ยกโทษให้ทั้งหมด
เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเออร์เนส เฮมมิ่งเวย์ เล่าถึงพ่อชาวสเปนที่ต้องการคืนดีกับลูกชายที่เคยหมางเมินกันมานาน เขาได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “ปาโก้ มาพบพ่อที่โรงแรมมอนทาน่าวันอังคารตอนเที่ยง ยกโทษให้ทั้งหมดแล้ว” เมื่อผู้เป็นพ่อมาถึงก็พบกับฝูงชนหมู่ใหญ่รออยู่ มีปาโก้แปดร้อยคนมาตามคำโฆษณา ปรารถนาจะได้รับการยกโทษจากพ่อของพวกเขา
นี่เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจที่พูดถึงความปรารถนาในส่วนลึกของเราที่ต้องการการยกโทษ และเตือนผมให้คิดถึงเรื่องที่พระเยซูทรงเล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทิ้งพ่อของตนเพื่อไปใช้ชีวิต “โลดโผน” แต่ไม่นานก็พบตัวเองตกอยู่ในปัญหา (ลก.15:13-14) เมื่อเขา “รู้สำนึกตัว” และกลับบ้าน (ข้อ 17) พ่อผู้ห่างเหินกันไปนานได้รีบเข้าไปสวมกอดเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสขอโทษ (ข้อ 20) “ลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก” พ่อร้องด้วยความยินดี “หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” (ข้อ 24) ในเรื่องนี้พ่อเป็นตัวแทนของพระเจ้า ลูกชายเป็นตัวแทนของพวกเรา และเราจะได้เห็นภาพความยินดีบนสวรรค์เมื่อเราได้กลับมาหาพระบิดาของเรา
การให้อภัยจะขจัดความรู้สึกผิดที่ถ่วงจิตวิญญาณออกไป แต่การให้อภัยนี้เป็นเหมือนกับของขวัญที่เราจะต้องยอมรับมันเอาไว้ เฮมมิ่งเวย์ไม่ได้บอกเราว่าผู้เป็นพ่อในเรื่องนั้นได้พบกับปาโก้ของเขาหรือไม่ แล้วในเรื่องราวของพระเยซูนั้นพระบิดาจะได้บุตรชายหญิงกลับมาคืนดีกับพระองค์ไหม อ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ทรงเปิดกว้าง รอคอยให้พวกเรากลับมาหาพระองค์
ความงดงามจากความเจ็บป่วย
เดอกาส์เป็นจิตรกรที่ต้องทนทุกข์จากโรคทางตาในช่วงห้าสิบปีหลังของชีวิต เขาเปลี่ยนจากการวาดรูปด้วยสีน้ำมันไปใช้สีชอล์กเพราะลายเส้นมองเห็นได้ง่ายกว่า ส่วนเรอนัวร์ต้องวางพู่กันไว้ระหว่างนิ้วมือเมื่อภาวะไขข้ออักเสบทำให้นิ้วงอเหมือนอุ้งเล็บสัตว์ และเมื่อการผ่าตัดทำให้มาทิิสเป็นอัมพาต เขาเปลี่ยนไปทำภาพคอลลาจที่ใช้เทคนิคการตัดแปะ โดยควบคุมให้ผู้ช่วยติดชิ้นส่วนกระดาษสีลงบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่บนกำแพง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังแต่ละเหตุการณ์คือชิ้นงานอันสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ภาพนักเต้นบัลเลต์ในชุดสีฟ้าของเดอกาส์ ภาพเด็กผู้หญิงที่เปียโนของเรอนัวร์ ภาพความโศกเศร้าของกษัตริย์ โดยมาทิส และผลงานชิ้นเอกอื่นๆ เมื่อพวกเขาปรับตัวต่อการทดลองที่ผ่านเข้ามา ความงดงามก็บังเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยนั้น
ในทำนองเดียวกัน เปาโลไม่ได้วางแผนจะไปเมืองกาลาเทียเมื่อท่านเริ่มออกเดินทางไปประกาศ ความเจ็บป่วยบังคับให้ท่านไปที่นั่น (กท.4:13) เห็นได้ชัดว่าเปาโลต้องการไปอีกที่หนึ่งแต่จบลงที่กาลาเทีย และแม้ท่านจะป่วยแต่ท่านก็เริ่มเทศนา และพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับทำการอัศจรรย์ผ่านท่าน (3:2-5) คริสตจักรกาลาเทียจึงถือกำเนิดขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่มีความเจ็บป่วยของเปาโล
คุณเคยเผชิญกับการทดลองใดและการทดลองนั้นเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคุณอย่างไร โดยการพิจารณาดูของประทานที่คุณมี คุณเองก็อาจได้เห็นว่าพระเจ้าทรงทำให้เกิดความงดงามจากความอ่อนแอของคุณเช่นกัน
พระเจ้าเป็นรากฐานของเรา
บ้านของเราต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เพราะห้องครัวเริ่มพังและพื้นก็ทรุด หลังจากมีการรื้อถอนบางส่วนออกไป ช่างก็เริ่มขุดฐานรากใหม่ ตอนนี้เองที่มีบางอย่างน่าสนใจ
ขณะที่ช่างก่อสร้างขุดลงไป สิ่งที่พลั่วตักขึ้นมามีทั้งจานแตกๆ ขวดน้ำอัดลมยุคปี 1850 หรือแม้แต่ช้อนส้อม บ้านของเราสร้างบนกองขยะเก่าหรือเปล่านะ ใครจะรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิศวกรของเราบอกว่าฐานรากของบ้านเราจะต้องขุดให้ลึกลงอีก ไม่เช่นนั้นผนังบ้านจะมีรอยแตก
รากฐานที่ดีจะทำให้บ้านแข็งแรง ชีวิตของเราก็เช่นกัน เมื่อศัตรูทำให้คนอิสราเอลหวาดกลัว อิสยาห์อธิษฐานให้พวกเขาเข้มแข็ง (อสย.33:2-4) แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มาจากความกล้าหาญหรืออาวุธ แต่มาจากการก่อร่างสร้างชีวิตขึ้นในพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “พระองค์จะทรงเป็นเสถียรภาพแห่งเวลาของเจ้า ทรงเป็นความรอด สติปัญญา และความรู้อันอุดม” (ข้อ 6) พระเยซูตรัสสิ่งที่คล้ายกัน โดยทรงสอนว่าผู้ที่สร้างชีวิตบนพระปัญญาของพระเจ้าจะสามารถต้านทานพายุแห่งชีวิตได้ (มธ.7:24-25)
สัญญาณชัดเจนที่บ่งชี้ว่ารากฐานของเราต้องการความเอาใจใส่คือ เมื่อรอยร้าว เช่น ความก้าวร้าว การเสพติด หรือปัญหาชีวิตแต่งงานปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อเราแสวงหาความปลอดภัยแต่ไม่พบ หรือปฏิบัติตามปัญญาของยุคนี้เพียงอย่างเดียว เราจะอยู่บนพื้นที่ไม่มั่นคง แต่ผู้ที่สร้างชีวิตของตนในพระเจ้าจะได้รับพระกำลังและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของพระองค์ (อสย.33:6)
แสดงความเมตตา
ในนวนิยายชื่อ เรื่องของเกรซ (About Grace) เดวิด วิงค์เลอร์ปรารถนาจะได้พบลูกสาวที่ขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิง และเฮอร์แมน ชีลเลอร์คือคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะลูกสาวของเดวิดเกิดจากการที่เขามีความสัมพันธ์กับภรรยาของเฮอร์แมน และเฮอร์แมนเตือนว่าอย่าติดต่อกับพวกเขาอีก
หลายสิบปีผ่านไปก่อนที่เดวิดจะเขียนจดหมายถึงเฮอร์แมนเพื่อขอโทษในสิ่งที่เขาทำลงไป “ชีวิตผมมีบางอย่างขาดหายไป เพราะผมแทบไม่รู้เรื่องของลูกสาวเลย” เขากล่าวและวิงวอนขอข้อมูลเกี่ยวกับเธอ เขารอดูว่าเฮอร์แมนจะช่วยเขาหรือไม่
เราควรปฏิบัติต่อผู้ที่ทำผิดต่อเราอย่างไร กษัตริย์ของอิสราเอลเผชิญกับคำถามนี้หลังจากที่ศัตรูของพระองค์ถูกมอบไว้ในมือของพระองค์อย่างอัศจรรย์ (2 พกษ.6:8-20) “จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ” พระองค์ถามผู้เผยพระวจนะเอลีชา เอลีชาตอบว่า “อย่าทรงประหารเขาเสีย...ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด” (ข้อ 21-22) ด้วยการแสดงความเมตตานี้ อิสราเอลจึงพบสันติภาพกับศัตรู (ข้อ 23)
