ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

มองไปบนท้องฟ้า

อเล็กซ์ สมอลลีย์อยากให้ทุกคนตื่นเร็วขึ้นหรือไม่ก็ใช้เวลาในช่วงใกล้สิ้นสุดวันให้นานขึ้น เพื่อจะชมดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ช่วงเวลาเหล่านั้นที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วเป็นช่วงที่งดงามและน่าประทับใจที่สุดของวัน ตามคำของสมอลลีย์หัวหน้านักวิจัยการศึกษาในอังกฤษเรื่องอิทธิพลของบรรยากาศอันน่ายำเกรง แสงอาทิตย์ขึ้นหรือตกที่ให้ความสงบสามารถแก้ไขความรู้สึกขุ่นหมอง เพิ่มอารมณ์เชิงบวกและลดความเครียดได้มากยิ่งกว่าท้องฟ้าสีครามหรือทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ระยิบระยับ สมอลลีย์กล่าวว่า “เมื่อคุณเห็นบางอย่างที่ไพศาลและท่วมท้นหรือบางอย่างที่ก่อให้เกิดความรู้สึกยำเกรง คุณจะรู้สึกว่าค่อยๆเล็กลง ดังนั้นคุณจึงไม่กังวลกับปัญหานั้นมากนัก”

การค้นพบที่น่าพิศวงของเขาสะท้อนถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ “ข้าแต่พระเจ้า คือพระองค์เอง ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์และด้วยพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกของพระองค์ สำหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกิน” (ยรม.32:17)

กษัตริย์ดาวิดก็ทอดพระเนตรการทรงสร้างของพระเจ้าและประกาศว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดด.19:1) ดวงอาทิตย์นั้น “ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้” (ข้อ 6) การทรงสร้างอันเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้านั้นสะท้อนถึงพระผู้สร้างผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทำไมวันนี้เราจึงไม่ใช้เวลามองไปบนท้องฟ้าและรู้สึกอัศจรรย์ใจในพระองค์!

วันที่ 4 – พระคุณสำหรับวันนี้ | ความหวังที่เบ่งบาน

ความหวังที่เบ่งบาน

ในเมืองฟิลาเดลเฟีย เมื่อพื้นที่ที่มีหญ้าขึ้นรกได้รับการถางและทำให้สดใสด้วยดอกไม้และต้นไม้ที่สวยงาม ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็พลอยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นไปด้วย นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ

“มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าพื้นที่สีเขียวนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต” ดร.ยูจิเนีย เซาท์กล่าว “และนั่นเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะกับคนที่อาศัยในย่านที่ยากจน” เซาท์เป็นอาจารย์จากคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และเป็นผู้เขียนร่วมของงานวิจัยชิ้นนี้

คนอิสราเอลและยูดาห์ที่ถูกข่มเหงได้พบความหวังใหม่ในนิมิตของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ที่พระเจ้าจะรื้อฟื้นพวกเขาขึ้นใหม่อย่างงดงาม ในท่ามกลางการลงโทษและการพิพากษาที่อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ก่อนหน้านั้น พระสัญญาที่นำความหวังอันสดใสนี้ได้หยั่งรากลง “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดีทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอกอย่างต้นดอกฝรั่น มันจะออกดอกอุดมและเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบาน” (อิสยาห์ 35:1-2)

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรในวันนี้ เราสามารถชื่นชมยินดีในวิถีทางอันงดงามที่พระบิดาในสวรรค์ทรงรื้อฟื้นเราด้วยความหวังที่สดใหม่และการทรงสร้างของพระองค์ เมื่อเราท้อแท้ การใคร่ครวญถึงพระสิริและความงดงามของพระเจ้าจะช่วยให้เรามีกำลังขึ้น อิสยาห์หนุนใจเราว่า “จงหนุนกำ‌ลังของมือที่อ่อนและกระ‌ทำหัว‍เข่าที่อ่อนให้มั่น‍คง” (ข้อ 3)

ดอกไม้เพียงไม่กี่ดอกจะจุดประกายความหวังของเราอีกครั้งได้หรือไม่? ผู้เผยพระวจนะตอบว่า ได้ พระเจ้าผู้ทรงประทานความหวังให้กับเราก็เช่นกัน

เขียนโดย แพทริเซีย เรย์บอน

คิดใคร่ครวญ :
เมื่อรู้สึกสิ้นหวัง คุณมักจะตอบสนองอย่างไร? การใช้เวลากลางแจ้งท่ามกลางสิ่งทรงสร้างจะเปลี่ยนความสิ้นหวังของคุณให้เป็นความหวังที่สดใหม่ในพระเจ้าได้อย่างไร?

