซารียาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของศาสนจักรในศตวรรษที่ 4 อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาพบกันครั้งแรกในฐานะนักศึกษาปรัชญา และต่อมาเกรกอรี่กล่าวว่าพวกเขาเป็นเหมือน “สองคนที่มีวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว”

ด้วยเส้นทางของงานที่คล้ายกันมาก การชิงดีชิงเด่นอาจเกิดขึ้นระหว่างเกรกอรี่กับแบซิล แต่เกรกอรี่อธิบายว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการล่อลวงนี้โดยการสร้างชีวิตแห่งความเชื่อ ความหวัง และทำความดี ให้เป็น “ความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียว” ของพวกเขา แล้ว “ปลุกใจซึ่งกันและกัน” เพื่อทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าพวกเขาเอง ผลที่ได้คือทั้งคู่เติบโตในความเชื่อและก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำระดับสูงโดยปราศจากการชิงดีชิงเด่น

พระธรรมฮีบรูเขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เราเข้มแข็งในความเชื่อ(ฮบ.2:1) หนุนใจให้เราจดจ่อใน “ความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น” และ “ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (10:23-24) แม้ว่าคำสั่งนี้จะให้ไว้ในบริบทของการประชุม (ข้อ 25) แต่โดยการประยุกต์ใช้กับมิตรภาพของพวกเขา เกรกอรี่และแบซิลแสดงให้เห็นว่า มิตรสหายอาจหนุนใจกันและกันให้เติบโตและหลีกเลี่ยง “รากอันขมขื่นต่างๆ” เช่น การชิงดีชิงเด่นที่อาจงอกขึ้นท่ามกลางพวกเขา (12:15)

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำให้ความเชื่อ ความหวัง และการทำความดีเป็นเป้าหมายในมิตรภาพของเรา แล้วสนับสนุนให้เพื่อนๆประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าตัวเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพร้อมที่จะช่วยเราทำทั้งสองอย่างนี้

ร่วมมือกับพระเจ้า

เมื่อเพื่อนของผมและสามีของเธอมีปัญหามีบุตรยาก แพทย์ได้แนะนำให้เธอใช้วิธีทางการแพทย์ แต่เพื่อนผมลังเล “การอธิษฐานไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาของเราหรือ” เธอพูด “ฉันจำเป็นต้องใช้วิธีนั้นจริงๆหรือ” เพื่อนของผมกำลังพยายามหาคำตอบว่ามนุษย์มีบทบาทอย่างไรในการทำงานของพระเจ้า

เรื่องที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนสามารถช่วยเราได้ (มก.6:35-44) เราคงรู้แล้วว่าเรื่องนั้นจบลงโดยที่หลายพันคนได้มีอาหารกินอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยขนมปังเพียงเล็กน้อยกับปลาไม่กี่ตัว (ข้อ 42) แต่ให้เราสังเกตว่าใครเป็นคนเลี้ยงฝูงชน คำตอบคือบรรดาสาวก (ข้อ 37) แล้วใครเป็นคนจัดหาอาหาร ก็พวกเขาอีกนั่นแหละ (ข้อ 38) ใครเป็นคนแจกอาหารและเก็บกวาดในภายหลัง ก็พวกสาวก (ข้อ 39-43) พระเยซูตรัสว่า “พวก​ท่าน​จง​เลี้ยง​เขา​เถิด” (ข้อ 37) พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์แต่นั่นเกิดขึ้นเมื่อเหล่าสาวกลงมือทำ

ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์คือของขวัญจากพระเจ้า (สดด.65:9-10) แต่ชาวนายังคงต้องลงมือลงแรง พระเยซูทรงสัญญาว่าเปโตรจะได้ “จับปลา” แต่ชาวประมงผู้นี้ยังคงต้องทอดอวน (ลก.5:4-6) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถดูแลโลกและสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเรา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ทรงเลือกที่จะทำงานผ่านความร่วมมือระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

เพื่อนของผมใช้วิธีที่แพทย์แนะนำและต่อมาก็ตั้งครรภ์ได้สำเร็จ แม้นี่จะไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับปาฏิหาริย์ แต่ก็เป็นบทเรียนสำหรับผมและเพื่อน พระเจ้ามักจะทรงทำการอัศจรรย์ของพระองค์ผ่านวิธีการที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้ในมือของเราแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา