ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

วิธีในการชำระล้าง

เด็กน้อยสองคนร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” อย่างสนุกสนานคนละสองรอบขณะล้างมือที่อ่าง “ต้องใช้เวลานานเท่านี้นะถึงจะล้างเชื้อโรคได้หมด” แม่บอกพวกเขา พวกเขาได้เรียนรู้ว่าต้องใช้เวลาในการล้างสิ่งสกปรกออกจากมือก่อนเกิดโรคระบาดโควิด 19 เสียอีก

เราเรียนรู้จากโรคระบาดว่าการรักษาความสะอาดเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา การกำจัดบาปก็เป็นขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อกลับไปหาพระเจ้าเช่นกัน

ยากอบหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูที่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรโรมันให้หันกลับมาจดจ่อที่พระเจ้า ชีวิตพวกเขาเต็มไปด้วยการทะเลาะและต่อสู้กันเพื่อจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า ได้ครอบครอง ได้ความพึงพอใจของโลกนี้ มีเงินและเป็นที่ยอมรับซึ่งทำให้พวกเขาเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ยากอบเตือนให้ “น้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมารและมันจะหนีท่านไป...คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์” (ยก.4:7-8) แต่จะทำได้อย่างไร

“จงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน” (ข้อ 8) นี่คือถ้อยคำแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ที่อธิบายถึงความจำเป็นในการหันกลับมาหาพระเจ้าเพื่อจะขจัดเอาเศษดินแห่งความบาปออกไปจากชีวิตเรา จากนั้นยากอบอธิบายวิธีในการชำระล้างว่า “จงเป็นทุกข์โศกเศร้าและร้องไห้ จงให้การหัวเราะกลับกลายเป็นการโศกเศร้า และความปีติยินดีกลับกลายเป็นความเศร้าสลด ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น” (ข้อ 9-10)

การรับมือกับความบาปของเรานั้นคือการถ่อมใจ แต่ฮาเลลูยา เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะเปลี่ยน “การชำระล้าง” ของเราให้กลายเป็นการนมัสการ

พระองค์ทรงสู้เพื่อคุณ

ม้าที่ได้รับบาดเจ็บถูกตั้งชื่อว่าดรัมเมอร์บอย มันเป็นหนึ่งในม้า 112 ตัวที่พาทหารอังกฤษเข้าสู่สนามรบในเหตุการณ์การบุกโจมตีของกองพลทหารม้าเบาที่มีชื่อเสียง ม้าเหล่านี้ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและทรหดจนทำให้พันโทเดอซาลิสผู้บัญชาการกองทัพตัดสินใจว่า ม้าของเขาสมควรได้รับเหรียญกล้าหาญเฉกเช่นทหารหาญ แม้จะพ่ายแพ้ในสนามรบแต่พวกเขายังได้รับการยกย่อง ทหารม้าผู้กล้ากับม้าที่กล้าหาญได้ก่อให้เกิดเป็นเหตุการณ์การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกองทัพอังกฤษซึ่งยังคงเฉลิมฉลองกันจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามการเผชิญหน้าครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาจากสุภาษิตโบราณในพระคัมภีร์ “ม้าก็เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับวันสงคราม แต่ความมีชัยเป็นของพระเจ้า” (สภษ.21:31) พระคัมภีร์ได้ยืนยันหลักการนี้อย่างชัดเจน “เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเสด็จไปกับท่าน ทรงต่อสู้ศัตรูของท่านเพื่อท่าน จะประทานชัยชนะแก่ท่าน” (ฉธบ.20:4) ยิ่งกว่านั้นทรงมีชัยเหนือเหล็กไนแห่งความตาย ตามที่อัครทูตเปาโลได้เขียนไว้ “สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา” (1 คร.15:56-57)

เมื่อรู้เช่นนี้หน้าที่ของเราคือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบที่ยากลำบากของชีวิต เพื่อสร้างพันธกิจเราต้องเรียน ทำงานและอธิษฐาน เพื่อจะสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงาม เราต้องมีความชำนาญ เพื่อจะพิชิตยอดเขาเราต้องตรวจสอบอุปกรณ์และฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง เมื่อทุกอย่างพร้อมเราจะเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยโดยความรักที่แข็งแกร่งของพระเยซูคริสต์

ทรงรู้จักชื่อของคุณ

สามปีหลังจากที่ไม่ได้ไปคริสตจักรที่เราเคยไปเป็นประจำ ฉันและสามีกลับมาร่วมสามัคคีธรรมกับพวกเขาอีกครั้ง แต่พวกเขาจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร พวกเขาจะยินดีต้อนรับเราไหม จะรักเราไหม จะยกโทษที่เราจากไปไหม เราได้คำตอบในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส ขณะเดินเข้าทางประตูบานใหญ่ของคริสตจักร เราได้ยินชื่อของเราซ้ำๆ “แพท! แดน! ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณ!” เป็นจริงตามที่นักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก เคท ดิคามิลโล เขียนไว้ในหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งว่า “ท่านผู้อ่าน ในโลกอันน่าเศร้านี้ ไม่มีสิ่งใดหวานหูไปกว่าเสียงของคนที่คุณรักเรียกชื่อคุณ”

คำยืนยันนี้เป็นจริงสำหรับชนชาติอิสราเอล เราเลือกเปลี่ยนไปคริสตจักรอื่นแต่ชนอิสราเอลหันหลังให้พระเจ้า กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงต้อนรับพวกเขากลับมา พระองค์ส่งผู้เผยพระวจนะอิสยาห์มายืนยันกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา” (อสย.43:1)

ในโลกนี้ เราอาจรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็น ชื่นชม หรือรู้จักเรา แต่จงมั่นใจว่าพระเจ้าทรงรู้จักชื่อของเราทุกคน ทรงสัญญาว่า “​เจ้าประเสริฐในสายตาของเรา และได้รับเกียรติ” (ข้อ 4) “เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำเราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำน้ำจะไม่ท่วมเจ้า” (ข้อ 2) คำสัญญานี้ไม่ใช่เพื่อชาวอิสราเอลเท่านั้น พระเยซูทรงมอบชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เรา พระองค์ทรงรู้จักชื่อของเรา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเราเป็นของพระองค์โดยความรัก

ความรักที่กล้าหาญ

อนุศาสกทั้งสี่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะ “วีรบุรุษ” แต่ในค่ำคืนที่เย็นยะเยือกของเดือนกุมภาพันธ์ปี 1943 เมื่อเรือเอสเอส ดอร์เชสเตอร์ที่พวกเขาโดยสารมาถูกยิงด้วยตอปิโดที่นอกชายฝั่งกรีนแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสี่คนพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยลูกเรือหลายร้อยที่ตื่นตระหนกให้สงบลง เมื่อเรือค่อยๆจมและผู้บาดเจ็บกระโดดลงเรือชูชีพที่คนแน่นจนล้น อนุศาสกทั้งสี่สงบความโกลาหลด้วยการ “เทศนาเรื่องความกล้าหาญด้วยการกระทำ” ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าว

เมื่อเสื้อชูชีพหมด ทั้งสี่คนถอดชูชีพของตนออกมอบให้ชายหนุ่มที่หวาดกลัว พวกเขาตั้งใจจมลงไปพร้อมกับเรือเพื่อให้ผู้อื่นรอด ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าวว่า “เป็นสิ่งดีงามที่สุดที่ผมเคยเห็นหรือหวังจะได้เห็นจากฟากนี้ของสวรรค์”

อนุศาสกเกี่ยวแขนกันเมื่อเรือเริ่มจมและอธิษฐานร่วมกันด้วยเสียงอันดังเพื่อให้กำลังใจแก่คนที่จะจากไปพร้อมพวกเขา

เรื่องราวของพวกเขาโดดเด่นในแง่ความกล้าหาญ แต่ความรักคือของขวัญที่พวกเขามอบให้ เปาโลเรียกร้องให้ผู้เชื่อทุกคนมีความรักเช่นนี้ รวมถึงคริสตจักรในโครินธ์ที่ถูกพายุกระหน่ำด้วย ท่ามกลางความขัดแย้ง การคอร์รัปชั่นและความบาป เปาโลหนุนใจให้พวกเขา “​ระมัดระวัง จง​มั่นคง​ใน​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน จง​เป็น​ลูกผู้ชาย​แท้ จง​เข้มแข็ง” (1 คร.16:13) และท่านเสริมว่า “ทุก​สิ่ง​ซึ่ง​ท่าน​กระทำ​นั้น จง​กระทำ​ด้วย​ความ​รัก” (ข้อ 14)

เป็นคำสั่งที่ดีสำหรับผู้เชื่อพระเยซูทุกคน โดยเฉพาะในยามวิกฤติ ในชีวิต เมื่อความไม่สงบคุกคามชีวิต การตอบสนองที่กล้าหาญที่สุดของเราจะสะท้อนถึงพระคริสต์ คือการมอบความรักของพระองค์ให้กับผู้อื่น

ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

ในปาปัวนิวกินี ชนเผ่าคานดาสรอคอยการมาถึงของพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ที่จัดพิมพ์เป็นภาษาของพวกเขาด้วยความตื่นเต้น แต่การจะไปถึงหมู่บ้านได้ คนที่เอาพระคัมภีร์ไปต้องเดินทางด้วยเรือเล็กผ่านมหาสมุทร

อะไรทำให้พวกเขามีความกล้าที่จะเดินทางข้ามทะเลใหญ่ ความสามารถในการเดินเรือหรือ ก็ใช่ แต่พวกเขาก็รู้ด้วยว่าใครคือผู้ทรงสร้างทะเล พระองค์คือผู้เดียวที่ทรงนำเราแต่ละคนข้ามผ่านระลอกคลื่นและน่านน้ำลึกแห่งชีวิต

ตามที่ดาวิดเขียนไว้ว่า “ข้า​พระ​องค์​จะ​ไป​ไหน ให้​พ้น​พระ​วิญญาณ​ของ​พระ​องค์​ได้” (สดด.139:7) “ถ้า​ข้า​พระ​องค์​ขึ้น​ไป​ยัง​สวรรค์ ​พระ​องค์​ทรง​สถิต​ที่​นั่นถ้า​ข้า​พระ​องค์​จะ​...อาศัย​อยู่​ที่​ส่วน​ของ​ทะเล​ไกล​โพ้น แม้​ถึง​ที่​นั่น ​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​จะ​นำ​ข้า​พระ​องค์ และ​พระ​หัตถ์​ขวา​ของ​พระ​องค์​จะ​ยึด​ข้า​พระ​องค์​ไว้” (ข้อ 8-10)

ถ้อยคำเหล่านี้น่าจะแตะใจชนเผ่าคานดาสผู้อาศัยอยู่บนเกาะในบริเวณชายฝั่งเขตร้อนที่มีป่าฝนทึบและภูเขาหินซึ่งถูกขนานนามว่า “ดินแดนสุดท้ายที่โลกไม่รู้จัก” แต่กระนั้นผู้เชื่อที่นั่นและในทุกแห่งหนรู้ว่า ไม่มีที่ใดหรือปัญหาใดที่ไกลเกินไปสำหรับพระเจ้า สดุดี 139:12 กล่าวว่า “สำหรับ​พระ​องค์ แม้​ความ​มืด​ก็​ไม่​มืด กลางคืน​ก็​แจ้ง​อย่าง​กลางวัน ความ​มืด​เป็น​อย่าง​ความ​สว่าง”

ดังนั้น ท่ามกลางพายุในทะเลพระเจ้าของเราตรัสว่า “จง​สงบ​เงียบ​ซิ” และคลื่นและลมก็เชื่อฟังพระองค์ (มก.4:39) ด้วยเหตุนี้ อย่ากลัวน่านน้ำแห่งชีวิตที่ลึกหรือโหมกระหน่ำในวันนี้ พระเจ้าจะทรงนำเราถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