อธิษฐาน :
ข้าแต่พระเจ้าที่รัก ขอบพระคุณสำหรับสิ่งทรงสร้างที่งดงาม ซึ่งทำให้ข้าพระองค์เห็นถึงสง่าราศีของพระองค์และฟื้นความหวังของข้าพระองค์ขึ้นใหม่ในพระองค์

ธรรมชาติใหม่ของเราในพระคริสต์

ต้นสนสีน้ำเงินของเราผลัดลูกสนและใบเข็มออกมา หมอต้นไม้มาดูและอธิบายปัญหาว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” ฉันหวังว่าจะได้ยินคำอธิบายที่ดีกว่านั้นหรือวิธีการรักษา แต่หมอต้นไม้ยักไหล่และพูดอีกครั้งว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” โดยธรรมชาติแล้วต้นไม้นี้ผลัดใบเข็ม มันเปลี่ยนไม่ได้

ขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยการกระทำหรือมุมมองที่เปลี่ยนไม่ได้ เปาโลย้ำความจริงนี้กับผู้เชื่อใหม่ที่เอเฟซัส ท่านกล่าวว่า คนต่างชาติมี “ความคิด...มืดมนไป” จิตใจของพวกเขาปิดต่อพระเจ้า พวกเขามีใจที่แข็งกระด้าง “ทำการโสโครกทุกอย่าง” และปล่อยตัวทำการลามกและละโมบ (อฟ.4:18-19)

อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า แต่ “ท่านได้ฟังเรื่อง[พระเยซู]” และความจริงของพระองค์แล้ว “ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย” (ข้อ 22) เปาโลบันทึกว่าตัวตนเก่าของเราจะ “เสื่อมเสียไป...ตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง” และกล่าวอีกว่า “จงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (ข้อ 22-24)

และท่านเขียนถึงวิถีใหม่ในการดำเนินชีวิต นั่นคือ เลิกพูดโกหก เอาชนะความโกรธ หยุดการแช่งด่า เลิกการขโมย “แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน” (ข้อ 28) ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์นั้นทำให้เรามีชีวิตที่คู่ควรกับการทรงเรียกของพระเจ้า ซึ่งได้ยอมจำนนต่อวิถีขององค์พระผู้ช่วยให้รอด

ช่วยผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้าทรงช่วยเรา

โอเล แคซซาว์เป็นชาวเมืองโคเปนเฮเกนที่รักการปั่นจักรยาน เช้าวันหนึ่งเขาเห็นชายชรานั่งอยู่คนเดียวกับอุปกรณ์ช่วยพยุงเดินในสวนสาธารณะ โอเลเกิดแรงบันดาลใจจากความคิดง่ายๆว่า ทำไมไม่ช่วยให้ผู้สูงวัยได้มีความสุขและรู้สึกอิสระโดยการพาไปนั่งจักรยานเล่า ดังนั้นในวันที่แดดดีวันหนึ่ง เขาจึงไปบ้านพักคนชราพร้อมกับรถสามล้อ(จักรยานสามล้อ) และเสนอว่าจะพาไปนั่งจักรยานเล่น เขายินดีอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่และผู้สูงอายุที่นั่นได้กลายเป็นคนกลุ่มแรกของโครงการปั่นจักรยานเพื่อคนทุกวัย

ตอนนี้ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ความฝันของโอเลที่ต้องการช่วยเหลือผู้ที่คิดถึงการปั่นจักรยานได้นำความสุขไปสู่ผู้สูงวัยกว่า 575,000 คน ซึ่งได้นั่งไปกับจักรยานสามล้อแล้วถึง 2.5 ล้านครั้ง โดยเขาจะพาผู้สูงวัยเหล่านั้นไปหาเพื่อน ไปทานไอศกรีมโคน และไป “รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านเส้นผม” ผู้เข้าร่วมบอกว่าพวกเขาหลับสบายขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น และรู้สึกเหงาน้อยลง

ของขวัญเช่นนี้ทำให้พระวจนะอันงดงามของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในอิสยาห์ 58:10-11 มีชีวิตขึ้นมา “ให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มใจ” พระองค์ตรัสกับพวกเขา “แล้วความสว่างจะโผล่ขึ้นแก่เจ้าในความมืด และความมืดคลุ้มของเจ้าจะเป็นเหมือนเที่ยงวัน” พระเจ้าทรงสัญญาว่า “พระเจ้าจะนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และให้เจ้าอิ่มด้วยของดี และกระทำให้กระดูกของเจ้าแข็ง และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เหมือนน้ำพุที่น้ำของมันไม่ขาด”

พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “สิ่งปรักหักพังโบราณของเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่” (ข้อ 12) พระองค์จะทรงทำสิ่งใดผ่านเราได้บ้าง ขณะที่พระองค์ทรงช่วยเรานั้น ขอให้เราเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

พระเยซูประทับอยู่ภายใน

เมื่อพายุหิมะพัดถล่มรัฐที่ฉันอาศัยอยู่ทางภาคตะวันตกของสหรัฐ แม่ของฉันซึ่งเป็นหม้ายตัดสินใจมาอยู่กับครอบครัวของเราเพื่อ “ฝ่าฟัน” พายุ แต่หลังจากพายุหิมะสงบลงเธอก็ไม่กลับไปยังบ้านของเธออีกเลย เธอย้ายมาอยู่กับเราจนวันสุดท้ายของชีวิต การเข้ามาของเธอทำให้ครอบครัวของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี เธอพร้อมเสมอที่จะสอนสติปัญญา ให้คำแนะนำแก่ลูกหลาน และเล่าเรื่องของปู่ย่าตายายให้ฟัง เธอและสามีของฉันกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งคู่มีอารมณ์ขันและชอบกีฬาเหมือนกัน เธอไม่ใช่แขกอีกต่อไปแต่เป็นบุคคลสำคัญที่เข้ามาอาศัยอยู่กับเราอย่างถาวร และได้เปลี่ยนแปลงหัวใจของเราไปตลอดกาลแม้กระทั่งหลังจากที่พระเจ้าทรงรับเธอไปแล้ว

ประสบการณ์นี้ทำให้นึกถึงคำที่ยอห์นบรรยายถึงพระเยซูว่า พระองค์ทรง “อยู่ท่ามกลางเรา” (ยน.1:14) เป็นคำบรรยายที่กินใจเพราะคำว่า อยู่ ในภาษากรีก หมายถึง “การกางเต็นท์” และอีกคำแปลหนึ่งหมายความว่า พระองค์ “ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเรา”

โดยความเชื่อ เรายังได้ต้อนรับพระเยซูในฐานะผู้ประทับในใจของเราอีกด้วย ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าทูลขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่าน ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์ ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก” (อฟ.3:16-17 THSV 11)

พระเยซูไม่ใช่แขกผู้มาเยือน แต่ทรงเป็นผู้อาศัยถาวรซึ่งประทานกำลังเรี่ยวแรงให้แก่ทุกคนที่ติดตามพระองค์ ขอให้เราเปิดประตูใจให้กว้างและต้อนรับพระองค์เถิด

ประตูที่เปิดของพระเจ้า

ที่โรงเรียนใหม่ของฉันซึ่งอยู่ใกล้เมืองใหญ่ ครูที่ปรึกษามองมาที่ฉันเพียงครั้งเดียวและจัดให้ฉันอยู่ในห้องเรียนที่คะแนนต่ำสุดของวิชาการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ฉันมาจากโรงเรียนเขตเมืองชั้นในด้วยคะแนนสอบที่โดดเด่น เกรดดีเยี่ยม อีกทั้งงานเขียนของฉันได้รับรางวัลดีเด่น แต่ประตูสู่ชั้นเรียนการเขียนที่ “ดีที่สุด” ในโรงเรียนใหม่ได้ถูกปิดแล้วสำหรับฉัน เมื่อครูที่ปรึกษาตัดสินว่าฉันไม่เหมาะสมหรือไม่พร้อม

คริสตจักรเมืองฟีลาเดลเฟียในอดีตคงจะเข้าใจการหยุดยั้งความก้าวหน้าแบบไร้เหตุผลเช่นนี้ มีคริสตจักรเล็กและยากจนแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองที่เพิ่งประสบกับแผ่นดินไหวเมื่อไม่กี่ปีก่อนซึ่งได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายเอาไว้ นอกจากนี้พวกเขายังเผชิญกับการต่อต้านของซาตาน (วว.3:9) คริสตจักรที่ถูกมองข้ามเช่นนี้ยังมี “กำลังเพียงเล็กน้อย” ดังที่พระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ได้ตรัสว่า “แต่กระนั้นเจ้าก็ได้ประพฤติตามคำของเรา และไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา” (ข้อ 8) โดยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงตั้ง “ประตูซึ่งเปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครปิดได้” (ข้อ 8) อันที่จริงนั้น “สิ่งที่พระองค์ทรงเปิดแล้วไม่มีใครปิดได้ และสิ่งที่พระองค์ทรงปิดแล้วไม่มีใครเปิดได้” (ข้อ 7 TNCV)

นี่เป็นความจริงในการพยายามทำพันธกิจของเรา ประตูบางบานไม่เปิด แต่ด้วยงานเขียนของฉันเกี่ยวกับพระเจ้า พระองค์ได้ทรงเปิดประตูให้เข้าถึงผู้อ่านทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยไม่ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่ปิดสนิทของครูที่ปรึกษาคนใด ประตูที่ปิดจะไม่ขัดขวางคุณเช่นกัน พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นประตู” (ยน.10:9) ขอให้เราเข้าไปในประตูที่พระองค์ทรงเปิดและติดตามพระองค์ไป

ของขวัญด้วยรัก

ในวันแต่งงานของเกว็นดอลิน สตอลกิสเธอได้สวมชุดแต่งงานในฝัน จากนั้นเธอก็ให้ชุดนั้นกับคนแปลกหน้า สตอลกิสเชื่อว่าชุดๆหนึ่งควรค่ามากกว่าการแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าให้ฝุ่นจับ เจ้าสาวคนอื่นๆก็เห็นด้วย ตอนนี้ผู้หญิงจำนวนมากได้ติดต่อกันบนสื่อสังคมออนไลน์ของพวกเธอเพื่อบริจาคและขอรับชุดแต่งงาน ดังที่ผู้บริจาคคนหนึ่งกล่าว “ฉันหวังว่าชุดนี้จะถูกส่งต่อจากเจ้าสาวคนหนึ่งไปยังเจ้าสาวอีกคนหนึ่งและไปยังเจ้าสาวอีกคนหนึ่ง จนในที่สุดชุดจะเก่าและขาดวิ่นจากการใช้งานในงานเฉลิมฉลองเหล่านั้น”

แท้จริงแล้วจิตวิญญาณแห่งการให้นั้นเป็นหมือนกับการเฉลิมฉลอง ดังที่มีเขียนไว้ว่า “บางคนยิ่งให้อย่างใจกว้างกลับยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ส่วนบางคนยิ่งตระหนี่ถี่เหนียวกลับยิ่งขาดแคลน คนใจกว้างจะเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่นำความชุ่มชื่นไปสู่คนอื่น ก็จะได้รับความชุ่มชื่น” (สภษ.11:24-25 TNCV)

อัครทูตเปาโลได้สอนหลักการนี้ในพันธสัญญาใหม่ ท่านได้ให้พรพวกเขา เมื่อท่านกล่าวคำอำลาผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัส (กจ.20:32) และย้ำเตือนถึงความสำคัญของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เปาโลชี้ให้เห็นถึงหลักจริยธรรมในการทำงานของท่านเพื่อเป็นตัวอย่างให้พวกเขาปฏิบัติตาม โดยกล่าว “ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว...โดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’” (ข้อ 35)

การมีใจกว้างขวางนั้นสะท้อนให้เห็นถึงพระเจ้า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน...” (ยน.3:16) ขอให้เราประพฤติตามแบบอย่างอันกอปรด้วยสง่าราศีของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงนำเรา

ประกาศด้วยความรัก

ศิษยาภิบาลหนุ่มคนหนึ่งอธิษฐานทุกๆเช้า ทูลขอให้พระเจ้าใช้เขาในวันนั้นให้เป็นพระพรสำหรับใครสักคน บ่อยครั้งที่เขาดีใจเมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น วันหนึ่งในช่วงพักของงานอีกงานหนึ่งที่เขาทำ เขานั่งรับแสงแดดอยู่กับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ถามเขาเรื่องของพระเยซู ศิษยาภิบาลคนนี้ตอบคำถามของชายคนนี้ด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีเสียงดังหรือการโต้เถียงกัน ศิษยาภิบาลบอกว่าเขาได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พูดคุยแบบสบายๆที่ทั้งเกิดผลและสำแดงความรักด้วย เขายังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย เป็นผู้ที่หิวกระหายอยากจะเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น

การยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเราเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์ตรัสบอกเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา” (กจ.1:8)

ผลของพระวิญญาณ “คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน” (กท.5:22-23) การดำเนินชีวิตภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณอย่างที่ศิษยาภิบาลผู้นี้ทำเป็นสิ่งที่เปโตรได้แนะนำไว้ว่า “จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ” (1 ปต.3:15)

แม้เราจะต้องทนทุกข์เพราะการเชื่อในพระคริสต์ แต่คำพูดของเราสามารถแสดงให้โลกเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา แล้วการดำเนินชีวิตของเราก็จะชักนำผู้อื่นให้มาหาพระองค์

ความรักแห่งการปกป้องของพระเจ้า

คืนหนึ่งในฤดูร้อน จู่ๆฝูงนกใกล้บ้านของเราก็แตกตื่นส่งเสียงดัง เสียงร้องทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเหล่านกร้องเพลงต่างส่งเสียงแหลมปรี๊ดมาจากบนต้นไม้ ในที่สุดเราก็ได้รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ขณะที่ดวงอาทิตย์ตกดิน มีเหยี่ยวตัวใหญ่บินโฉบลงมาจากยอดไม้ ฝูงนกจึงแตกกระเจิงส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งเพื่อเตือนภัยขณะบินหนีจากอันตราย

ในชีวิตของเรานั้น เราจะได้ยินเสียงเตือนฝ่ายวิญญาณได้จากพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม เช่น คำเตือนในเรื่องคำสอนเท็จ บางทีเราอาจไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่เพราะความรักที่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ทรงมีต่อเรา พระองค์จึงประทานความชัดเจนในพระวจนะเพื่อให้เราเห็นอันตรายฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นได้ง่ายๆ

พระเยซูสอนว่า “จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า” (มธ.7:15) พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา...ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว” จากนั้นทรงเตือนเราว่า “ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา” (ข้อ 16-17, 20) “คนหยั่งรู้เห็นอันตรายและซ่อนตัวของเขาเสีย” สุภาษิต 22:3 เตือนเรา “แต่คนเขลาเดินเรื่อยไป และรับอันตรายนั้น” คำเตือนนี้แฝงไว้ด้วยความรักแห่งการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ซึ่งเปิดเผยในพระวจนะที่พระองค์ประทานแก่เรา

ในขณะที่ฝูงนกเตือนภัยกันถึงอันตรายฝ่ายร่างกาย ขอให้เราฟังคำเตือนจากพระวจนะที่ให้เราบินหนีจากอันตรายฝ่ายวิญญาณและเข้าสู่อ้อมแขนอันเป็นที่ลี้ภัยของพระเจ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา