แสงแห่งพระคริสต์ส่องสว่าง
เมื่อแสงไฟบนถนนดับลงในไฮแลนด์พาร์ค รัฐมิชิแกน พลังงานจากดวงอาทิตย์จึงเป็นที่ต้องการ เมืองที่ขัดสนแห่งนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้า บริษัทจึงปิดไฟถนนและถอดหลอดไฟออกจากเสาไฟฟ้าจำนวน 1,400 ต้น ทำให้ผู้อยู่อาศัยไร้ความปลอดภัยและอยู่ในความมืด ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้นักข่าวฟังว่า “ตอนนี้มีเด็กสองคนกำลังเดินทางไปโรงเรียน ไม่มีแสงไฟ พวกเขาต้องเสี่ยงเดินไปตามถนน”
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีการก่อตั้งกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อติดตั้งไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่เมืองนั้น องค์กรด้านมนุษยธรรมได้ร่วมมือกันจนทำให้ประหยัดเงินค่าไฟในเมืองไปพร้อมๆกับจัดหาแหล่งกำเนิดแสงสว่างที่ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย
สำหรับชีวิตของเราในพระคริสต์นั้น แหล่งกำเนิดแสงที่เราไว้วางใจได้คือองค์พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ดังที่อัครทูตยอห์นบันทึกไว้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” (1 ยน.1:5) ยอห์นกล่าวว่า “ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (ข้อ 7)
องค์พระเยซูเองได้ทรงประกาศว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.8:12) โดยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำทางเราในทุกย่างก้าว เราจะไม่มีวันเดินในความมืด เพราะแสงของพระองค์ส่องสว่างอยู่เสมอ
การตัดสินใจที่ฉลาด
ให้ขายบ้านของแม่ผู้ล่วงลับน่ะหรือ การตัดสินใจนั้นทำให้ฉันคิดหนักหลังจากคุณแม่ที่รักและเป็นม่ายของฉันเสียชีวิตลง ฉันรู้สึกอ่อนไหว ถึงกระนั้นฉันกับน้องสาวใช้เวลาสองปีในการทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านที่ว่างเปล่าของแม่ และยอมที่จะขายมัน ตอนนั้นเป็นปี 2008 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ไม่มีใครซื้อ เราลดราคาลงเรื่อยๆแต่ก็ไม่มีข้อเสนอใดๆเข้ามา และแล้วในเช้าวันหนึ่งขณะที่ฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันสะดุดตากับข้อนี้ว่า “ที่ใดไม่มีวัวผู้ รางหญ้าก็ว่างเปล่า แต่พืชผลมากมายได้มาด้วยแรงวัว” (สภษ.14:4 THSV11)
สุภาษิตข้อนี้พูดถึงการทำเกษตร แต่ฉันรู้สึกทึ่งกับความหมายคอกสัตว์ที่ว่างเปล่านั้นดูเรียบร้อย แต่ด้วย “ความรกรุงรัง” ของสิ่งที่อยู่ในคอกเท่านั้นที่จะทำให้เกิดผลผลิต หรือสำหรับเราก็คือผลผลิตที่มีคุณค่าและมรดกของครอบครัว ฉันโทรหาน้องสาวแล้วถามว่า “ถ้าเราจะเก็บบ้านของแม่ไว้ล่ะ เราปล่อยให้เช่าก็ได้”
ทางเลือกนั้นทำให้เราประหลาดใจ พวกเราไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนบ้านของแม่ให้เป็นการลงทุน แต่พระคัมภีร์ที่เป็นดั่งเครื่องนำทางฝ่ายวิญญาณได้มอบสติปัญญาที่นำมาใช้ได้จริงในชีวิต ดังที่ดาวิดอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคาของพระองค์ ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์” (สดด.25:4)
จากการตัดสินใจของฉันและน้องสาว เราได้รับการอวยพรจากการให้หลายครอบครัวที่น่ารักได้เช่าบ้านของแม่ และเรายังได้เรียนรู้ความจริงที่เปลี่ยนชีวิตว่า พระคัมภีร์ช่วยชี้แนะการตัดสินใจของเรา ผู้เขียนสดุดีบันทึกไว้ว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดด.119:105) ขอให้เราเดินในแสงสว่างของพระเจ้า
ผู้ชมแต่เพียงองค์เดียว
