แขกผู้ไม่คาดคิด
แซคเป็นคนไม่มีเพื่อน เวลาเดินไปในเมืองเขาสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่ไม่เป็นมิตร แต่แล้วชีวิตของเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยน เคลเมนต์แห่งอเล็กซานเดรีย ผู้นำคริสตจักรในยุคแรกๆกล่าวว่า แซคได้กลายเป็นผู้นำและศิษยาภิบาลผู้มีชื่อเสียงในเมืองซีซารียา ใช่แล้ว แซคที่เราพูดถึงนี้คือศักเคียส หัวหน้าคนเก็บภาษีที่ปีนต้นมะเดื่อเพื่อดูพระเยซู (ลก.19:1-10)
แล้วอะไรที่กระตุ้นให้เขาปีนต้นไม้ คนเก็บภาษีถูกมองว่าเป็นคนทรยศเพราะขูดรีดภาษีจากคนชาติเดียวกันเพื่อรับใช้พวกโรมัน แต่พระเยซูทรงมีชื่อในด้านที่ยอมรับคนเช่นนี้ ศักเคียสคงอยากรู้ว่าพระเยซูจะทรงยอมรับเขาด้วยไหม เขาเป็นคนตัวเตี้ย จึงมองพระองค์ผ่านฝูงชนไม่เห็น (ข้อ 3) เขาคงจะปีนขึ้นไปเพื่อมองหาพระเยซู
พระเยซูก็ทรงมองหาศักเคียสเช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงต้นไม้ที่เขาเกาะอยู่ ทรงมองขึ้นไปและตรัสว่า “ศักเคียสเอ๋ยจงรีบลงมาเพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้” (ข้อ 5) พระเยซูทรงเห็นว่าการไปเป็นแขกในบ้านของชายที่สังคมไม่ยอมรับคนนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ลองคิดดูสิว่า พระผู้ช่วยให้รอดของโลกต้องการใช้เวลากับคนที่สังคมต่อต้าน
ไม่ว่าเราจะต้องการความช่วยเหลือในด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ หรือชีวิตของเรา เรามีความหวังเช่นเดียวกับศักเคียสได้ พระเยซูจะไม่มีวันปฏิเสธเราเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์ทรงสามารถฟื้นฟูสิ่งที่เคยแตกหักหรือหายไป และประทานความหมายและเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตของเรา
การเลี้ยงดูของพระเจ้า
เราเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆค่อยๆห่างจากหมู่บ้านในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เราก็ได้ยินเสียงน้ำที่ดังสนั่นหวั่นไหว เราจึงรีบเร่งฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงที่โล่งและได้พบกับภาพทิวทัศน์อันงดงามของม่านน้ำสีขาวที่ไหลบ่าลงเหนือแนวหินสีเทา ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!
เพื่อนร่วมการปีนเขาของเราซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เราจากมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วตัดสินใจว่าเราควรจะปิคนิคที่นี่ เป็นความคิดที่ดีแต่อาหารอยู่ที่ไหนล่ะ เราไม่ได้นำอาหารมาด้วย เพื่อนๆของฉันหายเข้าไปในป่าที่ล้อมรอบบริเวณนั้นและกลับออกมาพร้อมด้วยผักและผลไม้หลากหลายรวมถึงปลาด้วย ผักเลือนดูแปลกตาด้วยดอกเล็กๆสีม่วง แต่รสชาติอร่อยลิ้น!
อีกครั้งที่ฉันระลึกว่าสิ่งทรงสร้างนั้นประกาศถึงการเลี้ยงดูอันอุดมของพระเจ้า เราเห็นหลักฐานถึงพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์ได้ใน “ผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน” (ปฐก.1:12) พระเจ้าทรงสร้างและประทาน “พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด...และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมัน” ให้เราเป็นอาหาร (ข้อ 29)
บางครั้งคุณพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะวางใจพระเจ้าว่าจะประทานสิ่งจำเป็นแก่คุณหรือไม่ ทำไมไม่ลองไปเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติดู ให้สิ่งที่คุณเห็นตอกย้ำถ้อยคำของพระเยซูที่ว่า “อย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม...พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้” (มธ.6:31-32)
ใครจะรู้
จากเรื่องเล่าในตำนานของจีน เมื่อไซ่ เวิงสูญเสียม้าที่มีค่าไปตัวหนึ่ง เพื่อนบ้านแสดงความเสียใจกับการสูญเสียนี้ แต่ไซ่ เวิงกลับไม่กังวล เขากล่าวว่า “ใครจะรู้ มันอาจเป็นเรื่องดีของฉันก็ได้” ม้าที่หายไปกลับมาพร้อมม้าอีกตัวหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อเพื่อนบ้านแสดงความยินดีกับเขา ไซ่ เวิงกล่าวว่า“ใครจะรู้ มันอาจเป็นเรื่องแย่สำหรับฉันก็ได้” ปรากฎว่าลูกชายเขาขาหักเพราะขี่ม้าตัวใหม่ นี่อาจดูเป็นเรื่องโชคร้าย จนกระทั่งกองทัพมาถึงหมู่บ้านเพื่อเกณฑ์ชายที่มีร่างกายสมประกอบไปร่วมในสงคราม ลูกชายของเขาไม่ได้ถูกเกณฑ์เพราะอาการบาดเจ็บ ซึ่งอาจเป็นการช่วยชีวิตเขาจากความตายในที่สุด
นี่เป็นเรื่องราวของสุภาษิตจีนที่สอนว่าความยากลำบากอาจเป็นพรที่ซ่อนอยู่และส่งผลที่ตรงกันข้าม สุภาษิตเก่าแก่นี้ใกล้เคียงกับปัญญาจารย์ 6:12 เมื่อผู้เขียนสังเกตว่า “ใครจะรู้ว่าอะไรดีต่อมนุษย์ในชีวิตนี้” แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้อนาคต ความลำบากอาจเป็นประโยชน์ และความรุ่งเรืองอาจมีผลร้ายแรง
แต่ละวันล้วนนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ความชื่นชมยินดี ปัญหาและความทุกข์ยาก ในฐานะลูกที่รักของพระเจ้า เราพักพิงในอำนาจอธิปไตยของพระองค์และวางใจพระองค์ทั้งในช่วงเวลาดีและร้ายได้ พระเจ้าทรง “บันดาลให้มีทั้งสองอย่าง” (7:14) พระองค์ทรงอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิตและทรงสัญญาว่าจะดูแลเราด้วยความรัก
เก็บรักษาความทรงจำ
ซูตงปอ (หรือ ซูซื่อ) เป็นกวีและนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของจีน ขณะถูกเนรเทศ ท่านจ้องมองดวงจันทร์ในคืนเต็มดวงและเขียนกลอนบรรยายความคิดถึงน้องชายว่า “เรายินดีและโศกเศร้า พบและพลัดพราก ในยามที่ดวงจันทร์ยังมีทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ตั้งแต่ในกาลก่อนมาแล้ว ไม่มีอะไรที่คงสภาพสมบูรณ์ไปตลอด” ท่านเขียนต่อว่า “ขอให้ผู้ที่เรารักอายุยืนยาว และชื่นชมภาพอันงดงามนี้ด้วยกันแม้อยู่ห่างกันนับพันไมล์”
บทกลอนของท่านมีเนื้อหาเช่นเดียวกับหนังสือปัญญาจารย์ ผู้เขียนคือปัญญาจารย์ (1:1) สังเกตว่ามี “วาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ...วาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด” (3:4-5) โดยการเปรียบเทียบสิ่งที่ตรงข้ามกันเช่นนี้ ปัญญาจารย์และซูตงปอคงจะอยากบอกว่าสิ่งดีทั้งหลายย่อมต้องมีวาระสิ้นสุด
ซูตงปอเห็นข้างขึ้นและข้างแรมของดวงจันทร์เป็นสัญญาณที่บอกว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบตลอดไป ปัญญาจารย์เห็นเช่นกันว่าในโลกที่พระองค์ทรงสร้างนั้น พระองค์ประทานให้มีวาระต่างๆ พระเจ้าทรงควบคุมความเป็นไปทุกอย่าง และ “พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน” (ข้อ 11)
ชีวิตนั้นคาดเดาไม่ได้และบางครั้งเต็มไปด้วยการพลัดพรากที่เจ็บปวด แต่เราวางใจได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เราชื่นชมยินดีกับชีวิต และเก็บรักษาความทรงจำทั้งดีและร้ายเพราะพระเจ้าที่รักของเราทรงอยู่กับเรา
ต้องการความช่วยเหลือ
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่ออัลดี้กำลังทำงานตามลำพังที่กระท่อมตกปลาซึ่งอยู่ห่างจากเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซียไปประมาณ 125 กิโลเมตร มีลมพัดมาอย่างแรงจนกระท่อมหลุดจากท่าที่ผูกไว้และลอยออกไปกลางทะเล อัลดี้ลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทร 49 วัน ทุกครั้งที่เห็นเรือ เขาพยายามจุดตะเกียงเพื่อให้ลูกเรือเห็นแต่ก็ไม่เป็นผล เรือประมาณสิบลำผ่านไปก่อนที่ชายหนุ่มขาดอาหารผู้นี้จะได้รับการช่วยเหลือ
ความเชื่อกับความสงสัย
หมิงเต็กตื่นขึ้นด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและคิดว่าเขาคงเป็นไมเกรนเช่นเคย แต่เมื่อลุกขึ้นจากเตียงเขาก็ทรุดลงบนพื้น เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์แจ้งว่าเขาเป็นโรคหลอดเลือดสมอง หลังพักฟื้นได้สี่เดือน เขาสามารถใช้ความคิดและพูดคุยได้เหมือนเดิมแต่ยังคงเดินโขยกเขยก เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกสิ้นหวังบ่อยๆ แต่เขาก็ได้รับการปลอบประโลมจากพระธรรมโยบอย่างมาก
โยบสูญเสียทรัพย์สมบัติและลูกๆไปในชั่วข้ามคืน แม้จะได้รับข่าวที่ทำให้เจ็บปวดใจ แต่สิ่งแรกที่ท่านทำคือมองดูที่พระเจ้าด้วยความหวัง และสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง ท่านยอมรับในการทรงครอบครองของพระเจ้าแม้ในช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย (โยบ1:21) เราประหลาดใจในความเชื่ออันเข้มแข็งนี้ แต่โยบก็ต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังเช่นกัน เมื่อสุขภาพท่านย่ำแย่ลง (2:7) ท่านก็สาปแช่งวันที่ท่านเกิดมา (3:1) ท่านบอกเพื่อนและพระเจ้าตรงๆถึงความเจ็บปวดของตน แต่ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่า ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า (13:15; 19:25-27)
ในความทุกข์ทรมาน เราอาจพบตัวเองเปลี่ยนไปมาระหว่างความรู้สึกสิ้นหวังและความหวัง ความสงสัยและความเชื่อ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราแสดงความกล้าหาญขณะเผชิญความทุกข์ยาก แต่ทรงเชื้อเชิญให้เราเข้ามาหาพระองค์พร้อมกับคำถาม แม้บางครั้งความเชื่อเราอาจไม่มากพอ แต่เราวางใจได้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเสมอ
หิวกระหายพระเจ้า
ผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งอยากอ่านพระคัมภีร์มาก แต่เขาสูญเสียการมองเห็นและมือทั้งสองในเหตุระเบิด เมื่อได้ยินถึงหญิงที่ใช้ริมฝีปากอ่านอักษรเบรล เขาจึงลองดูแต่ก็พบว่าปลายประสาทที่ปากของเขาถูกทำลายไปด้วย ต่อมาเขาดีใจที่พบว่าเขาสัมผัสอักษรเบรลได้ด้วยลิ้น! เขาค้นพบวิธีที่จะอ่านและชื่นบานในพระวจนะได้แล้ว
ผู้พยากรณ์เยเรมีย์ชื่นบานและปีติยินดีเมื่อได้รับพระคำของพระเจ้า “เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์” (ยรม.15:16) เยเรมีย์ไม่เหมือนชาวยูดาห์ที่ปฏิเสธพระวจนะ (8:9) ท่านเชื่อฟังและเปรมปรีดิ์ในพระคำ แต่การเชื่อฟังทำให้ท่านถูกเพื่อนร่วมชาติปฏิเสธและข่มเหงอย่างอยุติธรรม (15:17)
บางคนอาจมีประสบการณ์คล้ายกัน เราเคยอ่านพระคัมภีร์อย่างชื่นบาน แต่การเชื่อฟังพระเจ้านำไปสู่การทนทุกข์และถูกปฏิเสธ เรานำความสับสนเข้ามาหาพระเจ้าได้เหมือนที่เยเรมีย์ทำ พระเจ้าทรงตอบเยเรมีย์โดยย้ำถึงพระสัญญาที่มอบให้เมื่อทรงเรียกท่านให้เป็นผู้พยากรณ์ (ข้อ 19-21, ดู 1:18-19) ทรงย้ำเตือนว่าพระองค์ไม่เคยทำให้คนของพระองค์ผิดหวัง เราเองก็มั่นใจเช่นนั้นได้ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา
อธิษฐานกองฟาง
ซามูเอล มิลส์ กับเพื่อนสี่คน มักรวมตัวกันอธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าส่งคนมาแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเยซูมากขึ้น วันหนึ่งในปี 1806 หลังกลับจากประชุมอธิษฐาน พวกเขาเจอพายุฝน จึงไปหลบในกองฟาง การอธิษฐานประจำสัปดาห์ของพวกเขาจึงเป็นที่รู้จักในชื่อการประชุมอธิษฐานกองฟาง ซึ่งส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อประกาศข่าวประเสริฐทั่วโลก ทุกวันนี้อนุสาวรีย์การอธิษฐานกองฟางตั้งอยู่ที่วิลเลียมส์คอลเลจในสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นที่รำลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านคำอธิษฐาน
ความเป็นจริงที่มองไม่เห็น
สตีเฟน แคสส์ บรรณาธิการนิตยสาร ดิสคัพเวอร์ ตั้งใจสืบหาว่ามีสิ่งใดบ้างที่เขามองไม่เห็นแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ขณะที่เดินมุ่งหน้าไปสำนักงานในนิวยอร์กซิตี้ เขาคิดว่า “ถ้าผมมองเห็นคลื่นวิทยุได้ ยอดตึกเอ็มไพร์สเตท [ซึ่งเต็มไปด้วยเสาอากาศวิทยุและโทรทัศน์] คงสว่างวาบเหมือนเปลวไฟหลากสีที่ส่องสว่างไปทั้งเมือง” เขาตระหนักว่ารอบตัวเต็มไปด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สาย และอื่นๆ ที่เขามองไม่เห็น