ของขวัญที่ดีที่สุด
ขณะที่ฉันอยู่ในงานประกาศครั้งหนึ่งในระหว่างการเดินทางไปทำพันธกิจระยะสั้นที่ประเทศเปรู มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาขอเงินฉัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทีมของฉันได้รับคำแนะนำว่าอย่าให้เงินใคร แล้วฉันจะช่วยเขาอย่างไร แล้วฉันก็นึกถึงคำตอบของอัครทูตเปโตรและยอห์นที่บอกคนง่อยในกิจการ 3 ฉันอธิบายให้เขาฟังว่าฉันให้เงินเขาไม่ได้ แต่ฉันสามารถแบ่งปันข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้ากับเขาได้ เมื่อเขาบอกว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า ฉันบอกเขาว่าพระเจ้าทรงต้องการเป็นพ่อของเขา เขาก็ร้องไห้ และฉันได้แนะนำเขากับสมาชิกคนหนึ่งของคริสตจักรที่จัดงานให้ดูแลเขาต่อไป
บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าคำพูดที่มีนั้นไม่เพียงพอ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเสริมกำลังเราเมื่อเราแบ่งปันเรื่องของพระเยซูกับผู้อื่น
เมื่อเปโตรและยอห์นได้พบชายคนนั้นที่ลานพระวิหาร พวกเขารู้ว่าการแบ่งปันเรื่องของพระคริสต์เป็นของขวัญที่ดีที่สุด “เปโตรกล่าวว่า ‘เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด’” (ข้อ 6) ชายคนนั้นได้รับความรอดและการรักษาในวันนั้น พระเจ้ายังคงใช้เราเพื่อนำผู้ที่หลงหายมาหาพระองค์
ขณะที่เรามองหาของขวัญที่ดีที่สุดเพื่อมอบให้ผู้อื่นในช่วงคริสต์มาสนี้ ให้เราจดจำว่าของขวัญที่แท้จริงนั้นคือการได้รู้จักพระเยซู และได้รับของขวัญแห่งความรอดนิรันดร์ที่พระองค์มอบให้กับเรา ขอให้เรายังคงแสวงหาที่พระเจ้าจะทรงใช้เราต่อไปเพื่อนำผู้คนมาหาพระผู้ช่วยให้รอด
ขอบพระคุณแม้ในยามลำบาก
ฉันได้ติดตามและอธิษฐานเผื่อเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งที่โพสต์เรื่องราวการรักษาโรคมะเร็งของเธอ เธอเล่าความคืบหน้าของอาการทางร่างกายและความท้าทายต่างๆ สลับกับขอการอธิษฐานเผื่อพร้อมกับข้อพระคัมภีร์และการสรรเสริญพระเจ้า เป็นสิ่งสวยงามที่ได้เห็นรอยยิ้มอันกล้าหาญของเธอไม่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรอการรักษา หรืออยู่ที่บ้านโดยมีผ้าโพกศีรษะเนื่องจากผมร่วง ในความท้าทายแต่ละครั้งเธอไม่เคยพลาดที่จะหนุนใจผู้อื่นให้ไว้วางใจพระเจ้าในท่ามกลางความทุกข์ยาก
ขณะกำลังเผชิญความยากลำบาก อาจเป็นเรื่องยากที่เราจะหาเหตุผลมาขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า แต่สดุดี 100 ได้ให้เหตุผลที่เราจะชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “จงรู้เถิดว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า คือพระองค์เองที่ทรงสร้างเราทั้งหลาย และเราก็เป็นของพระองค์ เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์” (ข้อ 3) และท่านยังกล่าวอีกว่า “เพราะพระเจ้าประเสริฐ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ และความสัตย์สุจริตของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์” (ข้อ 5)
ไม่ว่าเราจะพบเจอการทดลองอะไร เราอุ่นใจได้เมื่อรู้ว่าพระเจ้าอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำ (34:18) ยิ่งเราใช้เวลากับพระเจ้าในการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ เราก็จะยิ่ง “เข้าประตูของพระองค์ด้วยการโมทนา และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ” และ “ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์” ได้มากขึ้นเท่านั้น (100:4) เราสามารถ “เปล่งเสียงชื่นบานถวายแด่พระเจ้า” (ข้อ 1) เพราะพระเจ้าของเราทรงสัตย์ซื่อ
รักทุกชนชาติ
ในฐานะลูกสาวของพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความรักและทำงานหนักซึ่งมาจากทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ฉันรู้สึกขอบคุณที่พวกเขากล้าที่จะเป็นคนแรกของครอบครัวที่ย้ายมาที่สหรัฐอเมริกาเพื่อโอกาสที่ดีกว่า พวกเขาพบกันตอนที่เพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ในเมืองนิวยอร์ก แต่งงานกัน และให้กำเนิดพี่สาวและตัวฉัน ต่อมาก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง
ในฐานะคนนิวยอร์กโดยกำเนิด ฉันโตขึ้นมาพร้อมกับวัฒนธรรมความเป็นละตินอเมริกาและชื่นชมผู้คนที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรม เช่น ครั้งหนึ่งฉันเคยแบ่งปันเรื่องราวความเชื่อของฉันในการนมัสการช่วงเย็นของคริสตจักรนานาชาติที่จัดขึ้นในโรงละครบรอดเวย์เก่า การได้พูดคุยกับคนที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรมถึงเรื่องความรักของพระเจ้านั้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสวรรค์ เมื่อเราได้เห็นคนจากทุกชนชาติมารวมกันเป็นพระกายของพระคริสต์
ในพระธรรมวิวรณ์ อัครทูตยอห์นให้เราเห็นภาพอัศจรรย์ของสวรรค์ “ตรงหน้าข้าพเจ้ามีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกหมู่ชน และทุกภาษา ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อหน้าพระเมษโปดก” (วว.7:9 TNCV) พระเจ้าองค์พระผู้ไถ่ของเราจะได้รับ “คำสรรเสริญ[และ]พระสิริ” และอีกมากมายที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ “สืบๆไปเป็นนิตย์” (ข้อ 12 TNCV)
ตอนนี้เรามองเห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะมีในสวรรค์ แต่วันหนึ่งเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซูจะถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และกับผู้คนจากทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม และทุกภาษา และเพราะพระเจ้าทรงรักทุกชนชาติ ให้เรารักครอบครัวในพระคริสต์ทั้งโลกด้วยเช่นกัน
หยุดเพื่ออธิษฐาน
นักอุตุนิยมวิทยาคนหนึ่งในรัฐมิสซิสซิปปี้กลายเป็นกระแสโด่งดังหลังเอ่ยคำพูดสั้นๆที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งระหว่างการพยากรณ์อากาศเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2023 แมท ล็อบฮานกำลังติดตามพายุขนาดใหญ่เมื่อเขาตระหนักว่าพายุทอร์นาโดแห่งความหายนะนี้กำลังจะพัดถล่มเมืองอโมรี นั่นคือตอนที่ล็อบฮานหยุดการรายงานในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เพื่อกล่าวคำอธิษฐานที่ได้ยินไปทั่วโลก “ข้าแต่พระเยซู โปรดช่วยพวกเขาด้วย อาเมน” ในภายหลังมีผู้ชมบางคนบอกว่าคำอธิษฐานนั้นกระตุ้นให้พวกเขาเร่งหาที่หลบภัย คำอธิษฐานที่เป็นธรรมชาติและจริงใจของเขาอาจได้ช่วยชีวิตคนไว้นับไม่ถ้วน
คำอธิษฐานของเราก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน คำอธิษฐานไม่จำเป็นต้องยืดยาว อาจสั้นๆใช้ถ้อยคำรื่นหูและสามารถพูดได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ทำงาน ทำธุระ หรือไปเที่ยวพักผ่อน เราก็สามารถ “อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ” ได้ (1 ธส.5:17)
พระเจ้าพอพระทัยที่จะสดับฟังเราอธิษฐานตลอดทั้งวัน อัครทูตเปาโลเตือนว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นทาสของความกังวลหรือความกลัว แต่เราสามารถนำทุกความห่วงใยและความกังวลมาหาพระเจ้า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:6-7)
ไม่ว่าเราจะกำลังเพลิดเพลินกับวันที่แสงแดดสดใส หรือถูกลมพายุหรือพายุแห่งชีวิตพัดโหมกระหน่ำก็ตาม ขอให้เราไม่ลืมที่จะหยุดเพื่ออธิษฐานในตลอดทั้งวัน
การจัดเตรียมของพระเจ้า
ในเดือนมิถุนายน 2023 โลกต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพี่น้องสี่คนอายุตั้งแต่ 1 ถึง 13 ปี มีชีวิตรอดในป่าอเมซอนของประเทศโคลอมเบีย สี่พี่น้องเอาตัวรอดในป่าเป็นเวลาสี่สิบวันหลังเครื่องบินตกซึ่งได้พรากชีวิตแม่ของพวกเขา พวกเด็กๆซึ่งคุ้นเคยกับภูมิประเทศอันโหดร้ายของป่า ได้ซ่อนตัวจากสัตว์ป่าในลำต้นของต้นไม้ เก็บน้ำจากลำธารและฝนใส่ขวด และกินอาหารอย่างแป้งมันสำปะหลังจากซากเครื่องบิน พวกเขายังรู้ด้วยว่าผลไม้ป่าและเมล็ดพืชชนิดใดที่กินได้
พระเจ้าทรงเลี้ยงดูพี่น้องทั้งสี่คน
เรื่องราวอันน่าทึ่งของพวกเขาทำให้ฉันนึกถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูชนอิสราเอลในทะเลทรายเป็นเวลาสี่สิบปีอย่างอัศจรรย์ ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมอพยพและกันดารวิถี และกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม พระองค์ทรงสงวนชีวิตของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา
พระเจ้าทรงเปลี่ยนน้ำพุขมให้เป็นน้ำที่ดื่มได้ ทรงให้น้ำออกมาจากหินถึงสองครั้ง และทรงนำประชากรของพระองค์ด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน พระองค์ยังทรงจัดเตรียมมานาแก่พวกเขา “โมเสสจึงบอกเขาว่า ‘นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม’” (อพย.16:15-16)
พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ประทาน “อาหารประจำวัน” (มธ.6:11) แก่เราด้วย เราจึงสามารถวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นแก่เรา “จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:19) เรารับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ!
ต่อกิ่งเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า
ระหว่างที่ฉันกับพ่อไปเยือนเอกวาดอร์ประเทศอันเป็นที่รักของท่านเมื่อไม่กี่ปีก่อน เราไปเยี่ยมฟาร์มของครอบครัวที่พ่อเติบโตมา ฉันสังเกตเห็นกลุ่มต้นไม้ประหลาดแห่งหนึ่ง พ่ออธิบายว่าตอนเป็นเด็กเมื่ออยากจะสนุกซุกซน พ่อจะหยิบกิ่งที่ถูกทิ้งจากต้นผลไม้ต้นหนึ่ง แล้วกรีดต้นผลไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นทางยาว เพื่อมัดกิ่งที่ถูกทิ้งไว้เข้ากับลำต้นเหมือนที่พ่อเห็นพวกผู้ใหญ่ทำ ไม่มีใครสังเกตเห็นการเล่นสนุกของพ่อจนกระทั่งต้นไม้เหล่านั้นเริ่มออกผลแตกต่างไปจากที่คาดไว้
ขณะที่พ่อบรรยายขั้นตอนการต่อกิ่งนั้น ฉันเห็นภาพว่าการต่อกิ่งเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร ฉันรู้ว่าพ่อผู้ล่วงลับของฉันอยู่ในสวรรค์ เพราะพ่อถูกต่อกิ่งเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซู
เรามั่นใจได้ว่าในที่สุดเราจะได้ไปสวรรค์เช่นกัน อัครทูตเปาโลอธิบายกับผู้เชื่อในโรมว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางให้คนต่างชาติหรือคนที่ไม่ใช่ชาวยิวให้คืนดีกันกับพระองค์ “และได้ทรงนำท่านผู้เป็นกิ่งมะกอกเทศป่า มาต่อกิ่งไว้แทนกิ่งเหล่านั้น เพื่อให้เข้าเป็นส่วนได้รับน้ำเลี้ยงจากรากต้นมะกอก” (รม.11:17) เมื่อเราเชื่อวางใจในพระคริสต์ เราก็ได้รับการต่อกิ่งเข้ากับพระองค์และกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า “ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก” (ยน.15:5)
เหมือนกับต้นไม้ที่ถูกต่อกิ่ง เมื่อเราวางใจในพระคริสต์ เราก็กลายเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่และสามารถเกิดผลได้อย่างมากมาย
อะไรอยู่ในมือของเจ้า
ไม่กี่ปีหลังจากที่ฉันได้รับความรอดและถวายชีวิตแด่พระเจ้า ฉันรู้สึกว่าพระองค์ทรงนำให้ฉันเลิกอาชีพนักข่าวที่ทำอยู่ ขณะที่ฉันวางปากกาลงและเลิกทำงานเขียน ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเรียกให้ฉันเขียนเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ ตลอดเวลาหลายปีที่ฉันเดินไปในถิ่นทุรกันดารของชีวิตตัวเองนั้น ฉันได้รับกำลังใจจากเรื่องราวของโมเสสและไม้เท้าของท่านในอพยพบทที่ 4
โมเสสผู้เติบโตในวังของฟาโรห์และมีอนาคตที่สดใส ได้หนีออกจากอียิปต์ไปใช้ชีวิตเป็นคนเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครรู้จักในตอนที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน โมเสสคงคิดว่าท่านไม่มีอะไรจะถวายให้พระเจ้า แต่ท่านได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสามารถใช้ใครและสิ่งใดก็ได้เพื่อพระเกียรติของพระองค์
พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” ท่านทูลว่า “ไม้เท้า พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “โยนลงที่พื้นดินเถิด” (อพย.4:2-3) ไม้เท้าธรรมดาของโมเสสกลายเป็นงู เมื่อท่านจับงูไว้พระเจ้าก็ทรงให้กลายเป็นไม้เท้า (ข้อ 3-4) หมายสำคัญนี้ให้ไว้เพื่อที่ชาวอิสราเอลจะ “ได้เชื่อว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงปรากฏแก่เจ้าแล้ว” (ข้อ 5) เหมือนเช่นโมเสสที่โยนไม้เท้าของท่านลงแล้วจับมันขึ้นมาใหม่ ฉันก็เลิกอาชีพนักข่าวเพื่อเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า ต่อมาพระองค์ทรงนำให้ฉันหยิบปากกาขึ้นอีกครั้ง และบัดนี้ฉันเขียนเพื่อพระองค์
เราไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมายเพื่อพระเจ้าจะทรงใช้ได้ เราสามารถรับใช้พระองค์ด้วยพรสวรรค์ที่พระองค์ประทานแก่เรา หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหน จงดูว่ามีอะไรอยู่ในมือของคุณ
จากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อไม่นานมานี้คุณยายสองคนจากรัฐเท็กซัสได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ เพราะเดินทางรอบโลกสำเร็จภายในเวลาแปดสิบวันด้วยวัยแปดสิบเอ็ดปี เพื่อนรักนักเดินทางท่องโลกคู่นี้ซึ่งรู้จักกันมายี่สิบสามปี ได้เดินทางไปครบทั้งเจ็ดทวีป พวกเธอเริ่มจากทวีปแอนตาร์กติกา ไปเต้นแทงโก้ที่อาร์เจนตินา ขี่อูฐที่อียิปต์ และนั่งเลื่อนหิมะขณะอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ พวกเธอไปเยือนสิบแปดประเทศ รวมทั้งแซมเบีย อินเดีย เนปาล บาหลี ญี่ปุ่น โรม และจบการเดินทางที่ออสเตรเลีย ทั้งคู่หวังว่าพวกตนจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้สนุกกับการท่องเที่ยวรอบโลกโดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุ
ในพระธรรมอพยพเราได้อ่านเรื่องราวของคนวัยแปดสิบสองคน ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกให้พบกับการผจญภัยที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต พระองค์ทรงเรียกโมเสสให้ไปเฝ้าฟาโรห์และเรียกร้องให้ปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาส พระเจ้าทรงส่งอาโรนพี่ชายของโมเสสมาช่วย “เมื่อเขาทั้งสองไปทูลฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุแปดสิบปี และอาโรนมีอายุแปดสิบสามปี” (อพย.7:7)
พระบัญชานี้เป็นที่น่าตระหนกสำหรับคนทุกวัย แต่พระเจ้าทรงเลือกพี่น้องคู่นี้ให้ทำหน้าที่นี้ และพวกเขาก็ทำตามพระบัญชา “โมเสสกับอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ เขากระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา” (ข้อ 10)
โมเสสกับอาโรนได้รับเกียรติให้เป็นพยานในเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาสมานานกว่าสี่ร้อยปี ชายทั้งคู่เป็นตัวอย่างว่าพระเจ้าทรงสามารถใช้เราไม่ว่าเราจะอายุเท่าใด ไม่ว่าเราจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือชรา ให้เราติดตามพระองค์ไปทุกแห่งหนที่ทรงนำไป
ชำระจนสะอาดโดยพระคริสต์
การเดินทางไปทำพันธกิจระยะสั้นครั้งแรกของฉันคือที่ป่าอเมซอนในประเทศบราซิล เพื่อช่วยสร้างคริสตจักรแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ บ่ายวันหนึ่ง เราไปเยี่ยมบ้านหนึ่งในไม่กี่หลังในบริเวณนั้นซึ่งมีเครื่องกรองน้ำ เมื่อเจ้าของบ้านเทน้ำขุ่นๆจากบ่อน้ำลงไปบนที่กรอง ภายในไม่กี่นาทีสิ่งสกปรกทั้งหมดถูกกำจัดออกไปเหลือไว้แต่น้ำดื่มที่ใสสะอาด ณ ห้องนั่งเล่นของชายคนนั้น ฉันได้เห็นภาพที่สะท้อนถึงความหมายของการถูกชำระให้สะอาดโดยพระคริสต์
เมื่อเราเข้ามาหาพระเยซูในครั้งแรกพร้อมกับความผิดบาปและความอับอาย แล้วทูลขอให้พระองค์ทรงยกโทษและต้อนรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น พระองค์ก็ได้ทรงชำระเราจากความบาปและทำให้เราเป็นคนใหม่ เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนน้ำขุ่นๆที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นน้ำดื่มที่ใสสะอาด เป็นเรื่องน่ายินดีเพียงใดที่ได้รู้ว่าเราเป็นคนชอบธรรมสำหรับพระเจ้าเพราะการเสียสละของพระเยซู (2 คธ.5:21) และรู้ว่าพระเจ้าทรงกำจัดความบาปของเราไปไกลเท่าที่ตะวันออกไกลจากตะวันตก (สดด.103:12)
แต่อัครสาวกยอห์นเตือนว่า สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีก เมื่อใดที่เราทำบาป เราก็มั่นใจได้จากภาพของเครื่องกรองน้ำนั้นและเราไม่ต้องกังวลเพราะรู้ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยน.1:9)
ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างมั่นใจโดยรู้ว่าเราได้รับการชำระให้สะอาดอยู่เสมอ โดยพระคริสต์