ดีขึ้นเพราะพระเจ้า

ในทีมวอลเลย์บอลของวิทยาลัย หลานสาวของฉันเรียนรู้หลักปฏิบัติให้ได้ชัยชนะ เมื่อเธอได้ครองบอล เธอสามารถ “ส่งบอลให้ดีขึ้น” เธอสามารถเดินเกมเพื่อให้สถานการณ์ของทีมดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว ตำหนิ หรือแก้ตัว จงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเสมอ

ดาเนียลตอบสนองเช่นเดียวกันนี้เมื่อท่านและเพื่อนชาวฮีบรูสามคนถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนจับไปเป็นเชลย แม้พวกเขาจะมีชื่อใหม่และได้รับคำสั่งให้รับการ “ฝึกฝน” เป็นเวลาสามปีในดินแดนของศัตรู ดาเนียลไม่ได้เดือดดาล แต่ท่านขอไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินในสายพระเนตรพระเจ้าโดยไม่กินอาหารสูงและเหล้าองุ่นของพระราชา หลังจากกินแต่ผักและน้ำเป็นเวลาสิบวัน (ดนล.1:12) ดาเนียลและเพื่อนของท่าน “รูปร่างหน้าตาดีกว่าและเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา” (ข้อ 15)

อีกครั้งหนึ่ง เนบูคัดเนสซาร์ขู่ฆ่าดาเนียลและนักปราชญ์ทุกคนในพระราชวัง หากพวกเขาไม่อาจเล่าความฝันที่รบกวนใจพระองค์และบอกความหมายของฝันนั้น อีกครั้งที่ดาเนียลไม่ตื่นตระหนก แต่ทูลขอพระกรุณาจาก “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์” และความลึกลับก็ได้เปิดเผยแก่ท่านในนิมิต (2:19) ท่านประกาศว่า “ปัญญาและฤทธานุภาพเป็นของพระองค์” (ข้อ 20) ตลอดเวลาที่ตกเป็นเชลย ดาเนียลแสวงหาสิ่งดีที่สุดจากพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงความขัดแย้งที่ท่านได้เผชิญ ขอให้เราทำตามแบบอย่างนั้นในปัญหาที่เรามี คือทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยมอบไว้กับพระเจ้า

พบความชื่นชมยินดีในการสรรเสริญ

เมื่อแรกที่ซี. เอส. ลูอิส นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษมอบชีวิตให้พระเยซู ท่านไม่ยอมสรรเสริญพระเจ้า ที่จริงท่านเรียกการสรรเสริญว่า “สิ่งกีดขวาง” ปัญหาของท่านคือ “การที่พระเจ้าเองเป็นผู้สั่งให้ทำเช่นนั้น” แต่ในที่สุดลูอิสตระหนักว่า “การสรรเสริญอยู่ในกระบวนการนมัสการ ที่พระเจ้าทรงสำแดงการสถิตอยู่ด้วย” แก่คนของพระองค์ แล้ว “ในความรักอันสมบูรณ์ร่วมกับพระเจ้า” เราจะพบความชื่นชมยินดีในพระองค์ซึ่งจะไม่มีการแยกจากกันอีกต่อไป “เช่นเดียวกับกระจกที่ได้รับแสงสว่าง” ก็ต้อง “ฉายแสงออกมา”

ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกได้ข้อสรุปนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลังจากบ่นกับพระเจ้าถึงความชั่วร้ายที่มาถึงพวกยูดาห์ ท่านได้เห็นว่าการสรรเสริญพระเจ้าทำให้ท่านพบความยินดี ไม่ใช่ในสิ่งที่พระองค์ทำแต่ในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ดังนั้นถึงแม้จะมีวิกฤติในประเทศหรือในโลก พระเจ้ายังทรงยิ่งใหญ่ ดังที่ท่านได้ประกาศว่า

“แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอกและไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า” (ฮบก.3:17-18) และ “ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า”

ในขณะที่ซี. เอส. ลูอิส ตระหนักว่า “ทั้งโลกก้องกังวานไปด้วยเสียงสรรเสริญ” ฮาบากุกก็ยอมจำนนเช่นกันที่จะสรรเสริญพระเจ้าทุกเวลา เพื่อพบกับความยินดีเต็มล้นในพระองค์ผู้ซึ่ง “การเสด็จของพระองค์ก็เป็นดังดั้งเดิม” (ข้อ 6)