เฮอร์แมนตอบจดหมายของเดวิด เชิญเขามาบ้านและทำอาหารเลี้ยงเขา “ข้าแต่พระเยซูเจ้า” เขาอธิษฐานก่อนรับประทานอาหาร “ขอบคุณพระองค์ที่ทรงคุ้มครองดูแลข้าพระองค์และเดวิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา” เขาช่วยให้เดวิดได้พบกับลูกสาว และเดวิดก็ช่วยชีวิตเขาไว้ในเวลาต่อมา ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่เราแสดงความเมตตาต่อคนที่ทำผิดต่อเรานั้น มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์คือพระพรเหนือชีวิตของเรา
ความทะเยอทะยานที่เป็นมิตร
เกรกอรี่แห่งนาซิอันซัสและแบซิลแห่งซีซารียาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของศาสนจักรในศตวรรษที่ 4 อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาพบกันครั้งแรกในฐานะนักศึกษาปรัชญา และต่อมาเกรกอรี่กล่าวว่าพวกเขาเป็นเหมือน “สองคนที่มีวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว”
ด้วยเส้นทางของงานที่คล้ายกันมาก การชิงดีชิงเด่นอาจเกิดขึ้นระหว่างเกรกอรี่กับแบซิล แต่เกรกอรี่อธิบายว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการล่อลวงนี้โดยการสร้างชีวิตแห่งความเชื่อ ความหวัง และทำความดี ให้เป็น “ความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียว” ของพวกเขา แล้ว “ปลุกใจซึ่งกันและกัน” เพื่อทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าพวกเขาเอง ผลที่ได้คือทั้งคู่เติบโตในความเชื่อและก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำระดับสูงโดยปราศจากการชิงดีชิงเด่น
พระธรรมฮีบรูเขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เราเข้มแข็งในความเชื่อ(ฮบ.2:1) หนุนใจให้เราจดจ่อใน “ความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น” และ “ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (10:23-24) แม้ว่าคำสั่งนี้จะให้ไว้ในบริบทของการประชุม (ข้อ 25) แต่โดยการประยุกต์ใช้กับมิตรภาพของพวกเขา เกรกอรี่และแบซิลแสดงให้เห็นว่า มิตรสหายอาจหนุนใจกันและกันให้เติบโตและหลีกเลี่ยง “รากอันขมขื่นต่างๆ” เช่น การชิงดีชิงเด่นที่อาจงอกขึ้นท่ามกลางพวกเขา (12:15)
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำให้ความเชื่อ ความหวัง และการทำความดีเป็นเป้าหมายในมิตรภาพของเรา แล้วสนับสนุนให้เพื่อนๆประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าตัวเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพร้อมที่จะช่วยเราทำทั้งสองอย่างนี้
ร่วมมือกับพระเจ้า
เมื่อเพื่อนของผมและสามีของเธอมีปัญหามีบุตรยาก แพทย์ได้แนะนำให้เธอใช้วิธีทางการแพทย์ แต่เพื่อนผมลังเล “การอธิษฐานไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาของเราหรือ” เธอพูด “ฉันจำเป็นต้องใช้วิธีนั้นจริงๆหรือ” เพื่อนของผมกำลังพยายามหาคำตอบว่ามนุษย์มีบทบาทอย่างไรในการทำงานของพระเจ้า
เรื่องที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนสามารถช่วยเราได้ (มก.6:35-44) เราคงรู้แล้วว่าเรื่องนั้นจบลงโดยที่หลายพันคนได้มีอาหารกินอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยขนมปังเพียงเล็กน้อยกับปลาไม่กี่ตัว (ข้อ 42) แต่ให้เราสังเกตว่าใครเป็นคนเลี้ยงฝูงชน คำตอบคือบรรดาสาวก (ข้อ 37) แล้วใครเป็นคนจัดหาอาหาร ก็พวกเขาอีกนั่นแหละ (ข้อ 38) ใครเป็นคนแจกอาหารและเก็บกวาดในภายหลัง ก็พวกสาวก (ข้อ 39-43) พระเยซูตรัสว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” (ข้อ 37) พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์แต่นั่นเกิดขึ้นเมื่อเหล่าสาวกลงมือทำ
ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์คือของขวัญจากพระเจ้า (สดด.65:9-10) แต่ชาวนายังคงต้องลงมือลงแรง พระเยซูทรงสัญญาว่าเปโตรจะได้ “จับปลา” แต่ชาวประมงผู้นี้ยังคงต้องทอดอวน (ลก.5:4-6) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถดูแลโลกและสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเรา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ทรงเลือกที่จะทำงานผ่านความร่วมมือระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
เพื่อนของผมใช้วิธีที่แพทย์แนะนำและต่อมาก็ตั้งครรภ์ได้สำเร็จ แม้นี่จะไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับปาฏิหาริย์ แต่ก็เป็นบทเรียนสำหรับผมและเพื่อน พระเจ้ามักจะทรงทำการอัศจรรย์ของพระองค์ผ่านวิธีการที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้ในมือของเราแล้ว
จังหวะของความสุข
ไปด้วยจังหวะของความสุข วลีนี้เข้ามาในความคิดขณะที่ผมกำลังอธิษฐานใคร่ครวญถึงปีหน้าในเช้าวันหนึ่ง และนี่ช่างดูเหมาะเจาะ ผมมีแนวโน้มที่จะทำงานหนักเกินไป ซึ่งมักจะบั่นทอนความชื่นชมยินดีของผม ดังนั้นเพื่อจะทำตามคำแนะนำนี้ ในปีหน้าผมจึงตั้งใจจะทำงานให้มีความสุขโดยไม่เร่งรีบหรือหักโหมเกินไป มีเวลาให้กับเพื่อนๆ และทำกิจกรรมสนุกๆ
แผนนี้ไปได้สวย...จนกระทั่งเดือนมีนาคม! เมื่อผมร่วมงานกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเพื่อดูแลหลักสูตรทดลองที่ผมกำลังพัฒนา เนื่องจากนักศึกษาต้องลงทะเบียนและใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ผมจึงต้องทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเพื่อให้ทันกำหนด แล้วผมจะไปด้วยจังหวะของความสุขได้อย่างไรในตอนนี้
พระเยซูทรงสัญญาถึงความสุขยินดีแก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ซึ่งเราจะได้รับโดยยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ (ยน.15:9) และทูลถึงความต้องการของเราด้วยการอธิษฐาน (16:24) พระองค์ตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (15:11) ความยินดีนี้เป็นของขวัญที่มอบให้เราทางองค์พระวิญญาณ ผู้ซึ่งเราดำเนินชีวิตตาม (กท.5:22-25) ผมพบว่าตัวเองจะรักษาความสุขยินดีนี้ไว้ในช่วงที่งานยุ่งได้เมื่อผมใช้เวลาแต่ละคืนอธิษฐานด้วยความสงบและไว้วางใจ
เพราะความสุขยินดีสำคัญมาก เราจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในการจัดตารางเวลาของเรา แต่เพราะเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมจึงดีใจที่พระวิญญาณผู้ทรงเป็นอีกแหล่งหนึ่งของความยินดีสถิตอยู่กับเรา สำหรับผมตอนนี้ การไปด้วยจังหวะของความสุขหมายถึงการไปด้วยจังหวะของการอธิษฐาน โดยการหาเวลาเพื่อจะรับจากผู้ประทานความยินดี
การเสด็จกลับมาของกษัตริย์
ด้วยจำนวนผู้ชมทั่วโลกประมาณพันล้านคน พระราชพิธีพระบรมศพของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 จึงอาจเป็นการออกอากาศที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันนั้นมีหนึ่งล้านคนเรียงรายตามท้องถนนในนครลอนดอน และมี 250,000 คนเข้าแถวเป็นเวลาหลายชั่วโมงในสัปดาห์นั้นเพื่อดูหีบพระบรมศพ เป็นประวัติการณ์ที่มีกษัตริย์ ราชินี ประธานาธิบดี และประมุขแห่งรัฐอื่นๆกว่าห้าร้อยพระองค์ มาเพื่อยกย่องสตรีผู้มีชื่อเสียงในอำนาจและเกียรติคุณของพระองค์
ขณะที่โลกหันสายตาไปที่สหราชอาณาจักรและพระราชินีที่จากไป ความคิดของผมก็หันไปที่อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือการเสด็จกลับมาขององค์กษัตริย์ เราได้ยินว่าวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อบรรดาประชาชาติจะมารวมตัวกันเพื่อยกย่องกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก (อสย.45:20-22) ผู้นำที่ทรงอานุภาพและพระเกียรติคุณ (ข้อ 24) “ทุกเข่าจะกราบลง” และ “ทุกลิ้นจะปฏิญาณ” ต่อพระองค์ (ข้อ 23) รวมถึงผู้นำของโลกที่จะถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์และนำประชาชาติของตน เดินไปในความสว่างของพระองค์ (วว.21:24, 26) ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับการเสด็จมาถึงของกษัตริย์พระองค์นี้ แต่บรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์จะชื่นชมยินดีกับการครองราชย์เป็นนิตย์ของพระองค์ (อสย.45:24-25)
เหมือนที่โลกรวมตัวกันเพื่อชมการจากไปของพระราชินี วันหนึ่งโลกจะได้เห็นจอมกษัตริย์ผู้สูงสุดเสด็จกลับมา วันนั้นจะเป็นวันที่ทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกก้มกราบลงต่อพระเยซูคริสต์ และยอมรับพระองค์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟป.2:10-11)
ที่ทำงานแบบอาณาจักรสวรรค์
ในยุควิกตอเรียของประเทศอังกฤษนั้นโรงงานเป็นสถานที่ที่มืดมน อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมีสูงและคนงานมักมีชีวิตยากจน “คนทำงานจะมีความคิดใหม่ๆได้อย่างไรเมื่อบ้านของพวกเขาเป็นสลัม” จอร์จ แคดเบอรี่ตั้งคำถาม เขาจึงสร้างโรงงานแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อขยายกิจการช็อกโกแลต โดยเป็นโรงงานที่เอื้อประโยชน์ต่อคนงานของเขา
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือหมู่บ้านบอร์นวิลล์ที่มีมากกว่าสามร้อยหลังคาเรือน พร้อมด้วยสนามกีฬา สนามเด็กเล่น โรงเรียนและโบสถ์สำหรับคนงานของแคดเบอรี่และครอบครัว พวกเขาได้รับค่าจ้างที่ดีพร้อมด้วยสิทธิ์รักษาพยาบาล ทั้งหมดนี้เพราะความเชื่อในพระคริสต์ของแคดเบอรี่
พระเยซูสอนเราที่จะอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า “ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มธ.6:10) คำอธิษฐานนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพอย่างที่แคดเบอรี่เห็น ว่าที่ทำงานของเราจะเป็นเช่นไรภายใต้การปกครองของพระเจ้า ที่ที่เราได้รับ “อาหารประจำวัน” และ “ผู้ที่ทำผิด” ต่อเราได้รับการยกโทษ (ข้อ 11-12) สำหรับลูกจ้างแล้วนี่หมายถึงการทำงาน “ด้วยความเต็มใจ...ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” (คส.3:23) สำหรับนายจ้าง นี่หมายถึงการให้สิ่งที่ “ยุติธรรมและเท่าเทียมกัน” (4:1 THSV11) ไม่ว่าบทบาทหน้าที่ของเราคืออะไร ได้รับค่าจ้างหรือเป็นอาสาสมัคร นี่หมายถึงการที่เราดูแลคนเหล่านั้นที่เราร่วมรับใช้ด้วย
เช่นเดียวกับจอร์จ แคดเบอรี่ ขอให้เราจินตนาการว่าสิ่งรอบตัวจะแตกต่างไปอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงเป็นผู้นำในละแวกบ้านหรือที่ทำงานของเรา เพราะเมื่อพระองค์ทรงเป็นผู้นำ ผู้คนจะเกิดผลและงอกงาม