ในฐานะ “เสียงของทีมเดนเวอร์ นักเก็ตส์” ไคล์ สเปลเลอร์อนุศาสกของทีม เป็นที่รู้จักจากเสียงตะโกนคำรามในการบรรยายการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรบาสเกตบอล “ไปเลย!” เขาส่งเสียงดังลั่นใส่ไมค์ แฟนบาสเกตบอลเอ็นบีเอหลายพันคนที่สนามพร้อมกับอีกหลายล้านคนที่กำลังดูหรือฟังอยู่ ตอบสนองต่อเสียงซึ่งทำให้ไคล์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงผู้บรรยายการแข่งขันยอดเยี่ยมประจำปี 2022 “ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฝูงชนและบรรยากาศในสนามเหย้า” เขากล่าว แต่กระนั้นทุกถ้อยคำจากทักษะการใช้เสียงของเขาซึ่งยังปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์และวิทยุ มีไว้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไคล์เสริมว่างานของเขาคือ “แค่ทำทุกสิ่งเพื่อผู้ชมแต่เพียงองค์เดียว”
อัครทูตเปาโลเน้นย้ำคำสอนที่คล้ายกันนี้กับคริสตจักรโคโลสี ซึ่งสมาชิกปล่อยให้ความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าและอำนาจอธิปไตยของพระคริสต์แทรกซึมเข้ามาแม้กระทั่งในการใช้ชีวิตของพวกเขา แทนที่จะให้เป็นเช่นนั้น เปาโลเขียนว่า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า โดยพระองค์นั้น” (คส.3:17)
เปาโลเสริมว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” (ข้อ 23) สำหรับไคล์แล้วนี่ยังรวมถึงบทบาทของเขาในฐานะอนุศาสก ซึ่งเขาบอกว่า “นั่นคือวัตถุประสงค์ของผมที่นี่ ...และการเป็นผู้บรรยายก็ช่วยส่งเสริมบทบาทของผมให้ดียิ่งขึ้น งานของเราที่ทำเพื่อพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจสำหรับผู้ชมเแต่เพียงองค์เดียวเช่นกัน
สหายเลิศ
ในฐานะเพื่อนบ้านที่ต่างก็ชื่นชอบสนามหลังบ้าน แม่ของฉันและคุณนายซานเชซกลายมาเป็นคู่แข่งที่เป็นมิตรกัน ทุกวันจันทร์ทั้งคู่จะแข่งกันเป็นคนแรกในการตากผ้าที่เพิ่งซักเสร็จบนราวตากผ้ากลางแจ้ง แม่ของฉันอาจบอกว่า “เธอชนะฉันอีกแล้ว!” แต่สัปดาห์หน้าแม่จะเป็นคนแรก ทั้งคู่สนุกกับการแข่งขันกระชับมิตรประจำสัปดาห์ เป็นเวลากว่าสิบปีที่ทั้งสองได้ใช้สนามหลังบ้านร่วมกัน และยังได้แบ่งปันสติปัญญา เรื่องราวและความหวังให้แก่กันและกันอีกด้วย
พระคัมภีร์กล่าวด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่งเกี่ยวกับคุณความดีของมิตรภาพเช่นนี้ ซาโลมอนแสดงความเห็นว่า “มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา” (สภษ.17:17) พระองค์ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า “คำเตือนสติอันอ่อนหวานของเพื่อนก็เป็นที่ให้ชื่นใจ” (27:9)
แน่ทีเดียวที่สหายเลิศของเราคือพระเยซู ทรงปลุกเร้ามิตรภาพอันเปี่ยมด้วยความรักจากเหล่าสาวกของพระองค์โดยทรงสอนว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือ การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยน.15:13) แล้วในวันถัดมาพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งนั้นบนกางเขน พระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว” (ข้อ 15) แล้วทรงตรัสว่า “สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน” (ข้อ 17)
ด้วยพระดำรัสเช่นนี้ พระเยซู “กำลังยกระดับผู้ฟังของพระองค์” ดังที่นักปรัชญานิโคลัส โวลเทอร์สตอร์ฟฟ์กล่าวไว้ จากมนุษย์ที่ต่ำต้อยไปสู่การเป็นสหายและคนที่ทรงไว้วางใจ ในพระคริสต์นั้นเราเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนกับผู้อื่น พระองค์ช่างเป็นสหายเลิศจริงๆที่สอนเราถึงความรักเช่นนี้!
พบความชื่นบานอย่างชาญฉลาด
การระบาดครั้งใหญ่นี้เป็นฝ่ายชนะ นั่นคือมุมมองของเจสัน เพอร์ซอฟ แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใหญ่ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด เขาจะทำดีที่สุดได้อย่างไร ช่วงนอกเวลางานเขาจะผ่อนคลายด้วยการถ่ายภาพขยายของสิ่งเล็กๆ เช่น เกล็ดหิมะ มัน “ดูไร้สาระ” ดร.เพอร์ซอฟกล่าว แต่การพบความชื่นบานในสิ่งเล็กๆน้อยๆที่งดงามคือ “โอกาสที่จะได้ผูกพันกับพระผู้สร้างของผม และได้เห็นโลกในแบบที่น้อยคนนักจะใช้เวลาสังเกต”
การแสวงหาความชื่นบานอย่างชาญฉลาดเพื่อบรรเทาความเครียดและสร้างภูมิคุ้มกันถือเป็นคุณค่าอันสูงส่งในวงการแพทย์ แพทย์ผู้นี้กล่าวไว้ แต่สำหรับทุกคนนั้นเขามีคำแนะนำดังนี้ “คุณต้องสูดหายใจเข้า คุณต้องหาวิธีที่จะสูดลมหายใจและสนุกกับชีวิต”
ดาวิดผู้เขียนเพลงสดุดีแสดงความคิดเช่นนี้ในสดุดี 16 เมื่อท่านประกาศถึงสติปัญญาแห่งการได้พบความชื่นบานในพระเจ้า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ที่ข้าพเจ้าเลือก” ท่านกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย” (ข้อ 5, 9)
ในขณะที่ผู้คนพยายามลดความกดดันและผ่อนคลายนั้น พวกเขาทำหลายสิ่งที่ไม่ฉลาดนัก ดร.เพอร์ซอฟพบวิถีอันชาญฉลาด คือวิถีที่นำเขาไปยังองค์พระผู้สร้างผู้ประทานความชื่นบานแห่งการทรงสถิตของพระองค์ “พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์ของพระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 11) ในพระองค์เราจะพบความชื่นบานตลอดนิรันดร์
เดินไปในเส้นทางใหม่
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อบรรดานักเรียนที่มีคะแนนสูงสุดรับใบประกาศนียบัตรความเป็นเลิศด้านผลการเรียน แต่รายการยังไม่จบ รางวัลต่อไปเป็นการยกย่องนักเรียนที่ไม่ได้ “เก่งที่สุด” แต่มีการพัฒนามากที่สุด เด็กเหล่านี้พยายามอย่างหนักที่จะดึงเกรดที่ตกให้ดีขึ้น แก้ไขพฤติกรรมก่อกวน หรือตั้งใจเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ ผู้ปกครองของพวกเขาพากันยิ้มแย้มและปรบมือที่เห็นลูกๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาไม่ได้มองข้อบกพร่องในอดีต แต่มองว่าเด็กเหล่านี้กำลังเดินไปในเส้นทางใหม่
เหตุการณ์อันน่าชื่นใจนี้สะท้อนถึงภาพที่พระบิดาในสวรรค์ทอดพระเนตรเห็นเรา คือไม่ใช่เราในวิถีชีวิตเก่า แต่เป็นเราในปัจจุบันที่อยู่ในพระคริสต์ในฐานะลูกของพระองค์ ยอห์นบันทึกไว้ว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน.1:12) ช่างเป็นมุมมองที่งดงามจริงๆ! ด้วยเหตุนี้เปาโลจึงเตือนผู้เชื่อใหม่ว่า ครั้งหนึ่ง “ท่านตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (อฟ.2:1) แต่แท้จริงแล้ว “เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ” (ข้อ 10)
เปโตรเขียนไว้ดังนี้ว่า เราทั้งหลาย “เป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” และบัดนี้พวกเรา “เป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว” (1 ปต.2:9-10) ในสายพระเนตรของพระเจ้า เส้นทางเก่าของเราไม่มีอิทธิพลเหนือเราอีก ให้เรามองเห็นตนเองอย่างที่พระเจ้าทรงเห็น และเดินไปในเส้นทางใหม่นี้
ความรักมากล้นของพระเจ้า
เขาเป็นที่รู้จักในนามนายทหารผู้กล่าวสุนทรพจน์เรื่องการจัดเตียงทุกวัน ซึ่งมีผู้เข้าชมออนไลน์ถึง 100 ล้านครั้ง แต่พลเรือเอกวิลเลี่ยม แม็คราเวนซึ่งเกษียณอายุแล้วได้แบ่งปันอีกบทเรียนหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ในระหว่างปฏิบัติการทางทหารในตะวันออกกลาง แม็คราเวนได้พบด้วยความเศร้าใจว่าสมาชิกหลายคนในครอบครัวผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารเนื่องจากความผิดพลาด ด้วยความเชื่อว่าครอบครัวนี้ต้องได้รับการขอโทษอย่างจริงใจ แม็คราเวนจึงกล้าที่จะขอการยกโทษจากผู้เป็นพ่อซึ่งหัวใจแหลกสลาย
“ผมเป็นทหาร” แม็คราเวนบอกกับชายผู้นั้นผ่านล่าม “ผมเองก็มีลูกเช่นกัน และผมรู้สึกเสียใจกับคุณ” ชายคนนี้ตอบสนองอย่างไรน่ะหรือ เขามอบการอภัยซึ่งเป็นของขวัญที่มอบให้ด้วยใจกว้างขวางอย่างเหลือล้นแก่แม็คราเวน ดังที่ลูกชายผู้รอดชีวิตของชายผู้นี้ได้ตอบว่า “ขอบคุณมาก เราจะไม่เก็บสิ่งใดที่เป็นการต่อต้านคุณไว้ในใจของเรา”
อัครทูตเปาโลเองก็ได้เขียนถึงพระคุณอันมากล้นเช่นนี้ “เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) ท่านทราบว่าเราจะพบบททดสอบของชีวิตในหลากหลายด้าน ดังนั้นท่านจึงสั่งผู้เชื่อในคริสตจักรที่เมืองโคโลสีว่า “และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน...องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน” (ข้อ 13)
สิ่งใดกันที่ทำให้เรามีใจเมตตาและให้อภัยเช่นนั้นได้ นั่นก็คือ ความรักอันมากล้นของพระเจ้า ดังที่เปาโลสรุปว่า “แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์” (ข้อ 14)
ร่วมกันในพระคริสต์ย่อมดีกว่า
ดร.ทิฟฟานี่ โกลสันได้เห็นอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบหลายด้านต่อเมืองอีสต์เซนต์หลุยส์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา แต่ภายในปี 2023 สถิติการฆาตกรรมในเมืองนี้้ลดลง 31 เปอร์เซ็นต์ และอาชญากรรมโดยรวมลดลง 37 เปอร์เซ็นต์ เกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้ ด้วยการร่วมมือกันทำงานของคนหลายกลุ่มที่บังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยสาธารณะของเมือง ซึ่งประกอบด้วยตำรวจประจำรัฐและเมือง เขตการศึกษาประจำเมือง และองค์กรด้านศาสนา ได้ผนึกกำลังกันเพื่อพลิกสถานการณ์ให้กับพลเมืองทุกคน
“เราพูดกันว่ามันคือการรวมเป็นหนึ่ง” ดร. โกลสันกล่าว โดยสมาชิกทั้งหมดของเมืองนี้ได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือประชาชน ศูนย์ให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษากับกลุ่มวัยรุ่นในเขตการศึกษาภายใต้การนำของเธอนั้น ได้นำนักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนไปช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ หน่วยงานอื่นๆได้ใช้จุดแข็งของตนเองเข้ามาช่วย ขณะที่ตำรวจก็ตั้งใจพูดคุยและรับฟังเสียงของประชาชนบนท้องถนนมากขึ้น
ดาวิดผู้แต่งเพลงสดุดีเขียนว่า “ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดีและน่าชื่นใจมากสักเท่าใด” (สดด.133:1) พร้อมทั้งเสริมว่า “เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน” (ข้อ 3) ดาวิดหมายถึงผู้คนที่มีความเชื่อเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้า โดยไม่แบ่งแยกตามหลักคำสอนหรือการเมือง แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน แนวคิดนี้อาจฟังดูเข้าใจยาก แต่เป็นพรกับทุกคน เป้าหมายอันงดงามของผู้เชื่อคือการแสดงความห่วงใยซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่ต้องการความรักของพระเยซูอย่างมากที่สุด
เป็นเพื่อนกับคนว้าเหว่
ฮอลลี่ คุกไม่มีเพื่อนเลยสักคนเมื่อย้ายไปทำงานที่ลอนดอน เธอรู้สึกเศร้าหมองในวันหยุดสุดสัปดาห์ จากผลสำรวจทั่วโลกเมืองนี้ติดอันดับต้นๆในเรื่องความหดหู่ มีชาวลอนดอนร้อยละ 55 ที่บอกว่าพวกตนเหงา ในขณะที่ชาวเมืองลิสบอนในประเทศโปรตุเกสซึ่งอยู่ติดกันมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้
ฮอลลี่ต้องการมีเพื่อน เธอต่อสู้กับความกลัวของเธอและก่อตั้งกลุ่มโซเชียลมีเดียชื่อ ชมรมสาวขี้เหงาแห่งลอนดอน และมีคนมาเข้าร่วมกลุ่มราวสามหมื่นห้าพันคน มีการพบปะเป็นกลุ่มเล็กทุกๆสองสามสัปดาห์เพื่อปิกนิกในสวนสาธารณะ เรียนศิลปะ เรียนทำเครื่องประดับ กินอาหารเย็น และแม้กระทั่งร่วมกันออกกำลังกายกลางแจ้งกับลูกสุนัข
ความท้าทายในเรื่องความเหงาไม่ใช่สิ่งใหม่ องค์พระผู้เยียวยาความรู้สึกโดดเดี่ยวของเราก็เช่นกัน ดาวิดได้บันทึกถึงพระเจ้าของเราผู้ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ว่า “ทรงให้ผู้ว้าเหว่เดียวดายเข้าอยู่ในครอบครัว พระองค์ทรงนำผู้ถูกจองจำออกมาด้วยการร้องเพลง” (สดด.68:6 TNCV) การขอให้พระเจ้าทรงนำเราให้ได้พบกับเพื่อนที่มีลักษณะเหมือนพระคริสต์คือสิทธิพิเศษจากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงทูลขอจากพระองค์ได้ ดาวิดกล่าวเพิ่มเติมว่า “พระเจ้าในที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์ ทรงเป็นพระบิดาของคนกำพร้าและทรงเป็นผู้ป้องกันหญิงม่าย” (ข้อ 5) “สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงค้ำชูเราทั้งหลายอยู่ทุกวัน พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา” (ข้อ 19)
พระเยซูทรงเป็นสหายเลิศของเรา! พระองค์ทรงให้เรามีเพื่อนแท้ โดยเริ่มต้นด้วยการทรงสถิตอันเปี่ยมด้วยสง่าราศีของพระองค์ในทุกเวลา ดังที่ฮอลลี่กล่าวไว้ว่า “การมีเพื่อนก็ดีต่อจิตวิญญาณ”