ถอนวัชพืชอย่างชาญฉลาด

หลานๆกำลังวิ่งเล่นที่สนามหลังบ้านของฉัน กำลังเล่นเกมกันหรือ ไม่ใช่เลยพวกเขากำลังถอนวัชพืช “ถอนออกมาทั้งรากเลย!” หลานคนสุดท้องบอกพร้อมกับชูผลงานชิ้นใหญ่ให้ฉันดู ความสุขของเธอคือการที่ได้ถอนวัชพืชออกมาทั้งราก ทำให้สนามปราศจากวัชพืชที่น่ารำคาญ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสนุกได้เราต้องเลือกที่จะไล่ล่ามัน

ความตั้งใจที่จะกำจัดวัชพืชเป็นขั้นตอนแรกในการกำจัดความบาปในตัวเราเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงอธิษฐานว่า “ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์...และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆในข้าพระองค์หรือไม่” (สดด.139:23-24)

ช่างเป็นวิธีที่ฉลาดในการไล่ล่าความบาปของเรา โดยขอให้พระเจ้าทรงสำแดงความบาปนั้นให้เราเห็น พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเรา ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์” “เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้นพระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล” (ข้อ 1-2)

“ความรู้อย่างนี้” ดาวิดเสริม “อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนักข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง” (ข้อ 6) แม้แต่ก่อนที่ความบาปจะหยั่งราก พระเจ้าทรงสามารถเตือนเราถึงอันตราย พระองค์ทรงรู้จัก “ตัวตนทั้งหมด” ของเรา ดังนั้นเมื่อความบาปแอบเข้ามาเพื่อหยั่งราก พระองค์ทรงทราบก่อนและทรงชี้ให้เราเห็น

“ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้” ดาวิดเขียน“หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 7) ขอให้เราติดตามพระผู้ช่วยของเราอย่างใกล้ชิดไปสู่แผ่นดินของพระองค์!

อย่ายอมแพ้

“เวลาผ่านเลย สงครามเข้ามา” นี่คือคำพูดที่เซมิ นิโก บิชอปของชาวเคลิโคในสาธารณรัฐเซาท์ซูดานเล่าถึงความล่าช้าจากการที่โบสถ์ต้องต่อสู้อย่างยาวนานเพื่อจะมีพระคัมภีร์เป็นภาษาของตัวเอง ภาษาเคลิโคไม่เคยถูกตีพิมพ์มาก่อน สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ปู่ของบิชอปนิโกเริ่มโครงการแปลพระคัมภีร์อย่างมุ่งมั่น แต่สงครามและความวุ่นวาย ทำให้หยุดชะงักไป ถึงแม้จะถูกโจมตีหลายครั้งที่ค่ายผู้ลี้ภัยทางตอนเหนือของยูกันดาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก บิชอปและเหล่าผู้เชื่อยังคงทำงานแปลต่อไป

การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขาได้ผล เกือบสามสิบปีให้หลัง พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ภาษาเคลิโคนั้นถูกส่งไปค่ายผู้ลี้ภัยพร้อมการเฉลิมฉลอง “ภาระใจของชาวเคลิโคเกินคำบรรยาย” หนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการกล่าว

ความมุ่งมั่นของชาวเคลิโคสะท้อนถึงความบากบั่นที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากโยชูวา เมื่อพระองค์กล่าวกับท่านว่า “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญและเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี” (ยชว.1:8) ด้วยความมุ่งมั่นเดียวกัน ชาวเคลิโคแปลพระคัมภีร์สำเร็จ และตอนนี้ “เมื่อคุณมองดูพวกเขาในค่าย คุณจะเห็นพวกเขากำลังยิ้ม” ผู้แปลคนหนึ่งกล่าว การได้ยินและเข้าใจพระคัมภีร์ “ทำให้พวกเขามีความหวัง” ให้เราเป็นดั่งชาวเคลิโค ที่ไม่ยอมแพ้ในการแสวงหาฤทธิ์เดชและสติปัญญาจากพระคัมภีร์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา